ชีวิตพอเพียง: บ้านพ่อ (3)


ตั้งแต่ผมเล็กจนเติบใหญ่ มีให้เก็บกินได้ตลอด

     ต่อ...ชีวิตพอเพียง: บ้านพ่อ (ตอนที่ 2) และ (ตอนที่ 3)

 

 

   

 ต้นแค นานหลายปีแล้ว มีดอกตลอดทั้งปี ฝักอ่อน ๆ ลวกจิ้มรสชาติมันอร่อย

 ดอกแค เห็นชัด ๆ หากแกงส้มกับกุ้งหัวมัน ของคู่กัน

ต้นยอหน้าบ้าน มีใบอ่อน ๆ กินสด ใคร ๆ ก็เด็ดไปกิน มีเยอะมาก 

 

   

 ข่า กอนี้อยู่ข้างถนนเข้าบ้าน

 อ้อย ไว้ใช้เวลาต้มนำเคยข้าวยำ สับ ทุบ ใส่ไปด้วย จะหอม

ชะพลู ใช้กินกับเมี่ยง หรือยำต่าง ๆ หากจะใช้แกงกัลปลาไหลหรือหอยโข่ง นี่จะคู่กัน

 

   

 มะละกอ หรือ ลอกอ ต้นเด็ก ๆ ทดแทนต้นที่กำลังหมดอายุ

 พริก หรือ ดีปลี ต้นเด็ก ๆ ทดแทนต้นที่กำลังหมดอายุ

 มะยม ถ่ายไว้ก่อนที่จะเอาไปต้มกะทิไก่

ทั้งหมดมี 3 ตอน ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 และ ตอนที่ 3

หมายเลขบันทึก: 28257เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2006 11:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

พี่ชายขอบ

ใบยอ นี่ทราบว่ามีประโยชน์ดี(vit A สูง) แต่ผมไม่ทราบว่ากินดิบได้ด้วย

กินยังไงครับ หมายถึง ...

เลือกใบยังไง ขนาดใด กินเป็นผักเหนาะ หรืออย่างไร

ใบมียางมั้ย...

  • มีแต่ของที่มีประโยชน์มากเลยครับ
  • น้องจตุพรครับ ใบยอทำห่อหมกอร่อยมาก

คุณจตุพร

     เลือกที่ใบขนาด เพหลาด หรือ เพสลาด ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป 
     สำหรับสรรพคุณรู้แต่เพียงว่าช่วยเจริญอาหาร หากเบื่อข้าว ได้ผลนักแล
     จึงไม่แนะนำสำหรับสุภาพสตรีที่กำลังลดน้ำหนัก...อย่าลืม อย่าเผลอ เชียว

อาจารย์ขจิต และ พี่ชายขอบ ครับ

ขอบคุณครับ สำหรับรายละเอียด คำว่า "เพสลาด" นี่เป็นภาษาใต้ หรืออย่างไรครับ  หมายถึง "ไม่แก่ ไม่อ่อน" กำลังพอดีใช่มั้ยครับ

แล้วขนาดพี่ชายขอบนี่ จะเรียก "เพสลาด" ได้มั้ย ??? (แซว)

คุณ "ชายขอบ"

เอ!!! เพิ่งรู้ว่าอ้อยใส่ในน้ำเคยได้ด้วย ที่สงขลาเขาใส่ "ไคร" ทุบ ๆ แล้วใส่ สงสัยต้องกลับไปบอกแม่แล้ว  ส่วนคนยะลา อ.นาประดู่ เขาเรียกมะละกอว่า "กล้วยหลา" ส่วนคนสงขลาก็ "ลอกอ"

 

โทษทีค่ะ!!! อ.นาประดู่ อยู่จังหวัดปัตตานี ลืมทุกทีเลยค่ะ

  • บอกคุณชายขอบว่าเปิดบล๊อก ภาษาใต้วันละคำ
  • ผมจะเข้าไปฝึกทุกวันเลยครับ

     คุณขจิต รู้ไหมครับว่าทำไมชาวบ้านถึงใช้ใบยอทำห่อหมก...คำถามง่าย ๆ ที่จะได้เห็นกระบวนการทางปัญญา ลองถามชาวบ้านด้วยคำถามแบบนี้ซิ สิ่งที่ไม่เคยนึกคิดจะได้ออกมา คิดว่า คุณจตุพร จะถนัดสำหรับคำถามแบบนี้ สำหรับเรื่อง "เพสลาด" เป็นภาษากลางครับ ส่วน "เพหลาด" เป็นภาษาใต้ อย่างผมนี่เป็นเพหลาดครับ คือยังไม่แก่ไม่อ่อน แต่เริ่มเคี้ยวยาก (เป็นชาน) เอาล๊ะสำหรับ คุณ Vij ปกติจะใช้อ้อยแดงครับ ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาด้วย หากแต่ใช้อ้อยนี้ก็ได้ เมื่อใช้อ้อยแล้ว จะไม่เห็นเขาใส่ตะใคร้นะครับ ได้ความรู้ใหม่ว่าคน "นาโด" หรือ "นาประดู่" เขาเรียกมะละกอว่า "กล้วยหลา" งง ๆ ว่ามันจะคล้ายกล้วยตรงไหน แต่ก็ขอบคุณครับที่นำมา ลปรร.กัน

     ขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับบันทึกดีๆ  "ชีวิตพอเพียง : บ้านพ่อ" ทั้ง 3 ตอน  นี่คือทุนที่สำคัญของบ้านเรานะครับ

     ผมก็เก็บภาพในส่วนที่ผมได้เรียนรู้และปฏิบัติเพื่อชีวิตที่พอเพียงเช่นกัน  แต่ยังไม่ได้เขียน เป็นชีวิตจริงที่กำลังนำมาผลิตซ้ำที่กำแพงเพชร   วันนี้ได้ความรู้และแนวทางเพิ่มขึ้นอีกมาก วันข้างหน้าจะบันทึกมา ลปรร.นะครับ

  • ขอบคุณมากครับคุณชายขอบ

คุณสิงห์ป่าสัก

     ผมอยากเห็นการนำเสนอที่คุณกล่าวไว้เป็นอย่างมาก ด้วยมองเห็นว่า หากใครมาอ่านเจอแล้วคิดปลูกตะใคร้ไว้กินเอง ปลูกข่าไว้แกง โดยไม่นึกที่จะซื้อมากนัก ผมว่าประเทศไทยจะพัฒนาไปอย่างสมดุลจริง ๆ ในอนาคต
     วันนี้ผมแกงเลียงแบบสมมติว่าเราหลงป่า แล้วตำน้ำพริกป่า 2 อย่าง พ่อทานข้าวอร่อยมาก ถามผมว่าผักอะไรบ้าง ผมลองนับไปพลาง ตักดูไปพลาง ทานข้าวกันไปด้วย ได้ผักทั้งหมด 18 ชนิด ตั้งแต่ผักหวาน ตำลึง ดอกแค ฝักอ่อนแค ยอดข่อยอ่อน ยอดกะเพรา ผักบุ้ง ...ยอดดีปลี(พริก)

   เพิ่งกลับจากชัยนาท ตอนเย็นแวะทานข้าวที่ร้านในปั๊ม Shellเพราะหิวมาก เจอน้ำพริกปลาทู + ผักชุดใหญ่ มีทั้งมะเขือ-ชะอม ชุบไข่  ดอกแค ฯลฯ  มาอ่านบันทึกนี้เลยหิวต่ออีก

   ที่หลังบ้าน  รอบบ้านคนชนบทอีกไม่น้อย รกร้างว่างเปล่า  น่าเสียดาย เขาตั้งหน้าตั้งตาแต่จะซื้อ และซื้อ ได้ของแถมคือสารพิษมาอีกเพียบ .. เฮ้อ ! เหนื่อยหัวใจ 

อาจารย์ Handy 

     การใช้พื้นที่อันเล็กน้อย ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่สิ้นเปลือง และปลอดสารพิษ ควรส่งเสริมให้เกิดขึ้นนะครับในปัจจุบัน

มิใช่..น้ำผึ้ง..หากเป็นเช่นน้ำอมฤต หยาดให้จิบดั่งน้ำค้างอนันต์ค่า คือน้ำใจใสงามเนิ่นนานมา คือน้ำตาแห่งปิติพลีแด่กัน จากใจทองครองขันธ์อันวางว่าง เพียงแผ้วถางทางเหนือโลกย์ลบโศกศัลย์ ถือเป็นโชคโลกเมตตามาพบกัน ดั่งคู่ขวัญคู่บุญสร้างทุนทาน ในเส้นทางเลือกเคียงเลี่ยงกิเลส รู้ดับเหตุแห่งทุกข์สุขแสนหวาน รสใดเล่าจักคงอยู่นิรันดร์กาล เท่าสายธารธรรมธาราสัจจะรัก วันเวลามิประมาทอาจเช่นนั้น จึงฝ่าดั้นคว้าดาวแม้นหนาวนัก มาหว่านโปรยประดับใจทุกที่รัก ให้ประจักษ์แด่ผองชนคนร่วมชะตา เจ็บแลตายคล้ายเส้นทางยากเลี่ยงหลบ ตะวันพลบรอชีพดับไปกับหล้า มากผู้คนเวียนว่ายทะเลน้ำตา สูญเวลาไปชั่วกาลหวานวัฎวน สู่เส้นทางสายสงบพบกระจ่าง สุขในว่างสุขนิรันดร์ฝันเพียรพ้น ดั่งบัวบานเหนือน้ำค่าเหนือคน กลางกมลดอกบุญบานตระการใจ ฝันพาจิตลอยล่องท่องนทีทิพย์ ข้ามสีทันดรไกลลิบสู่สวรรค์ไสว ปาริชาติบานรอรับขวัญนะดวงใจ คือยิ่งใหญ่เหนือชีพชนม์สั้นวันมรณาในโลกามนุษย์..! .............. ฝนพรำพรม..เปาะแปะๆ รอบข้างมืดมาก มองเห็นเพียงคอกวัวใต้กอไผ่รำไรๆสลัว เลือนลางในท่ามกลางความมืด ต้นมะขามหลังบ้านเป็นเงาตะคุ่ม แผ่คลุมเชยชายคากระท่อม หอมหอม ดวงดอกพุดและดอกการะเวกลอยมา สาวนาจุดตะเกียงลาน..ให้แสงอ่อนหวานอบอุ่น วางเคียงหัวนอน ในความมืด.. สาวนา ค่อยๆล้มตัวลงนอน รับความเงียบงาม แห่งเสียงดนตรีสายฝน สาวนารักทุกสรรพเสียงแห่งธรรมชาติไพร ที่แสนไพเราะกว่าเสียงใดในหล้าโลกนี้ ที่แสนสุขใจยามได้เงี่ยหูฟัง เสียงน้ำค้างระรินหลั่งรดรวงเรียว เสียงเรียวดอกไม้อ้อนสายลม เสียงผสานผสมนกไพรและเรไรจิ้งหรีดร่ำร้อง เสียงของสายฝน เสียงลมพายุ เสียงใบไม้ไหว เสียงสายน้ำไหลระริน เสียงทุกเสียงที่สาวนาใช้ใจภายในสัมผัสได้ ด้วยใจดวงดายเดียวกับทุกเงียบงาม สาวนามีความสุขอย่างลึกซึ้ง และแม้จะคิดถึงอ้ายสักปานใด สาวนาก็รู้รำงับใจและ และคิดว่า..หัวใจสาวนาที่เหว่ว้าลำพัง ก็ให้ความสุขแบบนิ่งงันงดงาม จนยากจะหานิยามใดมาอธิบาย สาวนา..รู้ว่าเพราะชีวีเกิดมากับดิน กับความร้างไร้ ที่สอนให้สาวนาชอบชีวิตเรียบง่ายเปล่าดาย มีแค่วัวควาย มีทุ่งนามีผักปลามีแม่พ่อก็พอใจก็แล้ว ชีวิตสาวนาชินกับความไม่มี และรู้สึกดีกับความยากไร้ สาวนา คล้ายได้ธรรมะจากธรรมชาติสอนสั่ง ให้หันหลังหนีจากโลกวายวุ่น มีดวงใจที่รับหอมกรุ่น จากหอมดินเคล้ากลิ่นไอฝน และกับกมลที่ชอบความสงบงาม ร้างไร้ แสงสี ห่างไกลผู้คนมากมีมากมาย ที่พากันว่ายวนหลงในโลกวัตถุนี้ที่ คิดให้ดีดีก็เท่านั้นก็เท่านี้ หาใช่สุขที่ถาวรจีรังไม่ สาวนา..จึงพอใจที่จะอยู่กับโลกไพร โลกท้องทุ่ง กับเรียวรุ้งคุ้งโค้งบนฟากฟ้า.. ที่งามเจิดจ้าสวยสดใสกระจ่างใจจรัสตา ในทุกคราที่หาดูได้ง่ายแสนง่าย ราวเวทีฝันสวรรค์หล้า ที่ฟ้าเบื้องบนเมตตาประทานพร ให้สุขทุกดวงตาดวงใจชาวดิน สาวนา.. กราบขอพรพระและพร่ำสวดมนต์ภาวนา ขอชีวิตสาวนาพบงามง่ายงามเงียบอย่างนี้ ตลอดไปไม่เคยหวังสิ่งใด ด้านวัตถุเพิ่งรกรุงรัง ขอแค่ได้ฝังร่างใจ มีเสื่อผืนหมอนใบ มีชีวิตไพรและ มีข้าวเต็มนาปลาเต็มหนองก็พอใจแล้ว แม้ห้องหับก็แค่ฝาไม้ไผ่ หากหัวใจก็รู้สึกงามว่าง อย่างได้สัมผัสซึ้งถึงบึ้งธรรมชาติ สาวนาไม่มีทีวีดู มีแค่วิทยุยี่ห้อธาณินท์เก่าๆ ก็มิเหงาใจ ได้ฟัง บทเพลงลุกทุ่งไทยสะท้อนใจสะเทือนทุ่ง รับอุษาสางก็งามใจบรรเจิดพอแล้ว สาวนาจะเด็ดผักมาจากริมบึง และหุงข้าวหอม รอใส่บาตรหลวงตา และ รอเวลาฟ้าไม่ทันสว่าง น้ำค้างยังหยดเยียบเย็น เดินไปคันนา..รอเวลาหว่านไถ และนี้คือวิถีชีวีไพรของสาวนา ที่พอใจและคงมั่นมีผันแปรไปตามกระแสโลก กระแสเมือง.. ให้เปล่าเปลืองเสียเวลาไล่ล่าหาเงินงาม และตามมาด้วยความเครียดจากโรคร้ายทางใจ ในความมิเคยรู้จักอิ่มจักพอ.. ล้อไปตามคลื่นความต้องการ ที่จิตวิญญาณและร่างมิเคยได้ผ่อนพัก หนักแสนหนักกับแอกใจบนบ่ากับการแสวงหาเพียงสุขภายนอก มิลอกเปลือกพบแก่นกระพี้ ที่ทุกชีวิต่างก็ดิ้นรนมิพ้นแรงกรรม ที่กระหน่ำวัตถุมาป้อนเปรอปรนจนลืม และรู้จักความสมถะพอดีและพอเพียง และนี้คือหัวใจดวงดินดวงเดิมของสาวนา ที่ยอมรับเหว่ว้าด้วยความดายเดียวลำพัง ได้อย่างงามงดและแสนสุขใจเสียไม่มี สายชล ..จันทนีย์ อุนากูล เหม่อมองดูสาย น้ำ วน เหม่อมองสายชล ที่ไหล ริน เหม่อมองดูนก ผก ผิน บินลับ ไป ยาม เหงา เราถอนใจ บิน ไป ไม่กลับ มา เปล่าเปลี่ยวจริงหนอ หัว ใจ อยากจะรักใคร เศร้าใจทุกครา หมดแรงกำลัง อ่อน ล้า และหลง ทาง เจ็บ นั้น ยังเจ็บไม่จาง อ้าง ว้าง ดังสาย ชล แม้ใจจะเจ็บ เก็บมาคิดคิด อดีต ช่างงามล้ำล้น มิเคยลืม ภาพเราสองคน มิเคยลืม ยังหลอกลวงตน มิเคยลืม ว่าเคยรักเธอ สาย ชล หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป มิเคยลืม ว่าเคยรักเธอ สาย ชล หลั่งรินไหลวน มาพานพบเจอ เหตุการณ์ผ่านไป ยัง เพ้อ พะวงทุกวัน อก เอ๋ย ขมขื่นตื้นตัน จาก กัน หรือฝัน ไป...

ผมรักพ่อจะปฏิบัติตามพ่อ

หนูจะปฏิบัติตามเเนวพระราชดำรัส

ผมไม่อยากให้พ่อเหนื่อย

เคยเข้ามายังจำได้ และคิดถึงจ้าน

เห็นภาพแล้วน่าไปอยู่ด้วยจัง

อยากมีที่เป็นของตัวเองซักกะติ๊ด แล้วใช้ชีวิตพอเพียงกับลูกๆ

เฮ้อ! เมื่อไหร่สามีจะเข้าใจคำว่าชีวิตพอเพียงจริงๆซะที

ตอนนี้กำลังพยายามเพาะต้นไม้ที่มีประโยชน์และจัดสวน สวนครัวอยู่

อยู่บ้านหลวงจะทำอะไรได้ซักเท่าไหร่เดี๋ยวก็โดนไล่ที่อีกแล้ว เฮ้อ !

ข้าราชการจนจน ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ของก็แพงน้ำมันก็แพง ลูกๆก็ต้องไปโรงเรียน

หนีเข้าป่าไปเลยดีไม๊เนี่ย

ชั่วชีวิตนี้อย่างไรแล้วก็จะกลับไปพัฒนาบ้านเกิดให้ถืงงที่สุด

จาก หนุมใบจาก ลูกชาวสวนเเท้ๆ

"...คุณธรรมที่ทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนำมาปฏิบัติ มีอยู่สี่ประการ ประการแรก คือการรักษาสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ประการที่สอง คือการรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเองให้ประพฤติอยู่ในความสัจ ความดีนั้น ประการที่สาม คือการอดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด ประการที่สี่ คือการรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรมสี่ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดังประสงค์..."พระราชดำรัส ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า วันที่ 5 เมษายน พุทธศักราช 2525

ที่บ้านก็ปลูกไว้หลายอย่างนะคะ เช่น  ข่า  ตะไคร้  พริก  กะเพรา  ชะพลู มะยม มะม่วง ลำใย ฯ ปลูกเต็มที่เลย  ตอนนั้นย้ายบ้านใหม่  ไปซื้อข่าแค่หัวเดียวเล็ก ๆ แม่ค้าบอก 6 บาท  อึ้งเลยค่ะ  หลังจากนั้นปลูกเลยค่ะ สรุปตอนนี้กินไม่ทัน 555+

  • สวัสดีครับทุกคนที่มาให้ คห.ไว้
  • ขอบคุณนะครับที่ได้แลกเปลี่ยนกัน 
  • และต้องขออภัยที่ผมไม่ได้ตอบเลยก่อนหน้านี้ครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท