ตอนที่
๑
ตอนที่
๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ผมขอบทความที่มองระบบการศึกษาไทยอย่างครอบคลุมรอบด้าน
และเห็นภาพเชิงประวัติศาสตร์ ของ ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร
นักวิทยาศาสตร์และนักการศึกษาที่ดีและเก่งที่สุดคนหนึ่งของสังคมไทย
เอามาเผยแพร่ต่อดังต่อไปนี้ โดยที่บทความนี้ยาวกว่า ๕๐
หน้า จึงทยอยลงหลายตอน
ขอชักชวนให้ค่อยๆ อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์
จะได้ประโยชน์มาก
ต่อจากตอนที่
๔
มองไปในอนาคต ประเทศไทยจะยังมี 4
คลื่นพร้อมกัน คือ
คลื่นเกษตรที่ยังใหญ่อยู่
คลื่นอุตสาหกรรม คลื่นไอที
และคลื่นวิทยาศาสตร์ใหม่บนฐานชีวภาพ
เป็นความรับผิดชอบของเราชาวอุดมศึกษาที่จะต้องมองให้เห็นสิ่งเหล่านี้
ผมเห็นว่าเราต้องสลัดกระบวนทัศน์ตะวันตกซึ่งไม่มีคลื่นเกษตร
ไม่มีสังคมเกษตร
ระบบการศึกษาตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษาของเราออกแบบโดยมีกระบวนทัศน์ของโลกอุตสาหกรรมและโลกการบริการ
ไม่มีโลกเกษตร นอกจากนั้นขณะนี้เป็นยุคสมัยแห่ง
Convergence of disciplines คือ
การที่หลากศาสตร์หลายสาขาวิชา สอบ
หรือบรรจบ และหลอมรวม(converge และ intersect)
เป็นแนวโน้มใหม่ของโลก
ที่เป็นกระบวนใหม่ที่สร้างความรู้ใหม่และเกิดความรู้ใหม่
มหาวิทยาลัยจะทำอย่างไร
ผมมองว่าเป็นความท้าทายที่เราจะตั้งคำถามและหาคำตอบว่าเราจะสร้างภาคเกษตรที่ยังมีขนาดใหญ่จากสภาวะที่ศาสตร์บรรจบกัน(ต่างจากสภาพคลื่นพัฒนาของตะวันตกกว่าหนึ่งศควรรษมาแล้ว
ที่ศาสตร์ยังบรรจบกันน้อย)
ให้เกิดเกษตรฐานเทคโนโลยี
เกิดเป็นฐานความเข้มแข้งของภาคสังคมกับภาคการผลิตได้อย่างไร
เมื่อก่อนนี้ 50-60 ปีมาแล้วหรือก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ภาคเกษตรผลิตเพียงอาหาร (Foods) ให้คนเป็นหลัก ต่อมามีการผลิตอาหารสัตว์ (Animal Feeds) แต่ในสิบปีที่ผ่านมาเพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นและแนวโน้มสภาวะโลกร้อนชัดเจน ผลผลิตจากภาคเกษตรใช้ผลิตเชื้อเพลิง (Fuels) เพื่อลดการพึ่งเชื้อเพลิงจากฟอสซิล ต่อไปผลผลิตภาคเกษตรจะเป็นสารเคมีตั้งต้นของกระบวนการอุตสาหกรรม (Chemicals Feed stocks ) และผลิตสารออกฤทธิ์ (Pharma ซึ่งย่อจาก bio-pharmaceutical)) ภาคเกษตรจะเป็นฐานการผลิตทั้งหมดของอนาคต ผลผลิตภาคเกษตรไม่ใช่อาหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ผลิตทั้ง Foods, Feeds, Fuels, Feedstock และ Pharma โดยนัยยะนี้ ภาคเกษตรจะอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ เกษตรต้องเชื่อมกับต้นน้ำคือวิทยาศาสตร์และปลายน้ำคือวิศวกรรมสาสตร์ นอกจากนั้นเราต้องตระหนักว่า ภาคเกษตรของไทยยังสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเป็นกลไกความมั่นคงเชิงสังคม (Social safety net) ลองคิดกันดูว่าเมืองไทยนั้นหากไม่มีภาคเกษตรรองรับ เมื่อเผชิญภาวะวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คนตกงานจากภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเพราะวิกฤติเศรษฐกิจยังกลับไปทำกินภาคเกษตรได้ ยังมีอาหารกิน เมื่อสองสามปีที่ผ่านมาอาหารทั่วโลกมีราคาแพง คนแย่งชิงอาหาร แต่คนไทยมีอาหารกินพอในราคาที่ซื้อกินได้ ตอนนี้ปี 2552 เราก็พบวิกฤติเศรษฐกิจ คนก็จะตกงานจากเมืองและกลับมาสู่ภาคการเกษตร ถ้าไม่มีภาคเกษตรเหลืออยู่ คนไทยอาจพบภาวะสงครามกลางเมืองเรื่องคนตกงานไม่มีกิน และพบสภาพการไม่มีอาหารไปแล้ว ดังนั้นผมจึงมองว่า ในยุคสมัยที่หลากศาสตร์มาบรรจบกัน ภาคการเกษตรใหม่จึงควรเป็นฐานความมั่งคงทางสังคมและฐานการผลิตของเศรษฐกิจที่สำคัญได้ มหาวิทยาลัยต้องสร้างและรักษาภาคเกษตรที่ได้รับการปรับเป็นฐานความรู้ไว้ให้ได้
บทความชุดนี้เป็น master piece ด้านให้ความลุ่มลึกในการทำความเข้าใจระบบการศึกษาไทย ต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์จึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่
วิจารณ์ พานิช
๒๖ พ.ค. ๕๒
เรียนท่านอาจารย์หมอที่เคารพ
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ก็จะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่สะท้อนว่าความมั่นคงทางอาหาร และความมั่นคงเชิงสังคม เราจะมี buffering capacity ได้เท่าไหร่ และมีพฤติกรรมต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างไร
นิสิต คำหล้า