ตอนที่9
วัยรุ่น ตอนปลาย (ต่อ)
เรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวเมื่อตอนที่แล้ว ผู้มีอำนาจปกครองประเทศสมัยนั้นคือรัฐบาลถนอม ประภาส ก่อนที่จะเกิดเหตุกราณ์ วันที่ 14 ตุลาคม 2516 มีเหตุกราณ์จับกุมนิสิตนักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลเผด็จการถนอมประภาส ผมเองร่วมกิจกรรมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษา โดยใช้เวลาว่างจากงานที่ทำในช่วงเย็นจะไปนั่งฟังปราศรัยที่ลานโพธิ์เกือบทุกวัน การไปนั้นไม่ยากนั่งรถเมล์นายเลิศซึ่งจะมีด้วยกันสามสาย ก็คือ สาย 2 (สำโรง – ปากคลองตลาด) หรือไม่ก็นั่งสาย 48 (บางจาก- วัดโพธิ์ ) ไปลงยังจุดที่ใกล้สนามหลวงมากที่สุดแล้วก็เดินเข้าธรรมศาสตร์ วันสุดท้ายที่จะเกิดวันวิปโยค 14 ตุลา ผมจำได้ว่าในคืนนั้นผมนั่งฟังการปราศรัยจนถึงเช้า และรุ่งเช้ามีการเดินขบวนไปที่วังสวนจิตรลดา และคิดว่าวันนั้นน่าจะเป็นวันสุดท้ายในการประท้วงในครั้งนั้น เพราะมีข่าวปล่อยออกมาว่ารัฐบาลยอมแล้ว แต่ก็มีอีกข่าวหนึ่งบอกว่ารัฐบาลไม่ยอมให้ คณะของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาประชาชนที่จะเดินไปพระมหาราชวังสวนจิตรลดา มีการปิดกั้นบางจุด เช้านั้นผมขึ้นหลังคารถเมล์ไปยังสวนจิตรลดาด้วยความดีใจนึกว่าเราชนะแล้ว
ด้วยความดีใจในขณะนั้นเมื่อไปถึงสวนจิตรลดามีการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีจบต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกับ ผมเองรีบกลับไปที่ทำงานเพราะต้องทำงานในตอนเช้าแต่เมื่อกลับไปถึงที่ทำงานวิทยุประกาศว่ามีการประทะกันเกิดขึ้น วิทยุประกาศมีนิสิตนักศึกษาและประชาชนว่ายน้ำข้ามคูน้ำเพื่อที่จะเข้าไปในพระมหาราชวัง ตำรวจใช้กำลังสกัดไม่ให้ฟูงชนเข้าไปในพระบรมมหาราชวังอย่างเต็มที่ ด้วยความที่ใจร้อนได้ข่าวเช่นนี้ลางานทันทีเพื่อไปดูเหตุกราณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมนั่งรถเมล์จนมาถึงโรงหนังปารีสสะพานขาวรถเมล์เตรียมที่จะเลี้ยวกลับบอกว่าไปต่อไม่ได้ทางปิด ขอให้ผู้โดยสารลงหรือใครจะนั่งกลับก็ได้ ผมลงจากรถเดินต่อจากแยกปารีสมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์
ประชาธิปไตยตามเส้นทางถนนหลานหลวง ระหว่างเดินเห็นคนวิ่งสวนกับมาตระโกนว่ายิงกันแล้วและร้องไห้ออกมา ผมมารู้ทีหลังว่าคนที่วิ่งออกมาร้องไห้นั้นเพราะโดนแก๊สน้ำตา ทหารยิงแก๊สน้ำตาหลายลูกมาก ผมพยายามทั้งเดินและวิ่งไปยังจุดที่เกิดเหตุให้ใกล้ที่สุดเพื่อที่จะไปดูว่ามันยิงกันแล้วจริง ๆ หรือ เมื่อมาถึงสำนักงานการบินไทยหลังกรมโยธาธิการก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พอดีสำนักงานติดกับตึกการบินไทยแถว ๆ บริเวณนั้นเปิดอยู่ผมเห็นมีคนเข้าไปผมเข้าตามไปด้วยขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้าเพื่อดูเหตุกราณ์ข้างล่างว่าเป็นอย่างไรบ้าง ภาพที่เห็น ๆ ทหารอยู่กระจัดกระจายเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มากเท่ากับนิสิตนักศึกษาประชาชนที่อยู่เลยโรงหนังเฉลิมไทย (อนุสาวรีย์รัชการที่ 3 ปัจจุบัน) เต็มไปหมด ถนนทุกเส้นทางตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ เห็นผู้คนเยอะมาก กำลังจะเดินไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และมีเสียงปืนดังเป็นระยะ ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการยิงขู่หรือยิงยิงแก๊สน้ำตา เมื่อเสียงปืนหยุดผมรีบลงจากดาดฟ้าเพื่อที่จะไปสมทบที่อนุสาวรีย์ทันที คืนวันนั้น อยู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ทั้งคืนในคืนนั้นมีการปราศรัย สลับกับดนตรีชิ้นเดียวตลอดคืน เช้ามาคนยิ่งมากเวทีเหมือนเดิมมีการปราศรัยกันดุเด็ดเผ็ดมัน ผมเองในช่วงนั้นไม่มีใครมอบหมายหน้าที่ให้แต่จะรับหน้าที่เหมือนกับเป็นกราด์อะไรช่วยได้ก็ช่วยทุกอย่างในตอนนั้น หนึ่งในภาระกิจก็คือคอยปกป้องแกนนำในการประท้วงในตอนนั้น ชื่อในตอนนั้นเรียกกลุ่มตัวเองว่าหน่วยฟันเฟือง หรือกลุ่มนักเรียนอาชีวะ หน่วยฟันเฟืองจริง ๆ แล้วจะเป็นนักเรียนช่างกล เช่นช่างกลอุเทนถวาย ช่างกลประทุมวัน ช่างกลไทยสุริยะ ช่างกลกนก เป็นต้น และยังมีนักเรียนเทคนิคและพาณิชย์ร่วมด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเข้าไปรวมกับกลุ่มนี้ได้อย่างไรเอาเป็นว่าใจรักก็แล้วกัน
ในการต่อสู้กับรัฐบาลนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้กลยุทธ์ในการหลอกล่อรัฐบาล ใช้กลยุทธ์ในการให้กำลังใจกับผู้มาชุมนุม รวมถึงการสร้างข่าวว่าแกนนำถูกจับตัวเพื่อให้ผู้ชุมนุมเกิดความไม่พอใจรัฐบาล การพูดปราศรัยเป็นจิตวิตยาชั้นสูงที่ผู้พูดสามารถตรึงกำลังคนและที่สำคัญทำให้ผู้ชุมนุมฮึกเหิมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกรูปแบบ การเคลื่อนย้ายสถานที่มั่นผมเองในตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเดินไปโน้น ทำไมต้องเดินไปนี้ จากธรรมศาสตร์ ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปลานพระรูป เดินไปเดินมา อยู่อย่างนี้หลายรอบ แต่ทุกครั้งที่เดินจะต้องมีตำรวจทหารมาปิดกั้นทุกครั้งไป วันสุดท้ายที่จะแตกหักมีการเดินเช่นกัน ทหารใช้ลวดหนามปิดกั้น หลายจุดมีรถถังไม่ว่าจะเป็นที่สนามหลวง ถนนจากปิ่นเกล้าลงมา รวมไปถึงหน้าเฉลิมไทย
เมื่อผู้ชุมนุมเริ่มกระจายการสั่งการไม่มีคนสั่งการผู้ประท้วงขาดผู้นำเริ่มทำในสิ่งที่ตนคิดว่าในเมื่อใช้กำลังกับเรา เราก็ต้องใช้กำลังกลับไปบ้าง เริ่มมีการทำลายไฟแดงหลายจุดในกรุงเทพฯ และเหตุกราณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเผาสถานที่ราชการ ผมเองในขณะนั้นเช่นกันเมื่อไปยังกองสลากไม่ได้เพราะมีการกั้นเป็นจุด เห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปโรงพักนางเลิ้ง ผมวิ่งเข้าไปด้วยเห็นผู้คนทุบโต๊ะทุบลิ้นชัก ผมก็ทุบบ้างในลิ้นชักโต๊ะตำรวจนั้นเกือบทุกโต๊ะจะมีปืนอยู่ในลิ้นชักหลายโต๊ะ เพราะวันนั้นตำรวจโรงพักนางเลิ้งเองไม่กล้าที่จะพกปืน บางคนเดินออกมาจากโรงพักโดยไม่ใส่เครื่องแบบใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงสีกากี ประชาชนเองก็รู้ว่าเป็นตำรวจแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องเกิดราวกันเพราะถือว่าเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ผลจากการที่ผมเข้าไปทุบลิ้นชักสองโต๊ะได้ปืนมาสองกระบอก เป็น .38 หนึ่งกระบอก และ .22 หนึ่งกระบอก มีคนขอ .22 ไปหนึ่งกระบอก ผมให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไรมากในอารมณ์ตอนนั้น นึกถึงสภาพปืนตอนนั้นสวยมาก ๆ ชุบโครเมี่ยมความยาวเท่าฝ่ามือ เมื่อได้ปืนแล้วก็ต้องรีบออกมาเพราะไฟเริ่มไหม้ด้านในโรงพักนางเลิ้ง แต่ละคนที่เข้าไปในโรงพักหลายคนมีปืนติดมือออกมารวมทั้งผมด้วย จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีนิสิตนักศึกษาและประชาชนตายกันหลายคนมีเหตุกราณ์หนึ่งที่ยังจำได้ที่ผมวิ่งหนีกระสุนหน้าเฉลิมไทย จังหวะที่วิ่งไปเกิดขาผลิก ล้มลง ช่วงนั้นเองเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวคนวิ่งตามมาด้วยกันโดนถูกยิงล้มลงอยู่ข้างหลังผม หลังจากนั้นไม่กี่นาทีมีรถโรงพยาบาลเข้ามายกคนข้างหลังผมที่ถูกยิงขึ้นเปล หลังจากนั้นหน่วยกู้ชีวิตจากโรงพยาบาลมายกผมขึ้นเปลเช่นกันพอขึ้นอยู่บนรถผมบอกกับพยาบาลว่าผมไม่เป็นไรแต่รถพยาบาลก็นำตัวผมมาที่ศูนย์รักษาชั่วคราวที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ หลังจากยกคนบาดเจ็บลงแล้วผมขยับตัวเพื่อจะก้าวลงจากรถจึงได้รู้ว่าเท้าเรามีปํญหาโดยเฉพาะที่นิ้วโป้งซ้ายเมื่อก้าวเท้าเยียบลงบนถนนปวดมาก มารู้ทีหลังว่ากระดูกเท้าเคลื่อนแต่ด้วยความที่ไม่ต้องการที่จะไปโรงพยาบาลจึงบอกกับหมอที่รักษาในเบื้องต้นว่าไม่เจ็บมากเท่าไหร่แต่หมอก็พันผ้าให้คล้าย ๆ เฝือกอ่อนผมเองตอนนั้นไม่คิดว่ามันจะเป็นอะไรมากมายคิดว่านิ้วท้าวคงส้นเป็นธรรมดา เมื่อใส่เฝือกอ่อนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็แกะเอาเอาออกเพื่อที่จะเข้าร่วมต่อสู้ต่อ
ผมอยู่จนนิสิตนักศึกษาและประชาชนได้รับชัยชนะถนอมประพาสณรงค์ต้องออกนอกประเทศ แต่ก็กลับไทยได้ในภายหลัง หลังจากเหตุกราณ์ 14 ตุลาคม 2516 สงบ
การเที่ยวเตร่ของผมเริ่มเที่ยวหนัก อาจจะเป็นเพราะว่ายุคนั้นเป็นยุคที่นักเรียนนิสิตนักศึกษาเที่ยวกันอย่างอิสระเสรีตำรวจส่วนใหญ่ไม่ค่อยแต่งตัวชุดตำรวจอาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนั้นประชาชนเกลียดชังตำรวจและทหาร การเที่ยวเตร่ของผมจากสุขุมวิทมาเที่ยวหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ศรแดง แถวอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย บ่อยครั้งมากมาทุกครั้งพกปืนมาด้วยทุกครั้งทำเหมือนบ้านเมืองเป็นของกูอย่างงั้นแหละ และวาระสุดท้ายในการพกพาปืนเที่ยวก็มาถึง
เมื่อไปชวนเพื่อนที่อยู่ศรแดงไปเทียวงานวัดภูเขาทอง (วัดสระเกษ) พูดถึงงานวัดภูเขาทองเป็นงานวัดที่ประชาชนนิยมมาเที่ยวกันมาก เพราะเป็นงานวัดที่ยิ่งใหญ่มีอะไร ๆ หลายสิ่งหลายอย่างให้ชม มีรถไต่ถัง มีการยิงปืนให้ตุ๊กตาล้มโดยใช้จุกขวดน้ำปลาเป็นลูก มีชิงช้าสวรรค์ มีเมียงู มีสอยดาว มีขว้างบอลสาวน้อยตกน้ำ และมีอีกมากมาย สิ่งที่จะขาดไม่ได้ในงานนี้คือดอกไม้ไฟเล่นกันอย่างสนุกสนาน รวมถึงประทัด เสียงให้สนั้นไปหมด
เมื่อเพื่อนออกจากกะที่ทำงานก็เดินมาเที่ยวงานวัดด้วยกันระยะทางจากศรแดงมาวัดไม่ไกล เดินมาเที่ยวด้วยกัน ๕ คน ระหว่างทางมีคนเล่นดอกไม้ไฟพร้อมจุดประทัดกันมากมาย จนผมเดินมาถึงสะพานทางที่จะเข้าวัดภูเขาทองเลยกรมโยธาธิการมา มีกลุ่มจิกโก๋นั่งอยู่บนราวสะพานทางเข้าวัดจุดประทัดและโยนใส่มาทางกลุ่มตอนนั้นพูดถึงความรู้สึกในตอนนั้นผมมีความรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากที่พวกจิกโก๋พวกนั้นเห็นท่าทางผมตกใจนั่งหัวเราะกันอย่างครื่นเครงสนุกสนาน ผมไม่พูดพร่ามทำเพลงด้วยความโมโห ควักปืนที่พกมา ยิงลงไปที่พื้นหนึ่งนัด บรรยากาศจากเสียงหัวเราเงียบกริบ หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าเที่ยวงานวัดต่อไปจนถึงตี ๑ จึงเดินทางกลับที่พักของผมพร้อมเพื่อนอีก ๑ คน
ระหว่างเดินทางกลับเมื่อมาถึงปากซอย ๔ นานาใต้ ใกล้โรงแรมราชา มีทหารเรือ ๒ คนเดินสวนทางมาท่าทางน่าจะเมาเมื่อเดินเข้ามาใกล้กันต่างคนต่างเดินบนฟุตบาท ผมเองกับเพื่อนพยายามเดินเลี่ยงไปเกือบตกถนน แต่ก็ไม่วายจะโดนต่อว่า “ไอ้...เดินไม่หลีกทางเลย” ผมกับเพื่อนมองหน้ากัน ผมเอ่ยไปว่าผมก็หลีกทางจะตกถนนอยู่แล้วเห็นหรือเปล่า “มึงยังมาเถียงอีกเหรอะ” ขณะนั้นเองเขาถอดเอาเข็มขัดสีน้ำตาลใหญ่ ๆ ออกมา ผมก็วิ่งหนี พร้อมชักปืนออกมายิงขู่ไป ๑ นัด ทหารก็วิ่งหนีเป็นเหมือนกัน จากนั้นผมก็เดินต่อไป เพื่อไปที่พักระหว่างทางแยก ซอย ๔ ที่สามารถทะลุซอย ๘ ได้ มีรถตำรวจปิดไฟดักซุ่มรออยู่มีตำรวจเตรียมพร้อมอยู่ ๔ คน
ไม่มีความเห็น