การปฏิบัติงาน ที่ได้คลุกคลีกับผู้มีประสบการณ์ในการทำงานกับชุมชน ได้เรียนรู้เทคนิควิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่กับเกษตรกรตามบริบทของภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ทำให้เห็นถึงความรู้ของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่เป็นมือเซียนด้านองค์ความรู้คือ “นักจัดการชุมชนเกษตร”
ชุมชนเกษตร จึงถูกบริหารจัดการโดยเจ้าหน้าที่เกษตรและเคหกิจเกษตร ที่เข้าออกในบ้านจนถึงโรงครัวของชาวบ้านได้อย่างปลอดภัยไม่อด มีของกินให้หากินได้ตลอด คลุกคลีกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้าน หรือเป็นคน ๆ หนึ่งที่มีส่วนได้เสียกับครอบครัวของเกษตรกร
จากบทบาทดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ได้รู้ถึง “เทคนิคการประกอบอาชีพเกษตร” ได้หลากหลายสาขาทั้งความรู้ที่เกษตรกรสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษจนเป็น “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” หรือมาจากที่เกษตรกรคิดค้นหาคำตอบจนสามารถแก้ไขปัญหา/ข้อสงสัย ในการทำอาชีพได้สำเร็จก็กลายมาเป็น “นวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร”
สิ่งหนึ่งที่ “นักส่งเสริมการเกษตร" ไม่เคยลืมบทบาทของตนเองก็คือ การทำหน้าที่เป็น “ล่ามทางการเกษตร”
หมายความว่า เป็นผู้แปลและแปลงองค์ความรู้ทางการเกษตรออกสู่เกษตรกรให้ขยายภาพในเชิงพื้นที่ได้มากขึ้น ทั้งองค์ความรู้ที่มาจากภูมิปัญญา เทคโนโลยี/วิชาการ และองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้ค้นพบ มีการจัดการความรู้ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีการพัฒนามาเป็นลำดับก็คือ จากคนสู่คน จากสื่อสู่คน และจากเครือข่ายสู่คน
ดังนั้น เวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จึงมีอยู่เป็นชีวิตประจำวัน เช่น การสนทนา/แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในอาชีพเกษตร การอภิปราย/โต้ตอบปัญหาการเกษตร และการจัดเก็บผลสำเร็จด้านการเกษตรไว้ในตนเอง ซึ่งถ้าได้ขีดเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ก็จะรู้ว่า “คนหนึ่งคน...มีความรู้ที่หลากหลายและมากมาย” เพียงแต่ขาดการสังเคราะห์สรุป นำมาจัดเก็บให้เป็นที่เป็นทาง เข้าไปหยิบใช้ได้ง่าย และตนเองก็หาสะดวก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้เราก็จะมี “หนังสือชีวิต...จากประสบการณ์ปฏิบัติการเกษตร” เป็นของตนเองโดยเราเป็นผู้บริหารจัดการเพื่อจัดเก็บของดี ๆ ความรู้ดี ๆ และประสบการณ์ดี ๆ ไว้เป็นหลักฐานสำหรับทบทวนผลสำเร็จและใช้ต่อยอดการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
ไม่มีความเห็น