เรื่องราวประเทศไทย...ที่ท่านรัก


วันหนึ่ง  ได้เข้าไปในสมุดเยี่ยม  ที่มีในประวัติของครูอ้อย  พบข้อมูล เกี่ยวกับประเทศไทย  ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ ผู้อ่าน  ที่บอกกันประจำว่า.....รักประเทศของตน 

และเพื่อให้ได้รู้ว่า....รักนะ  รู้เรื่องสิ่งที่ตนรักบ้างหรือเปล่า

*****

ประเทศไทย หรือ ราชอาณาจักรไทย   เป็นรัฐที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มีพรมแดนทางทิศตะวันออก.....ติดประเทศลาวและประเทศกัมพูชา
ทิศใต้ติดอ่าวไทยและประเทศมาเลเซีย
ทิศตะวันตกติดทะเลอันดามันและประเทศพม่า
และทิศเหนือติดกับประเทศพม่าและประเทศลาว  โดยมีแม่น้ำโขงกั้นเป็นบางช่วง.....

ประเทศไทยมีศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 49 ของโลก โดยมีเนื้อที่ 513,000 ตร.กม. และมีประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก โดยประมาณ 63 ล้านคน อันประกอบด้วยเชื้อสายไทยกว่า 80% ชาวจีน 10% ชาวมาเลย์อีก 3% นอกจากนั้นยังมีชาวเขาเผ่าต่างๆ  

มีภาษาราชการ คือ ภาษาไทย พลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท วัฒนธรรมหลักของไทยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดีย จีน และประเทศทางตะวันตก โดยไทย

มีวัฒนธรรมที่น่าประทับใจของแขกผู้มาเยือน เช่น การให้ความเคารพผู้สูงอายุ และที่สำคัญ คือ ความเป็นมิตรและการรับรองแขกผู้มาเยือน จนได้รับสมญานามว่าเป็น "สยามเมืองยิ้ม".....

ประเทศไทยปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีประมุขแห่งรัฐพระองค์ปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ในฐานะประมุขแห่งรัฐที่นานที่สุด.....

ประเทศไทยนับได้ว่าเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจจากยุโรปเลย

ประวัติศาสตร์
ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์ไทย

ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน นับแต่การล่มสลายของราชอาณาจักรขอม-จักรวรรดินครวัต นครธม เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13[1] และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ เขมร ฯลฯ....

ประวัติศาสตร์ไทย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างใน พ.ศ. 1781 ตรงกับสมัยอาณาจักรสุโขทัย และสมัยอาณาจักรล้านนาแห่งภาคเหนือ กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ความรุ่งเรืองจึงปรากฏในอาณาจักรทางใต้คือกรุงศรีอยุธยาแทน ครั้นเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินจึงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี อย่างไรก็ดี ในช่วงดังกล่าวประเทศไทยมีอาณาเขตไม่แน่ชัด.....

ภายหลังการสถาปนากรุง รัตนโกสินทร์เมื่อพ.ศ. 2325 อาณาจักรสยามเริ่มมีความเป็นปึกแผ่น โดยได้มีการผนวกดินแดนบางส่วนของอาณาจักรล้านช้างเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ครั้นในรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการผนวกเอาเมืองเชียงใหม่ หรืออาณาจักรล้านนา อันเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่.....

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย

แต่ก็ต้องรออีกถึงสี่สิบเอ็ดปีจึงจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา

อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยอีกสองครั้งคือ เหตุการณ์ 6 ตุลา และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ล่าสุดได้เกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ หลังจากได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549.....

ชื่อประเทศไทย

คำ ว่า ไทย มีความหมายในภาษาไทยว่า อิสรภาพ เสรีภาพ หรืออีกความหมายคือ ใหญ่ ยิ่งใหญ่ เพราะการจะเป็นอิสระได้จะต้องมีกำลังที่มากกว่า แข็งแกร่งกว่า เพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึก

เดิมประเทศไทยใช้ชื่อ สยาม (Siam) แต่ได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อปัจจุบัน เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2482[2] ตามประกาศรัฐนิยม   ฉบับที่ 1 ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้ใช้ชื่อ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติว่า "ไทย" โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488 ในช่วงเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี

แต่ในที่สุดได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยต่อมา ช่วงแรกเปลี่ยนเฉพาะชื่อภาษาไทยเท่านั้น ชื่อภาษาฝรั่งเศส[3]และอังกฤษคงยังเป็น "Siam" อยู่จนกระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ. 2491 จึงได้เปลี่ยนชื่อภาษาฝรั่งเศสเป็น "Thaïlande" และภาษาอังกฤษเป็น "Thailand" อย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ.....

การปกครอง

เดิม ประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้กระทำรัฐประหาร ในสมัยรัชกาลที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข โดยแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ

ปัจจุบัน ประเทศไทยดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 แห่งราชอาณาจักรไทย.....

อำนาจ นิติบัญญัติมีรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิ เลือกตั้งเป็นองค์กรบริหารอำนาจ อำนาจบริหารมีนายกรัฐมนตรีซึ่ง มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามคำกราบบังคมทูลของประธานรัฐสภาและคณะ รัฐมนตรีซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี เป็นองค์กรบริหารอำนาจ

และอำนาจตุลาการมีศาลซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองเป็นองค์กรบริหารอำนาจ.....

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาควบคู่ไปกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้ รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐได้แก่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ประมุขแห่งอำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติมีนายชัย ชิดชอบในฐานะประธานรัฐสภาเป็นประมุข อำนาจบริหารมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประมุข และอำนาจตุลาการมีนายวิรัช ลิ้มวิชัยในฐานะประธานศาลฎีกาเป็นประมุข

เขตการปกครองแผนที่ประเทศไทยแสดงเขตรัฐกิจของจังหวัดต่างๆ

กรุงเทพมหานครริมแม่น้ำเจ้าพระยาดูเพิ่มที่ จังหวัดในประเทศไทย

ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่จังหวัด 75 จังหวัด และการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล โดย "สุขาภิบาล" นั้นถูกยกฐานะไปเป็นเทศบาลทั้งหมดในปี พ.ศ. 2542

ส่วน กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดนครปฐม ถูกเรียกเป็นเขตที่เรียกว่า "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล"

เมืองใหญ่ / จังหวัดใหญ่

ดูเพิ่มที่ เมืองใหญ่ของประเทศไทยเรียงตามจำนวนประชากร และ จังหวัดในประเทศไทยเรียงตามจำนวนประชากร

นอก จากกรุงเทพมหานครแล้ว มีหลายเมืองที่มีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก (ข้อมูลเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 ของ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย) โดยเรียงลำดับตามตารางด้านล่าง โดยดูจากจำนวนประชากรในเขตเทศบาลและกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะแสดงประชากรในเขตเมืองได้อย่างแท้จริง

ภูมิประเทศประเทศไทย สภาพทางภูมิศาสตร์

ประเทศ ไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ภาคเหนือประกอบด้วยเทือกเขาจำนวนมาก จุดที่สูงที่สุด คือ ดอยอินทนนท์ (2,576 เมตร) ในจังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นที่ราบสูงโคราชติดกับแม่น้ำโขงทางด้านตะวันออก ภาคกลางเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสายน้ำไหลลงสู่อ่าวไทย ภาคใต้มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระแล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู

* เมื่อเปรียบเทียบพื้นที่ของประเทศไทย กับ ประเทศอื่น จะได้ดังนี้
o ประเทศพม่า ใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ 1.3 เท่า
o ประเทศอินโดนีเซีย ใหญ่กว่าประมาณ 3.7 เท่า
o ประเทศอินเดีย ใหญ่กว่าประมาณ 6.4 เท่า
o ประเทศออสเตรเลียใหญ่กว่าประมาณ 15 เท่า
o ประเทศจีน และ สหรัฐอเมริกา ใหญ่กว่าประมาณ 19 เท่า
o ประเทศรัสเซีย ใหญ่กว่าประมาณ 33 เท่า
o ขนาดใกล้เคียงกับ ประเทศฝรั่งเศส ประเทศสวีเดน และ ประเทศสเปน

วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ได้มีเหตุการณ์คลื่นสึนามิเกิดขึ้นก่อความเสียหายในเขตภาคใต้ของประเทศไทย

ภูมิอากาศ

ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน อากาศร้อนที่สุดในเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมเป็นฤดูร้อน โดยจะมีฝนตกและเมฆมากจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมเป็นฤดูฝน ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม อากาศแห้งและหนาวเย็นจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นฤดูหนาว ยกเว้นภาคใต้ที่มีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปีจึงมีแค่สองฤดูคือฤดูร้อนกับฤดูฝน

เศรษฐกิจ

เศรษฐกิจหลักของประเทศ

เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การบริการ และ ทรัพยากรธรรมชาติ ถือเป็นเศรษฐกิจหลักที่ทำรายได้ให้กับคนในประเทศ โดยภาพรวมทางเศรษฐกิจอ้างอิงเมื่อ พ.ศ. 2546 มี GDP 5,930.4 พันล้านบาท ส่งออกมูลค่า 78.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่นำเข้า 74.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ[4]
ภาพพันธุ์ข้าวจากกรมวิชาการเกษตร

ในด้านเกษตรกรรม ข้าว ถือเป็นผลผลิตที่สำคัญที่สุด เป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าว เป็นอันดับหนึ่งของโลก ด้วย[x]ส่วนการส่งออก ร้อยละ 36 รองลงมาคือ เวียดนาม ร้อยละ 20 อินเดีย ร้อยละ 18 สหรัฐอเมริกา ร้อยละ14 ปากีสถาน ร้อยละ 12 ตามลำดับ [5] พืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ได้แก่ ยางพารา ผักและผลไม้ต่างๆ มีการเพาะเลี้ยงปศุสัตว์เช่น วัว สุกร เป็ด ไก่ สัตว์น้ำทั้งปลาน้ำจืด ปลาน้ำเค็มในกระชัง นากุ้ง เลี้ยงหอย รวมถึงการประมงทางทะเล ปี 2549 ไทยมีการส่งออกกุ้งไปสหรัฐฯ 177,717.29 ตัน มูลค่า 45,434.57 ล้านบาท [6]

อุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร สิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ ส่วนทรัพยากร ธรรมชาติที่สำคัญเช่น ดีบุก ก๊าซธรรมชาติ จากข้อมูลปี พ.ศ. 2547 มีการผลิตสิ่งทอมูลค่า 211.4 พันล้านบาท แผงวงจรรวม 196.4 พันล้านบาท อาหารทะเลกระป๋อง 36.5 พันล้านบาท สับปะรดกระป๋อง 11.1 พันล้านบาท รถยนต์ส่วนบุคคล 2.99 แสนคัน รถบรรทุก รถกระบะ และอื่นๆ รวม 6.28 แสนคัน จักรยานยนต์ 2.28 ล้านคัน ดีบุก 694 ตัน ก๊าซธรรมชาติ 789 พันล้านลูกบาศก์ฟุต น้ำมันดิบ 31.1 ล้านบาร์เรล [7]

เกาะพีพี สถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ

ส่วนด้านการ ท่องเที่ยว การบริการและโรงแรม ในปี พ.ศ. 2547 มีนักท่องเที่ยวรวม 11.65 ล้านคน 56.52% มาจากเอเชียตะวันออกและอาเซียน (โดยเฉพาะมาเลเซียคิดเป็น 11.97% ญี่ปุ่น 10.33%) ยุโรป 24.29% ทวีปอเมริกาเหนือและใต้รวมกัน 7.02% [8]

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ กรุงเทพมหานคร พัทยา ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดเชียงใหม่.....

การคมนาคม

ดูบทความหลักที่ การคมนาคมในประเทศไทย

การคมนาคมในประเทศไทย ส่วนใหญ่ประกอบด้วย การเดินทางโดยรถยนต์ และ จักรยานยนต์ ทางหลวงสายหลักในประเทศไทย ได้แก่ ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) ถนนมิตรภาพ (ทางหลวงหมายเลข 2) ถนนสุขุม วิท (ทางหลวงหมายเลข 3) และถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) และยังมีทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ใน 2 เส้นทางคือ มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี (ทางหลวงหมายเลข 7) และถนนกาญจนา ภิเษก (วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร - ทางหลวงหมายเลข 9) นอกจากนี้ระบบขนส่งมวลชนจะมีการบริการตามเมืองใหญ่ต่างๆ ได้แก่ระบบรถเมล์ และรถไฟ รวมถึงระบบที่เริ่มมีการใช้งาน รถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน และในหลายพื้นที่จะมีการบริการรถ สองแถว รวมถึงรถรับจ้างต่างๆ ได้แก่ แท็กซี่ เมลเครื่อง มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และ รถตุ๊กตุ๊ก ในบางพื้นที่ ที่อยู่ริมน้ำจะมีเรือรับจ้าง และแพข้ามฟาก บริการ
รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศก ถนนบางนา-บางปะกง ทางหลวงแผ่นดินสายรองประธานสายสำคัญของประเทศไทยแห่งหนึ่ง.....

สำหรับการคมนาคมทางอากาศนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้เปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานที่ มีขนาดตัวอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีหอบังคับการบินที่สูงที่สุดในโลก ด้วย ความสูง 132.2 เมตร ซึ่งรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคนต่อปี โดยเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2549 ทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ที่เปิดใช้งานมานานถึง 92 ปี

ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ประเทศไทยมีท่าเรือหลักๆ คือ ท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย) และท่าเรือแหลมฉบัง.....

การสื่อสาร

* ระบบโทรศัพท์ในประเทศไทยมีโทรศัพท์พื้นฐาน 7.035 ล้านหมายเลข (254 และโทรศัพท์มือถือ 27.4 ล้านหมายเลข (254 [9]
* สถานีวิทยุ: คลื่นเอฟเอ็ม 334 สถานี , คลื่นเอเอ็ม 204 สถานี และ คลื่นสั้น 6 สถานี (2542) โดยมีจำนวนผู้ใช้วิทยุ 13.96 ล้านคน (2540) [9]
* สถานีโทรทัศน์ มี 6 ช่องสถานี (โดยทุกช่องสถานีแม่ข่ายอยู่ในกรุงเทพ) มีสถานีเครือข่ายทั้งหมด 111 สถานี และจำนวนผู้ใช้โทรทัศน์ 15.19 ล้านคน (2540) [9]
* ดาวเทียมสื่อสาร 4 ดวง (254 [9]
* ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) 18 บริษัท (2549) [10]
* รหัสโดเมนอินเทอร์เน็ตใช้รหัส th

สังคม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร

ชนชาติ

ดูเพิ่มที่ ชาวไทย

ในประเทศไทย ถือได้ว่า มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ มีทั้ง ชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายลาว ชาวไทยเชื้อสายมอญ ชาวไทยเชื้อสายเขมร รวมไปถึงกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยเชื้อสายมลายู ชาวชวา(แขกแพ) ชาวจาม(แขกจาม) ชาวเวียด ไปจนถึงชาวพม่า และชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ เช่น ชาวกะเหรี่ยง ชาวลีซอ ชาวอ่าข่า ชาวอีก้อ ชาวม้ง ชาวเย้า รวมไปจนถึงชาวส่วย ชาว[x]บ ชาวกวย ชาวจะราย ชาวระแดว์ ชาวข่า ชาวขมุ ซึ่งมีในปัจจุบันก็มีความสำคัญมาก ต่อวิถีชีวิต และวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน

ประชากรชาวไทย 75% ชาวไทยเชื้อสายจีน 14% และอื่นๆ 11% [9]

ศาสนา
พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

ดูเพิ่มที่ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย

ประมาณ ร้อยละ 95 ของประชากรไทยนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้ว่ายังจะไม่มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยก็ตาม ศาสนาอิสลามประมาณร้อยละ 4 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทางภาคใต้ตอนล่าง ศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นประมาณร้อยละ 1

การศึกษา

ดูเพิ่มที่ รายชื่อสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย

ในทางกฎหมาย รัฐบาลจะต้องจัดการศึกษาให้ขั้นพื้นฐานแบบให้เปล่าเป็นเวลาสิบสองปี แต่การศึกษาขั้นบังคับของประเทศไทยในปัจจุบันคือเก้าปี บุคคลทั่วไปจะเริ่มจากระดับชั้นอนุบาล เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการเรียนตามหลักสูตรพื้นฐาน ต่อเนื่องด้วยระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น หลังจากจบการศึกษาระดับ มัธยมต้น สามารถเลือกได้ระหว่างศึกษาต่อสายสามัญ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย หรือเลือกศึกษาต่อสายวิชาชีพ ในวิทยาลัยเทคนิค หรือพาณิชยการ หรือเลือกศึกษาต่อในสถาบันทางทหารหรือตำรวจ

โรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักได้แก่ โรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชน และ มหาวิทยาลัยรัฐบาล และมหาวิทยาลัยเอกชน โดยโรงเรียนรัฐบาลและมหาวิทยาลัยรัฐบาล จะเสียค่าเล่าเรียนน้อยกว่า โรงเรียนเอกชนและมหาวิทยาลัยเอกชน

ภาษา

ดูบทความหลักี่ ภาษาในประเทศไทย

ประเทศไทยมีภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ภาษาพูดของคนไทยมีมาแต่เมื่อไรยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่จากการสันนิษฐานน่าจะมีมากว่า 4,000 ปีแล้ว ส่วนตัวอักษรนั้นเพิ่งมีการประดิษฐ์ ขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยสุโขทัยโดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ส่วนภาษาอื่นที่มีการใช้อยู่บ้างเช่น ภาษาจีนของชาวไทยเชื้อสายจีน ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ และภาษาของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ทางภาคเหนือ เป็นต้น

ศิลปะและวัฒนธรรม
พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพย์อาสน์ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ดูเพิ่มที่ ศิลปะไทย

ศิลปะ ไทยมีลักษณะเฉพาะตัวค่อนข้างสูง โดยมีความกลมกลืนและคล้ายคลึงกับศิลปวัฒนธรรมเพื่อนบ้านอยู่บ้าง แต่ด้วยการสืบทอดและการสร้างสรรค์ใหม่ ทำให้ศิลปะไทยมีเอกลักษณ์สูง

* จิตรกรรม งานจิตรกรรม ไทยนับ ว่าเป็นงานศิลปะชั้นสูง ได้รับการสืบทอดมาช้านาน มักปรากฏในงานจิตรกรรมฝาผนัง ตามวัดวาอาราม รวมทั้งในสมุดข่อยโบราณ งานจิตรกรรมไทยยังเกี่ยวข้องกับงานศิลปะแขนงอื่นๆ เช่น งานลงรักปิดทอง ภาพวาดพระบฏ เป็นต้น
* ประติมากรรม เดิมนั้นช่างไทยทำงานประติมากรรม เฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป โดยีสกุลช่างต่างๆ นับตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกว่า สกุลช่างเชียงแสน สกุลช่างสุโขทัย อยุธยา และกระทั่งรัตนโกสินทร์ โดยใช้ทองสำริดเป็นวัสดุหลักในงานประติมากรรม เนื่องจากสามารถแกะแบบด้วยขี้ผึ้งและตกแต่งได้ แล้วจึงนำไปหล่อโลหะ เมื่อเทียบกับประติมากรรมศิลาในยุคก่อนนั้น งานสำริดนับว่าอ่อนช้อยงดงามกว่ามาก
* สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมไทยมีปรากฏให้เห็นในชั้น หลัง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ชำรุดทรุดโทรมได้ง่าย โดยเฉพาะงานไม้ ไม่ปรากฏร่องรอยสมัยโบราณเลย สถาปัตยกรรมไทยมีให้เห็นอยู่ในรูปของบ้านเรือนไทย โบสถ์ วัด และปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้สอยจริง

กีฬา

กีฬาที่นิยมมากที่ สุดในประเทศไทย ได้แก่ ฟุตบอล กีฬาอื่นที่นิยมเล่นได้แก่ บาสเกตบอล มวย และแบดมินตัน โดยในประเทศไทยมีการจัดฟุตบอลอาชีพ โดยแบ่งแยกตามทีมประจำจังหวัด สำหรับกีฬาไทย ได้แก่ มวยไทย และ ตะกร้อ แม้จะมีความนิยมไม่เท่ากีฬาทั่วไป แต่ยังมีการเล่นโดยทั่วไปรวมถึงการเปิดสอนในโรงเรียน

ประเทศไทยได้เข้าร่วมการแข่ง ขัน กีฬาในระดับโลกหลายอย่าง เช่น โอลิมปิกฤดูร้อน โอลิมปิกฤดูหนาว เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ ซึ่งประเทศไทยเองได้รับสิทธิเป็นตัวแทนจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง และซีเกมส์ ทั้งหมด 6 ครั้ง โดยซีเกมส์จัดครั้งแรกที่ประเทศไทย สำหรับการแข่งขันในระดับโลกเช่นฟุตบอลในประเทศไทย ไทยได้เป็นเจ้าภาพ เอเชียนคัพ และ ฟุตบอลโลกหญิงเยาวชน ด้วย

ส่วนด้านนักกีฬาไทยนั้น นักกีฬาที่ได้รับเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก ได้แก่ ประภาวดี เจริญรัตนธารา[x]ล, ปวีณา ทองสุก, มนัส บุญจำนงค์, วิจารณ์ พลฤทธิ์, สมรักษ์ คำสิงห์ และ อุดมพร พลศักดิ์ นอกจากนี้นักกีฬาไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลกได้แก่

* นักมวย - เขาทราย แกแล็คซี่, สด จิตรลดา, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, สมรักษ์ คำสิงห์
* นักเทนนิส - ภราดร ศรีชาพันธุ์, แทมมารีน ธนสุกาญจน์, ดนัย อุดมโชค
* นักว่ายน้ำ - รัฐพงษ์ ศิริสานนท์ (ฉลามนุ้ก), ต่อวัย เสฎฐโสธร, ต่อลาภ เสฎฐโสธร
* นักฟุตบอล - ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง,ธีรเทพ วิโนทัย
* นักสนุกเกอร์ - ต๋อง ศิษย์ฉ่อย
* นักกรีฑา - เรวี ศรีท้าว
* นักเทควันโด - เยาวภา บุรพลชัย,บุตรี เผือดผ่อง
* นักกอล์ฟ - ธงชัย ใจดี,ประหยัด มากแสง,พรหม มีสวัสดิ์

วันสำคัญ

ดูบทความหลักที่ รายการวันสำคัญ#วันสำคัญในประเทศไทย

วัน สำคัญในประเทศไทยจะมีจำนวนมากโดยเฉพาะวันที่ไม่ใช่วันหยุดราชการ ซึ่งจะตั้งขึ้นหลังจากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น โดยวันชาติของประเทศไทยตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม เป็น ตามวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ลำดับที่สำคัญ

* พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยพระองค์ปัจจุบัน ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐที่มีพระชนมชีพอยู่และทรงอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดใน โลก
* กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่มีชื่อยาวที่สุดในโลก (169 ตัวอักษร)
* ดัชนีเศรษฐกิจของประเทศไทย อยู่อันดับที่ 71 จาก 155 เขตเศรษฐกิจ ตาม Index of Economic Freedom
* จังหวัดหนองคายได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐเมื่อ พ.ศ. 2544 ว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับผู้สูงอายุชาวอเมริกันอันดับที่ 7 ของโลก [11]
* Growth Competitiveness Index Ranking พ.ศ. 2546 อยู่อันดับที่ 34 จาก 104 [12]
* ตึกใบหยก 2 เป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย และสูงเป็นอันดับ 38 ของโลก พ.ศ. 2549

ข้อมูลได้มาจาก .... http://www.212cafe.com/freeguestbook/show.php?user=skuikratoke 

ส่วนที่มา......ไม่ได้แจ้ง

ยาวมาก 

จะเป็นใครก็ตาม  ต้องขอบคุณท่านมากๆๆ  ที่นำข้อมูลมาให้  เพื่อให้ครูอ้อยได้รู้  และนำมาให้ผู้อื่นได้รู้......และรักประเทศไทยกันอย่างจริงจากใจ.....ไม่ใช่ตะโกนอย่างเดียว

หมายเลขบันทึก: 260085เขียนเมื่อ 9 พฤษภาคม 2009 10:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 08:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

มาแจ้งครูอ้อยว่า ลิงก์ทั้งหมดในหน้านี้ ลิงก์ไปหาเว็บสแปมหมดเลยนะครับ เข้าใจว่าไปคัดลอกเนื้อหามาจากที่อื่น ขอรบกวนครูอ้อยแก้ไขลิงก์ด้วยนะครับ โดยการคัดลอกข้อความทั้งหมดไปวางไว้ในโปรแกรม notepad แล้วคัดลอกจาก notepad มาวางอีกรอบครับ จะเป็นการลบรูปแบบข้อความ และลิงก์ทั้งหมดในเนื้อหาออกไป

อนึ่ง เนื้อหาที่คัดลอกมาจากที่อื่น ควรใส่ลิงก์อ้างอิงไว้ด้วยนะครับ

มาด้วยความรักและมิตรภาพ

พี่อ้อยคะ

  • แว้บหนีวิทยากรมายังอ่านไม่ชัดเจนแล้วจะแวะมาอีกค่ะ
  • มาชวนพี่อ้อยไปเป็นกำลังใจให้น้องสาวค่ะhttp://gotoknow.org/blog/phayorm04/260092

สวัสดีค่ะ น้องต้นกล้า ต้นกล้า

ครูอ้อย  ก็จะเรียนให้น้องต้นกล้าทราบว่า  ครูอ้อยกำลังใช้เครื่องโน้ตบุ๊คค่ะ  ช้ามาก  กำลังดำเนินการแก้ไข  พอกลับมาจากชงกาแฟ  ก็มาพบน้องต้นกล้า โพสต์มาตรวจงานเลยค่ะ  แงแง  แก้ไขแล้วนะคะ 

ส่วนลิงค์ นั้น  ได้แค่นี้ค่ะ  เพราะต้นเรื่อง เขาไม่ได้ใส่มาให้น่ะค่ะ http://www.212cafe.com/freeguestbook/show.php?user=skuikratoke   ที่ต้นบันทึก ครูอ้อยก็เกริ่นแล้ว น้องต้นกล้า ยังไม่ทันได้อ่านมั้งคะ

อนึ่ง  ครูอ้อยยังติดใจเรื่อง การคอมเม้นท์ บันทึกนี้ http://gotoknow.org/blog/engteacher/222770  คอมเม้นท์ที่ 17 ของ IP [IP: 118.174.144.26] ของสายชลี คูหาอุดมลาภ ที่เข้ามาเยี่ยม และถามเรื่องผลงาน โดยไม่ได้เขียนอีเมล์ ไม่ได้เขียนหมายเลขโทรศัพท์ และไม่ได้เขียนคำหยาบอะไรเลยแม้แต่คำเดียว  

อยากทราบว่า  คอมเม้นท์นี้หายไปได้อย่างไร  น้องมะปรางเปรี้ยวอจ้งครั้งที่ 1 ว่า  เพราะ มีอีเมล์ มีหมายเลขโทรศัพท์ จึงลบทิ้ง แต่ ครุอ้อย ตอบไปแล้ว ไม่มีทั้งหมดที่กล่าวมา

เรา(หมายถึงครูอ้อยและน้องมะปรางเปรี้ยว) คุยกันใน อีเมล์ แต่มาเรื่องนี้ น้องต้นกล้า ถามหน้าบันทึก ครูอ้อย ก็จะถามหน้าบันทึกนี้เช่นกันนะคะ  อย่าว่าครูอ้อย เรื่องมาก  แต่เพราะ ความอยากรู้ว่า หายไปได้อย่างไร  เท่านั้นเองค่ะ  หายไปแบบ ต่อหน้าต่อตา  ....แว้บแว้บ

ทุกอย่าง spam แก้ให้แล้วนะคะ 

ส่วนลิงค์ ที่มาของข้อความ  คงได้เพียงเท่านี้น่ะค่ะ  เหตุผลเขียนในบันทึกชัดเจนแล้วค่ะ

ขอบคุณน้องต้นกล้ามากๆๆ  รายละเอียด  คงได้ไปพูดคุยกันที่ gotoknow forum แน่ๆๆค่ะ

 

เรื่องความคิดเห็นหายนั้น ผมเองก็ไม่ทราบจริงๆ ครับ หากเป็นการลบโดยผู้แลระบบ จะมีกระบวนการยับยั้ง 2-3 ขั้นตอน ซึ่งทำให้ลบยากขึ้นมาก และการลบทุกครั้งเราก็มีเงื่อนไขการลบที่ชัดเจน แต่หากหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างกรณีนี้ ผมในนามตัวแทนผู้แลระบบ คงทำได้เพียงขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครับ เพราะไม่สามารถจะกู้คืนข้อมูลที่ถูกลบไปแล้วได้

น้องต้นกล้า  ต้นกล้า

  • ขอบคุณน้องต้นกล้ามากๆๆค่ะ
  • ความคิดเห็นนี้ หายไปต่อหน้าต่อตา  ไม่ใช่ ทิ้งเวลาไป วันหนึ่ง คืนหนึ่งนะคะ  ip ของผู้เข้ามาเยือนก็ยังคงอยู่ เพราะครูอ้อยตอบเธอในทันที
  • เท่าที่เคยพบ  น้องต้นกล้า หรือท่านอื่นๆๆ จะขออนุญาต ลบความคิดเห็นที่เข้าข่าย  แต่สำหรับความคิดเห็นนี้ไม่ใช่
  • เรื่องนี้  ซ้ำกับ การขอร้อง ไม่ให้ครูอ้อยเขียนบันทึกเกี่ยวกับการเมือง  แต่สำหรับท่านอื่นๆๆ ก็ยังเขียนกันอยู่เอิกเกริก และต่อเนื่อง  จนเลิกคิดจะเขียนอีกต่อไปแล้วเรื่องการเมือง  โดยไม่สนใจว่า ใครจะเขียนต่อ จะถูกขอร้อง หรือไม่  ก็ไม่สนใจล่ะค่ะ
  • มาพบเรื่องความคิดเห็น หายไป  เลยมาสะกิดใจ  ให้รู้ว่า  บล็อกของครูอ้อย มีชื่อเสียงมาก และอยู่ที่หน้าบ้านเสมือนห้องรับแขกของ G2K ควรจะเขียนเรื่องที่ดี มีสาระ
  • ดังนั้น  เพื่อป้องกันการผิดพลาดทั้ง การลิงค์ที่มาของข้อมูล กับ การลบความคิดเห็น  ก็ควรจะอ่านให้รอบคอบก่อน  เหมือนกับที่ครูอ้อยลิงค์ข้อมูลที่มาของเนื้อหา  ตั้งแต่ ต้นเรื่องของบันทึกแล้ว  น้องต้นกล้า ก็ยังเตือนให้ครูอ้อยเพิ่มลิงค์ที่มาด้วย

เรื่องทั้งหมดเป็น 0000000000000000000000 นะคะ

หวัดดีค่ะพี่อ้อยน่ารักมาทักทายเอาแคนตาลูปมาฝากด้วยค่ะ...

สวัสดีค่ะ คุณ เบดูอิน

  • เมื่อมาด้วยความรัก และมิตรภาพ
  • ครูอ้อย ก็อ้าแขนรับความรักและมิตรภาพเสมอค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ ยิ้มยิ้ม

สวัสดีค่ะ น้องสาว phayorm แซ่เฮ

  • เป็นหน้าที่ของพี่สาวอยู่แล้ว ที่ต้องให้กำลังใจแก่น้องเสมอค่ะ
  • เดี๋ยวตามไปค่ะ  น้องเอเซอร์ ทำงานหนักมากค่ะ
  • ฝีมือของน้องอ้อยเล็กแน่เลย 
  • อั้มมมมม อร่อยมาก แคนตาลูป อ้อยเล็ก

รักและปรารถนาดีเสมอค่ะ

 

ขอบคุณประเทศไทยที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข

ทั้งที่รู้ว่ามีความแตกแยกอยู่บ้าง  เล็กน้อย (เรื่องธรรมดา)

ทะเลไม่มีคลื่นเสียเลยก็คงไม่สวยงาม(ผิดธรรมชาติ)

ขอบคุณครูอ้อย...

ที่ทำให้ได้เรียนรู้ประเทศไทยมากขึ้น

ภูมิใจความเป็นชาติพันธ์ไทย...ครับ

 

สวัสดีค่ะ คุณ Suchet Chookong

  • ชอบความคิดเห็นของคุณน้องจังเลยค่ะ
  • อาจจะผิดใจกันบ้างเล็กน้อย แต่มีพื้นฐานของความรักกัน เอื้ออาทรกันค่ะ

ภูมิใจในความเป็นไทย....ขอบคุณดอกไม้สวย ชื่นใจด้วยค่ะ ช้อบชอบ

เข้ามาอ่านบทความรักชาติบ้านเมือง

ภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย ดีใจที่สุดที่เกิดเป็นชาวอีสาน

สวัสดีค่ะ  น้อง พิมล มองจันทร์

  • ครูอ้อย เป็น คน กทม.มาโดยกำเนิด  แต่ มีเมือกเถาว์เหล่ากอ มาจากทางอีสาน  แถวๆๆ ชัยภูมิค่ะ
  • และมีคนรู้ใจ เป็นคนโคราชค่ะ......ภูมิใจมากค่ะ
  • ขอบคุณหลายๆๆเด้อค่ะที่เข้ามาเยี่ยม เด้อค่ะเด้อ

มาอ่านแล้วครับ วันนี้มาแนวใหม่ ที่ไม่ใช่ "ภาษาอังกฤษ" แต่เขียนได้ดี มีสาระครับ

สวัสดีคะ ครูอ้อย

แวะมาอ่านคะ..ขอบคุณมากคะ...สำหรับประเทศไทย

สวัสดีค่ะ ท่าน ผอ. - ประสิทธิ์ - หนูกุ้ง

  • มีคนส่งมาให้ค่ะ  เขามาส่งในสมุดเยี่ยมของครูอ้อยเลยค่ะ  ยังสงสัยว่าใครหนอ  จะได้บอกเขาถูกว่า  ทีหลังส่งข้อมูลอะไรมา  ให้ส่งอ้างอิงมาด้วยค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ ผุสดี มุหะหมัด

ขอบคุณประเทศไทย ที่ให้มีวันนี้ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท