..บุญบ่เติง เลยบ่เถิงดอยสุเทพ..
ไหว้สาป๋าระมี ป๋าเวณีเตียวขึ้นดอย : ย้อนรอยความทรงจำ
..บุญบ่เติง เลยบ่เถิงดอยสุเทพ..
เย็นวานนี้วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ตั้งแต่เย็นถนนทุกสายมุ่งสู่ถนนห้วยแก้ว หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คลื่นมหาชนชาวล้านนาต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ บริเวณหน้าอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เพื่อรวมตัวกัน เตียวขึ้นดอย..วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหารคือเป้าหมาย เพื่อเป็นพุทธบูชาในเดือนแปดเป็ง วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เหนือ วันวิสาขบูชา “เตียวขึ้นดอย” ประเพณีเดินขึ้นดอยสุเทพของชาวล้านนาที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน เพื่อเป็นการแสดงถึงพลังความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการแสดงออกด้วยวิธีการเดินขึ้นดอยสุเทพไปจนถึงพระบรมธาตุ ด้วยอาศัยแรงกายอันแข็งแกร่งพร้อมแรงใจอันแน่วแน่
ด้วยศรัทธา....ผู้เขียนตั้งใจจะร่วมกิจกรรม “ไหว้สาป๋าระมี” ใน “ป๋าเวณีเตียวขึ้นดอย”ด้วย จึงคุยกับคุณครูสายตา(พี่เหมียว)พี่สาวคนดี เราปรารภกันว่าอายุปูนนี้แล้วจะไปเดินแข่งกับเด็กๆได้หรือ ตั้ง ๑๑ กิโลแน่ะ เข่าจะไหวหรือ..ผู้เขียนก็ใจสู้ ว่าเราเดินคุยกันไปสว่างก็ถึง..อิอิ พี่เหมียวบอกไม่ไหวละมั้ง ศน.อ้วน..
ย้อนคิดถึงอดีต ตั้งแต่เด็ก..สู่วัยรุ่น..จวบจนเป็นผู้ใหญ่ มากกว่า ๑๐ ครั้งที่ได้เตียวขึ้นดอย ..เตียวกับแม่ก็หลายปี ต่อมาเตียวกับเพื่อน..กลุ่มเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง กับเพื่อนร่วมเรียน เพื่อนสนิท จนกระทั่งเพื่อนร่วมงาน ทุกบรรยากาศย้อนคืนสู่ความทรงจำ.. หนทางขึ้นเขาที่เคี้ยวคดลดเลี้ยว สูงชัน ไม่เป็นอุปสรรคของแรงศรัทธาเลยแม้แต่น้อย บางปีได้ออกเดินตั้งแต่หัวค่ำยามพระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเพราะความตื่นเต้นที่มีมากในหัวใจ บางปีได้สตาร์ทเมื่อพระจันทร์เยี่ยมฟ้าแล้ว เพราะการรวมตัวกับพลเพื่อนค่อนข้างช้า บางปีเริ่มเดินได้เมื่อพระจันทร์อยู่ครึ่งฟ้าแล้วด้วยวัยที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความงดงามและสุนทรียที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ ไม่ว่าจะออกยามไหน ก็ถึงยังจุดหมายทุกปี บางปีถึงยามเที่ยงคืน เรายังไม่ขึ้นไปไหว้พระบรมธาตุ เป้าหมายคือสวนสนของที่ทำการป่าไม้ (เรียกเช่นนี้ตั้งแต่เด็ก) ..ไปนั่งคุยกัน จนกระทั่งสว่างถึงเดินย้อนกลับมาเพื่อเดินขึ้นบันไดนาคที่มีมากกว่า ๓๐๐ ขั้น และร่วมตักบาตร เวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ บางปีก็ถึงยามดาวประกายพรึกส่องแสงงาม กำลังจะลับขอบฟ้าในยามใกล้แจ้ง บางปีก็ไปทันพอดีกับการตักบาตร..กราบองค์พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุ เมื่อทุกกิจกรรมเสร็จสิ้นพวกเราก็เริ่มเตียวลงดอย..เมือแรกรุ่น เตียวตั้งแต่วัดพระธาตุฯ ถึงอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย พออายุจริงเหลือน้อยลง แต่อายุใจยังคงสู้อยู่ก็เตียวลงครึ่งทาง นั่งรถสี่ล้อแดงอีกครึ่งทาง ..ไม่ไหวค่ะ ต่อมาก็ไม่มีการเตียวลงดอยแล้ว..นั่งรถค่ะ ตั้งแต่บนดอยจนถึงเชิงดอย ..อิอิ
ท้ายที่สุดของวานนี้ .. “บุญบ่เติง เลยบ่เถิงดอยสุเทพ” ความฝันก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ ด้วยคนเยอะมากกกกก....รถติดอยู่สี่แยกไฟแดงบริเวณหน้าโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ เป็นนานสองนาน เคลื่อนตัวไม่ได้ ทั้งรถเก๋ง รถปิคอัพ รถสี่ล้อแดงหรือรถสองแถวรับจ้างที่บรรทุกคนเต็มแน่น รถตู้และรถมอเตอร์ไซด์ เต็มถนนไปหมด ความตั้งใจขอเพียงขึ้นไปกราบครูบาศรีวิชัย ยังไม่สามารถทำได้ ด้วยเหตุดังกล่าว ประกอบกับฝนที่เทกระหน่ำลงมาอีก จึงต้องเบนเส้นทางกลับ “บุญบ่เติง..เจ้า”
..ถ้าบุญบ่เติง ก่บ่เถิงดอยสุเทพ...หมายถึง ถ้าไม่มีใจที่จะกระทำสิ่งดีงามอันเป็นมงคลอย่างแน่วแน่แล้ว ก็จะไม่สามารถไปถึงพระบรมธาตุได้ เป็นกุศโลบายของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ต้องการให้ลูกหลานมีความอดทน มุ่งมั่นในการกระทำสู่ความสำเร็จ ตามแรงแห่งศรัทธา ประพฤติตนตามครรลองของบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมไว้ ประเพณีเตียวขึ้นดอยจึงอยู่คู่เมืองเชียงใหม่มาช้านานมากกว่า ๖๐๐ ปี
ประวัติความเป็นมาของประเพณีเตียวขึ้นดอย
ในปี ๑๙๑๖ พระเจ้ากือนนาธรรมมิกราช กษัตริย์ในราชวงศ์มังราย ลำดับที่ ๖ ร่วมกับพระมหาสวามี(พระสุมนเถระ) ได้อันเชิญพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าขึ้นหลังช้างเผือกมงคล โดยตั้งสัจจาอธิษฐานว่า “เมื่อช้างได้นำพระบรมธาตุถึงที่ๆเหมาะสม สำหรับเก็บรักษาพระบรมธาตุนี้แล้วไซร้ ขอพระธาตุได้แสดงอภินิหารบังคับให้ช้างหยุดตรงนั้นเถิด...” จากนั้นก็ปล่อยให้ช่างเดินออกไปทางประตูช้างเผือก มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกขึ้นไปทางภูเขา ระหว่างนั้นพระเจ้ากือนากับพระมหาสวามีพร้อมด้วยยประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาก็เดินตามช้างไปตลอด เมื่อไปถึงเชิงเขาสุเทพ ช้างได้หยุดและเปล่งเสียงร้อง ๓ ครั้งแล้วเดินปีนขึ้นไปบนยอดเขา เมื่อถึงที่โล่งกว้างก็เดินวนซ้าย ๓ รอบและหยุดคุกเข่าหมอบลงพร้อมกับเปล่งเสียงร้องอีก ๓ ครั้ง พระเจ้ากือนากับพระมหาสวามีจึงได้อัญเชิญพระธาตุลงจากหลังช้างบรรจุไว้ ณ ที่ตรงนั้น โดยขุดหลุมลึก ๘ ศอก กว้าง ๑ วา ๓ ศอกและได้นำเอาแผ่นหินขนาด ๗ ศอกมาทำเป็นหีบ เอาผอบพระธาตุพร้อมด้วยเครื่องราชสักการบูชาจำนวนมากใส่ลงในหีบนั้น ก่อนสร้างพระเจดีย์สูงขนาด ๕ วาครอบไว้ เพื่อให้เป็นที่เคารพบูชาแก่คนทั้งปวง หลังจากบรรจุพระบรมธาตุแล้วไว้บนยอดดอยสุเทพแล้ว ก็ไม่ได้ปล่อยให้ถูกทอดทิ้งแต่ประการใด แต่ได้จัดข้าราชบริพารพร้อมด้วยศรัทธาประชาชนเดินขึ้นไปเพื่อสักการะบูชาดูแลรักษาไม่ให้สัตว์หรือพรานป่ามาขุดคุ้ยทำลาย จนเมื่อพระเจ้ากือนาสวรรคต กษัตริย์ในราชวงศ์มังรายลำดับต่อๆมาก็ปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมาทุกพระองค์ พร้อมทั้งได้บูรณะก่อสร้างศาสนสถานที่สำคัญหลายอย่าง อาทิ พระวิหาร ศาลาลาย เป็นต้น
นี่แหละเจ้าที่มาของ “ป๋าเวณีเตียวขึ้นดอย ไหว้สาป๋าระมี” ถึงแม้ว่าปี๋นี้ ปี่ พ.ศ.๒๕๕๒ บุญบ่เติง เลยบ่เถิงดอยสุเทพ ..ก็บ่เป๋นหยังเจ้า เมื่อค่ำนี้ตั้งใจ๋จะไปเวียนเทียนอยู่เจ้า..จะตั้งจิตอธิษฐาน..ไหว้สาป๋าระมี
..ด้วยอานิสงส์แห่งผลบุญที่ได้ร่วมทำบุญและเวียนเทียน
เพื่อเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เนื่องในวันวิสาขบูชา ปี ๒๕๕๒
ณ วัดศรีโสดา (ตั้งอยู่ที่เชิงดอยสุเทพ)
จงมีแด่เพื่อนๆกัลยาณมิตรรักใน Gotoknow และท่านผู้มาเยือนทุกท่านค่ะ
อิ่มบุญโดยทั่วถ้วนกันนะคะ ด้วยรัก..
ขอบคุณข้อมูลเรื่องราวประวัติความเป็นมาจากวารสาร อบจ.เชียงใหม่ ฉบับวันที่ ๑-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ขอบคุณภาพสวยๆจากเว็บไซต์...ค่ะ