หมอบ้านนอกไปนอก(100): คู่คิดคู่ขวัญ


ในยามที่เราต้องเจอกับอุปสรรค ความทุกข์ยากหรือวิกฤติในชีวิต เราต้องพยายามตั้งสติให้มั่นเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด สติมาปัญญาเกิด และพลังทั้ง 4 แห่งชีวิตจะคอยเกื้อหนุนเรา ทั้งพลังใจจากคนที่เรารักและรักเรา พลังเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่เราเคารพบูชา พลังกตัญญูกตเวทิตาต่อผู้มีพระคุณและพลังแห่งคุณความดีที่เราได้กระทำ จะเป็นตัวหนุนช่วยให้ทุกข์ทุเลาเบาบางลงได้

(100): คู่คิดคู่ขวัญ

ขิมกับขลุ่ยสนุก ตื่นเต้น เริงร่ากับการนั่งเครื่องบิน คงจะเบื่อกับการนั่งรถไฟมาทุกวัน มองลงจากเครื่องบินเห็นบ้านเมืองของเจนีวาที่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก พอขึ้นไปสักพักก็ทะยานไปอยู่เหนือเมฆฝนพบแสงแดดเจิดจ้า เมฆขาวเป็นปุยเคียงข้างเครื่องบินที่เรานั่ง ผม เอ้และเด็กๆนั่งเครื่องบินไปด้วยความสบายใจ การท่องเที่ยวเส้นทางยาวสิบวันใกล้บรรลุจุดหมายปลายทางแล้วในวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2551 ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี จน 21:00 น. ฟ้าก็ยังไม่มืด เริ่มมองเห็นทิวทัศน์เหนือนครบรัสเซลส์แล้วเครื่องก็ลงจอดในเวลา 21:07 น. ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ

เที่ยวบินขาไปบรัสเซลล์-เวียนนา เป็นประเทศในกลุ่มแช็งเก้นของสหภาพยุโรป จึงไม่มีการตรวจคนเข้า-ออกเมือง เหมือนเป็นการบินภายในประเทศ แต่ขากลับจากเจนีวา-บรัสเซลส์ เป็นการบินจากนอกแช็งเก้นเข้ามา เหมือนเครื่องบินระหว่างประเทศทั่วไปที่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และที่จุดนี้ผมก็ต้องเผชิญเหตุการณ์ระทึกขวัญอีกรอบทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นวิกฤติและเริงร่าได้ไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าการจัดตารางเที่ยวคราวนี้ยังมีจุดอ่อนสำคัญคือปิดการเดินทางในวันอาทิตย์ที่หากมีปัญหาอะไรจะแก้ไขได้ยากเพราะฝรั่งถือว่าวันอาทิตย์เป็นวันหยุดพักผ่อนของครอบครัว เขาจะไม่ทำงานกัน เวลาติดต่ออะไรกับใครก็จะยุ่งยาก และการเดินทางโดยเครื่องบินควรบินจากประเทศในกลุ่มแช็งเก้นด้วยกันจะสะดวกกว่า

เราเดินออกจากเครื่องบินไปตามทางเดินผู้โดยสารขาเข้าที่คุ้นเคยพอควร เดินคุยกันมาอย่างร่าเริงเพราะใกล้กลับถึงบ้านพักและจะกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้นนี้แล้ว ผมกับเอ้ยื่นพาสปอร์ตและบัตรประชาชนชั่วคราวของเบลเยียมผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ปรากฏว่าของแคน ขิม ขลุ่ยกลับไม่ได้ผ่าน บัตรแข็งกระดาษสีขาวทั้งสามใบที่ได้มาจากทางอำเภอของแอนท์เวิป กลับไม่ใช่บัตรประชาชนชั่วคราวแบบของผมกับเอ้ เป็นเพียงบัตรประจำตัวเด็กธรรมดา ไม่ใช่ใบแทนวีซ่าเหมือนของพ่อแม่ ทั้งๆที่ตอนเข้าไปขอบัตรนี้ เอ้ก็คุยกับทางเจ้าหน้าที่ของอำเภอแล้ว เขาก็บอกว่าไม่มีปัญหา ตอนนั้นของเอ้ต้องจ่ายเพิ่ม 90 ยูโรเพื่อขอแบบทางด่วน ส่วนของลูกๆไม่ต้องออกให้ได้เลย ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ผมก็ชักเอะใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็ประมาทเกินไป ไม่ได้ไปถามเจ้าหน้าที่สถาบัน ว่าใช้แทนแช็งเก้นวีซ่าได้จริงไหม

แคน ขิม ขลุ่ยตกอยู่ในสภาพบุคคลหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่มีวีซ่าเพราะวีซ่าที่ทางสถานทูตให้มาจากกรุงเทพฯเป็นแบบเข้าเมืองครั้งเดียว ประเทศเดียว ออกนอกเบลเยียมก็ไม่ได้ ที่เขาให้แบบนี้เพราะเราทำเรื่องแบบขอติดตามมาอยู่กับครอบครัวระยะยาวเกินสามเดือน ซึ่งขอยุ่งยากมาก ผมมาคิดดูแล้วขอวีซ่าแบบท่องเที่ยวสามเดือนสะดวกและง่ายกว่า หลักฐานประกอบน้อยกว่าและได้แบบแช้งเก้น เข้าออกหลายครั้งได้เลย (Schangen Visa, multiple entries) เราทั้งหมดถูกกักตัวไว้ในพื้นที่เฉพาะสำหรับบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมายของด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมเข้าไปชี้แจงกับเขา เล่าให้เขาฟังว่าเราได้ยื่นหลักฐานเพื่อดำเนินการเรื่องนี้แล้ว และทางอำเภอก็ให้มาแบบนี้ ผมบอกเขาว่าเราขอไปพร้อมๆกับของภรรยาผมที่ได้บัตรอย่างถูกต้อง เขาบอกว่าเขาเข้าใจ เพราะพ่อแม่มีบัตรวีซ่าถูกต้อง เข้าใจว่าเราไม่ได้เจตนาเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย

เจ้าหน้าที่บอกเราว่า เขาเชื่อว่าเราไม่ตั้งใจทำผิด เป็นความผิดพลาดของทางอำเภอเอง แต่ไม่ใช่ความผิดของเรา เราก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเราเป็นคนผิด เขาพยายามติดต่อกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของเขาเพื่อสอบถามว่าจะให้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ทางอำเภอออกบัตรให้เราไม่ถูกต้อง ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเองก็ต้องรอการสั่งการจากระดับกระทรวง เรารออยู่เป็นชั่วโมง ผมเข้าไปถามเขาเป็นระยะๆ เขาบอกว่าให้รอก่อน เราออกไปไหนไม่ได้ ถูกกักกันอยู่ในห้องนั้น แคน ขิม ขลุ่ย ใจเสียหน้าเสีย เกือบจะร้องไห้กัน ผมบอกลูกๆว่าเมื่อเราเจอวิกฤติอย่าลนลาน ให้ทำใจให้สงบ เราต้องทำใจให้นิ่ง มีสมาธิ มีสติ จะได้ปัญญาคิดแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้นไปให้ได้ ผมพยายามทำใจให้นิ่งอย่างที่พูด ไม่ออกอาการให้ลูกเห็น แต่ในใจวิตกระวนกระวายอย่างมาก เราจะผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างไร

ผมเข้าไปหาตำรวจ พยายามอธิบายให้เขาว่าเราไม่ผิด เป็นความผิดพลาดของทางอำเภอ ตำรวจก็บอกว่าเขารู้ว่าเราไม่ผิด แต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว เขาบอกให้เราอดทนรอไปก่อน เขากำลังพยายามช่วยเราอยู่ ผมคิดถึงคนที่จะพอช่วยเราได้ในยามคับขันเช่นนี้ ในห้องนี้มีโทรศัพท์สาธารณะสองเครื่องเป็นแบบหยอดเหรียญ 1 เครื่องและแบบใช้บัตร 1 เครื่อง ผมนึกถึงทีน่า ภรรยาอาจารย์โกรเวิร์ตที่พาเอ้ไปฝึกงาน โทรหาเขา คุยกันได้แค่แป๊บเดียว เหรียญที่มีแค่ 2 ยูโรก็หมด โทรศัพท์มือถือก็แบตเตอรี่หมดใช้ไม่ได้ เดินไปอ่านรายละเอียดเครื่องใช้บัตรแล้วก็ตัดสินใจซื้อบัตรใบละ 10 ยูโร (International prepaid phone card) จากเครื่อง ต้องกดรหัสบัตรอยู่พักใหญ่กว่าจะใช้โทรได้ ทีน่าบอกว่าเขาจะพยายามติดต่อเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยให้เพื่อหาทางช่วยเหลือเรา ผมผิดพลาดที่ไม่ได้บันทึกเบอร์โทรของศูนย์บริการนักศึกษาหรือของเฮลกาไว้ ซึ่งเขาเคยบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้ติดต่อกับเขา จะได้หาทางช่วยเหลือได้

ผมนึกถึงหลวงพ่อ (พระสุธีญาณวิเทศ) วัดไทยธรรมาราม โทรหาหลวงพ่อๆให้เบอร์โทรของกงศุลอัครพงษ์ที่แอนท์เวิป ผมกดโทรศัพท์ไปหาท่านกงสุลแต่ก็ไม่มีคนรับสาย กดอยู่นานหลายครั้ง เลยกดเบอร์โทรแบบฮ็อตไลน์ฝากข้อความไว้ ผมก็ฝากข้อความไว้ว่าผมเป็นนักศึกษามาเรียนปริญญาโทที่ไอทีเอ็ม ออกไปเที่ยวสวิสแล้วถูกกักตัวที่สนามบิน ขอความช่วยเหลือจากท่าน ผมโทรกลับไปหาหลวงพ่ออีกครั้ง เรียนท่านว่าผมติดต่อท่านกงสุลไม่ได้ หลวงพ่อท่านก็ใจดีหาเบอร์เจ้าหน้าที่สถานทูตให้ ผมโทรหาคุณกำพล เล่าเรื่องให้ฟัง เขารับปากจะติดต่อผู้ใหญ่สถานทูตให้ช่วยเหลือเรา แต่ท่านทูตไม่อยู่ กลับไปราชการเมืองไทย คุณกำพลรับปากว่าเขาจะหาทางช่วยเหลือเต็มที่และให้กำลังใจเรา ผมโทรหาหลวงพ่ออีกครั้ง ท่านบอกว่าให้เราสวดมนต์ภาวนาและท่านก็จะทำสมาธิภาวนาช่วยเราอีกทางหนึ่ง

ผมนั่งรอความช่วยเหลือจากบุคคลภายนอกโดยไม่รู้ชะตากรรมว่าเขาจะช่วยเราได้หรือไม่ ท่ามกลางความกระวนกระวายใจอย่างหนักของผมกับภรรยา แต่ผมต้องสกัดกั้นความรู้สึกเอาไว้ ผมอยากร้องไห้กับความสะเพร่าของตนเองที่ไม่ตรวจสอบบัตรของลูกให้ดีก่อน ผมพยายามทำใจให้สงบ ไม่แสดงอาการกระวนกระวายให้ลูกๆเห็น ไม่อยากให้ลูกตกใจไปมากกว่านี้ ผมนั่งคิดว่าถ้าเขาไม่ยอมให้ลูกเราออกไปจริงๆและต้องส่งตัวกลับเมืองไทยทันทีหรือในเช้าวันพรุ่งนี้ เราจะทำอย่างไร กระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของที่บ้านพักก็ยังจัดไม่เสร็จ ใบปริญญาก็ยังไม่ได้ไปรับ บัญชีเงินในธนาคารก็ไม่สามารถใช้เอทีเอ็มกดได้เพราะเขาอายัดไว้ให้ไปเบิกและปิดบัญชีด้วยตนเองก่อนเดินทางกลับเมืองไทย ถ้าให้เอ้ออกไปเพื่อจัดเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วเอ้จะไปคนเดียวได้อย่างไร แล้วจะขนกระเป๋าใบใหญ่ 5-6 ใบนั้นมาอย่างไร จะไปติดต่อสถาบันให้ผมได้อย่างไร ถ้าผมออกไปเองเอ้อยู่กับลูก จะอยู่ได้หรือไม่ ผมจะสามารถจัดเก็บกระเป๋าขนข้าวของมาได้อย่างเรียบร้อยหรือไม่ เพราะข้าวของเครื่องใช้ของพวกเราทั้งห้าคนมีไม่น้อย ถ้าจัดไม่ดีจริงก็ใส่กระเป่าได้ไม่หมด แต่ถ้าลูกๆออกไปไม่ได้จริงๆ ผมก็ต้องออกไปคนเดียว กลับบ้านไปเก็บกระเป๋ามาในวันรุ่งขึ้น น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

เรานั่งคอยอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบๆ มีม้านั่งยาวอยู่สองตัว ผมนั่งทำใจสงบ พยายามหลับตาทำสมาธิภาวนาขอให้หลวงพ่อทันใจศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดพระบรมธาตุบ้านตากและเสด็จเตี่ย (พลเรือเอก พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์) ที่ผมนับถือศรัทธา ผมมีเหรียญเสด็จเตี่ยที่พ่อผมมอบให้ผมติดตัวไปตลอดที่เดินทางไกล ไปประชุมต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ การไปเบลเยียมในครั้งนี้ผมก็นำเหรียญของพระองค์ท่านติดตัวไปกราบไหว้บูชาด้วย ผมขอให้ท่านช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ท่านเป็นที่พึ่งทางใจให้ผมผ่านพ้นวิกฤติการณ์ต่างๆในชีวิตเสมอมา

แคนบอกว่า เขารู้สึกได้เลยว่า การอยู่ในห้องแคบๆเป็นเวลานานๆโดยออกไปไหนไม่ได้ มันอึดอัดมาก คงเหมือนความรู้สึกของปลาหรือนกที่ถูกจับมาขังไว้ ขลุ่ยบ่นออกมาว่าพ่อเมื่อไหร่เขาจะให้เรากลับบ้านซะที ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง ยังไม่มีใครติดต่อกลับมา ผมเข้าใจลึกซึ้งกับคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การรอคอยที่ไม่รู้ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ไม่รู้อนาคตเป็นสิ่งที่ทรมานมาก ลูกๆเริ่มง่วงแต่ไม่งอแง ไม่ดื้อ ไม่ซน เชื่อฟัง คงคิดว่าแค่นี้พ่อแม่ก็เครียดวิตกกังวลมากอยู่แล้ว ผมกับภรรยานั่งม้านั่งติดกัน เรากุมมือกันและกันไว้ สบตากัน ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆและพลังใจให้กันและกัน ให้กำลังใจกัน ผมบอกลูกๆเหมือนเมื่อตอนนั่งแท็กซี่จากทะนง เล บังส์ ว่าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เราทำความดีมาตลอด ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากโดยไม่หวังผลตอบแทน กตัญญูกตเวทิตากับทุกคนที่มีพระคุณ สิ่งเหล่านี้น่าจะกลับย้อนมาช่วยเราเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก

ดึกมาแล้ว การเดินทางติดต่อกันโดยไม่ได้พักทำให้เด็กเหนื่อยและล้า ขิมนอนหนุนตักพ่อ แคนกับขลุ่ยนอนหนุนตักแม่คนละข้าง มือขวาของผมลูบศีรษะลูกสาวอย่างแผ่วเบาให้ลูกหลับให้สบายใจ พ่อจะไม่ทิ้งไปไหน จะอยู่ปกป้องดูแลลูก ส่วนมือซ้ายของภรรยาก็ลูบศีรษะของแคนกับขลุ่ยสลับกันไปในทำนองเดียวกัน มือซ้ายของผมจับกันแน่นกับมือขวาของภรรยา สบตากันอย่างเข้าใจเห็นใจกัน เติมกำลังใจให้กันและกันตลอดเวลา เราทั้งห้าคนจึงเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของกันและกันที่รับรู้สุขทุกข์ เข้าใจ ประคับประคองความรู้สึกของกันและกันไว้ท่ามกลางภาวะที่ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร โลกป้อนความสุขและความทุกข์ให้มนุษย์ทุกผู้ทุกนามอย่างเท่าเทียมกันเสมอ แต่เรามักคิดเสมอว่าความทุกข์ของเรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่น เพราะเรามองแต่ตัวเราเอง เราไม่ได้ทุกข์ด้วยเมื่อคนอื่นทุกข์ จึงไม่รู้ขนาดความทุกข์ของเขา เราจึงเห็นแต่ความสุขของคนอื่น ผมกับภรรยาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากมาด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน มีอะไรก็ปรึกษาให้กำลังใจกันมาตลอด กระทบกระทั่งทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างเป็นธรรมดาเหมือนลิ้นกับฟัน

 เกือบเที่ยงคืนแล้ว ผมขยับตัวค่อยๆประคองศีรษะขิมวางเบาๆบนม้านั่ง กลัวลูกจะตื่น ลูกหลับไปได้ เขาจะได้ไม่มานั่งทุกข์ใจกับเรา ผมเดินอย่างสงบเสงี่ยมบนร่างกายที่อ่อนล้าแต่จิตใจที่มุ่งมั่นที่จะฝ่าอุปสรรคนี้ไปให้ได้ ผมเข้าไปถามตำรวจ เขาบอกว่าเดี๋ยวก็จะได้ออกไปแล้ว เขากำลังช่วยให้เราออกไปได้ทั้งครอบครัว โดยเขาจะออกวีซ่าแบบวันเดียวให้ลูกๆทั้งสามคน แต่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำวีซ่าของแคนและขิมคนละ 60 ยูโร ส่วนขลุ่ยอายุไม่ถึง 7 ขวบเขาทำให้ฟรี เขาบอกว่าเป็นวีซ่าเฉพาะอยู่ในเบลเยียมได้แค่พรุ่งนี้อีกวันเดียว ผมก็บอกเขาว่าไม่มีปัญหาเพราะพรุ่งนี้เราก็จะกลับเมืองไทย มีตั๋วเครื่องบินอยู่แล้ว เขาถามว่ามีเงินจ่ายค่าวีซ่าไหม ผมบอกว่ามีแต่ต้องขออนุญาตออกไปกดเงินจากเอทีเอ็ม โชคดีที่บัตรเอทีเอ็มของกรุงไทยกดเงินจากตู้ที่เบลเยียมได้ ส่วนบัตรเอทีเอ็มของผมที่เบลเยียมถูกอายัดกดเงินไม่ได้แล้ว ผมจ่ายเงินพร้อมกับลูกๆได้วีซ่า ผมขอบคุณทางตำรวจที่เขาพยายามช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี

ออกมาถึงจุดรับกระเป๋า ไม่มีใครแล้ว เดินไปที่สำนักงานพนักงานเก็บกระเป๋าไว้ให้เรา เดินออกมาข้างนอก เกินเที่ยงคืนครึ่ง รสบัสไม่มี รถไฟหมกเวลาทำการไปแล้ว มีอีกทีตีห้า อีกเกือบห้าชั่วโมงจะนั่งรอหลับอยู่ที่สนามบินก็ไม่ไหว ตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลับบ้าน เขาคิดค่าบริการ 110 ยูโร ไม่มีทางเลือก น้องแคนบอกว่ามาคราวนี้พ่อต้องเสียเงินเยอะมาก ผมบอกลูกว่าเงินทองเป็นของนอกกาย เราหาใหม่ได้ง่าย แต่เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขของเราในครอบครัวกับความรักของพ่อแม่พี่น้องหาได้จากพวกเรากันเองเท่านั้น เอาเงินไปหาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว คนในครอบครัวต้องรักสามัคคีและช่วยเหลือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

โชว์เฟอร์ชายหนุ่ม พาเราขึ้นรถสภาพดีใหม่เอี่ยมพร้อมระบบจีพีเอส กลับสู่แอนท์เวิป เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึง เด็กๆหลับไปแล้ว ต้องปลุกลงจากรถ ถึงบ้านราวตีหนึ่ง รีบเก็บกระเป๋าบางส่วน เอาเสื้อผ้าที่ใส่ไปเที่ยวเตรียมไว้ซักพรุ่งนี้เช้า ดูอินเตอร์เน็ตติดตามตามข่าวคราว อาบน้ำเข้านอนเกือบตีสอง ก่อนหลับเสียงเพลงเรามีเราของแหวน ฐิติมาแว่วมาในใจ “แต่ก่อนแต่ไร ไม่เคยอุ่นใจ โดดเดี่ยวเดียวดาย ข้างกายไม่มีใครซักคน ฝ่าทางชีวิตทุกข์กายผจญ ฝ่าลมและฝนก็โดยลำพัง แต่มาวันนี้คลุกคลีกับเธอ อยู่เคียงข้างเธอ แล้วทำให้ใจมีพลัง จะเดินต่อไปไม่ยอมหยุดยั้ง หากเดินพลาดพลั้ง ฉันยังมีเธอ เราสองเคยผ่านชีวิตโดดเดี่ยว สองเราเคยเหนื่อยและท้อเต็มที หนทางยังอยู่แสนไกลจากวันนี้ เพียงเรามีเรา จะเดินไปทางใด ไม่หวั่น จับมือกันเดิน ด้วยใจอดทน ฝ่าลมและฝน ไม่ยอมหยุดยั้ง...เพียงเรามีเรา จะเดินไปทางใด ไม่หวั่น” หลับผล็อยไปเมื่อไหร่ไม่รู้

พิเชฐ  บัญญัติ (Phichet Banyati)

เขียนจากบันทึกประจำวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 เวลา16.35 น. (บรัสเซลส์)

1 มิถุนายน 2552

หมายเลขบันทึก: 264869เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2009 07:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2019 17:43 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

อ่านแล้วซึ้ง...นึกถึงเพลง'เรามีเรา'ที่เคยฟังในวัยเด็ก.

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท