จดหมายจากคุณครู:ขอความช่วยเหลือหน่อยครับ


จดหมายจากคุณครูในเรื่องการเรียนการสอน

  โดยปกติแล้ว  ผู้เขียนมักได้รับจดหมายจากคุณครูและผู้สนใจในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบ่อยๆๆ ในแต่ละวันมีจดหมายเข้ามาครั้งละมากๆๆ แต่ผู้เขียนจะเลือกตอบจดหมายที่เป็นประโยชน์แก่ครูที่สนใจจริงๆๆ  ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี  ผู้เขียนได้รับจดหมายฉบับนี้เห็นว่ามีประโยชน์และคิดว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องปรับหลักสูตรการสอนแก่นิสิต นักศึกษาแล้ว ลองอ่านดูนะครับ

ข้อความ:
สวัสดีค่ะ... อาจารย์ขจิต


      ดิฉันเป็นนักศึกษาที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ……ค่ะ  ดิฉันอยากจะรบกวนถามอาจารย์ว่าการที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีนั้นเราต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ เพราะดิฉันรู้สึกว่าการเรียนในห้องเรียนกับการนำไปใช้ในชีวิตจริงนั้นไม่เหมือนกันเลยเพราะเด็กบางคนไม่ให้ความสนใจในการเรียนภาษาอังกฤษ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร  รบกวนด้วยนะคะ

                                                ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
                                                       คุณครูคนใหม่

ผมเลยตอบไปเท่าที่มีความรู้อันน้อยนิดว่า

เรียนคุณครูคนใหม่ที่เคารพ

 ผมมีพี่สาวใจดีสอนอยู่ที่คุรุศาสตร์ ที่นั่นด้วยครับการเป็นครูที่ดีไม่ยากหรอกครับเราต้องหาสาเหตุหรือปัญหาของห้องเรียนที่เราจะสอนให้พบก่อนว่าสิ่งใดเป็นปัญหาหรือความต้องการของนักเรียนแล้วจัดการศึกษาและการเรียนให้แก้ปัญหาหรือสอดคล้องกับสิ่งนั้นๆๆบางทีการเรียนในชั้นเรียนของระดับอุดมศึกษาไม่ได้สอนเราแต่เราต้องเอาความรู้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่นักเรียนและโรงเรียนของเราตอนแรกคุณครูคนใหม่จะรู้สึกว่าการสอนกับการเรียนในชั้นเรียนของคุณครูไม่ไปด้วยกันเพราะคุณครูมองแบบแยกส่วน

  อยากให้คุณครูบูรณาการเรื่องที่เราเรียน เรื่องที่เราพบมาใช้สอนนักเรียน พยายามใช้สิ่งที่นักเรียนพบนักเรียนเห็นในชีวิตประจำวันมาประยุกต์ใช้ เช่นให้นักเรียนเขียนหรือพูดบอกการเดินทางมาโรงเรียนเป็นภาษาอังกฤษหรือให้นักเรียนลองช่วยกันเขียนกิจกรรมประจำวันของนักเรียนทำอะไรบ้างตั้งแต่เช้าจดเย็นหรือให้นักเรียนลองเขียนวิธีการทำอาหารที่นักเรียนชอบแล้วมานำเสนอเป็นภาษาอังกฤษในชั้นเรียนนอกจากนั้นคุณครูยังสามารถให้นักเรียนนำสิ่งของที่นักเรียนประทับใจเช่น ตุ๊กตา หรือของรางวัลที่ได้รับมา มานำเสนอในชั้นเรียนว่านักเรียนได้มาอย่างไร  มีความประทับใจอย่างไร   มาให้กำลังใจคุณครูมีอะไรพอช่วยได้บอกนะครับ ฝาก website และกิจกรรมสนุกๆๆมาให้ด้วยครับ

http://gotoknow.org/blog/yahoo/23041
English camp

http://gotoknow.org/blog/yahoo/28339
เพลง English Camp
http://gotoknow.org/blog/yahoo/28058
เกม Bird in the nest
http://gotoknow.org/blog/yahoo/27252
เกม collecting money
http://gotoknow.org/blog/yahoo/25173
 เกมต่อคำ
http://gotoknow.org/blog/yahoo/18565
(Star fall) for children practice pronunciation

http://gotoknow.org/blog/yahoo/25457
(Story place) for listening


http://gotoknow.org/blog/yahoo/61932

websites for  reading and listening

http://gotoknow.org/blog/yahoo/60494
Christmas

http://gotoknow.org/blog/yahoo/60309
Grammar

http://gotoknow.org/blog/yahoo/61015
writing

http://gotoknow.org/blog/yahoo/60068
Listening and pronunciation(good)

http://gotoknow.org/blog/yahoo/59648
Natures

http://gotoknow.org/blog/yahoo/62959
Vocabulary(Hangman)

http://gotoknow.org/blog/yahoo/58527
words and alphabet

http://gotoknow.org/blog/yahoo/58848
quizzes

http://gotoknow.org/blog/yahoo/58768
songs and close test

http://gotoknow.org/blog/yahoo/27736
English for adults

http://gotoknow.org/blog/yahoo/61341
Reading for adults and children

http://gotoknow.org/blog/yahoo/40416
Games (choose monkey) for writing and listening

http://gotoknow.org/blog/yahoo/37823
Vocabulary

http://gotoknow.org/blog/yahoo/27966
website for children(hippo)

ขอบคุณครับ

อาจารย์ขจิต ฝอยทอง

   ผู้เขียนอยากได้คำแนะนำจากคุณครูและผู้ไม่ใช่คุณครูว่า ถ้าเป็นท่านจะแนะนำคุณครูท่านนี้ว่าอย่างไรครับ  คุณครูท่านนี้จะได้มีกำลังใจในการสอนภาษาอังกฤษแก่นักเรียน  ขอบคุณครับ ผมจะได้ส่งบันทึกนี้ไปให้คุณครูด้วยครับ....

 

Bouquet

 

หมายเลขบันทึก: 258657เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2009 22:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2013 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (33)
  • เข้ามาเยี่ยมแต่ไม่กล้าตอบค่ะ

ขออนุญาตอ่านหลายๆ รอบ ก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับ

  • จากประสบการณ์ที่มีนะครับ
  • ทำให้การเรียนในห้องกับการนำไปใช้ในชีวิตจริงเป็นเรื่องเดียวกัน ภาษาอังกฤษน่าจะทำได้หลายอย่าง อย่างที่ อ.ขจิต ยกตัวอย่าง
  • พยายามให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง หลายๆแบบ โดยเราเป็นผู้ช่วยเหลือเท่านั้น จะยอดเยี่ยมมาก
  • หาสื่อ อุปกรณ์ ซึ่งนักเรียนสนใจ เข้ามาช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้
  • ที่สำคัญ..ต้องทำอย่างที่ว่าๆมาอย่างต่อเนื่อง โดยปรับ เปลี่ยนไปตลอดเวลา มิให้ซ้ำซากจำเจ
  • ถ้าทำอย่างนี้ได้ เรื่องนักเรียนไม่สนใจเรียน ผลสัมฤทธิ์ต่ำ น่าจะดีขึ้นได้
  • พูดง่ายครับ แต่ทำจริงๆยากเหมือนกัน เป็นเรื่องปกตินะ..
  • อย่างไรเสีย เมื่อเรามีอาชีพครูแล้ว เราก็ต้องพยายาม

สวัสดีค่ะ อ.ขจิต

ถ้าเป็นหนูคงตอบว่า ต้องดู หาหนังดีสักเรื่องค่ะ มาให้เด็ก แล้ววิจารณ์หนังค่ะ

  • ขอบคุณคนไม่กล้าตอบครับ
  • ที่มาเยี่ยม
  • ขอบคุณ ผอ บวร
  • หายไปนานเลย
  • มีอะไรพอให้ผมช่วยได้บ้างครับ
  • ขอบคุณท่านอาจารย์ธนิตย์
  • ที่ตอบได้ละเอียดมาก
  • เป็นประโยชน์แก่คุณครูมากครับ
  • ขออนุญาต
  • ส่งไปให้คุณครูอ่านนะครับ
  • ขอบคุณน้องวัณย์
  • ดีจังเลยครับ
  • แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กๆๆคงลำบาก

สวัสดีครับ

ตอบยาวดี อิๆๆ

การให้ความรู้ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่การทำให้นักเรียนสนใจ และได้ความรู้ไปจริงๆ นั้น ยากกว่ามากๆ

นอกจากการเตรียมตัวอย่างดีแล้ว ยังต้องเตรียม "ด้นสด" ด้วย

เพราะสถานการณ์อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ ;)

  • ขอบคุณคุณ บก มากครับ
  • ใช่ครับ
  • ต้องปรับสถานการณ์ต่างๆๆให้เข้ากับผู้เรียน
  • แต่การเตรียมก็ช่วยได้มาก
  • เพราะเตรียมดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ
  • คุณ บก สบายดีไหมครับ
  • นกน้อย สรุปว่าเป็นนกอะไรครับ

เรียนอ.ขจิต

สำหรับครูต้อยแล้วการสอนภาษาเป็นเรื่องที่สนุก ทำอย่างไรจะให้ผู้เรียนมีทัศนะคติที่ดีต่อการเรียนก่อน ให้รู้สึกออกมาจริงๆว่าภาษานั้นไม่ยาก และเป็นประโยชน์ในชิวิตประจำวันให้ได้ ดูแต่เสื้อนักเรียนสิค่ะ ทำไมเรียกเสื้อshirt ทำไมเรียกโทรทัศน์ว่า TV ทำไมคนชอบนำภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี ภาษาจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ มาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพราะดัดจริต หากเป็นเพราะอะไรน้องครูใหม่ต้องวิเคราะห์เอง แล้วจะเข้าใจ สังคมเด็ก

สิ่งเหล่านี้ครูผู้สอนต้องสะกิดให้นักเรียนคิด และค้นหาคำตอบเพิ่มเติมเองว่ามีอะไรอีกที่เข้ามาและทำให้ภาษามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ การใช้ชีวิตประจำวัน  น้องครูใหม่มองว่าสิ่งที่เรียนมาไม่สามารถ นำมาใช้ในการปฏิบัติจริงได้

พี่อยากบอกว่าเพราะน้องยังไม่ได้ถอดบทเรียน การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น เรียนเพื่อพัฒนาตัวครูเองเพื่อให้รู้แนวทาง  วิธีการมองปัญหา และคิดวิเคราะห์ปัญหา จนถึงการสรุปประมาณค่า และเลือกใช้ความรู้ที่เรียนมาได้อย่างลงตัว ฯลฯ

เมื่อน้องครูคนใหม่นำปัญหานั้นมาคิดหาวิธีการแก้ปัญหา ถึงตรงนี้แหละความรู้ทั้งหลายที่น้องร่ำเรียนมา ก็จะนำมาใช้พิจารณา การแก้ปัญหาโดยการลองผิดลองถูก การเลียนแบบ มากมายหลายวิธีที่น้องรู้มาสดๆ รวมทั้งการวิจัยที่น้องร่ำเรียนมาจากมหาวิทยาลัยก็จะถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับวัยและพัฒนาการของเด็กน้อยที่มีความแตกต่างกันทั้งด้านสมองและอารมณ์ สังคม  กลับเป็นการท้าทายความสามารถของน้องครูใหม่ด้วยซ้ำไปที่สามารถเอาชนะปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ การเรียนรู้มิได้อยู๋ในตำราเท่านั้น น้องครูคนใหม่ต้องหมั่นเรียนรู้จากครูคนเก่า จากแหล่งเรียนรู้มากมายรอบตัวเราและต้องเรียนรู้จากเด็กน้อยด้วยแล้วปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทแห่งตนเอง

อยากช่วยครูใหม่จังเลย

  • ขอบคุณพี่ครูต้อยมากครับ
  • ได้ช่วยแน่ๆๆ
  • น้องจะส่งบันทึกนี้ไปให้น้องครูใหม่ครับ
  • ว่าแต่ว่าน้ำที่โรงเรียนลดหรือยังครับ

สวัสดีค่ะ

  • มาดูวิธีการต่าง ๆ ที่นำเสนอค่ะ
  • อาจอ่อนด้อยด้วยไม่ใช่ครูภาษา..แต่ทว่าชื่นชมและติดตามคำแนะนำเสมอค่ะ

สวัสดีครับ อ.ขจิต

  • อยู่ที่ตัวครูเองที่จะหาวิธีการ สื่อต่าง ๆ ที่จะทำให้เด็กสนใจ
  • ถ้าครูทำได้จากวิธีการง่าย ๆ สู่วิธีการสลับซับซ้อน
  • คุณครูจะมีความภาคภูมิใจและรักในอาชีพครูมากครับ
  • ขอบคุณคุณครู phayorm
  • มากครับ
  • เชียร์คุณครูเขียนหลักสูตรนะครับ
  • ขอบคุณคุณไข่
  • อยากให้คุณครูภูมิใจและรักอาชีพของคุณครูเหมือนกันครับ
  • ขอบคุณครับ

อ.ขจิตอีกทีครับ

อาจารย์คงไปตากแดดเก็บมะม่วงมากไปตัวเลยดำสนิท หิ ๆ ๆ

 

  • น้ำลดตอผุดค่ะ อิอิ
  • ขยะเต็มไปหมด
  • เสียดายสวนผักหล่ม
  • แต่ไม่เป็นไรได้อาหารในดินเพิ่ม เดี๋ยวทำใหม่
  • แต่ห้องเรียนยังฉ่ำนองเพราะหลังคายังไม่ได้ซ่อม
  • ก็ดีจะได้ล้างขี้นกใต้หลังคาออกบ้าง โชคดีที่ไม่ใช่หน้าหวัดนก
  • ไม่งั้นได้รู้สึกพึลึกแน่ๆ
  • ขอบคุณค่ะทีเป็นห่วง

เป็นอีกคนที่ไม่เคยชอบเรียนภาษาอังกฤษกับครูไทยเลย ไม่ใช่ว่าครูไทยไม่เก่งนะค่ะเก่งมากด้วย แต่มีความรู้สึกบางอย่างในการเรียนภาษาอังกฤษคือ"กลัวตอบผิด"

"กลัวถูกดุ"และ"กลัวถูกต่อว่าต่อหน้าเพื่อน"

แต่จะชอบเรียนภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งมากเพราะเขาไม่สามารถดุเราเป็นภาษาไทยได้ นี้เป็นเหตุผลส่วนตัวนะค่ะ

จากที่เคยสอนภาษาอังกฤษอยู่ช่วงหนึ่ง(ช่วงที่ครูภาษาอังกฤษที่โรงเรียนลาคลอด)ทุกชั่วโมงที่สอนภาษาอังกฤษเด็กที่เรียนด้วยจะเรียกชั่วโมงนี้ว่า "ชั่วโมงร้องเพลง" เพราะช่วงนั้นไม่รู้จะสอนอย่างไรทำได้แค่เพียงนำเพลงกับเนื้อหาที่จะสอนมาผูกกันเป็นเพลงทำให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการทำกิจกรรมเท่านั้น บางชั่วโมงเหมือนไม่ได้สอนแต่นักเรียนก็สามารถใช้ความรู้ที่ได้รับในชั่วโมงนั้นได้มากเลยทีเดียว

ก็ลองดูแล้วกันนะค่ะ เผื่อจะพอนำไปใช้ได้บ้าง

พี่ประกายอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ แต่ก่อนครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นนักบวช จะสอนให้ออกเสียง พูด อ่านให้ชัด พี่ทำไม่ได้ เลยไม่อยากเรียน พอโตขึ้นมาทำงาน มีฝรั่งมาสอนอีก เรียนได้อยู่ 5 ครั้ง ไม่ไปเรียนอีก ครูดุ ตามไม่ทัน เลยไม่อยากเรียน น่าจะเป็นข้อคิดนะคะ ทำอย่างไรการเรียนการสอนให้มีความสุขนะคะ

สวัสดีค่ะอาจารย์ขจิต

วันนี้หนูมาเล่นเน็ตที่บ้านเพื่อนค่ะ  ตอนบ่ายจะไปสมัครสอบบรรจุครู

และจะไปนอนค้างที่บ้านป้าคิมค่ะ

ขอพรให้สอบได้เหมือนครูใหม่คนนี้ด้วยค่ะ

  • ขอบคุณคุณไข่
  • มากครับ
  • ใช่ครับ
  • แต่ที่โดนแดดมากๆๆคือตอนไปทำค่ายที่มหาสารคาม
  • ค่ายที่สวนยายเฮ้าครับ
  • ขอบคุณพี่ครูต้อย
  • อ้าวนึกว่าน้ำลดหมดแล้ว
  • หลังคารั่วนี้น่าเป็นห่วงนะครับ
  • ถ้ามีขี้นกด้วยยิ่งน่ากลัว
  • ปลูกผักใหม่เลยครับ
  • ขอบคุณครูป้าแว่น
  • ดีเหมือนกันครับ
  • ให้เด็กๆๆได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบ
  • แต่ต้องสอนภาษาเพิ่มด้วยครับ
  • ขอบคุณพี่ประกาย
  • ต้องบอกก่อนว่า
  • ครูสอนภาษาต้องไม่ดุ
  • ผู้เรียนจะได้รู้สึกว่าอยากเรียน
  • พี่ประกาย
  • มาเรียนกับน้องไหม
  • คุณครูใจดี
  • ฮ่าๆๆๆๆ
  • ขอบคุณครูยอดฉัตร
  • ขอให้สอบได้นะครับ
  • เข้าใจว่าสมัครวันนี้วันแรกใช่ไหม
  • พยายามให้เต็มที่
  • ไปสมัครที่จังหวัดไหนครับ

สวัสดีค่ะ

  • จริงเหมือนที่ อ.ขจิตว่าค่ะ  การสำรวจเพื่อรู้จักความต้องการและปัญหาของเด็กเราก่อน  จะช่วยในการออกแบบและวางแผนการสอน  ครูอรวรรณ  เคยสำรวจเด็ก ม.5  พบว่า  เรื่องที่อยากเรียนมากที่สุดคือ  entertainment  พวกหนัง ละคร ดารา ดนตรี  รองลงมาก็ tourism  culture  health sport  ค่ะ
  • ส่วนวิธีการเรียน  ชอบเรียนเป็นกลุ่มมากกว่าเดี่ยว  ชอบเรียนนอกห้องเรียน  ชอบเรียนเรียนปนเล่น  เกม  เพลง  เรียนรู้จากสถานการณ์จริง  เป็นต้นค่ะ
  • สิ่งหนึ่งที่พบว่าเด็กๆ ชอบและสนุกกับการเรียนมากคือ  สื่อ  และ  กิจกรรม  ค่ะ 
  • เวลาครูอรวรรณ  ไปกรุงเทพฯ  เวลาเดินผ่านบูทต่างตามสถานีรถไฟฟ้า  ห้างฯ  โรงแรม  จะเก็บ Brochure  ทุกอย่างหอบมาหมด (เป็นบ้าหอบฟาง)  แล้วมาเลือกเอาไปใช้สอนให้เข้ากับหน่วยการเรียนรู้ของเรา  เรียกว่าเป็นสื่อของจริง Authentic  เด็กจะสนใจมากกว่า
  • ปัจจุบัน  สื่อที่นักเรียนสนใจมากที่สุด  น่าจะเป็นสื่อจากคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตนี่แหละ  ถ้าให้นำเสนอผลงานทางจอ แล้วจะชอบกว่า  เป็นการบูรณาการวิชาเทคโนโลยีและศิลปะเข้ามาด้วย
  • อีกอันคือ  ไมโครโฟน  ค่ะ  ครูอรวรรณ  งงมาก  เด็กๆ ที่เรียนภาษาอังกฤษ  จะตื่นเต้นมากถ้าครูให้ใช้ไมโครโฟน  (เด็กคงตื่นไมฯ  เหมือนครู)   แต่ค่อนข้างได้ผลค่ะ  คือ  นักเรียนได้ฟังการออกเสียงของครูชัดเจนมาก  ครูได้ฟังการออกเสียงของนักเรียน  เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของการใช้ภาษาของนักเรียนครูอรวรรณ  ก็ลงทุนซื้อไมฯ  ส่วนตัวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองค่ะ  หลังจากสอนมาตั้ง 20 ปี  ที่สำคัญครูอย่ายึดไมไว้กับตัวเอง  นั่นคือครูพูดน้อยๆ  แต่พยายามใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนมากๆ
  • ส่วนกิจกรรม  ให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากเท่าไร  ยิ่งสนุกค่ะ  เวลาครูอรวรรณสอนเรื่อง Healthy food  จบ  จะให้นักเรียน apply  ทำอาหารอีสานที่ดีต่อสุขภาพ  โดยลงมือทำเอง  นำเสนอทีละกลุ่ม  เสร็จแล้วก็แบ่งปันกันรับประทาน  สนุกไปอีกแบบค่ะ (แต่ต้องกระชับเวลาให้ได้)  สอนเรื่อง Culture  ในช่วงวันลอยกระทง  พอสอนจบก็ให้แบ่งกลุ่ม  ทำ Rolepayตามที่ครูกำหนดให้  เช่น  How to make the kratong , Thai dancing on Loy Kratong Day, Nang Noppamas Contest หรือ Taking forieners to float kartong  สอน ม.1 เรื่อง  Dinosaurs  จะให้เด็กๆ  ไปหาข้อมูล ที่แหล่งเรียนรู้เอง  แล้วกลับมานำเสนอแบบง่ายๆ  ตามความสามารถของระดับชั้น
  • การใช้สถานการณ์สมมุติก็สนุกนะคะ  เช่น  การพูดโทรศัพท์  การสั่งอาหาร  จัดโต๊ะอาหาร  เป็นพนักงานเสิรฟ ในร้านอาหาร การเอาสิ่งของมาสนทนา Shopping  ฯลฯ
  • เรื่องจิตวิทยา  ก็เป็นเรื่องสำคัญนะคะ  เวลาให้งาน  เราต้องคอยสังเกตสีหน้าท่าทางเข้าด้วยนะคะ  เพราะเด็กอาจมีงานเยอะจากวิชาอื่นแล้ว  เด็กๆ ครูอรวรรณ  ไม่อยากทำโครงงานเลยค่ะ  ทราบว่า  ทุกวิชาให้งานโครงงานจนทำแทบไม่ไหว  ต้องใช้งบประมาณเยอะ  ไม่มีเวลา  ครูอรวรรณ  เคยเสนอให้โรงเรียนทำบูรณาการโครงงานให้เด็กๆ แล้ว  แต่ยังไม่ work เลยค่ะ
  • เวลาจะให้เด็กทำ project work  จะใช้เทคนิคคือ  ไม่บอกว่าให้ทำโครงงานตรงๆ  แต่จะให้ทำงานตาม step  นี้  เขาก็ทำได้ดี  เป็นเรื่องหนึ่งที่หลายๆโรงเรียน  ควรตะหนักถึงปัญหานี้  เด็กกลัวโครงงาน  ค่ะ อ.ขจิต  โรงเรียนอื่นจะเป็นเหมือนโรงเรียนครูอรวรรณหรือเปล่า หรือเป็นที่ครูดุ  สั่งงานยาก  ใช้เงินเยอะ  ไม่บูรณาการโครงงานเดียวให้ได้ทุกวิชา  สงสารเด็กค่ะ
  • วันนี้พูดยาวมาก  เหมือนคนแก่ๆๆๆ  เลยค่ะ  (ความจริง  อิอิ)  อาจเป็นเพราะพูดมาจากประสบการณ์  หาใช่ผู้รู้มากไม่ 
  • ยินดีแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะคะ

 

 

 

     

  • ขอบคุณพี่คุณครูอรวรรณมากครับ
  • ที่พี่เขียนมา
  • เอามาเขียนเป็นบันทึกดีไหม
  • เป็นการสำรวจความต้องการของนักเรียน
  • เก็บรายละเอียดให้ดี
  • ผมชอบที่เด็กชอบไมล์
  • ลองใช้กล้อง Digital แบบที่เราถ่ายภาพเด็กๆๆ
  • เก็บภาพการนำเสนอ การพูดดีไหมครับ
  • เดี๋ยวจะเอาไปฝากพี่ครับ
  • ขอบคุณมากๆๆครับ
  • อยากมาแซว แต่ดูบันทึกแล้วเอาจริงเอาจัง จึงขอเปลี่ยนแนวมาให้กำลังแล้วกันค่ะ ...ทุกคำแนะนำของทุกท่านเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ค่ะ
  • ลองกระตุ้นเด็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ นะคะ มีหลายร้อยวิธี สำคัญที่คุณครูอย่าหมดไฟ หรือท้อเสียก่อน...เห็นใจมากจริง ๆ ค่ะ
  • ศิลาเองก็จะมาขอยืมวิธีไปพัฒนาน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยเหมือนกัน ...สั่งให้ช่วยแปลหนังสือเชิญชวนผู้มาร่วมประชุมอย่างเป็นทางการยังแปลกันไม่ถูกเลย
  • การแก้ไขปัญหาภาษาอังกฤษแต่ละคนต่างกันไปจริง ๆ ค่ะ แต่ส่วนใหญ่คงต้องทำให้เขารู้สึกอยากเป็นนักอ่าน...อ่านและสังเกตเยอะๆ
  • ในฐานะคนทำงานผู้ใช้ภาษาอังกฤษ (หากิน) ฟันธงนะคะว่าที่เรียนไปนั้น ยังต้องไปฝึกฝนในการนำไปใช้กับงานอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคำตอบที่มักจะได้รับจากน้อง ๆ ที่เพิ่งเข้างานคือ "พี่ ๆ ทำไม ไม่เหมือนกับที่หนูเรียนมาเลย"...ที่เรียนมาก็ว่าปึ๊กแล้ว...แต่อาจจะต้องเพิ่มประสบการณ์จริงบางอย่างเข้าไปด้วยกระมังคะ  ช่องว่างของความรู้ที่เรียนมากับการนำไปปฏิบัติในสังคมการทำงานคืออะไร  วันนี้กำลังรวบรวมคำตอบอยู่ค่ะ จะได้พัฒนาน้อง ๆ ที่กำลังท้อแท้อยู่...เพราะเราก็เคยท้อมาก่อน

สวัสดีค่ะ อ.ขจิต ฝอยทอง

บันทึกมีประโยชน์มากค่ะ

ที่โรงเรียนดิฉันก็สอนภาษาอังกฤษค่ะ

และจะนำแนวทางที่อาจารย์บอกไปปฏิบัตินะคะ

โชคดี มีสุขค่ะ

สวัสดค่ะอาจารย์ขจิต แวะมาอ่านจดหมายจากคุณครูคนใหม่

เเต่จะให้คำเเนะนำอย่างไรดี ขอคิดก่อนนะคะ

อย่างที่อาจารย์แนะนำก็ดีนะคะ คือหาเเรงจูงใจให้เด็ก รางวัล

หรือเทคนิคอื่นๆที่จะไม่ทำให้การเรียนน่าเบื่อ

เหมือนชาวพยาบาลเราจะเเทงน้ำเกลือเด็กก็ต้องหาสิ่งเบี่ยงเบน

พูดคุยให้เขาผ่อนคลาย ไม่ให้กลัวหลอกล่อทุกวิถีทาง

เพื่อให้เด็กยอม คิดถึงอาจารย์อยู่เด้อไม่เห็นแวะไปทักทายเลยช่วงนี้

งอนเเล้ว

  • ขอบคุณมากนะคะสำหรับแนวคิดเรื่องการใช้กล้องบันทึก วีดีโอ
  • จะนำเอาไปใช้ค่ะ  ถ้าเด็กเห็นตัวเองนำเสนอ  น่าจะดีมากทีเดียวนะคะ 
  • เมื่อกี้ลองเปิดดูการเล่นเกมของเด็กแล้ว  มีแค่ตีปี๊บค่ะ  สั้นมากๆ  ยังไม่เห็นกติกาวิธีการเล่น  สงสัยจะให้เนื้อที่ไม่มากค่ะ  จะลองฝึกทำดูค่ะ 
  • ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำแนะนำดีๆค่ะ
  •  
    • ตอบแล้วเน็ตล่มเลย
    • อิอิๆๆ
    • ขอบคุณคุณศิลา
    • มากครับ
    • นึกว่ามาแซว
    • ฮ่าๆๆ
    • การใช้ประสบการณ์มีประโยชน์
    • มากครับ
    • ต้องพัฒนาตนเองและใช้ประสบการณ์การทำงานด้วยนะครับ
    • ขอบคุณคุณครูภัทฯ
    • มากครับ
    • ดีใจที่เป็นประโยชน์
    • ที่หนองจิกปัตตานี
    • ฝนตกไหมครับ
    • ขอบคุณคุณสุชีรา
    • มากครับ
    • กลับมาแล้วใช่ไหม
    • วันก่อนไปแอบดูน้องแคนในบันทึกมาครับ
    • ต้องให้เด็กๆๆสนใจนะครับ
    • ขอบคุณคุณครูอรวรรณ
    • ขอไปหาก่อนนะครับ
    • เนื้อที่เราใช้ได้เพียง 3MB ต่อครั้ง
    • หมายถึงใน gotoknow นะครับ

ผมอีกคนนึงที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษเหมือนกัน อยากจะปรับปรุง ให้เด็กได้มีความรู้ ในห้องเรียนมากขึ้น ต้องให้กิจกรรมเด็กให้มาก

อ.ขจิต ผมอยากจะเก็บ บล๊อคนี้ไว้จัง

  • ขอบคุณคุณ vorakorn มากครับ
  • ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ
  • เหมือนอยู่นครปฐม
  • อิอิๆๆ
  • save favorite ไว้ก็ได้ครับ

สมัยเด็ก ครูเราให้เล่าเรื่องต่อกันเป็นภาษาอังกฤษก็สนุกดีนะ แบบคิดต่อกันไปเรื่อยๆ ขำมาก จากเรื่องหนึ่งโยงไปเป็นอีกเรื่องเพราะแล้วแต่ความเก่งภาษาของแต่ละคน พอแต่งคนละประโยคจนครบก็มาอ่านเป็นเรื่องรวมกัน ขำกลิ้ง จากนั้นครูก็มาแก้ไขจุดที่บกพร่องของรูปประโยคให้ว่าอะไรถูก อะไรไม่ถูก หรือถูกแต่ไม่สวยงาม ควรจะใช้อะไรที่ดีกว่า โหย...สนใจกันทั้งห้องเพราะช่วยกันแต่งไง จากนั้นเมื่อแก้ไขเสร็จก็เขียนใส่กระดาษไปแปะหน้าห้องให้ชั้นอื่นดู มาอ่านแล้วหัวเราะกันใหญ่เพราะเนื้อเรื่องติงต๊อง

อีกอย่างที่เราชอบมากก็คือครูสอนเพลง เอาเพลงที่มีความหมายดีและเพราะมาสอน เรียนจากเพลงทำให้เรารู้ศัพท์ที่มันสละสลวย หรือแสลง รวมถึงลักษณะคำที่ปกติภาษาประจำวันอาจจะไม่ได้ใช้

ที่ครูน่าจะสนับสนุนเด็กคือการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ เราอ่าน Student Weekly ตั้งแต่เด็กจนจบมัธยมเลยนะ มี Pen Pals ต่างจังหวัดและต่างประเทศด้วย เขียนกันซี้ซั้วบ้างแต่ก็เข้าใจ มีแลกรูปถ่าย การ์ด ฯลฯ ยังเคยส่งของขวัญไปให้ด้วยเลย ทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นเรื่องน่าสนใจ เวลาเพื่อนเขียนมาก็เอามาอ่านให้คนอื่นฟังในห้องเรียน (บอกเพื่อนปลายทางแล้ว)

สวัสดีค่ะอ.ขจิต

  • ไหนๆก็เข้ามาต้องช่วยตอบคำถามเนอะ..
    ครูใหม่ใจเต็มร้อย  จบใหม่วิชาการก็คงยังแน่นๆไม่หลวม
  • แต่อาจตื่นเต้น...แม้จะมีช่วงฝึกสอนช่วยสะสมประสบการณ์มาบ้างแล้ว แถมเทคนิคก็คงต้องเรียนมาเพียงแต่ว่าคราวนี้มาปรับใช้ให้ดี
  • สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือ "ความมั่นใจ" ค่ะ บอกตัวเองว่าเราทำได้ เตรียมการสอนแต่ละครั้งให้ดี แล้วตั้งสติก่อนเข้าสอนทุกครั้ง
  • เชื่อว่าคุณครูหน้าสดใส  ที่มีรอยยิ้มและความตั้งใจมัดใจนักเรียนอยู่มัดแน่ๆค่ะ  อ้อ..อย่าลืมลองประเมินผลตนเองเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่องในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ 
  • เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆ
  • ขอบคุณน้องแก้มยุ้ย
  • เรามีวิธีการเรียนคล้ายกัน
  • งานเขียนที่พี่เขียนใน studentweely และ Nation Junior พี่ยังเก็บไว้เลยครับ
  • ฮามากๆๆ
  • ขอบคุณคุณน้องพิชชา
  • มากครับ
  • ที่มาให้กำลังใจครูคนใหม่
  • ได้ประเด็นเพิ่มมากเลยครับ

สวัสดีครับ

ขอร่วมด้วยคน

ผมคิดว่า น่าจะดู สภาพบริบทของโรงเรียน ว่า เป็นเช่นใด เราควรจะสอนในลักษณะใด

จึงจะเหมาะสม

และควรมั่นใจในตัวเอง คุรุ แปลว่า หนักแน่น

มันต้องทำได้ มันไม่ยากเกินความสามารถ ของครูหรอกครับ

สวัสดีครับพี่ขจิตที่เคารพ

เดย์ขอร่วมด้วยช่วยกันนะครับพี่ เผื่อจะใช้ได้ :)

อ่านดูความเห็นของทุกๆท่านแล้วก็พยักหน้า หงึกๆ เห็นคล้อยตามด้วยครับ ดูมีวิธีการดีมากๆๆ เลย

เดย์เรียนจบเอกภาษาอังกฤษมาครับผม เรียน 4 ปี จบมาก็ทำงานสายการบิน 4 ปี

ความรู้สึกแรกเลยคือ อยากกลับไปเรียนใหม่อีกรอบครับ :) ไม่ใช่เพราะเกิดช็อกอะไรหรอกครับพี่ แต่ว่า อยากกลับไปแสดงออกให้อาจารย์เห็นว่า นักเรียนที่ตั้งใจเรียนและให้ความร่วมมือในชั้นอย่างสนุกสนาน เพราะชีวิตจริงที่เจอมานั้น...มันเจ๋งกว่าในห้องเรียนตั้งเยอะๆๆๆๆๆ ^^

ต้องรีบอธิบายก่อนเดี๋ยวเข้าใจคลาดเคลื่อนครับว่า

เพราะเดย์รู้สึกว่าชีวิตทำงานจริงๆนั้นสนุกมากๆ มีอะไรให้เจอให้พบเยอะแยะ จึงอยากเอาประสบการณ์จริงกลับไปสร้างความหรรษาในห้องครับ :)

เพราะตอนเรียนนั้นน่ะ เรียนแบบงงๆว่า เรียนอันนี้เพื่อจะไปเจอกับความจริงอะไรนหนอ? จึงเรียนตามคำบอกไปก่อน...ตอนนี้เลยคิดเล่นๆครับว่า...ถ้ารู้งี๊นะ...จะเรียนในแบบการใช้ชีวิต จะเรียนแบบมีชีวิตชีวาเหมือนคนในสังคมเค้ามารวมตัวและคุยกัน :)

สรุปทั้งหมดคือ...

ในมุมนักเรียน/ เค้าไม่รู้ว่าจะเรียนไปเผื่ออะไร?(แต่สนใจและตั้งใจเรียนอยู่)

ในมุมอาจารย์/ อาจเป็นเพราะ อาจารย์ท่านนั้นเป็นคนเดียวกันกับ นักเรียนข้างบนหรือเปล่า? :) คือเพิ่งจบมาแล้วก็สอนเลยทันที

คุณเก้ง จิระ มะลิกุล ผู้กำกับคุณภาพชื่อด้งจาก 15 ค่ำ เดือน 11 ผมอ่านจากสัมภาษณ์ในนิตยสารเล่มหนึ่งครับจำไม่ได้ ขออภัยจริงๆ ได้สอนนักเรียนภาพยนต์ของท่านแบบหมดเปลือก สุดท้ายก่อนนักเรียนเหล่านั้นจะจบ คุณเก้งบอกนักเรียนคำหนึ่งว่า

"พวกเอ็งไม่ต้องคิดนะว่าจะรีบทำหนังทันทีที่เรียนจบ

จงออกไปใช้ชีวิตซะก่อน สัก 4-5 ปี, เพราะไม่อย่างงั้นหนังเอ็งจะไม่สมจริงและไร้ชีวิตชีวา " :)

ประมาณนี้นะครับพี่ขจิต คำพูดอาจจะไม่เป๊ะๆอย่างนี้ แต่เนื้อความถูกต้องแน่นอน :) ซึ่งผมชอบมากๆ

สำหรับอาจารย์ใหม่ท่านนั้นไม่ทราบว่าจะมีวิธียังไง แต่เดย์มองว่า เราเอาวิธีสอนที่เรียนมาไว้ใช้ แต่อาจจะต้องถอดร่างถอดวิญญาณอาจารย์ออกก่อน แล้วใส่ความจริงลงไปคนคนคนให้เข้ากัน...ลองดูนะครับ

แล้วมาสอนเค้าแบบรุ่นพี่ที่ผ่านชีวิตมาแล้ว...กลับมาเล่าให้น้องๆฟัง ดีมั้ยครับ :)

ไม่ได้ต้องการให้ลาออกก่อนหรืออะไรอย่างนั้นนะครับ แต่เราเอา ธรรมชาติมาสอนกันน่าจะใกล้ชิดกันมากขึ้น และไม่ยากอย่างที่คิด

เอารูปแบบมามัดรวมกับวิญญาณ แล้วหลอกหลอนให้เด็กๆหวีดร้องกันอย่างสนุกสนานและบ้าคลั่ง...อะไรอย่างนั้น 555

พี่ขจิตครับ เดย์ว่าเดย์จะเลอะเทอะเกินไปแล้ว ต้องขออภัยนะครับพี่ อิอิ ไม่เคยเม้นต์อะไรยาวขนาดนี้มาก่อนเลยครับจริงๆ ยาวกว่าบันทึกตัวเองบางอันซะอีก เหมือนได้ระบาย 555

หวังว่าจะไม่หลุดประเด็นนะครับพี่..ไปล่ะคร๊าบบบบ

คิดถึงครับผม ^_^

 

 

 

 

อ้อ...ลืมบอกครับ นักเรียนภาพยนต์ของคุณเก้งที่ได้รับคำสั่งเสียนั้นไป...แล้วนักเรียนทั้งหกคนนั้นก็ได้ออกไปใช้ชีวิต และกลับมาร่วมกันทำหนังให้คนไทยทั้งประเทศประทับใจไปแล้ว...

เรื่องนั้นชื่อว่า แฟนฉัน ครับ ^_^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท