คนไข้ผู้ชายอายุ ๖๒ ปี เป็นมะเร็งลามไปกระดูกสันหลัง เข้ารักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหลัง ต้นขาและหัวเข่าซ้าย อาการปวดขณะแรกรับมากจนต้องให้มอร์ฟีนชนิดฉีด ก่อนเปลี่ยนมาเป็นชนิดน้ำเชื่อมรับประทาน
เมื่อวาน ผมพบคนไข้อีกครั้ง ๔ วันหลังจากครั้งแรก ดูคนไข้หน้าตาสุขสบายขึ้น เขาบอกกับผมเป็นประโยคแรกว่า "ปวดดีขึ้นมากครับหมอ ตอนนี้ได้หลับบ้าง" ผมก็ดีใจที่การรักษาของเราได้ผล
"แล้วตอนนี้ ให้คะแนนเรื่องปวด กี่แต้ม" ผมถาม
"สัก ๕ หรือ ๖ ครับ" คนไข้ตอบ เพราะรู้ว่าจะต้องบอกระดับความปวดกับพวกหมออย่างไร
ผมชักสงสัย ระดับความปวดขนาดนี้ก็เข้าข่ายปวดปานกลางเข้าไปแล้ว เลยถามต่อ "แล้วกินยาน้ำบ่อยแค่่ไหน"
"ปวดแล้ว ผมก็ขอ" เขาตอบ
"ต้องขอบ่อยมั้ย พยาบาลไม่ได้เอายามาให้กินตามเวลาหรือครับ" ผมเริ่มยิงคำถามเป็นชุด เพราะคาดว่า คนไข้น่าจะได้ยาแบบตามเวลา ไม่ต้องขอ
"ปวดที ขอทีครับ" คนไข้ตอบ ยืนยัน
ผมดูบันทึกการใช้ยา พบว่า คนไข้ใช้มอร์ฟีนชนิดน้ำเชื่อมเป็นครั้งคราว วันละ ๒ - ๔ ครั้งๆละ ๑๐ มิลลิกรัมจึงกลับไปถามคนไข้ "ฟังดู รู้สึกว่าลุงก็ยังปวดอยู่ แต่เห็นไม่ค่อยขอยา ตกลงมันยังไงนะลุง"
"มันดีขึ้น แต่ก็ยังปวด กลางคืนถ้าปวดก็นอนไม่หลับ"
ความเข้าใจของผมเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม "แล้วลุงขอยาหรือเปล่าครับ"
"เปล่า"
อ้าว... ผมชักงง เลยย้อนถามไปว่า "ลุงยังกลัว ไม่กล้าใช้ยาแก้ปวดหรือเปล่า" เพราะตอนเจอกันครั้งแรก คนไข้กับภรรยาที่เป็นมะเร็งเต้านม เคยบอกผมว่า เขากลัวเรื่องติดยาอยู่บ้างและคิดว่าถ้าใช้ยานี้หมายถึงเป็นหนัก
"ไม่กลัว หมออธิบายผมแล้ว"
"ลุง นี่สรุปว่า ลุงยังต้องทนปวดอยู่ใช่มั้ย" ผมสรุป
"ครับ" คนไข้ตอบ "ผมขอโทษคุณหมอด้วย ที่ไม่บอกหมอตามตรง" เสียงคุณลุงเปลี่ยนไป ขอโทษขอโพย
"ลุงไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมไม่ว่าลุงเรื่องนั้นซักหน่อย แต่ผมอยากรู้ว่า อะไรทำให้ลุงไม่อยากขอยาครับ" ผมอยากรู้สาเหตุที่แท้จริง
"ผม..เกรงใจครับ เกรงใจคุณพยาบาล กลัวจะหาว่าขอยาบ่อย"
.. .. ..
ผมโทรศัพท์ไปคุยกับน้องแพทย์ใช้ทุนที่ดูแลคนไข้คนนี้ น้องเขาบอกผมว่า "ผมประเมินคนไข้ดูแล้ว เห็นว่าปวดไม่มาก และแกปวดตรงหัวเข่าที่ดูเหมือนเป็นเรื่องโอเอ (ข้อเข่าเสื่อม)มากกว่า เลยไม่ได้สั่งยา around the clock (การให้ยาตามเวลา โดยไม่ต้องรอให้คนไข้ขอ)ให้"
ผมทั้งดีใจและประทับใจน้องแพทย์ใช้ทุนมาก คำตอบของน้องทำให้ผมรู้ว่า น้องเขาทั้งประเมินและรู้หลักการใช้ยาระงับปวดเป็นอย่างดี และถ้าเป็นผม ถ้าประเมินได้อย่างนั้น ผมก็คงสั่งยาแบบนั้นเหมือนกัน ผมก็เลยเล่าเรื่องข้างบนให้น้องฟัง แล้วฝากน้องเขาดูต่อ ถ้าคนไข้ขอบ่อยขึ้น อาจต้องปรับเป็นตามเวลา
.. .. ..
ผมกลับมาคุยกับคนไข้ต่อ "คราวนี้ ถ้าลุงปวด ลุงต้องบอกนะ อย่างทนเองอีก"
"ครับ" ฟังดูลุงจะเข้าใจมากขึ้น
"เออ.. แล้วลุงถ่ายทุกวันหรือเปล่าครับ" ผมตั้งคำถามอีกเรื่อง เพราะคราวก่อนได้ประวัติว่า ลุงท้องผูก ถ่ายไม่ทุกวันมาตั้งแต่หนุ่มๆ แล้วเห็นว่า คนไข้ไม่ใช้ยาระบายก่อนนอน ที่หมอสั่งไว้เป็น prn หรือเป็นครั้งคราวเช่นกัน
"เปล่าครับ ผมไม่ถ่ายมา ๓ วันแล้ว" ลุงตอบ
และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมหมอจึงควรสั่งยาบรรเทาอาการต่างเป็นตามเวลา (around the clock) ถ้าประเมินแล้วว่า โรคที่คนไข้เป็น ก่ออาการตลอดเวลา ไม่ใช่อาการชั่วครั้งช่ัวคราว
อะไรที่ทำให้คนไข้ถึงไม่อยากแสดงออกว่าตนเองปวดมาก
มีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ครับ ที่คนไข้ไม่อยากบอกว่าตนเองปวดมาก ช่วยผมคิดที
สวัสดีค่ะคุณหมอ
คุณหมอสะท้อนภาพออกมาชัดเลยครับ นึกถึงตัวเองเลยครับ บางทีคนไข้คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ต้องบอกหมอก็ได้ครับ
ตอนนอนเจ็บหลังจากกระดูกขาหัก สิ่งหนึ่งคือ ผมไม่ถ่าย ความจริงผมไม่มีปัญหาเรื่องนั้น เพียงแต่ขี้เกียจให้แม่ลำบากมาจัดการเรื่องขับถ่ายของผมเท่านั้นเองครับ แต่พอทราบว่า มันเป็นประเด็นน่ากังวล แค่นั้นผมก็ปฏิบัติตามกิจที่ควรทำครับ
สวัสดีค่ะ
จากที่เคยมีประสบการณ์ตอนเคยเป็น พยาบาลเฝ้าไข้ คือ
- ไม่อยากทานยามาก กลัวว่าต่อไปต้องใช้ยามากขึ้นอีก (ติดและดื้อยา)
- เกรงใจ ไม่อยากขอยา แต่หากมีพยาบาล คุณหมอ ญาติ ๆ มาถามจึงจะบอก...
และส่วนตัวคนไม่มีรากคิดว่า การเอาใจใส่ ถามไถ่ สัมผัส คนไข้ก็ลดความเจ็บปวด (ลดความใส่ใจ จ่อใจกับความเจ็บปวด) ไปได้มากแล้วด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
(^___^)
สวัสดีคะอาจารย์เต็มศักดิ์
ไม่ขอยาอาจจะมีสาเหตุเพิ่มอีกข้อคะ อาจารย์ กลัวเสียเงินค่ายา เหตุผลนะคะ
ตอนราวน์ case palliative case นึงกับลิลลี่ยังจำได้อยู่เลย อยู่ศัลย์ชายหนึ่ง แกเป็น CA pancreas แต่ยังไม่ทราบหรอกนะครับว่าเป็น ญาติๆสั่งห้ามบอก แต่เขา consult palliative care เพราะคนไข้มีปัญหาปวดมาก แต่ไม่ยอมทานยา morphine ที่สั่งไว้
พอเราไปประเมินปรากฏว่าแกว่าไงรู้ไหม แกว่า แกสงสัยแกจะเป็นมะเร็วตับอ่อน (คือ CA pancreas นั่นแหละครับ) เพราะอาการคล้ายๆกับเพื่อนบ้านแกเลย และเพื่อนบ้านแกตายจากยามอร์ฟีน (แกว่ายังงี้) ฉะนั้นสรุปก็คือ ในการรับรู้ของแกนั้น ยามอร์ฟีน
ฉะนั้นแกก็ใช้เหตุผลง่ายๆว่า ถ้าแกยังไม่ต้องใช้ยามอร์ฟีน แกน่าจะ OK อยู่ครับ
อีก case นึงเจอที่ซิดนีย์ครับ คุณป้าแกชอบสะสมยามอร์ฟีนที่หมอจ่ายให้ แกรู้สึกว่าถ้ากินน้อยแปลว่าแกดีขึ้น หรือแกเก่ง (นี่แกพูดเองนะครับ) และแกจะพยายามใช้ยาให้น้อยที่สุด with whatever means ที่แกนึกออก
เหตุผลที่ไม่บอก
ทางออก
ขอบคุณอาจารย์ขจิตครับ
แต่อาจารย์ไปประพฤติตัวอย่างไรครับ ถึงกลัวพยาบาลดุ น่าสงสัยนะครับ
ขอบคุณครับสกล
หนูว่าเป็นความคุ้นชินค่ะ
คืออยู่กับความปวดแบบนี้ ขนาดเท่านี้มานานจนคุ้นกันชินกัน ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนแต่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันจนเข้ากันได้ อาจมีทะเลาะกันบ้าง(อาการปวดเพิ่มขึ้น)แต่ก็ต้องหันหน้าเข้าหากันเพราะต้องอยู่ด้วยกันค่ะ
เรียนผู้ให้ความเห็นในบันทึกนี้ทุกท่านครับ ผมขออนุญาตนำความเห็นทั้งหมดในบันทึกนี้ไปรวบรวมเป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่ในกิจกรรมของเครือข่าย palliative care ในโรงเรียนแพทย์ โดยขอตัดข้อความที่เป็นการทักทายทั่วไปออ กเพื่อความกระชับของเนื้อหานะครับ
some patient that i had seen and she refused to use morphine because she think that pain is a god need her to get pain and she deserve to it .(spritual aspect). ศรัทธาในพระเจ้า ตอนที่ 1 (5)
สวัสดีจากสิงคโปร์คะ อาจารย์ มีเคสหนึ่งที่นี่เป็น CA rectum แกมี tenesmus อย่างรุนแรง นั่งบิดไปบิดมา บนเก้าอี้
พอแพทย์ถาม ปวดระดับไหน "สัก 2-3" อะไรทำให้ปวดแย่ลง "นั่ง" แกโผลงขึ้นทันทีเมื่อแพทย์อนุญาตให้ยืน
คนไข้เอเชีย เกรงใจหมอจริงๆ จะว่าน่ารักก็น่ารัก แต่ไม่ดีต่อตัวเองอย่างที่อาจารย์ว่าคะ
ขอฝากเนื้อฝากตัว blog น้องใหม่ จริงๆ คงยังบอกว่าเป็นบันทึกการทำงานไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเลย
มีแต่ประสบการณ์จาก practicum คะ