ตั้งแต่มีการปฏิรูปการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2542 ส่งผลให้งานของคุณครูเราเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าทวีคูณ มีองค์กร/สถาบันที่เชี่ยวชาญทางด้านการประเมินเข้ามามีบทบาทในการประเมินคุณภาพกันอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวเชื่อว่าคุณครูส่วนใหญ่ปฏิบัติกันอยู่แล้วแต่ไม่ค่อยได้จัดทำเอกสารไว้เป็นหลักฐานอ้างอิงเท่านั้นเอง ในเมื่อเขาต้องการหลักฐาน งานถ่ายเอกสารและผู้รับจ้างพิมพ์งานจึงมีรายได้ขึ้นมาเป็นกอบเป็นกำสามารถเปลี่ยนรถใหม่ ซื้อบ้านให้เช่าได้หลายหลังเลยทีเดียว คุณครูคุณภาพจำนวนมากที่เบื่อระบบแบบนี้พากัน Early Retired ไปหลายหมื่นคน
( มักจะอยู่ในเกณฑ์ที่ได้กำไรมากกว่าขาดทุน )
แวดวงทางการศึกษาตื่นตัวกันมากเรียกว่าไฟแทบลนก้น มีการจัดตั้งหน่วยงานนั้น หน่วยงานนี้มาคิดวิธีการพัฒนาการศึกษากันอย่างเร่งด่วน หลักการน่ะดีแต่วิธีปฏิบัติก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป อยู่ๆจะให้เปลี่ยนแปลงแบบปุ๊บปั๊บทันอกทันใจโดยไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการพัฒนาคุณภาพของเด็ก เด็กไทยจึงออกมาแบบบิดๆเบี้ยวๆ กลายเป็นปัญหาและภาระต่อสังคมไทย ด้านความรู้ความสามารถอาจจะอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ แต่ความฉลาดทางอารมณ์( EQ) และสภาวะธรรม (DQ) ยังสอบไม่ผ่าน ขนาดวัยทำงานรุ่น 25 up ยังสับสนงงงวยไม่รู้จะเลือกอยู่ข้างไหน ระหว่างความถูกต้องดีงาม หรือผลประโยชน์ที่ได้มาซึ่งเงินตราหรือยศตำแหน่ง
ชอบฟังเรื่องการศึกษาครับ :)
ขอบคุณครับ
ขอบคุณทั้งคุณประสิทธิ์และคุณ Wasawat นะคะ ต้องการจะสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงของการศึกษาไทยค่ะ
ร่วมปฎิวัติการศึกษาเพื่อความเป็นไท