วันสุดท้าย : สิ่งที่ไม่คาดคิด


          หลังจากทำวัตรเช้า แม่ชีจี๊ดก็ถามว่ามีใครจะลาศีลกลับบ้าง แม่ชีบอกว่าเวลาที่จะลาศีลได้มี 3 เวลา คือ 8 โมงเช้า, บ่ายโมง และหลังทำวัตรเย็น (ก็คือช่วงค่ำ ๆ ) เอาล่ะซิ ทำไงดี เพราะพวกเรา 3 คนตกลงกันแล้วว่าอยากอยู่ปฏิบัติธรรมต่อจนถึงเย็น อันเลยเดินไปปรึกษาแม่ชี ดีนะ ที่แม่ชีบอกว่าให้พวกเราลาศีลตอนบ่าย แต่อยู่ปฏิบัติธรรมจนถึงเย็นเลยก็ได้  โชคดีจัง จากนั้นก็แยกกันไปทำความสะอาด จนถึงเวลาที่ไปทานอาหารเช้า เมื่อทานเสร็จเรียบร้อยกำลังจะไปล้างจาน ก็เห็นพระท่านกำลังเก็บแก้วอยู่ จึงถามท่านว่าหนูขออนุญาตเก็บไปล้างให้ได้ไหมคะ ท่านก็บอกว่าได้ เมื่อถามจนแน่ใจแล้วว่าเมื่อล้างเสร็จต้องนำมาเก็บตรงนี้ ๆ เราก็รวบรวมแก้วที่ใช้แล้วไปล้าง และเก็บขวดน้ำพลาสติกใช้แล้วไปทิ้ง เมื่อทำเสร็จก็สงสัยอีก แล้วกระโถนกับกล่องทิชชู่ล่ะหว่า จะเก็บยังไง ก็เลยเดินไปถามพระท่านอีก ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวจะเพลแล้ว จัดไปเลยก็ได้ ตอนเพลจะมีพระประมาณ 13 รูป แล้วพระท่านก็สอนว่าพระ 1 รูป ต้องมีของใช้คือ กระโถนที่ครอบถุงพลาสติกแล้ว,กล่องทิชชู่,น้ำขวด และแก้วน้ำ อย่างละ 1 แต่ถ้าหากของมีจำนวนไม่เพียงพอต่อพระ ก็ให้ใช้กระโถนและกล่องทิชชู่อย่างละ 1 อันก็ได้ เรากับน้องอันและพี่ผู้ชายผู้ปฏิบัติธรรมจึงได้ช่วกันจัด สักพักพระรูปนั้นก็เดินกลับมาดูว่าจัดถูกไหม และให้คำแนะนำเพิ่มเติม (ดีจัง ได้ความรู้ด้วย) หลังจากนั้นก็ขึ้นไปปฏิบัติธรรมกันต่อ

 

          ก่อนจะถึงช่วงเพล เราก็เดินไปเข้าห้องน้ำ ก็พบว่าห้องที่เราคิดว่าจะล้าง แต่เมื่อวานมันเปิดไม่ได้ วันนี้เปิดใช้ได้แล้ว ก็เลยเข้าไป แต่พอตอนเปิดประตูออกมานี่ซิคะ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่นิ้วกลางข้างขวาของเรา เมื่อยกขึ้นมาดูพบว่ามีรอยขีดยาวประมาณหนึ่งเซนครึ่งได้ เราก็มองไปที่ลูกบิดประตู ปรากฏว่าลูกบิดมันชำรุดและเหมือนเป็นเส้นแตกง้างอยู่ที่ประตู (อธิบายไม่ถูกเหมือนกันค่ะ) นั่นแหละตัวการที่บาดนิ้วเรา จริง ๆ แผลไม่ลึกแต่เลือดหยดติ๋ง ๆ จะไปเอาพลาสเตอร์ยามาแปะก็ไม่ทัน พระท่านลงศาลาแล้วด้วย ก็เลยเอาทิชชู่มาห่อนิ้วไว้ก่อน ก็ยังคิดในแง่ดีนะคะ ว่า แหม กลัวเค้าจะลืมล้างห้องให้ล่ะซิตัวเอง ถึงได้มาเตือนกัน ยังไง เดี๋ยวจะมาล้างแน่ก่อนกลับ คือ แอร์เป็นคนคิดอะไรในแง่ดีไงคะ ก็เลยคิดตลก ๆ แบบเนี้ย แล้วก็ขึ้นศาลายาวเพื่อทานเพล 

 

วันนี้ญาติโยมมาถวายเพลกันเยอะเหมือนเดิม เพื่อนผู้หญิงของเราอีก 2 คนก็พาครอบครัวมาถวายเพลด้วย เพราะเราเคยบอกเพื่อนไว้ว้า แม้จะไม่ได้มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน อย่างน้อยได้มีช่วงเวลาทำบุญร่วมกันก็ยังดี อาหารที่เพื่อนนำมาถวายนี้ นอกจากพระ- ผู้ปฏิบัติธรรม (เช่นเรา) และญาติโยมท่านอื่นก็จะได้ทานด้วย เมื่อทานอาหารเสร็จเราก็ช่วยพระท่านล้างแก้วเหมือนเดิมแล้วก็ลงมาคุยกับเพื่อน ๆ  คุยกันได้สักครู่  เพื่อน ๆ ก็ขอตัวกลับ ก็เดินมาคุยกับอันและปรีชาต่อ ปรีชาถามว่านิ้วไปโดนอะไรมา ก็เล่าให้ฟัง อยู่ ๆ เค้าก็พูดขึ้นมาว่า แอร์น่ะ หมดกรรมแล้ว อื๋อ ! อะไรหว่า หมดกรรมอะไรเหรอ เค้าก็บอกว่า นี่ไง รอยแมวข่วน แอร์หมดกรรมแล้วล่ะ นึกในใจว่าคิดได้ไงนะนี่ แต่ก็เออ เค้าคงปลอบใจเรา ก็เลยไม่ได้ว่าอะไร

 

          ช่วงบ่าย หลังจากที่ลาศีลกับพระอาจารย์สุชาติแล้ว พวกเราแต่ละคนก็พูดถึงสภาวธรรมของตัวเองให้พระอาจารย์ฟังเพื่อแก้ไขให้ เมื่อถึงตาเราบ้าง เราก็เรียนท่านไปว่า หนูรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเพิ่งเคยฝึกแบบนี้ แล้วไหนจะกังวลเรื่องเวลาอีก ว่าเมื่อไหร่จะครบตามกำหนดเวลาสักทีน๊า หนูก็เลยตั้งนาฬิกาจับเวลา 20 นาทีเอาไว้ซะเลย จะได้ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องคอยพะวง มันก็ดีเหมือนกันนะคะ พระอาจารย์บอกว่า โยมน่ะตั้งใจมากเกินไป ความตั้งใจน่ะดีแต่ถ้าไม่ผ่อนบ้างก็จะตึงเกินไป ก็ตอบท่านไปว่า ก็คงจะจริงนะคะ อย่างเมื่อคืนหนูตั้งใจว่าจะเดินจงกรมและนั่งสมาธิให้พ่อกับแม่ อย่างละ 3 รอบ แต่พอทำไปได้แค่ 2 รอบก็หมดเวลาปฏิบัติ เมื่อคิดจะทำต่อให้ครบ เมื่อหันมาอีกที เพื่อน ๆ ผู้ปฏิบัติธรรมก็หายไปกันหมดแล้ว เหลือหนูคนเดียว แต่เมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำให้พ่อกับแม่ ก็เลยอยู่ทำต่อจนครบแม้ว่าหนูจะกลัว ท่านก็ยิ้ม ๆ แล้วก็ตอบว่า อย่างนี้ก็ดี คือทำได้ตามสัจจะที่ตั้งใจไว้ แล้วปกติโยมนั่งสมาธิได้นานเท่าไหร่ล่ะ ก็บอกว่า นั่งได้ 30 นาทีค่ะ ท่านก็บอกว่า น้อยเกินไป โยมลองนั่งสักหนึ่งชั่วโมงดูซิ แล้วโยมจะรู้ว่าช่วงเวลาแรกมันจะปวดขามาก (อ้าว จะดีไหมเนี่ย) แต่พอผ่านครึ่งแรกไปได้ ครึ่งหลังมันจะเบาขึ้นกว่าเดิม แล้วเราจะมีสติมากขึ้น (อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง) เมื่อพระอาจารย์ว่าอย่างนั้น เราจึงขอตัวไปปฏิบัติต่อ เอ้า ! 1 ชั่วโมง ลองดู ถ้าทำได้นะ จะอุทิศบุญกุศลให้พ่อกับแม่หมดเลย ปกติเราจะสวดมนต์แล้วเดินจงกรมก่อน แต่ครั้งนี้เราสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิเลย พองหนอ ยุบหนอ ๆๆๆ   เอาแล้ว มาแล้ว ความปวดความเมื่อยเค้าเริ่มมาแล้ว ไม่สนใจ พองหนอ ยุบหนอ ๆๆ เอาล่ะซิ มันถาโถมมาแล้วอ่ะ ปวดไปจนถึง นิ้วเท้าโป้ง,ชี้,กลาง,นาง,ก้อย เลยอ่ะ คิดถึงหน้าพ่อ หน้าแม่เข้าไว้ ขยับตัวสักนิด ขยับมือสักหน่อย เดี๋ยวมันก็คงผ่านไป  แล้วนาฬิกาก็ตีดังครบครึ่งชั่วโมง ความเจ็บหายไป เหน็บชาเข้ามาแทนที่  อู๊ย อูย แต่ก็ยังดีที่มันไม่ปวด แค่ขาเป็นท่อนไม้ไปแล้วแค่นั้นเอง   OK งั้นพอทนได้ ภาวนาใหม่ พองหนอ ยุบหนอ ๆๆ จนกระทั่งทำได้ครบ 1 ชั่วโมง เย้ !! ถ้าเราจะทำจริง ๆ เราก็ทำได้นี่นา ตะกี๊จิตมันวอกแวกไปข้างนอก แล้วมันก็คิดไปถึงความปวดอีก แต่มันก็พอทนได้นะ เวลาก็ยังเหลือ งั้นเราลองทำอีกครึ่งชั่วโมงดูซิ มันจะทำได้ไหม ไหน ๆ ก็ทำให้แม่ให้พ่ออยู่แล้วนี่นา ก็คิดว่า ถ้าเรายิ่งทำพ่อแม่ต้องยิ่งได้แน่เลย เลยทำต่อ เอ้า ! พองหนอ ยุบหนอ ๆๆ ทำไปสักพัก เค้ามาอีกแล้ว ความเมื่อยที่ขาและเข่าเค้ามากันอีกแล้ว เป็นเหน็บชาอย่างตะกี๊ยังดีซะกว่า เฮ้อ เวทนาหนอเวทนา ... มาแล้วก็ไป ไปแล้วก็มา........

 

          ในที่สุดเราก็นั่งสมาธิได้ครบ 1 ชั่วโมงครึ่ง ไม่อยากเชื่อเลย นั่งสมาธิอย่างเดียว ไม่ได้เดินจงกรมนะ ได้ตั้งชั่วโมงครึ่ง (แถมไม่ปวดฉี่เลยนี่ซิ แปลก !) แล้วเราก็แผ่เมตตาและอุทิศบุญกุศลให้แม่กับพ่อ เมื่อจะลุกขึ้นเดินออกไปพักบ้าง ก็หมดเวลาปฏิบัติพอดี พระอาจารย์ก็นำสวดแผ่เมตตา เราก็เลยสวดตามใหม่อีกรอบ จนกระทั่งถึงบทอุทิศบุญกุศล ที่ขึ้นต้นว่า อิทังเม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร - ซึ่งเป็นการกล่าวอุทิศบุญกุศลให้พ่อแม่มีความสุข เราก็สวดตามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงประโยคสุดท้าย อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา ในขณะที่เรากำลังจะสวดบทแปลประโยคสุดท้ายที่อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข  อยู่ดี ๆ ก็มีภาพ ๆ นึงแวบขึ้นมา เป็นภาพเราเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว คือตัวเราเองตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วพบว่าเรานอนทับลูกแมวตาย !!! ภาพนั้นผ่านเข้ามาเร็วมาก ๆ เร็วจนกระทั่งเราไม่ทันตั้งตัว และลืมคำพูดของหลวงพ่อ

วีระนนท์ที่บอกว่า ถ้าทำไว้น้อย เค้าก็อาจจะแค่มาให้เห็น อโหสิกรรมแล้วก็จบกันไป เราจึงไม่ทันขออโหสิกรรม แล้วภาพนั้นก็หายไปตอนจบประโยคอุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์พอดี พอเราตั้งตัวได้ก็ย้อนกลับไปคิดถึงภาพ ๆ นั้น เราจำได้แล้วว่าตอนนั้นเราอายุประมาณ 15-16 ปี ที่บ้านมีลูกแมวเพิ่งคลอดได้ไม่กี่วัน ขนยังขึ้นไม่เท่าไหร่ ด้วยความหวังดี กลัวมันหนาว ตอนกลางคืนเราเลยเอามันมานอนด้วย ก็หลับไปด้วยกัน จนตื่นมาอีกที ถึงได้รู้ว่าตัวเองทับลูกแมวตายค่ะ !! ตอนนั้นจำได้ว่าเสียใจมาก เพราะปกติเป็นคนที่รักแมว แล้วอยู่ดี ๆ ภาพนี้โผล่ขึ้นมาได้อย่างไร เพราะมันผ่านมาจะยี่สิบปีแล้ว นานจนเราลืมสนิทไปแล้วจริง ๆ พอถึงตรงนี้น้ำตามันพาลจะไหลออกมา เราไปทำเค้าไว้จริง ๆ เค้าเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็ก ๆ โดนเราทับขนาดนั้นมันคงทรมานมาก แล้วมันก็ไม่มีเลือดหรืออะไรทะลักออกมาเลยนะคะ เข้าใจว่าคงเลือดคั่งตาย นั่งนิ่งอยู่สักครู่ เพื่อน ๆ ผู้ปฏิบัติธรรมก็เริ่มทยอยออกจากศาลา แต่เราอยู่กราบพระอาจารย์ปุนก่อน และเรียนท่านว่า ขอบพระคุณพระอาจารย์มากที่ให้คำสั่งสอนและชี้แนะ ตอนนี้ตัวเองรู้แล้วว่าสติปัฎฐาน 4 คืออะไร

          พระอาจารย์ปุนก็บอกว่าดีแล้ว เมื่อโยมกลับไปหมั่นฝึกฝน โยมก็จะมีสติมากขึ้น ทั้งก่อนพูด ก่อนทำ เราจะมีสติรู้ตัวมากขึ้น แล้วท่านก็ให้พร จากนั้นเราจึงรีบเดินไปหาหลวงพ่อวีระนนท์ด้วยความรีบ เราจึงกะว่าเราจะไปพบท่านคนเดียวก่อน เดี๋ยวค่อยพาเพื่อนมา เพราะตอนนั้นก็ไม่รู้อันกับปรีชาอยู่ไหน เกรงว่ามัวแต่หากัน กลับมาเดี๋ยวท่านจะไม่อยู่ เมื่อเดินไปถึงกุฏิก็บอกน้องบอมบ์ลูกศิษย์ท่านก่อนว่าจะมาหลวงพ่อกลับบ้านนะ น้องบอมบ์ก็ให้เข้าไป เมื่อเข้าไปด้านใน มีญาติโยมอยู่กันเยอะมาก เมื่อมีโอกาสจึงเรียนท่านว่า หลวงพ่อคะ ที่หลวงพ่อบอกหนูเห็นแล้วนะคะ หนูรู้แล้วว่าเคยไปทำอะไรไว้ หลวงพ่อพยักหน้าแล้วบอกว่าดีแล้วให้ปฏิบัติต่อไป จึงถามท่านว่า หนูจะขอมาวันเสาร์อาทิตย์ได้ไหมคะ ท่านก็ยิ้ม แล้วบอกว่าได้ ปฏิบัติต่อไปจะเห็นชัดยิ่งกว่านี้ แล้วเราก็ลากลับ เราไม่ได้บอกหลวงพ่อนะคะ ว่าเราเห็นอะไร เราไม่ได้พูดรายละเอียด เพราะสิ่งที่เราเห็นมันก็เป็นจริงอยู่แล้ว เรารู้อยู่แก่ใจ นี่เราเพิ่งปฏิบัติได้สองวัน เรายังเห็นกรรมของตัวเองเลย แล้วที่หลวงพ่อเห็นล่ะจะขนาดไหน แค่เห็นสีหน้าท่านวันนี้เราก็ใจชื้นขึ้นมากแล้ว เมื่อวานท่านพูดแบบดุมาก คล้าย ๆ ทำนองว่าจะแก้กรรมได้ก็ต้องอยู่ปฏิบัติหลายวัน ไม่งั้นก็แก้กรรมไม่ได้ แต่วันนี้ท่านให้มาเสาร์อาทิตย์ได้ ก็ยังดี (มันอาจจะแก้ไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยขอให้เราได้มีโอกาสชำระล้างความผิดบ้าง ทีละนิด ๆ ก็ยังดี ดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย) จากนั้นจึงเดินไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังและพาเพื่อน ๆ มาลาพระอาจารย์กลับ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกแมวตัวนั้นอโหสิกรรมให้เราหรือเปล่า หรือเพียงแต่แค่จะมาเตือนว่าเราเคยทำอย่างนี้ไว้นะ เพราะไม่งั้นชาตินี้เราก็นึกไม่ออก ตอนนั้นเราไม่ทันขออโหสิกรรมเค้า และมันก็จบบทอุทิศบุญกุศลให้สรรพสัตว์พอดี แต่เพื่อไม่ให้เสียหลาย เราจึงยกมือตั้งจิตอธิษฐานขอขมากรรมเค้าอีกทีนึงค่ะ

 

          เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ลองถามแฟนดูว่าแอร์เคยเล่าให้ฟังไหม ว่าแอร์เคยนอนทับลูกแมวตาย แฟนก็บอกว่าใช่ เคยเล่าให้ฟัง และยังบอกว่าตอนนั้นแอร์น่าจะอยู่ประมาณสัก ปวช-ปวส.ได้

แต่แอร์มาเล่าให้เค้าฟัง เมื่อเราคบกันแล้วตอนเรียนมหาวิทยาลัย เห็นไหม แอร์ทำจริง ๆ ด้วย จากนั้นก็รีบโทรเล่าให้คุณแพรฟัง และก็บอกว่านี่แค่แมวยังขนาดนี้ แล้วที่ไปทำวัวไว้นี่จะขนาดไหน คุณแพรก็เลยแนะนำว่า งั้นในช่วงระหว่างนี้ก็ให้ทำบุญด้วยการไถ่ชีวิตโค กระบือ แล้วก็ให้เลิกกินเนื้อวัว ด้วย เออ ใช่ ! เรากินเนื้อวัวนี่นา งั้นก็คงถึงเวลาที่เราจะเลิกกินได้แล้วล่ะ

 

 

หมายเลขบันทึก: 290041เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2009 16:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 เมษายน 2012 15:54 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขออนุโมทนาด้วยนะคะ

เคยไปนั่งสมาธิเหมือนกันค่ะ จะนั่งจนขาชา เมื่อนั่งจนครบกำหนด พระอาจารย์จะให้ทำฤาษีดัดตน เลือดลมจะวิ่งเข้ามา ทำให้ขาหายชา และถ้าปฏิบัติได้ครบ เราจะรู้สึกปิติมากๆค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

ไม่ทราบว่าพอจะอธิบายท่าฤาษีดัดตนให้ทราบบ้างได้ไหมคะ แอร์และเพื่อนเพิ่งเริ่มหัดนั่งสมาธิกันได้ไม่นาน เผื่อจะนำไปใช้บ้างค่ะ

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป

รู้ ให้รู้ แล้ววางนะคะ

วางให้ได้นะคะ แล้วมารู้ใหม่ค่ะ

เจริญภาวนา เจริญสติไว้

แล้วจะมีคำตอบดีๆเองค่ะ

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะคุณแอร์

แพร

สวัสดีค่ะ

มาอ่านประสบการณ์ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท