วันที่สูญสิ้นอิสรภาพ


ผมติคุกที่คลองเปรม (สวนรมณ์มณีนาถ) อยู่ประมาณ ๔ เดือนกว่า อย่าถามว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหน

ตอนที่ 10

 วัยรุ่นตอนปลาย (ต่อ) 

เมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ตำรวจกรูออกมารวบตัวผมและเพื่อน ทันทีโดยไม่ได้ทันระวังตัวไม่ทันแม้กระทั้งจะขยับตัวทิ้งปืน  ทันทีที่ตำรวจจับตัวผมรีบดึงปืนจากเอวผมทันที ส่วนเพื่อนผมมีมีด  ๑ ด้าม ทั้งคู่โดนจับใส่กุญแจมือ  เมื่อเข้าไปในรถตำรวจคนหนึ่งพูดว่า เฮ้ยปืนมีตราโลห์ตำรวจด้วยนี่หว่า เอามาจากไหน  ผมนิ่งตำรวจจับมือผมซึ่งไคว้อยู่ด้านหลัง และบีบกุญแจมือให้แน่นผมร้องว่าเจ็บ ทันใดนั้นเองตำรวจอีกคนเอาสันมือตีไปที่ลำคอผมอย่างแรงและไม่ได้ทำแค่ที่เดียวตีที่ลำคอด้วยสันมือ ๓ ที เล่นเอาผมเจ็บคอไปหลายวัน  ตำรวจถามซ้ำอีกว่าเอาปืนมาจากไหนผมตอนนั้นคิดไม่ออกเลยบอกไปว่าของจ่าใจ  (จ่าใจเป็นตำรวจที่มาหารายได้พิเศษที่โรงแรมที่ผมทำงานอยู่โดยการเป็น รปภ.) 

 ตำรวจที่จับผมเป็นตำรวจท้องที่ลุมพินี  จ่าใจก็เป็นตำรวจท้องที่ลุมพินีเช่นกัน  พอถึงโรงพักปรากฏว่าตำรวจยัดผมเข้าห้องขังคนเดียวส่วนเพื่อนผมปล่อยตัวไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพกอาวุธเหมือนกันแต่ทำไมจับผมเข้าคุกคนเดียว  มารู้ตอนหลังว่ามีดเล็กไปความยาวไม่ถึงตามข้อกำหนดที่จะเอาผิดได้  ก่อนเข้าคุกมีการพิมพ์ลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว  ชื่อที่ใช้เข้าคุกตอนนั้นใช้ชื่อนายทศพร  ชัยพันธ์  ตั้งเองสด ๆ  ร้อน ๆ  อายุก็บอกน้อยไป ๑ ปี เพราะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน  แต่ตอนหลังเมื่อตำรวจตรวจสอบประวัติแล้วพบว่าเป็นชื่อปลอมก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อจริง  หลังจากที่ตำรวจควบคุมตัวไว้สองวันก็ส่งต่อไปยังบ้านเมตตา (บ้านเมตตาเป็นที่คุมขังเด็กชาย บ้านกรุณาจะเป็นที่คุมขังเด็กหญิง ที่มีความประพฤติไม่ดี)  อยู่แถวปากคลองตลาด เดี๋ยวนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ายังอยู่ที่เดิมหรือไม่ ทำไมต้องอยู่ไปอยู่บ้านเมตตาสาเหตุเนื่องมาจากตอนแจ้งเมื่อโดนถูกจับว่าอายุยังไม่ถึง ๑๘  ปี  อยู่บ้านเมตตา ๑ อาทิตย์ถูกส่งต่อไปเรือนจำพิเศษคลองเปรมเพราะอายุครบ ๑๘ แล้ว 

เรือนจำคลองเปรมปัจจุบันคือสวนรมย์มณีนาถ  อยู่ใกล้สถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ หลายแห่ง เช่นวัดสุทัศน์ เสาชิงช้า  โรงเรียนเบญจมราชาลัย สามแยกวรจักร เป็นต้น  วันแรกที่เดินเข้าคุกใหญ่  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสมบัติติดตัวมาต้องถอดออกหมด ยกเว้นเสื้อผ้าที่สวมใสมา  จำได้ว่าสมบัติไม่มีอะไรเลยเพราะก่อนหน้านั้นมีพระหนึ่งองค์ และเชือกตะกรุดพันลอบเอวอีกหนึ่งเส้นโดนถอดออกไปแล้วตอนเข้าสถานที่คุมขังเด็กบ้านเมตตา

                      

 และเมื่อตอนออกจากบ้านเมตตาขอคืนทางผู้คุมบอกไม่มีแล้วหายไปแล้ว  เมื่อเข้าคุกคลองเปรมปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณ 

                      

จึงไม่มีสมบัติอะไรติดตัวมาเลยแม้แต่สตางค์สักสลึงก็ไม่มี  เมื่อเข้าคุกคลองเปรมวันแรกถูกจัดให้นอนอยู่สถานแรกรับ ๑ คืน  หลังจากนั้นถูกส่งตัวไปคุมขังแดน ๕ หรือแดน ๘  ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าอยู่ในแดนที่คุมขังนักโทษที่ยังมีคดีความที่ยังไม่ได้ตัดสิน   คืนแรกในคุกนอนไม่ค่อยหลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ  จะเป็นเพราะว่ายังไม่ชินหรือเปล่าไม่รู้ สถานที่นอนเป็นห้องโถงนอนเป็นแถวยาวประมาณแถวละ ๑๐๐ คน นอนเอาหัวชนกับพนังห้อง ตรงกลางเว้นเป็นทางเดิน   ก่อนที่จะนอนมีการสวดมนต์และมีการเป่าแตรนอนเหมือนทหาร พอล้มตัวลงนอนสักพักได้ยินเสียงคนร้องโอดโอย  เหมือนคนโดนถูกตี  เกือบทั้งคืนจะได้ยินเสียงโอดโอยตลอดคืน 

รุ่งเช้าตี ๕ ต้องรีบลุกจัดเก็บที่นอนจริง ๆ แล้วที่นอนไม่มีอะไรมากมีผ้าห่ม ๑ ผืน หมอน ๑ ใบ พร้อมเสื่ออีก ๑ ผืน ทุกอย่างได้จากนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวมอบให้ หลังจากเก็บที่หลับที่นอนเรียร้อยแล้วรีบลงมาข้างล่างตึก มีการออกกำลังกายประมาณ ๑ ชั่วโมง หลังจากออกกำลังกายเรียบร้อยแล้วเตรียมตัวกินข้าวเช้า  เมื่อได้ยินสัญญาณทุกคนจะยืนเข้าแถวจากเรือนนอนแล้วเดินมาที่โรงอาหาร และเข้าแถวเดินเรียงเข้าประจำที่ให้ตรงกับจานที่ใส่ข้าวหนึ่งจาน และถ้วยใส่กับข้าวหนึ่งถ้วย  หลังจากนั้นเสียงนกหวีดดังขึ้นทุกคนจะนั่งลงจะนั่งยอง ๆ  นั่งขัดสมาท หรือนั่งตามถนัดสุดแล้วแต่แล้วต้องนั่งให้ตรงจานข้าวของแต่ละคน  อาหารเช้ามื้อแรกในวันนั้นมีผัดผักหนึ่งถ้วย และข้าวแดงหนึ่งจาน ข้าวสามารถเติมได้หากใครไม่อิ่มแต่กับข้าวจำกัด  ก่อนกินข้าวจะมีการกล่าวคำปฏิญาณให้รู้คุณค่าของข้าว เมื่อกล่าวเสร็จทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย 

สำหรับผมแล้ววันนั้น กินได้ไม่มากเพราะไม่เคยกินข้าวแดงมาก่อน  กินได้ไม่กี่คำน้ำตาล่วงลงใส่จานนึกถึงเรื่องต่าง ๆ นาว่าทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ ในเวลานั้นคิดถึงพ่อคิดถึงแม่   เสร็จจากกินข้าวแต่ละคนจะไปทำธุรส่วนตัวใครมีอะไรก็ไปทำ พอใกล้ ๘ โมงเช้าทุกคนจะเตรียมตัวเคารพเพลงชาติ  หลังจากนั้นจะมีการจัดกลุ่มคนเพื่อเข้าทำงานแต่ละหน่วยงานใครถนัดสิ่งใด หากเป็นนักโทษใหม่จะมี ผู้คุมนักโทษ และผชล. (ผู้ช่วยเหลือผู้คุมเป็นนักโทษเหมือนกัน) เป็นคนจัดให้เข้าตามงานที่เป็นงานเร่งด่วนตามแต่งานไหนจะขาดคน  สิ่งที่นักโทษใหม่ที่เข้าคุกเป็นวันแรกจะถูกจัดออกมาอีกต่างหาก ทุกคนจะต้องผ่านงานลงไปตักอุจาระในถังส้วมและลำเลียงไปรดน้ำผัก หากผู้ใดทำไม่ได้หรือไม่กล้าทำต้องเสียบุหรี่ ๓ ซอง (ผมเห็นบางคนก็ต่อลองขอลดเหลือ ๒ ซอง ผชล.ก็ยอม)   ตอนนั้นบุหรี่กรุงทองซองละ ๔.๕๐ บาท นักโทษคนใดจะจ่ายเป็นบุหรี่หรือคูปองก็ได้ 

ในคุกนั้นจะมีบุหรี่ขาย  เงินสดไม่มีใช้ต้องใช้คูปองแทน  คูปองจะมีให้เบิกตามที่ญาติฝากเงินเข้าไปให้และจะต้องเบิกกับผู้คุมซึ่งมีเวลาเบิกคือตอนเช้าหลังเคารพเพลงชาติ   ผมโชคดีในวันแรกที่ไม่ต้องลงไปตักอุจาระเพราะตอนระหว่างเข้าแถวเดินผู้คุมเดินผ่านมาแล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วถามผมว่าเรียนอยู่วิทยาลัยครูอุตรดิตถ์เหรอะ เพราะเห็นหัวเข็มขัดที่ผมใส่อยู่ ผมตอบว่าครับเรียนได้ไม่ถึงปีครับ  ผู้คุ้มบอกผมว่าเค้าเองเป็นศิษย์เก่า และเค้าก็ถามผมว่าบ้านอยู่ไหนผมบอกอยู่อุตรดิตถ์ เค้าบอกว่าตัวเค้าเองอยู่แพร่ ครับผู้คุมท่านนั้นเอาตัวผมออกมาจากแถว แล้วก็มานั่งคุยสักถามประวัติผมหลายอย่าง  เหมือนกับว่าคุยกันถูกคอกัน ผมถูกกันออกมาโดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรเลยในวันนั้น  ในคุกแดนที่ผมอยู่นั้นจะมีผู้คุมหลัก ๆ เลย ๒ คน  ชื่อป๋าใบ  กับป๋ายุทธ  คนที่คุยกับผมนั้นชื่อป๋ายุทธ คนในคุกร่ำลือกันว่าโหดกันทั้งคู่  แต่ป๋าใบจะโหดกว่าเยอะ  แต่เท่าที่ผมคุยกับป๋ายุทธดูแกก็ธรรมดา  อาหารในคุกมี ๓ มื้อ  กลางวันจะมีขนมแถมมาอีกอย่างแต่ส่วนมากจะซ้ำซากไม่ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ก็ถั่วแดงต้มน้ำตาล   ส่วนอาหารเย็นจะเป็นแกงมะเขืออ่อนใส่วิญญาณหมู  คือในถ้วยกับข้าวจะมีแต่มะเขือเสียเป็นส่วนใหญ่จะมีหมูอย่างมากไม่เกิน ๒ ชิ้น  เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต้องเตรียมตัวเพื่ออาบน้ำ 

ในคุกให้อาบน้ำวันละครั้งเดียวเท่านั้นคือตอนเย็นในการอาบน้ำเช่นกันจะมีการจัดแถวแล้วก็อาบกันเป็นรอบ ๆ และเป็นบล็อก ๆ  แต่ละบล็อกคนจะประมาณ  ๓๐ คนโดยมีสัญญาณนกหวีด จับเวลาให้อาบหมดเวลาต้องวางขันทันทีจะสะอาดหรือไม่สะอาดไม่สน  ขันต้องนำมาเองการอาบน้ำอาบจากอ่างกักเก็บน้ำที่ทำขึ้นมาโดยใช้อิฐบล็อกก่อขึ้นมาสูงประมาณ ๑ เมตรกว่า ๆ   คนที่เข้าคุกมาใหม่ ๆ จะถูกจัดให้อาบที่หลัง   วันแรกที่อาบน้ำตักอาบได้ ๕ ขันน้ำก็หมดแล้ว ขันที ๕ ก็ได้ไม่เต็มขันแถมมีตัวแมงตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ก้นถังขึ้นมาด้วย ผมสันนิฐานว่าหลายคนที่อยู่ในคุกนาน ๆ จะเป็นหิตก็เนื่องมาจากน้ำนี้แหละ หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นเรือนนอน  การนอนคืนที่สองนี่เองได้เห็นอะไร หลาย ๆ อย่าง  ในเรือนนอนแต่ละหลังจะมี ผชล. หลังละประมาณ ๕ คน  ซึ่งผมเองมารู้ทีหลังว่า  ผชล. ก็คือขาใหญ่นั่นเอง ขาใหญ่บางคนถูกตัดสินให้ติดคุกแล้วแต่ด้วยความที่ไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้คุม (เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน) จึงไม่ต้องย้ายไปอยู่แดนอื่นขาใหญ่นี้จะมีลักษณะพิเศษดูแล้วหน้ากลัวพูดจากระโชกโฮกฮากทำตัวเป็นนักเลงนึกจะตบใครก็ตบหากพูดจาไม่ถูกหู หรือคิดจะมาทำซ่าโดนตบทุกราย  

คนที่เข้าคุกในวันที่สองนี้จะโดนขาใหญ่เรียกเข้าไปนอนด้วยข้าง ๆ  จะทำอะไรกันบ้างผมไม่เห็นเพราะมีผ้าห่มปิดคลุมไว้  ผมโชคดีเพราะว่าพวกขาใหญ่เห็นผมคุยกับป๋ายุทธทั้งเช้าและบ่าย  มันคงคิดว่าผมกับป๋ายุทธคงรู้จักสนิทสนมกันถึงได้คุยกันตั้งนานอีกอย่างป๋ายุทธพูดบอกกับขาใหญ่คนหนึ่งว่าน้องกูอยู่บ้านเดียวกัน เลยทำให้ขาใหญ่ไม่ค่อยมากล้ายุ่งกับผม  ผมได้บารมีของป๋ายุทธคุมหัวอยู่ในคุกผมไม่ต้องทำอะไรเลย ผมอยู่ได้ ๔ วัน แม่และพี่สาวมาเยี่ยม วันนั้นได้กินข้าวและขนมจากการที่แม่มาเยี่ยม การพูดคุยกับแม่และพี่สาวโดยผ่านท่อเหมือนกับท่อน้ำรางน้ำฝนห่างกันประมาณ ๓ เมตร ที่ผมอยู่นั้นจะเป็นห้องและมีตาข่าย การพูดคุยเมื่อญาติมาเยี่ยมจะเรียกให้ญาติเยี่ยมครั้งละ ๑๐ คน  การพูดคุยกันเสียงดังมากเลยต้องมีท่อไว้สำหรับพูดของใครของมัน  คนหนึ่งจะมีเวลาพูดประมาณ ๑๐ นาที  ตอนใกล้จะจบผมก็บอกแม่ว่าช่วยฝากเงินไว้ให้ด้วย 

เพอิญมองไปเห็นคนที่เคยติดคุกแดนเดียวกันที่เพิ่งออกจากคุกมาเยี่ยมเพื่อนที่ยังไม่ออกจากคุกข้าง ๆ  เห็นผมพูดคุยอยู่กับแม่คุยกันเรื่องจะให้ฝากเงิน รีบอาสาว่าจะช่วยฝากให้  ผมเองเคยเห็นหน้าตอนอยู่ในคุกอีกอย่างเพื่อนมันก็ยังอยู่คิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไร  แม่ฝากตังค์ไว้ให้ผม  ๑๐๐  บาทตอนนั้นถือว่าเยอะมาก  รุ่งเช้าผมขอเบิกเงินคูปองแต่ปรากฏว่าในบัญชีคูปองไม่มีเงินเลย  จึงเบิกไม่ได้  จึงได้รู้ว่าโดนหลอกเอาเงินไปแล้ว  อาทิตย์ต่อมาแม่มาเยี่ยมอีกจึงบอกกับแม่ว่าเงินที่ฝากไว้เมื่อครั้งที่แล้วไม่ได้รับเพราะไอ้คนที่มันเอาเงินจากแม่ไปฝากให้ผมมันไม่ได้เอาเข้าบัญชีให้ผม ครั้งนี้แม่เลยไปฝากเองเลย  แม่มาเยี่ยมทุกครั้งแม่จะร้องไห้ทุกครั้ง  อาทิตย์ไหนที่แม่ไม่มาผมก็ฟังการเรียกชื่อของนักโทษอื่นที่ได้รับการมาเยี่ยมจากญาติของนักโทษของแต่ละคนหากเป็นคนรู้จักกันก็จะมีขนมมากินด้วยกัน  ตอนแม่มาเยี่ยมผมก็มีขนมหลาย ๆ อย่างที่แม่มาเยี่ยมก็จะมีเพื่อนที่รู้จักกันในคุกมากินด้วยกัน  ส่วนใหญ่แม่จะบอกว่าจะมาเยี่ยมเมื่อไหร่ อยู่ในคุกมีอะไรก็แป่งปันกันจะแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ใครกลุ่มมัน 

 ผมติคุกที่คลองเปรม (สวนรมณ์มณีนาถ) อยู่ประมาณ ๔ เดือนกว่า อย่าถามว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหน  คนติดคุกถ้าติดนาน ๆ แล้วดูเหมือนจะชินแต่ถ้าคนติดน้อย ๆ  จะเข็ดไม่อยากจะเข้าไปอีก  ติดคุกอยู่ ๔ เดือนกว่า  ๆ เพื่อนแม้แต่คนเดียวไม่มีใครไปเยี่ยม  คำโบราณที่พูดกันว่าเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายากนั้นเป็นความจริง แต่ผมไม่เคยที่จะเข็ดจากการที่จะมีเพื่อน  อยู่ในคุก  ๑๕ วันต้องไปขึ้นศาล ๑ ครั้ง พอไป ก็สืบพยานฝากขังต่อไปเรื่อย ๆ  จนสุดท้ายเมื่อทางเรือนจำบอกว่าวันนี้จะเป็นวันตัดสิน ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตและชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร

คำสำคัญ (Tags): #หายาก
หมายเลขบันทึก: 262549เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2009 21:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีครับ

การนึกถึงความหลังก็เป็นกำลังใจอย่างหนึ่งครับ ประสบการณ์ของชีวิตคือครูสอนตนเองให้เกิดปัญญาหากมีสติ มีความระลึกได้ คนเช่นนี้ย่อมเป็นคนดีได้เสมอครับ

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ คุณเดชา

         ขอบคุณ และดีใจที่แวะเข้ามาเยี่ยม มนุษย์ไฟฟ้าเหมือนกันครับ  ถูกต้องที่สุดครับประสบการณ์ของชีวิตคือครู

         ด้วยจิตคาราวะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท