คืนที่ 1 : เริ่มเรียนรู้ พองหนอ - ยุบหนอ


         กว่าพวกเราจะมาถึงวัดก็เย็นแล้ว เมื่อมองเข้าไปที่ศาลาปฏิบัติธรรมเค้าก็เริ่มกันไปแล้ว ไม่เห็นเจ้าหน้าที่อยู่ด้านหน้าประตูเลย (ก็เรามาช้ากันเองนี่นา) พวกเราจึงเดินไปรอบ ๆ ก็ไปเจอกับพี่ยา จึงแนะนำตัวว่าพวกเราจะมาปฏิบัติธรรมค่ะ พี่ยาใจดีมาก บอกให้เอากระเป๋าไปไว้ที่เรือนรวม (สำหรับผู้หญิง) อยู่ใต้ถุนศาลาปฏิบัติธรรมก่อน เพราะไม่มีกุฏิว่างแล้ว และให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ถ้าใครยังไม่ได้ทานข้าว ก็ให้มาทานข้าวที่โรงครัวได้ (เพราะยังไม่ได้รับศีล 8 ถ้ารับศีลแล้วจะทานข้าวหลังเที่ยงไม่ได้) มีข้าวกับน้ำพริก เราสองสาวจึงรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาว แต่น้องอันขอไปโซ้ยข้าวก่อน เดี๋ยวจะตามมา ก็ไม่ว่ากัน ส่วนแอร์ไม่ทาน เพราะเห็นว่าวันที่ 14 สิงหาคม  2552 เป็นวันพระอยู่แล้ว จึงตั้งใจถือศีล 8 มาตั้งแต่บ้านเลย และตั้งใจว่าจะทำให้ครบ 3 วัน จนถึงเย็นวันอาทิตย์ด้วย จึงไม่ได้ไปทาน ก็มารอที่ศาลาปฏิบัติธรรมเลย ตอนนั้น นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นอีกประมาณ 7-8 คน ส่วนใหญ่ก็คือคนที่ไม่สะดวกจะลางานมาหลาย ๆ วัน หรือลามาวันธรรมดาไม่ได้ จึงต้องมาในเย็นวันศุกร์กลับวันอาทิตย์ (ค่อยยังชั่วหน่อย ที่มีเพื่อน) เมื่อมากันครบแล้ว พระอาจารย์ปุนก็ได้ให้ศีล 8 กับพวกเรา (อ้อ !   ขอบอกนิดนึงว่า ต้องมีดอกไม้ หรือ พวงมาลัยมาสมาทานศีลด้วยนะคะ แต่ธูปกับเทียนเอาของที่วัดก็ได้ค่ะ) แล้วพระอาจารย์ก็ถามว่าใครเคยมาฝึก หรือมีพื้นฐานแล้วบ้าง มีผู้หญิง 2-3 คนยกมือ ท่านเลยให้เข้าไปปฏิบัติธรรมด้านในได้เลย ส่วนพวกที่เหลือ ท่านก็สอนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ดังนี้ค่ะ

          การเดินจงกรม

          1. ยกแขนขวาขึ้นมาข้างลำตัวช้า ๆ แล้วกำหนด ยกหนอ วาดแขนขวาไปด้านหลัง กำหนดไปหนอ จากนั้นวางมือบริเวณเอวของเราแล้วกำหนด วางหนอ จากนั้นทำข้างซ้ายเหมือนกันค่ะ ยกหนอ ไปหนอ วางหนอ และเพิ่ม จับหนอ ด้วย คือเอามือขวาจับมือซ้ายไว้ที่ด้านหลังของเราค่ะ

2.       กำหนด ยืนหนอ 5 ครั้ง ช้า ๆ เริ่มจากศรีษะลงมาปลายเท้า เป็น 1 ครั้ง แล้วทำใหม่

จากปลายเท้าขึ้นไปบนศรีษะ ทำอย่างนี้จนครบ 5 ครั้ง จากนั้นให้สายตามองทอดไปที่พื้นเบื้องหน้าแล้วกำหนด อยากเดินหนอ ช้า ๆ 5 ครั้ง

3.       เริ่มเดิน ด้วยการกำหนด ขวา ย่าง หนอ ขวา คือ การที่สติจับอยู่ที่เท้าขวา ย่าง คือ

การก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า แต่ไม่ต้องยกสูงนะคะ ส่วนคำว่า หนอ ก็คือ เท้าขวาเหยียบพื้น เวลาทำเท้าซ้ายก็ทำเช่นเดียวกันค่ะ เมื่อเดินไปได้สักครู่ พระอาจารย์ก็ให้หยุด แล้วให้กำหนด ยืนหนอ ช้า ๆ 5 ครั้งอีก และให้กำหนดว่า อยากกลับหนอ 5 ครั้ง จากนั้นให้ยกเท้าขวาหมุนไปด้านขวา กำหนดว่า กลับหนอ จากนั้นยกเท้าซ้ายหมุนตาม กำหนด กลับหนอเช่นกัน ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง จะหันหลังกลับมาได้พอดี แต่ยังค่ะ ยังเดินไม่ได้ ต้องกำหนด ยืนหนอ 5 ครั้ง และอยากเดินหนอ 5 ครั้ง จากนั้นจึงเริ่มเดินต่อไป (โอ้ เริ่มมึนแล้วหนอ)

         

การนั่ง

1.       เดินจงกรมแล้วจะนั่งลงเลยไม่ได้ พระอาจารย์ให้กำหนด ยืนหนอ 5 ครั้ง ช้า ๆ แล้ว

ปล่อยมือที่อยู่ตรงเอวออกยกขึ้นมาข้างลำตัว กำหนดว่า ไปหนอ จากนั้นให้วางแขนลงมาที่ขา กำหนดว่า วางหนอ จากนั้นจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงที่พื้นพร้อมกับกำหนด ย่อหนอ ๆๆ,เท้าพื้นหนอ,คุกเข่าหนอ,นั่งหนอ คือกำหนดจนกว่าตัวเราจะนั่งได้น่ะค่ะ

2.       จากนั้นให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หัวนิ้วโป้งชนกัน

(พระอาจารย์บอกว่าสมาธิจะได้ไม่หลุดไปไหน) จากนั้นเวลาหายใจเข้า ให้กำหนด พองหนอ เมื่อหายใจออก ให้กำหนด ยุบหนอ แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้ ตอนแรกให้มีสติดูท้องตัวเองก่อน คอยสังเกตว่า เวลาเราหายใจเข้าท้องจะพอง เมื่อหายใจออกท้องจะยุบ  จากนั้นจึงค่อย ๆ กำหนดตามไปเรื่อย ๆ เราก็จำเอาไว้

 

เมื่อพระอาจารย์ดูว่าพวกเราพอจะทำได้แล้ว จึงให้ไปปฏิบัติในศาลาปฏิบัติธรรม โดย

บอกว่าให้กำหนดเวลากันเองว่าจะเดินเท่าไหร่ นั่งเท่าไหร่ เช่น เดิน 20 นาที นั่ง 20 นาที ก็ได้ ที่นี่จะมีนาฬิกาดังทุก ๆ 15 นาที จากนั้นทุกคนจึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติ แต่เรายังนั่งอยู่ก่อนและเรียนพระอาจารย์ปุนว่า ก่อนจะมาที่นี่ หนูเคยฝึกนั่งสมาธิเองอยู่ที่บ้าน โดยใช้วิธี พุทโธ แต่เมื่อมาที่นี่แล้วก็จะนับถือพระอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์และจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทุกท่าน พระอาจารย์ก็บอกว่า ดีแล้ว พุทโธ ก็ดีเหมือนกัน จึงเรียนท่านไปว่า แต่หนูมีปัญหาว่าหนูมีอาการปวดท้องปัสสาวะบ่อย ๆ ถ้าหากหนูขออนุญาตมาเข้าห้องน้ำก็ขอพระอาจารย์อย่าถือโทษโกรธหนูเลยนะคะ พระอาจารย์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ที่นี่ฝึกแบบฟรีสไตล์ ถ้ามีปัญหาติดขัดตรงไหนก็ถามได้ แต่ถ้าเกินจากที่พระอาจารย์รู้ ก็จะไปถามหลวงพ่อให้ (คงหมายถึงหลวงพ่อวีระนนท์) จากนั้นเราจึงลาไปปฏิบัติ เมื่อเข้าไปด้านในก็รู้ว่าฟรีสไตล์จริง ๆ ใครใคร่เดินจงกรมก็เดิน ใครใคร่นั่งสมาธิก็นั่ง จับเวลากันเอง เออ แปลกดีแฮะ !   เราก็เริ่มจากสวดมนต์เองก่อน (เพราะเค้าทำวัตรเย็นกันไปแล้ว) แล้วก็เริ่มเดินจงกรม แล้วนั่งสมาธิ สังเกตตัวเองว่า หลังเดินจงกรมแล้วมานั่งสมาธินั้นจิตสงบดี เรื่องคิดฟุ้งซ่านย่อมมีเป็นธรรมดา แต่ก็ถือว่าดีกว่าตอนอยู่ที่บ้าน แต่คอยสังเกตตัวเองว่ามีอาการตึง ๆ บริเวณหว่างคิ้ว ไม่ถึงกับเจ็บแต่ตึง ๆ ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็ภาวนาต่อไป คอยสังตุตัวเองดูว่านอกจากอาการปวดเมื่อยที่ขา และตึง ๆ บริเวณหัวคิ้วแล้วจะมีอะไรอีกบ้าง เผื่อเราปฏิบัติผิดไป จะได้ถามพระอาจารย์ เมื่อหมดเวลาปฏิบัติ (น่าจะประมาณสามทุ่มได้) พระอาจารย์ก็นำสวดแผ่เมตตา และอุทิศบุญกุศล พวกเราก็สวดตาม แล้วพระอาจารย์ก็บอกว่าให้ทุกคนไปพักผ่อนก่อนก็ได้ แต่ถ้ามีใครที่อยากจะปฏิบัติธรรมต่อ พระอาจารย์ก็จะอยู่เป็นเพื่อน เนื่องจากแอร์เพิ่งมาถึงช่วงเย็น เพิ่งปฏิบัติไปได้แค่หน่อยเดียวเอง และยังไม่ง่วงด้วย ขณะนั้นเห็นมีเพื่อน ๆ อยู่อีก 4-5 คน จึงอยู่ปฏิบัติต่อ (ทำเป็นสดค่ะ) เมื่อปฏิบัติครบเวลาที่ตั้งใจไว้ ก็ลงไปนอน สังเกตุว่ายังมีคนอยู่ปฏิบัติต่อ แต่เราพอก่อนดีกว่า เพราะไม่รู้วันพรุ่งนี้จะเจอกับอะไรบ้าง แต่ทำไม๊ ทำไมนอนไม่หลับก็ไม่รู้ ทำไงก็ไม่หลับ ขนาดสวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่หลับ อุตส่าห์เดินไปเข้าห้องน้ำรอบนึงแล้วก็ไม่หลับ (ตอนแรกคิดว่าปวดฉี่หรือเปล่าเลยนอนไม่หลับ) สงสัยแปลกที่แฮะ ไป ๆ มา ๆ กว่าจะหลับก็ตีอะไรไม่รู้ค่ะ มาตื่นอีกทีได้ยินเสียงอะไรพรึ่บพรั่บ ๆ อ้าว ! คนอื่นเค้าแต่งตัวกันแล้ว จ๊าก ! ! จะตีสี่แล้ว เราก็น้องอันเลยรีบจ้ำอ้าวไปอาบน้ำเลยค่ะ

หมายเลขบันทึก: 290035เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2009 16:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท