การได้อุปโลกน์ให้สวม "หัวโขน" ณ ขั้นใด ขั้นหนึ่งนั้น จะมีช่วง "วิกฤต" อยู่ในทุก ๆ ขั้น ช่วงวิกฤตนั้นก็คือ การหยุดรั้งของการ "พัฒนา"
ครั้นเมื่อเราเรียนรู้ ศึกษาอยู่ จิตใจเราก็ตั้งมั่นในการ "พัฒนา"
แต่เมื่อเรียนถูกสมมติว่า "เรียนจบ" การพัฒนาของเราก็ "จบ" ไปด้วย
โดยเฉพาะเมื่อเราคิดว่าเราเรียนจบขั้นสูงสุดแล้วเราก็จะยิ่งคิดว่าการพัฒนาของเรานั้น "สูงสุด" ไปด้วย
เฉกเช่นเดียวกับตำแหน่งทางวิชาการ หรือตำแหน่งในองค์กรต่าง ๆ นั้นก็เช่นเดียวกัน
เมื่อใดที่เราขึ้นไปยืนอยู่ ณ บันไดขั้นใหม่ ชีวิตนั้นก็จะหยุดยืน ชื่นชม และดมดอมความหอมหวานด้วยการ "หยุดพัฒนา" นั้นเป็นนานสองนาน
บางคนก็ถึงขนาดขั้นที่ว่า "พอแล้ว" เหนื่อยมานานแล้ว ชีวิตนี้ขอแค่นี้ก็พอ ก็เลยหยุดยืนอยู่บนขั้นนั้นและมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เพื่อ "รอความตาย..."
หากชีวิตเรานี้ไม่ติดอยู่กับตำแหน่งหรือหัวโขน ชีวิตของเราก็จะไม่เสียโอกาสไปกับขั้นแห่งการ "อุปโลกน์" ต่าง ๆ
เมื่อขึ้นบันไดได้ขั้นหนึ่ง เราก็จะหาวิธีการก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งโดนทันที
สังคมนี้มีเล่ห์ มีกลมากมายนัก เราควรจะที่จักพัฒนาจิตให้อยู่เหนือโลก เหนือสังคม
การอยู่เหนือโลก ทำให้เราไม่ติดอยู่กับความสวยงามหรือความน่าเกลียดชังภายในโลก
การอยู่เหนือสังคม ทำให้เราไม่ติด ไม่ยึดอยู่กับการ "อุปโลก" และ "หัวโขน" ของ "สังคม..."
มีชีวิตให้อยู่เหนือโลกและสังคม ชีวิตจะอุดมด้วยการ "พัฒนา..."
ที่มาจากบันทึก ขยะอารมณ์...!!!
กราบนมัสการขอบพระคุณ "เส้นทางแห่งพัฒนาการเจ้าค่ะ"
เก็บเกี่ยวเครื่องปรุง ค่อยๆหมัก ค่อยๆเติม
ตามจริตของพวกเปลือกสมองน้อย แต่หมั่นคอยชะเง้อตาม
หวังเพียงฝึกละวาง ริมขอบทางที่ท่านเดิน
เปลือกสมองน้อยก็ดีนะ เพราะว่าเนื้อสมองจะได้มาก
แต่ข้อเสียก็คือ อย่าให้อะไรมา "กระทบ" ล่ะ เดี๋ยวสมองจะ "กระเทือน..."
ไม่ต้องมาเดินริมขอบทางหรอก กระโดดลงสระมาเลย จะเที่ยวลัดเลาะตามฝั่งอยู่ทำไม...!
ไม่กระโดดลงมาในสระ จะว่ายน้ำเป็นเหรอ
ชีวิตของเรานี้ไม่ยาวนะ จะไปทางอ้อม ๆ อยู่ เดี๋ยวก็จะ "ตาย" ซะก่อน
กระโดดลงน้ำเลย ฝั่งไม่เห็น ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องมองหาฝั่ง ลงมาแล้วจะเห็นฝั่งด้วยตนเอง...
จบปริญญาตรี ด้วยความโง่ เพราะคิดว่าตนเอง ยังไม่รู้อีกเยอะ
งั้นขอต่อปริญญาโทละกัน
อะ อะ พอ ร่ำเรียนจนจบปริญาโท
เอ๋า ทำไม มันเป็นแบบนี้
ยังโง่อยู่ ยิ่งรู้สึกว่า โง่หนักเข้าไปใหญ่ ฃ
หัน มาทำงาน ก็เหมือนต้องมาเรียนรู้ใหม่
แหม จะว่าไป ทำงานใหม่ ๆ นี่ ใหญ่คับที่
ฉันเก่งแล้ว ฉัน เรียนมาเยอะแล้ว
แต่พอ เจองาน จริง ๆ เข้าไป แม่ เจ้า โว้ย
อย่างนี้ ไม่เคยมีในตำรา
โอ๊ยยยยยย ตาย ๆ ๆ ทำไงดีหล่ะทีเนี๊ย
พี่ ๆ ที่ทำงาน ช่างเมตตา มาสอน มันก็ตั้งแต่เริ่มต้น
เตาะ แตะ ๆ ไป เรื่อง ผิด บ้าง มั่วบ้าง เพราะ โง่ สะเพร่า
สารพัด จะช่างไร้ โง่ ยังอวดฉลาด แหม มันน่าประนามจริ ง ๆ
ยิ่งทำงานมาก ก็ยิ่งรู้ว่า แหม ความโง่ คนเรานี่ ไม่มีประมาณจริงๆ
แค่ล้างเครื่อง แก้ว ยังทำไม่เป็น ยังมา อวดดี
ดูเหมือนว่า ใบปริญญา ไม่ได้ ทำให้เราฉลาดขึ้น
ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน สิ่งใด ๆ ทั้งนั้น
เป็นเพียงแค่ ใบเบิกทาง แบบโลก ๆ
อย่าง หยาบ ๆ ที่คนโง่ ๆ เอาไว้ อวดตนเอง
ว่า ฉัน รู้ อะไรบ้าง
แต่ในทางกลับกัน ตอนนี้ เลยต้องหันกลับมาเรียนรู้ไหม
มีอะไรบ้างที่เรายังไม่รู้
โดยเฉพาะ ภายในใจตนเอง
นมัสการเจ้าค่ะ
เรียนหนังสือ หนังหา จบปริญญามาหลายใบ ก็ได้รู้จักความรู้กระจัดกระจายแต่ถึงอย่างไรชีวิตนี้ก็ไม่สามารถรู้จักใบไม้ทั้งป่าได้
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรารู้จักใบไม้ในกำมือ
สอนให้เรารู้จักร่างกายของเรานี้ ให้เรารู้จัก "จิตใจ" ของเรานี้
วันวาน และวันนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว ที่เราละจากความพยศ และลดซึ่งทิฏฐิ หันหน้ามาศึกษา "ชีวิต" ของเรานี้
เพราะการมีชีวิตแล้วเราไม่รู้จักชีวิต ชีวิตนั้นย่อมกัดกินตัวเราเอง
เรียนรู้ชีวิตให้มากนะ อ่านชีวิตของตัวเองให้มาก
เรียนให้มากแล้ว อ่านให้มากแล้วจึงจะได้ชื่อว่าเป็น "บัณฑิต" ที่แท้จริง...