“การให้” ทำให้เรามีความสุขมากกว่า “การรับ” และเมื่อให้แล้วต้องรู้สึกขอบคุณผู้รับ ที่เขาได้ทำให้เราได้มีโอกาสเป็น “ผู้ให้” อีกด้วย…
จากบันทึกเรื่อง ให้ ซึ่งได้โพสต์ ข้อความที่คุณ Phornphon นำมาฝาก ดังนี้
เธอนั้นจะเป็นอิสระแท้จริงเมื่อเธอ...ให้
และขณะที่กำลังให้ เธอจงหันหน้าไปทางอื่นเสีย
เพื่อว่าจะได้ไม่เห็น...ความอายของผู้รับ
คาริล ยิบราน…Sand and Foam
*********************************************
น้องสุดสายป่าน ได้เข้ามาคอมเม้นท์และถามเกี่ยวกับการเป็นผู้รับและผู้ให้ว่า...
11. สุดสายป่าน
เมื่อ ส. 29 ส.ค. 2552 @ 12:42
1514604 [ลบ] [แจ้งลบ]
ทำไมล่ะค่ะพี่คนไม่มีราก
กอไม่เข้าใจเลย ทำไมต้องหันหน้าไปทางอื่น
เพราะจะได้ไม่เห็นความอายของผู้รับ ทำไมล่ะค่ะ เวลาใครให้อะไรกอ
ก็เค้าซื้อมาให้ กอก็รับไว้ แล้วทำไมต้องอายด้วยล่ะค่ะ
กอไม่เคยอายเลยค่ะ เอ๊ะ จริง ๆ มันต้องอายมั้ยค่ะ
พี่คนไม่มีรากมาตอบด้วยน่ะค่ะ กอสงสัยค่ะ เดี๋ยวนอนไม่หลับค่ะ อิอิ
จากคอมเม้นท์นี้ ทำให้คนไม่มีรากคิดไปถึงประสบการณ์ การให้และการรับ ที่ได้เรียนรู้มาจาก...เตี่ยและแม่
ขอบคุณภาพงดงามจากกัลยาณมิตรค่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว คนไม่มีรากเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะได้เป็น “ผู้ให้” มากกว่าเป็น “ผู้รับ” เพราะการเป็นผู้ให้หมายถึงเรามีศักยภาพและความสามารถในการพึ่งตนเองและยังเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นได้ ในขณะที่ “ผู้รับ” นั้นจำต้องยอมรับการเป็นผู้รับ เพราะมีเหตุปัจจัยบางอย่าง และแน่นอนว่าหากเขาเป็นผู้มีสามัญสำนึกที่ปกติ เขาย่อมต้องรู้สึกขอบคุณและรู้สึก “เป็นหนี้” กับผู้ให้ไม่มากก็น้อย
คนไม่มีรากได้ยินแม่เล่าว่าครอบครัวของเราชอบเลี้ยงและดูแลคนเป็นโรคเรื้อน (คนไม่มีรากเกิดไม่ทัน) ในยุคนั้น คนที่เคยเป็นโรคเรื้อนมักจะต้องหาที่อยู่อาศัยซึ่งลับตา เพราะหลังจากโรคร้ายหายแล้วจะทิ้ง “รอยโรค” ไว้ด้วย เขาจึงอายที่จะปรากฏตัวต่อสาธารณะ
พี่ ๆ มีหน้าที่ต้องหิ้วปิ่นโตไปสวนหลังบ้าน ซึ่งมีบ้านเล็ก ๆ อยู่ 2-3 หลัง เป็นที่อยู่ของคนที่มายู่อาศัยกับเรา พี่บอกว่านอกจากคนที่เคยเป็นเคยโรคเรื้อนแล้ว ยังมีคนที่ไม่มีที่พักอาศัยแวะเวียนมาขอพักอยู่เสมอไม่ได้ขาด เนื่องจาก เตี่ยเป็นคนใจดี ไม่เคยปฏิเสธคนที่มาขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ตอนนั้นครอบครัวของเราก็ไม่ได้มั่งมีเงินทองอะไร โชคดีที่แม่เองก็มีความคิดเช่นเดียวกับเตี่ย ไม่เช่นนั้นคงเกิดปัญหา เพราะนอกจากลูกเล็ก ๆ หลายคน ญาติผู้ใหญ่ 3 คนที่แม่ต้องดูแลปรนนิบัติแล้ว ยังต้องคอยดูแลคนที่มาพักอาศัยกับเราด้วย
พี่ ๆ ซึ่งยังเป็นเด็กวัยรุ่น ต้องผลัดกันส่งข้าวส่งน้ำ และแน่นอนว่าก็มักจะไม่อยากทำหน้าที่นี้ แต่แม่จะปลอบและบอกว่า ให้คิดว่าเขาเป็นญาติของเรา เขาก็ช่วยตัวเองไม่ได้ รอยโรคเหล่านั้นทำให้เขาทุกข์ใจมากพอแล้ว เราควรเห็นใจและให้การดูแลเขา และด้วยความเป็นเด็กอีกนั่นแหละพี่ ๆ จะบ่นว่า เขาสบายกว่าเราอีก ไม่ต้องทำงาน วัน ๆ ก็รอให้เราเอาข้าว อาหาร ผลไม้ไปส่ง และบางครั้งยังบ่นว่าที่เด็ก ๆ ไปส่งอาหารช้าอีกด้วย...ไม่รู้ไปติดบุญคุณกันมาจากไหน
เตี่ยและแม่จะบอกเสมอว่า แม้จะไม่ได้เป็นญาติโดยสายเลือด แต่ก็เป็นญาติกันด้วยการเป็น “คน” เหมือนกัน ...
แม่อีกแหละที่ชอบพูดประโยคที่ในวัยเด็กนั้น เราไม่เข้าใจ ด้วยการบอกว่า “การให้” ทำให้เรามีความสุขมากกว่า “การรับ” และเมื่อให้แล้วต้องรู้สึกขอบคุณผู้รับ ที่เขาได้ทำให้เราได้มีโอกาสเป็น “ผู้ให้” อีกด้วย…ซึ่งในตอนนั้น คนไม่มีรากฟังแล้วคิดค้านอยู่ในใจว่า การได้รับสิทำให้เรามีความสุข ต้องแบ่งอะไรให้ใครนี่...ใครจะอยากทำกัน?
เคยสงสัยเป็นกำลังว่า เตี่ยและแม่ ซึ่งเป็นคนจีนในสังคมยุคโบราณ อ่านหนังสือไม่ได้สักตัวเดียว วัน ๆ ทำแต่งานในสวนผัก แม่ก็เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ทำกับข้าว ดูแลปรนนิบัติญาติผู้ใหญ่ของสามี และช่วยงานในสวนผัก แล้วทั้งเตี่ยและแม่ได้สั่งสม “ธรรมะ” เหล่านี้อย่างไรกัน กว่าคนไม่มีรากจะคิดได้ถึงแง่มุมที่เตี่ยและแม่สอนด้วยการกระทำนี้ ก็ผ่านไปหลายปี ...
และการประพฤติปฏิบัติเช่นนี้เอง ที่เป็นคำตอบ(ให้กับคำถามของน้องสุดสายป่าน) ว่า เพราะอะไรเราจึงต้องระแวดระวังอย่าให้คนที่เป็นผู้รับต้องรู้สึก “อาย” กับการเป็นผู้รับ
“ธรรมะ” เป็นอกาลิโก เป็นจริงเสมอในทุกยุคทุกสมัย และไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เตี่ยและแม่สอนธรรมะมากมายหลายข้อ อาทิเช่น การสอนให้เรารู้จักคำว่า“กตัญญู กตเวทิตา” ด้วยการดูแลปรนนิบัติ อากง(ปู่) และญาติผู้ใหญ่อย่างดีที่สุด ทั้งการกินอยู่ หลับนอน เคารพด้วยกาย วาจา ใจ โดยไม่มีเวลามาพร่ำบอกว่าลูกหลานควรกตัญญูกตเวทิตา แต่... “ทำให้ดู” เป็นตัวอย่างเสมอ...
เกิดความอิ่มเอิบ แจ่มกระจ่างขึ้นในใจ ใช่แล้ว...
เมื่อจะให้...ก็จงเป็น “ผู้ให้” ที่อ่อนน้อมถ่อมตนต่อการเป็นผู้ให้ และจงอ่อนไหวระแวดระวังที่จะไม่ทำให้ “ผู้รับ” รู้สึกเขินอายต่ำต้อยต่อการต้องเป็นผู้รับ...นั้นเลย
คงตอบคำถามน้องสุดสายป่านได้บ้างนะคะ
ขอบคุณค่ะ
(^__^)