ทุกเทคโนโลยีมีทั้งระบบปิดและระบบเปิด การเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมผนวกกับการไม่ยอมหยุดนิ่งของคน ช่วยให้เราสามารถพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ของเราเองได้ ลดการพึ่งพาน้ำยาต่างประเทศ หรือพัฒนาการทดสอบขึ้นเองบน platform ของเทคโนโลยีใหม่ นั่นน่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืน
ย้อนหลังกลับไปกว่าสิบปีที่ผ่านมา
ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เรียกกันว่าการพัฒนาของห้องปฏิบัติการในหลายๆที่
วิถีที่พอจะสรุปได้ส่วนหนึ่งก็คือ ความพยายามเอาเครื่องมือเครื่องไม้ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ทดแทนการทดสอบเดิมที่เราบอกว่าล้าสมัยไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหลักการ วิธีการ หรืออะไรก็ตาม ความเจริญในลักษณะนี้
ผู้นำหลายท่านบอกว่าช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการรายงานผลการทดสอบ
ช่วยเพิ่มความไว ความจำเพาะ ความน่าเชื่อถือ
และอีกหลายๆความที่พอจะสรรหามาสนับสนุน
เพื่อให้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนกำลังคน และตบท้ายด้วยคำพูดหรูว่า
จะได้ให้คนได้มีเวลาไปพัฒนางานอื่นต่อไป
กลับอีกแนวทางหนึ่ง คือการพัฒนางานจากการยอมรับข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
เรามีดีที่สุดของเราได้เท่านี้
แล้วใช้กำลังความคิดและความรู้พื้นฐานที่ร่ำเรียนมาพัฒนาวิธีการทดสอบที่ดีขึ้นกว่าเดิม
แต่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยี ได้ผลเป็นการทดสอบใหม่
แม้ไม่เลิศหรูที่ต้องทำในเครื่องอัตโนมัติ
แต่ก็ได้ผลการทดสอบที่ดีขึ้น มีความไวสูงขึ้น ความจำเพาะสูงขึ้น
เพียงแต่ต้องใช้กำลังคนในการทำงาน ซึ่งเป็นการใช้กำลังคนให้คุ้มค่า
เน้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ไม่พยายามพึ่งพาเทคโนโลยี
แล้วเราก็มาถึงทางสองแพร่ง ....
.....ทางแรก เขาว่ากันว่า มันทันสมัย
มีเครื่องมือเครื่องไม้ทำงานแทนคน
แต่สิ่งที่ตามมาคือเราทำอะไรไม่ได้เลย
นอกจากคอยซื้อน้ำยาของต่างประเทศ ซึ่งนับวันราคาก็มีแนวโน้มจะแพงขึ้น
ที่สำคัญ
ในห้องปฎิบัติการหลายแห่งไม่ได้เตรียมคนไว้ให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้
เราก็จะได้ คนที่เชื่อทุกอย่างที่เครื่องพิมพ์ออกมา
โดยไม่มีระบบตรวจสอบกลับไปว่า ค่าต่างๆ
ที่เครื่องมือทันสมัยเหล่านั้นรายงานออกมา เชื่อถือได้เพียงใด
.....ท้ายที่สุด เรากำลังตกเป็นทาสของเทคโนโลยี
ในอีกมิติหนึ่งที่เราเข้าใจว่า
ได้พัฒนาห้องปฏิบัติการแล้ว
.....กับทางที่สอง
การพัฒนาโดยยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง
แล้วใช้ความรู้พื้นฐานที่มีอยู่พัฒนาต่อยอดความรู้เดิม
คนทำงานสบายขึ้นจากการพัฒนาต่อยอด
หรืออาจต้องทำงานหนักขึ้นจากการที่มีการพัฒนาการทดสอบใหม่ๆ
แต่คนยังเป็นกำลังหลักในการพัฒนา
ซึ่งทำให้คนต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม
เพื่อให้สามารถยืนอยู่ได้บนความเปลี่ยนแปลง ....ท้ายที่สุด
เราเป็นเจ้าของการทดสอบ เกิดปัญหาใดขึ้น คนสามารถแก้ไขได้
การพัฒนาแนวนี้มักใช้ต้นทุนต่ำ
และได้ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยจริงๆ แม้ไม่เลิศหรู
แต่ใช้งานได้จริง ต้นทุนต่ำ
ได้องค์ความรู้ที่เป็นลักษณะเฉพาะของห้องปฏิบัติการนั้นๆ
ที่มีแนวโน้มของความยั่งยืนทางภูมิปัญญา
.....ผมกำลังยืนอยู่บนจุดกึ่งกลางของทางสองแพร่ง
ที่มองเห็นการล้มหายตายจากไปของแนวทางที่สอง
พร้อมกับความเติบใหญ่ของแนวทางแรก .......
.....ไกลออกไปจากห้องปฏิบัติการ....เอาเทคโนโลยีเข้ามาแทนกำลังคนไม่ใช่หรือ
ที่ทำให้วิกฤตการต้มยำกุ้งเกิดขึ้น การล้มพังครืนทางเศรษฐกิจในปี 2540
ที่ทำให้คนรวยกลายเป็นคนจนในชั่วข้ามคืน
ผมไม่ได้ขัดขืนต่อกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เพียงแต่เราควรรู้เท่าทันเทคโนโลยี่
และพัฒนาต่อยอดให้เป็นองค์ความรู้ใหม่ของเราเอง
แทนที่ทุกอย่างจะต้องพึ่งพาจากบริษัทข้ามชาติ
ประเทศไทยเราไม่ได้มีเงินมากมายพอที่จะจ่ายแบบไม่อั้นให้แก่บริษัทข้ามชาติหรือต่างชาติ
ทุกเทคโนโลยีมีทั้งระบบปิดและระบบเปิด
การเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมผนวกกับการไม่ยอมหยุดนิ่งของคน
ช่วยให้เราสามารถพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ของเราเองได้
ลดการพึ่งพาน้ำยาต่างประเทศ หรือพัฒนาการทดสอบขึ้นเองบน platform
ของเทคโนโลยีใหม่
นั่นน่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนของแนวทางที่หนึ่ง
มาถึงตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าการพัฒนาที่ผมเห็นทั้งสองทาง
ทางไหนเป็นการพัฒนาขึ้น หรือทางไหนเป็นการพัฒนาลงกันแน่
?
หมายเหตุ
ข้อเขียนในที่นี้ไม่ได้หมายรวมถึงการทดสอบที่จำเป็นต้องรายงานผลอย่างรีบด่วน
และจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของความรวดเร็วในการรายงานผลการทดสอบ