เส้นเลือดน้อย ๆ แห่ง "ชีวิต..."


๒๓ กันยายน ๒๕๕๒

ตั้งแต่ตอนเย็นร่างกายของเรามันรวนเรไหมด

นัดหมอ "หมอณัฐ" (แพทย์แผนไทย) ไว้ตอนหกโมงเย็น รักษากันได้สักพักเหมือนจะดีขึ้น แต่ตอนนี้แย่ลงอีกแล้ว

หมอบอกว่า "ความดันสูง" ไอ้เราเนี่ยนะความดันสูง ตอนอยู่เชียงใหม่ก่อนมาที่นี่เรา "ความดันต่ำ" คือ อยู่ประมาณ 90,60 ประมาณนี้

เพียงแค่สี่เดือนเองเหรอทำให้ร่างกายของเราเปลี่ยนไปขนาดนี้

ต้องยอมรับว่ามาอยู่ที่นี่สิ่งแวดล้อมทำให้ "เครียด" จริง ๆ

มาอยู่ที่นี่อะไรต่ออะไรมันก็ "วุ่นวาย" ใจไปหมด

แล้วหมอก็หาสาเหตุไปอีกว่า ลมในท้องของเราเยอะมาก ถึงว่า ท้องเราแน่นไปหมด

เส้นคอก็ตึง โดยเฉพาะเส้นเลือดตรงขมับซ้าย "พอง" มาก เราเอามืดจับดูถึงกับตกใจ มัน "บวม" ที่เดียวเชียวแหละ

เมื่อตะกี๊กลับมานอนได้สักพักหนึ่ง นอนแล้วก็ไม่หาย ไม่นงไม่นอนมันและ ลุกขึ้นมานั่งทำงานดีกว่า

นอนตายไม่แปลก ถ้าทำงานแล้วตายก็ค่อยมีคำตอบไปให้ "ยมบาล" หน่อย

ตอนเดินกลับมาจากที่หาหมอ ใจก็นึกอยู่ว่าอาการแบบนี้คงจะไม่ถึงตาย คงจะเป็นแค่อัมพฤกษ์ หรือไม่ก็อัมพาต

นึกอย่างไรไม่รู้ตอนเดินกลับมา นึกขึ้นว่าถ้าหากเส้นเลือดในสมองของซ้ายนี้แตก ถ้าไม่ถึงตายก็คงจะต้อง "นั่งกินนอนกิน"

ตอนเดินกลับมาที่คิดอย่างนั้นเพราะเรายังเดินได้

เรามาอยู่ที่นี่เจ็บป่วยก็ไม่เคยบอกใคร เจ็บป่วยก็เดินไปหาข้าว หายากินเอง

ถ้าเราเดินไม่ได้อย่างนี้ แล้วเราจะมาสนใจใยดีเราเล่า

ชีวิตเกิดมาก็ต้องพึ่งตัวเองอย่างนี้

เฮ้อ... มึนหัวจัง ปวดร้าวหัวทางด้านซ้ายมาก ๆ ตั้งแต่หางตาซ้ายเรื่องไปจนถึงกระโหลก

มึนหัวยังไม่พอ คลื่นไส้อีกต่างหาก เฮ้อ เวลาความตายมันมารุมเร้ามันก็เป็นเช่นนี้

อะไรก็ไม่รู้ร่างกายนี้ "วุ่นวาย" ไปหมด

สงสัยจะต้องลองไปพักอีกเดี๋ยว ดูซิว่ามันจะดีขึ้นไหม

หรือว่าจะเป็นการนอนอย่างมีชีวิตครั้งสุดท้ายก็ได้ ใครจะไปรู้...!


๒๔ กันยายน ๒๕๕๒

เช้านี้ เราตื่นมาพร้อมกับ "ชีวิต" ชีวิตที่ยังมีลมหายใจ

หัวเลี้ยว หัวต่อของชีวิตที่แขวนอยู่บน "เส้นด้ายเปื่อย ๆ" เรายังมี "โอกาส" รอดมาแล้วครั้งหนึ่ง

ในเวลาที่เส้นเลือดในสมองด้านซ้าย "พอง" ขนาดนั้น เราแทบไม่สามารถทำอะไรได้กับ "ร่างกาย" นี้

เราทำได้เพียง "หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย" เลิกนอนตะแคงซ้าย แล้วนอนตะแคง "ขวา"

ไม่ให้ร่างกายนี้กดทับการไหลเวียนของ "ธาตุน้ำ(โลหิต)" โดยการไม่กดทับตั้งแต่ศรีษะ กกหู ต้นคอ บ่า และหัวไหล่ รวมทั้งเปิดทางเดินของ "ธาตุลม" ทั่วร่างกายให้เดินได้อย่างสบายด้วย "ลมหายใจ"

พร้อมกันนี้ "แก๊ส" ภายในกระเพาะอาหารที่ตีขึ้นมาจนแน่นไปหมดนั้น เราได้รับเมตตาทางกัลยาณมิตรท่านหนึ่งส่ง "ยาอาก๋ง" มาไว้ประจำกาย เราได้ทานเข้าไป 3 เม็ด ท้องที่แน่น ๆ ด้วยลมที่อัดอั้นอยู่จึงได้ "โล่ง"

อะไรต่ออะไรในชีวิตนี้มันดู "สบาย" เมื่อช่วงเวลา "สุดท้าย" ของชีวิต

การงานที่ทำอยู่ได้แค่ไหนก็ต้องปล่อยและ "วาง" ไว้แค่นั้น

ห่วงต่าง ๆ ในชีวิตนั้นน่ะหรือ ห่วงไปก็ "ไลฟ์บอย" ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ความประมาท พลั้งเผลอของครั้งก่อน วันก่อนที่เคยมักพูดว่า เอาไว้ทำ "พรุ่งนี้" ก็ได้ แต่เมื่อความตายเข้ามาเยือนพรุ่งนี้นั้น "ไม่มี" อีกแล้ว...

เช้านี้เรายังได้รับ "โอกาส" มี "ชีวิต" ชีวิตที่อยู่เพื่อทำความดีอย่าง "ไม่รีรอ..."

ร่างกายนี้มีอยู่เพื่อทำความดี จิตใจนี้ทรงอยู่เพื่อคุ้มครองรักษา

จิตเอ๋ย ใจนี้ ล้วนนำพา กุศลกรรมนั้นหนา ยากายใจ... 

หมายเลขบันทึก: 300286เขียนเมื่อ 24 กันยายน 2009 07:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2014 12:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

๒๓ กันยายน ๒๕๕๒ (๒๒.๐๐ น.)

ในช่วงจังหวะเวลาที่ "ธาตุลม" ในส่วนของ "ท้อง" ตีขึ้นหนุนกระบังลมจนเบียดบังพื้นที่ของปอดและหัวใจ

ผนวกกับทางเดินของ "ธาตุน้ำ" ตั้งแต่ขมับซ้ายเรื่อยลงมาถึง "บ่า" และ "หัวใจ" ที่เดินไม่ค่อยสะดวกนั้น มันตีกันดัง "ตุ้บ ๆ"

อีกฝากหนึ่งจะขึ้นก็ขึ้นไม่ได้ มัน "แน่น" ไปหมด

อีกฝากหนึ่งจะลงก็ลงไม่ได้ มัน "แคบ" ไปหมด

เมื่อสองฝ่ายแย่งกันเพื่อที่จะมารวมกัน ณ หัวใจนั้น จะต้องไม่เพิ่มแรงกดดันทางจิตใจ

เมื่อคืนถ้าหากเราเครียด "ไม่ท้องแตก" ก็ "เส้นเลือดแตก" ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้มากกับร่างกาย เพราะเราไม่มี "ยา" อะไรมากมายที่จะไปขยาย "หลอดเลือด"

ตอนนั้นเราทำได้แต่เพียง ไม่เพิ่ม "แรงดันเลือด" ด้วยความเครียด

ทำจิตใจให้สบาย หายใจเข้าออกให้สบาย แล้วให้ร่างกาย "ดิ้นรน" รักษาตัวเอง

เราพยายามไม่เพิ่ม "อารมณ์" เข้ามาใน "ระบบ" ร่างกาย

เพราะแค่ตอนนั้นที่ร่างกายรับอยู่ก็ "หนัก" อย่างเต็มที่แล้ว

"ธรรมะโอสถ" ที่แท้คือ ความเข้าใจว่า "อะไรคืออะไร...?"

ปัญหาของคนเราทั้งหลายในปัจจุบันนี้ คือ การไม่เข้าใจว่าอะไรนั้นคืออะไร...!

การเข้าใจ "สัจธรรม" ของชีวิตคือการที่จะสามารถเข้าใจอะไรต่ออะไร...

สภาวะ "เฉียด" ความตาย จะทำให้เราเข้าใจอะไรต่ออะไรขึ้นอีกมาก...

ความนิ่งของ "สภาวะแห่งจิต" ที่สามารถควบคุมทั้งกายทั้งจิตนี้จะช่วยให้มี "ชีวิต" รอด ณ เวลาคับ "ขันธ์..."

รอดเพื่อทุกข์ ทุกข์ต่อ

ทุกข์แล้วก็ขอให้ทุกข์บน "ความดี"

ทำความดีเพื่อขอบคุณร่างกายนี้ ที่ให้โอกาสเราได้อยู่ต่อเพื่อ "ทำความดีและเสียสละ..."

ก้อนที่เต็มตัว...ส่งความปวด

อะไรก็ไม่ปวดเท่ากับความกลัวตาย...

ตาลีตาลาน กราบกรานขอความเมตตาจากครูบาอาจารย์...ทุกข์ใดก็ไม่แสนสาหัสเท่าทุกข์ที่จะต้องไปจริงๆ แล้วเหรอนี่..ไปจริงๆ แล้วเหรอนี่ สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ทำ สิ่งนี้ก็ยังไม่ได้

ครูเมตตา...นำทาง

ให้กลับมาที่ตัวเอง หากจะต้องไป ก็ไปดั่งความอาจหาย...

อย่าไปด้วยความกลัว...น้อมกับมาแห่งกายนี้ แท้จริงแล้วกายนี้ไม่ได้ป่วย กายนี้ไม่ได้เจ็บ หายแต่ใจเรานี่ต่างหากที่ป่วย ป่วยด้วยอาการว่ากายป่วย ป่วยด้วยใจกลัว...ป่วยด้วยความไม่อยากป่วย

สภาวะทุกอย่างปั่นป่วย จิตดั่งบ้าคลั่งเหมือนพายุถาโถมเข้ามา

ความปวดแห่งกายไม่เท่าความปวดแห่งใจ...

ความไร้สติของเราเองนำพาเราไปสู่ความป่วยนี้

น้ำพระธรรมแห่งร่มเย็นรดลงมา...แห่งใจที่ร้อนรุ่มนี้

ทำให้ความทุรนทุราย...นั่นน่ะเบาบางลง นั่งลงประสานตนกับใจให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมตาย ตายเป็นตาย...ขออย่าได้ตายด้วยความหวาดกลัว...

ภาวนาไป...นี่เหรอ ธรรมโอสถ...นี่เหรอธรรมโอสถ

ได้ผลจริงๆ เหรอ...ข้อกังขาเกิดขึ้น ความประเดประดังนำมาอีกระลอกสอง...โอ ชีวิตเท่านี้เองเหรอ สั้นเพียงเท่านี้เองเหรอ แล้วเรามาทำโง่อะไรอยู่ในโลกนี้ ...มาทำโง่อะไร

กลับมาอีกครั้ง...ผ่านการนำพาของครู

งานนี้รู้เลยว่าไม่มีใครช่วยใคร ใครที่ว่ารักเราอย่างมากมาย...ก็ไม่สามารถมายืนอยู่กลางใจเราได้ นอกจากพระธรรมนี้ พระธรรมแห่งความเป็นไปตามธรรมชาติ

เราเท่านั้นที่เป็นดั่งผู้นำพาตนเอง...

เราเท่านั้น...

กายนี้ไม่มี กายนี้ไม่ใช่ ... หากจะไปก็พึงไปอย่างพร้อมรับ หากจะอยู่ก็พึงอยู่อย่างนอบน้อมในบุญคุณกายนี้ที่ได้อิงอาศัยให้ได้เรียนรู้ ความเป็นไปของธรรมชาติ...

เท่านั้นเอง...ชีวิตก็เท่านั้น...

และแล้ว...แสงสว่างแห่งวันใหม่..ก็ปรากฏ

ณ ราตรีแห่งความมือสลับกับความสว่างในดวงใจ...ก็ได้นำพาให้ยังต้องเรียนรู้อยู่ต่ออีก

ทุกๆ แสงแห่ง...จันทราและดวงตะวันที่ผลัดกันหน้าที่

ได้แต่น้อมใจลง...กราบธรรมชาติที่นำทางให้เห็นความเป็นไป...

เช้านี้...ก็ยังคงต้องอยู่ อยู่เพื่อก้าวเดินเรียนรู้ต่อไป

วันนี้ร่างกายไม่ป่วย แต่ "ล้า" มาก

วันนี้ต้องลงสู้ทำงาน "หิน ๆ" ท่ามกลางแดดตลอดทั้งวัน

ไอ้เรามันก็ไม่ใช่ "ช่างหิน" แต่เราดันไล่ช่างหินออกไป เราถึงต้องลงมือ ลงใจมาทำเอง

แต่ก็สบายไปใจอย่างหนึ่ง เพราะถึงแม้นเราจะสบาย (เมื่อก่อน) แต่เราไม่สบายใจเลยที่เขาหวังมาเอาเงิน เอาทองมากมายขนาดนี้

ทำเองก็ได้... ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก มันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว คงไม่ยากเกิน "คน" ไปล่ะมั๊ง

นั่งคุมงานมาหลายเดือนและ สองสัปดาห์ที่ผ่านมาและอีกหลายสัปดาห์ที่จะผ่านเข้ามาจะต้องลงมือทำเองและ

สวยไม่สวยอย่างไง "ผี" ก็ว่าสวยเน๊อะ...

เมรุฯ หลังนี้ต้องทำงานให้ตรงหลัก ตรงที่ "เห็นแล้วอยากตาย..."

ต้องให้คนที่เห็นแล้วค่อยอยากตายหน่อย

เมรุฯที่เชียงใหม่หลังก่อน ตอนที่มีคนมาเยอะ ๆ เขาก็ยังมานอนกางเต๊นท์ข้าง ๆ เมรุฯ กันได้

ค่อยถือว่าประสบความสำเร็จหน่อย

มีไม่มีหลังหรอกเน๊อะ เมรุฯ ที่ใครจะมีไว้ "นอนเล่น..."

อากาศแถวนี้แปรปรวนเหลือเกิน ตอนกลางวัน "ร้อน" น่าดู ตอนเย็น ๆ ฝนก็ตกหนัก บางทีพายุก็เข้า

เฮ้อ... เรามาอยู่ที่นี่สี่เดือนแล้วเหรอนี่

ไม่น่าเชื่อเลย ที่นี่เราไม่อยากมาอยู่ แต่ก็ต้องมาอยู่เพราะ "หน้าที่"

มีหน้าที่ทำความดีก็ทำไปเน๊อะ

ทำไปทำไป เพราะไม่รู้ความตายจะเข้ามาเยี่ยมเยือนเราเมื่อไหร่...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท