ความเป็นมา
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี รวมถึงเอกลักษณ์ของชาติ ที่ได้สืบทอดโดยภูมิปัญญาท้องถิ่น นับว่าเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ควรแก่การรักษาสืบสานให้อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ทราบถึง วิถีชีวิตอันดีงาม และความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของคนไทย เพื่อความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ของชาติ ที่นานาอารยประเทศต่างก็ให้ความสำคัญ และให้การยกย่องในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดนโยบายการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย มาตรา 46 ระบุว่า บุคคลซึ่งรวมกันเป็นท้องถิ่นดั้งเดิม ย่อมมีสิทธิ์อนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และหมวด 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา 69 ระบุว่าบุคคลมีหน้าที่ พิทักษ์ ปกป้อง และสืบสานศิลปะ วัฒนธรรม ของชาติ และ ภูมิปัญญาท้องถิ่น อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 81 ระบุว่ารัฐต้องจัดการศึกษาอบรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540, 2541. หน้า 14 – 22)
ส่วนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมระยะที่ 9 พุทธศักราช 2545 - 2549 ได้มีวิสัยทัศน์เพื่อให้ คนไทยได้พัฒนาให้เป็นมนุษย์ เป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข พึ่งพาตนเองได้ มีจิตสำนึกในความเป็นไทย มีศาสนธรรมและวัฒนธรรม เป็นวิถีชีวิตบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทยและสากล (แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษา ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมระยะที่ 9 พุทธศักราช 2545 -2549, 2545. หน้า 12) และในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พุทธศักราช 2545 - 2549 ในด้านการกำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศ ที่จะให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถคิดเป็น ทำเป็น มีเหตุผล สามารถรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม (แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 พุทธศักราช 2545 - 2549, 2545. หน้า 16 - 17) โดยได้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 บัญญัติไว้ในหมวด 1 บททั่วไป ความมุ่งหมายและหลักการ มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกที่ถูกต้อง มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความรู้อันเป็นสากลและหมวด 4 มาตรา 29 ที่ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถาบันสังคมอื่น จัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญา และวิทยาการต่าง ๆ เพื่อพัฒนาชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและ ความต้องการ (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542, 2542. หน้า 32 – 33)
เสรี พงศ์พิศ (2529. หน้า 45) ได้กล่าวว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง พื้นเพรากฐานความรู้ของชาวบ้าน เป็นสติปัญญา เป็นองค์ความรู้ทั้งหมดของชาวบ้านทั้งกว้างและลึก ชาวบ้านสามารถคิดเองทำเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่ใช้แก้ปัญหาการดำเนินชีวิตได้ในท้องถิ่นของตน ช่วยให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่ โดยที่กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2540. หน้า 5) ได้กล่าวว่า ในการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งจะให้ผู้เรียนได้รู้จักท้องถิ่น เกิดความรัก ความภูมิใจในท้องถิ่นของ ตนเองนั้น นอกจากการจัดกระบวนการเรียนการสอน ที่มุ่งให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับชีวิต อาชีพ เศรษฐกิจ และสังคมของท้องถิ่นแล้ว จะต้องนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นทั้งที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้วย เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงกับชีวิต สภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ในขณะที่ อำนาจ จันทร์แป้น (2542. หน้า 93) กล่าวไว้ว่า ท้องถิ่นที่มีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรซึ่งเป็นการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการศึกษา โดยให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตร และการบริหารหลักสูตรให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง ของท้องถิ่น สามารถนำไปสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียนที่ทันต่อสภาพเหตุการณ์ อันจะมีความหมายต่อผู้เรียนและชุมชน ส่วน นิคม ชมภูหลง (2545. หน้า 4) ได้กล่าวว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือ ภูมิปัญญาชาวบ้านถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ เนื่องจากภูมิปัญญาท้องถิ่นเกิดขึ้นจากความรอบรู้ ประสบการณ์ แนวคิดที่สังคม หรือชุมชนได้ถ่ายทอดสืบสานต่อกันมา เพื่อใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นเพื่อผลในการดำรงชีวิตอย่างสุขกายสบายใจ
การจัดการศึกษามีหลักสูตรเป็นหัวใจและเป็นเครื่องมือถ่ายทอดเจตนารมณ์ หรือ เป้าประสงค์ของการศึกษาของชาติลงสู่การปฏิบัติ การที่หลักสูตรจะบรรลุจุดมุ่งหมายเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับขั้นตอนการนำหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียนเป็นสำคัญ เพราะโรงเรียนเป็นหน่วยปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดที่จะแปลงหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติจริงเพื่อให้เกิดผลกับผู้เรียน อันจะเป็นผลผลิตของการใช้หลักสูตรนั่นเอง (อำนาจ จันทร์แป้น, 2542. หน้า 93) ได้เสนอแนะไว้ว่า สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาหลักสูตรคือสถานที่ซึ่งผู้เรียนและผู้สอนมาพบกัน คือโรงเรียนนั่นเอง การพัฒนาหลักสูตรระดับโรงเรียนมีแนวคิดว่า โรงเรียนเป็นผู้รับภาระในการจัดการศึกษาให้กับชุมชน โรงเรียนจึงควรมีส่วนในการกำหนดหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์กับสภาพปัญหาและความต้องการ จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานศึกษาในชุมชน ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสานสัมพันธ์ และร่วมมือกับชุมชนและท้องถิ่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดย จัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่มีเนื้อหาสาระครอบคลุมทุกกลุ่มสาระตามที่ได้กำหนดไว้ใน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลาง
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกของคนในชาติให้มีความเป็นไทย ซึ่งมีส่วนที่เป็นเนื้อสาระ ได้แก่ กฎเกณฑ์ทางภาษาซึ่งผู้ใช้ภาษาต้องรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้อง นอกจากนี้วรรณคดีและวรรณกรรม ตลอดจนบทร้องเล่นของเด็กเพลงกล่อมเด็ก ปริศนาคำทาย เพลงพื้นบ้าน วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมซึ่งมีคุณค่า การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนวรรณคดี วรรณกรรม ภูมิปัญญาทางภาษาที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราว ของสังคมในอดีต ความงดงามของภาษาในบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองประเภทต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและความภูมิใจในสิ่งที่บรรพบุรุษได้สั่งสมบอกเล่าถึงความดี ความงาม การประพฤติตนไว้ในวรรณคดีและคติชน ซึ่งสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน (กรมวิชาการ, 2544)
จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ได้เล็งเห็นความสำคัญของการนำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการจัดการเรียนสอนภาษาไทย โดยกำหนดสาระและมาตรฐาการเรียนรู้ สาระที่ 4 : หลักการใช้ภาษา มาตรฐาน ท 4.1 : เข้าใจธรรมชาติของภาษาไทยการเปลี่ยนแปลงภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
สุพจน์ ชุมผาง, 2551: รายงานการวิจัยการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น
ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยหนังสือบทร้อยกรองประกอบภาพ เรื่อง ฮีตสิบสอง
ประเพณีการทำบุญประจำเดือนชาวอีสาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านท่ามะไฟหวาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ชัยภูมิ เขต 2 อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ
บทคัดย่อ
ผลการวิจัยพบว่า การสำรวจความต้องการของผู้บริหารโรงเรียน กรรมการสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน มีความเห็นสอดคล้องกันกับนโยบายของสถานศึกษาและมีความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น คิดเป็นร้อยละ 97.43 ได้หลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตร หนังสือบทร้อยกรองประกอบภาพจำนวน 12 เล่ม การประเมินหลักสูตร แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน พบว่ามีค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.6 – 1.0 ซึ่งเป็นค่าดัชนีความสอดคล้องที่ยอมรับได้ ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนของนักเรียนกลุ่มทดลอง และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้หลักสูตรสถานศึกษาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แบบสัมภาษณ์ครูผู้สอนกลุ่มทดลอง กลุ่มเผยแพร่มีความเหมาะสมสัมพันธ์เชื่อมโยงและสอดคล้องกัน ผลการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้หลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น มีค่าเฉลี่ย 3.93 กลุ่มเผยแพร่ 3.78 ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดี
ดูดีนะคะ