ตอนที่8
วัยรุ่น ตอนปลาย
ถึงซอยวัดดงมูงเหล็ก แถวฝั่งธนใกล้ ๆ ตลาดพรานนก เพื่อนบ้านของแม่บอกว่ามีงานญาติ ทำงานอยู่ที่โรงแรมฟรั่ง และมีงานว่างให้ผมทำโดยการเป็นพนักงานเสริฟอาหารโรงแรมแห่งหนึ่ง พอรุ่งเช้าอีกวันแม่กลับอุตรดิตถ์ ส่วนผมก็มีน้าสมพรกับน้าหน่อย (ญาติของเพื่อนบ้านที่ทำงานโรงแรม) มารับผมไปทำงาน และที่ทำงานใหม่นี่เองผมเปลี่ยนชื่อเล่นจากชื่อหมึกเป็นชื่อต้อย เหตุที่เปลี่ยนตอนนั้นคิดว่าถ้าเปลี่ยนชื่อทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นแล้วตำรวจจะตามจับไม่ได้ จริง ๆ แล้วชื่อที่เปลี่ยนก็ไม่ได้ไปเปลี่ยนที่อำเภอหรอก ตอนไปทำงานเค้าถามชื่ออะไรก็บอกเค้าไปเพราะตอนนั้นยังไม่ได้ทำบัตรประชาชนชื่อจริงที่ใช้ในตอนนั้นใช้ชื่อ ทศพร ชัยพันธ์ ที่ทำงานใหม่ของผมอยู่ถนนสุขุมวิท ซอย ๔ (นานาใต้) เป็นโรงแรมขนาดไม่ใหญ่ไม่โต เป็นลักษณะโรงแรมหรูในสมัยนั้นที่ตั้งอยู่ในสุขุมวิทย์ ซอย ๔ ส่วนใหญ่ผู้มาพักจะเป็นคนต่างชาติ โดยเฉพาะเป็นคนอังกฤษ
การเป็นพนักงานเสริฟอาหารที่โรงแรมนี้แน่ต้องมีการฝึกหัดผมเข้าไประยะแรกก็เป็นพนักงานฝึกหัดโดยน้าสมพรจะเป็นผู้สอนรวมถึง พี่เลี้ยงเช่นพี่พล กับพี่เหน่ ด้วยความที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษพอใช้ได้อยู่แล้วกับการที่ต้องอ่านหรือทำความเข้าใจกับ menu การรับ order ต่าง ๆ ต้องมีการฝึกหัดการจัดโต๊ะ การวางมีดวางช้อน และการวางช้อนซ่อม การพับผ้ากันเปื้อนวางบนจาน ทุกอย่างต้องมีการฝึกหัดทำให้ได้ แม้กระทั่งในบางครั้งต้องชงกาแฟ และชงชาเอง มีเรื่องตลกอยู่เรื่องที่ถ้านึกถึงตอนนี้ยังขำไม่หาย เรื่องอะไรรู้ไหมครับเรื่องที่แขกสั่ง hot tea ผมเดินไปที่ครัวเผอิญคนที่ทำไม่อยู่ผมเลยจัดการเอง ปรกติผมจะชงกาแฟอยู่บ่อย ๆ หากคนครัวไม่อยู่ แต่ไม่เคยชงชาเลย แล้วก็ไม่เคยเห็นแขกสั่งและผมเองก็ไม่เคยเห็นการชงชาของคนครัวเลยเห็นแต่แขกจะสั่งแต่ Hot coffee แต่รู้ว่าชาเป็นซอง Lipton และข้างซองตรงกล่องเห็นว่า tea ผมจัดการชงชาทันทีฉีกซองชาออกเทใส่ถ้วยเสริฟแขกพร้อมนมสด และน้ำตาล แขกเห็นงง ถามผมว่า Tea ผมก็ตอบว่า yes Tea เห็นแขกเอาช้อมลงไปคนทำท่างง ในตอนนั้นผมก็คิดว่าผมทำถูกต้องแล้ว แขกก็ไม่ได้ดื่มแต่อย่างใด จนพี่ที่พนักงานเสริฟด้วยกันมาเห็นต้องขอโทษขอโผยกันใหญ่ แขกเขาก็ถามว่าพนักงานเสริฟใหม่หรือ พนักงานเสริฟรุ่นพี่บอกใช่ ผมเห็นแขกนั่งหัวเราะกันใหญ่ผมก็อายเหมือนกัน แต่อายไม่มากเพราะไม่รู้จริง ๆ
มีเรื่องตลกอีกเรื่องครับเป็นเรื่องของการไปเสริฟเหล้าแทนพนักงานอื่นที่ไม่มา เรื่องที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นดังนี้ครับมีแขกเข้ามาในร้านคนหนึ่ง ในฐานะเด็กเสริฟเมื่อเห็นแขกเข้ามาก็ทักทายตามประสา Good Evening แล้วก็จะเชิญแขกไปนั่งก็ชี้ไปยังที่เมื่อแขกเข้าเดินผ่านผมไปแขกยกมือพร้อมกับพูดว่า “ มาตินี่ “ ด้วยความไม่รู้ว่ามีเหล้าชื่อมาตินี่ ในตอนนั้นเข้าใจว่าแขกคงพูดภาษาไทย ว่า “ มาที่นี่ “ ตอนแรกผมยืนอยู่ข้าง ๆ ค่อนข้างเยื้องไปทางหลังแขก แขกพูดซ้ำอีก”มาที่นี่” ผมก็เปลี่ยนที่ยืนใหม่มายืนอยู่ตรงหน้า ก็พยายามฟังแขกสั่งว่าจะสั่งอะไร ถามย้ำแขกอีกว่า Would you like to drink sir? แขกก็ยังพูดอีกว่า มาที่นี่ อีก แต่ครั้งนี้เติมคำว่า On the rock ผมก็ถามอีกว่า What is on the rock ? แขกดูท่าทางจะยั่วหันไปหาบาร์เทนเดอร์แล้วพูดดัง ๆ ว่า matini on the rock บาร์เทนเดอร์สวนทันควันเลยครับ yes sir ทำเอาผมงงไปเหมือนกันมารู้ตอนหลังว่าไอ้มาทินี่มันคือชื่อของเหล้า ตั้งแต่นั้นมาผมได้ศึกษาชื่อของเหล้า พร้อมกับการศึกษาการผสมเหล้าจากบาร์เทนเดอร์รุ่นพี่จนถึงขั้นสามารถแทนรุ่นพี่ได้
เมื่อพี่แกเมาและขาดงาน จนสุดท้ายผมรับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์อีกตำแหน่ง เรียกง่าย ๆ ว่าทำงานทั้งสองกะ ทั้งกะเช้าและกะเย็น เช้าเป็นเด็กเสริฟ เย็นเป็นบาร์เทนเดอร์ เท่ากับว่าผมทำงานตั้งเช้าจรดเย็นเช้าต้องตื่นประมาณตี ๔ เพราะต้องเข้ากะตี ๕ ถึง ๑๐ โมงเช้า พัก ๑ ชั่วโมง เข้าอีกที ๑๑ โมงเช้า ถึงบ่าย ๒ โมง เป็นอันว่าเสร็จกะเช้า พอกะบ่ายจะเข้าตั้งแต่ ๕ โมงเย็น ถึง เที้ยงคืน ทำงานที่โรงแรมนี้เงินดีโดยเฉพาะทิปที่ได้จากแขกจะมีการแบ่งกันทุกวันได้วันละประมาณ ๑๐๐ บาท วันไหนได้ทิปเยอะก็จะพากันไปเที่ยวรำวงที่สวนอีสาน แถวสุขุมวิทย์ ซอย ๘ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำงานเลยจากที่ทำงานไปไม่ไกลนัก ที่สวนอีสานจะมีลักษณะเป็นร้านหมอลำแล้วก็มีนางรำโดยใช้พวงมาลัยเป็นค่าตัวเวลาไปรำวงด้วย ดู ๆ ไปก็เหมือนกับรำวงตามบ้านนอก ต่างกันตรงที่ว่าใช้พวงมาลัยแทนบัตร เงินที่ได้มาเป็นค่าทิปหมดไปกับการเที่ยว จะมีเงินที่ใช้จ่ายและเหลือบ้างก็เป็นเงินเดือนที่ออกแต่ละเดือน ในบางครั้งก็จะไปเที่ยวหาเพื่อนที่เป็นคนพิจิตรที่มาทำงานที่ห้องอาหารศรแดง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จนในบางครั้งหากมีวันหยุดจากที่งานที่สุขุมวิทยก็จะมาช่วยเพื่อนที่เป็นเด็กเสริฟอาหารที่ห้องอาหารศรแดง จนเป็นที่รู้จักของเจ้าของร้านในสมัยนั้นและชวนให้ผมมาทำงานที่ศรแดงแต่ผมก็ได้ขอบคุณเพราะผมมีงานประจำอยู่แล้ว
การมาเที่ยวไม่ยากนั่งรถเมล์สาย ๒ ของบริษัทนายเลิศ ต่อเดียวถึงเลยเพราะสาย ๒ วิ่งจากสำโรง ถึงปากคลองตลาด เมื่อไปมาบ่อยครั้งแน่นอนต้องมีเหตุกราณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องติดสาวเด็กเสริฟที่ศรแดงแล้ว ยังติดสาวลูกจ้างร้านขายข้าวต้มบริเวณป้ายรถเมล์ ใกล้ ๆ กับสภาทนายความในปัจจุบัน สุดท้ายรถไฟชนกันจึงเลิกลากันไปทั้งสองคน ในช่วงนั้นก็มีอยู่บ้างที่คบกับกระเทย ผมเองไปคลุกอยู่ที่ห้องอาหารศรแดง แน่นอนต้องรู้จักกระเทยแถวนั้น เพราะย่านนั้นตะก่อนกระเทยจะมาหาตังค์กันเยอะมาก กระเทยบางคนที่มีอายุมากแล้ววันไหนที่ไม่มีแขก ก็จะมานั่งแซวเด็กเสริฟผู้ชายที่ห้องอาหารศรแดงเป็นประจำ กระเทยบางคนจะรอจนกว่างานเลิกแล้วก็ชวนเด็กเสริฟไปกินข้าวต่อแล้วก็ไปต่อกัน บางครั้งผมก็ติดร่างแหเขาไปด้วย ก็สนุกสนานกันไปตามประสาวัยรุ่น
ทำงานอยู่ประมาณปีกว่า ๆ เกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ด้วยความที่เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม กอรป์กับมีความสนใจทางด้านการเมืองบวกกับเกลียดความไม่เป็นธรรมจึงทำให้เกิดความสนใจทางการเมือง เมื่อมีเหตุกราณ์ประท้วงหลาย ๆ เรื่องด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียกร้องให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องการไม่ใช้สินค้าจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากญี่ปุ่น หรือจากอเมริกา ผมได้เข้าร่วมกิจกรรมกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อยู่เสมอ ๆ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมเองไม่ได้เป็นนักศึกษาอะไรเลยเพราะออกจากการเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยครูอุตรดิตถ์แล้ว แต่ก็ยังใส่เข็มขัดของวิทยาลัยครูอุตรดิตถ์เข้าร่วมรับฟังการปราศรัย
ไม่มีความเห็น