เวลามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ( Acute coronary syndrome : ACS ) ที่ห้องฉุกเฉิน การที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้มาโรงพยาบาลเร็วหลังมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกและทีมดูแลผู้ป่วยให้การตอบสนองอย่างรวดเร็วตามมาตรฐานสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ ผู้ป่วย ST elevation acute coronary syndrome ที่ไม่มีข้อห้ามในการให้ยาละลายลิ่มเลือดควรได้ยาภายใน 30 นาทีตั้งแต่เข้ามาถึงโรงพยาบาล ถ้าให้ยาภายใน 1-3 ชั่วโมงจะลดอัตราการเสียชีวิตได้ประมาณร้อยละ 50 และจะไม่มีประโยชน์ถ้าให้หลัง 12 ชั่วโมงไปแล้ว ผู้ป่วย Non ST elevation myocardial infarction และ Unstable angina ที่มีอาการไม่คงที่ ( Hemodynamic unstable ) ควรได้รับการรักษาโดยวิธีขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางผิวหนัง ( Percutaneous coronary intervention : PCI ) ภายใน 90 นาที ลดอัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยที่ 30 วันได้ ร้อยละ 34 โดยมีอุบัติการณ์ของเลือดออกในสมองเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น เป็นต้น
การพยาบาลผู้ป่วย
1. ประเมินระดับความรู้สึกตัว สัญญาณชีพ ลักษณะผิวหนัง O2 sat ประเมินอาการเจ็บหน้าอกอาการ อาการแสดง และบันทึกระดับความรุนแรง แรกรับ- ทุก15 นาที
2. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(12 Lead EKG)ใน 10 นาทีหลังจากมาถึงห้องฉุกเฉิน
3. ติดตามประเมินคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(Monitor EKG )ทุก 15 นาที
4. จัดท่าให้นอนศีรษะสูง (30-45 องศา ) Absolute bedrest
5. ให้ออกซิเจนตามแนวทางการรักษา
6. ให้สารละลาย 5DS หรือ NSS 500 cc KVO แขนซ้าย ใช้เข็ม Medicult เบอร์ 20
7. เจาะ Lab และส่งสิ่งส่งตรวจ CBC BS BUN Cr ELECTROLYTE CK-MB TROP-T Ca Mg HDL LDL TG CHOLESTEROL
8. Anti HIV G/M PRC 2 u และ Hepatitis profile
9. ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา ประเมินผลข้างเคียงของยาและบันทึก
บรรเทาอาการเจ็บแน่นหน้าอก
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Isordil 5 mg SL ห่างกันทุก 3-5 นาที 3 ครั้ง (ประเมินBPก่อนให้ยาทุกครั้ง BPควรมากกว่า 90/60 mmHg)
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา Morphine 2-4 มก dilute vein slow (ประเมินBPก่อนให้ยาทุกครั้ง BPควรมากกว่า 90/60 mmHg)
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา NTG vein drip (ประเมินBPก่อนให้ยาทุกครั้ง BPควรมากกว่า 90/60 mmHg)
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาต้านเกร็ดเลือด เช่น
- ASA gr v 1 เม็ด เคี้ยวกลืนทันที (กรณียังไม่ได้รับยามาก่อน)
- Clopidogrel หรือ Plavix (75 mg) 8 Tab stat (กรณียังไม่ได้รับยามาก่อน หรือกรณีได้ยาไม่ครบต้องให้เพิ่มจนครบ8 Tab )
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาอื่นๆ เช่น
- Omeprazol 40 mg vein
- N-acetylcysteine กรณีผู้ป่วย GFR < 30
8. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจพิเศษ เช่น ทำ Echocardiogram
9. Prep skin
10. ติดตามผล LAB EKG CXR และรายงานให้แพทย์ทราบ
11. สังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อคจากกล้ามเนื้อหัวใจ หัวใจวาย
12. เตรียมยาและอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตฉุกเฉินให้พร้อมใช้งาน
13. รายงานแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ เช่น เจ็บแน่นหน้าอก หอบเหนื่อย SBP>180 or < 90 mmHg , HR >100 or < 50 ครั้ง/ นาที , RR> 25 or < 10 ครั้ง/ นาที EKG ผิดปกติ
14 ดูแลผู้ป่วยและญาติให้สามารถเผชิญกับภาวะวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย
สร้างสัมพันธภาพที่ดี เปิดเผย แนะนำตนเอง สร้างความไว้ใจแก่ผู้ป่วยและญาติ ประเมินอาการ อาการแสดงความวิตกกังวลและให้ความช่วยเหลือ ประเมินความต้องการของผู้ป่วยและญาติและตอบสนองตามความเหมาะสม เจ้าหน้าที่หรือให้ญาติอยู่เป็นเพื่อนและปลอบโยนเมื่อมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกจนกว่าผู้ป่วยอาการจะดีขึ้น ดูแลความสุขสบายทั่วไปและช่วยเหลือผู้ป่วย โดยเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย ให้ญาติสามารถเข้ามีเยี่ยมตามความเหมาะสมและทั้งนี้ต้องไม่รบกวนการพักของผู้ป่วยจนเกินไป
15 ให้ข้อมูลเตรียมความพร้อมแก่ผู้ป่วยหรือญาติ
- อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบทุกครั้งก่อนให้การรักษาพยาบาล ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและประเมินการรับรู้ข้อมูลอย่างมีระบบ และบันทึกในบันทึกทางการพยาบาลเพื่อให้ไม่เกิดการซ้ำซ้อนในการให้ข้อมูลที่มากเกิน
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยและญาติระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัย
- แนะนำผู้ป่วยและ/หรือญาติ เกี่ยวกับ การใช้สิทธิ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล
- การถูกส่งต่อไปทำ PCI ที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ การเตรียมย้ายเข้ารักษาต่อที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ICU/CCU หรือหอผู้ป่วย
ดังนั้น พยาบาลหน่วยผู้ป่วยนอกฉุกเฉินจึงมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ( Acute coronary syndrome ) ตามแนวทางปฏิบัติในชั่วโมงแรกที่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลก่อนส่งต่อไปที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์และหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤต โดยพยาบาลต้องมีความรู้เกี่ยวกับโรค การดูแลช่วยเหลือด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ สังคม มีการวางระบบ สร้างเครือข่าย การสื่อสาร เตรียมบุคลากร อุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงของผู้ป่วยที่จะได้รับการดูแลที่มีคุณภาพสูงสุด
การดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่หน่วยผู้ป่วยนอกอุบัติเหตุฉุกเฉิน
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันที่มาใช้บริการที่หน่วยผู้ป่วยนอกอุบัติเหตุฉุกเฉินแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. ผู้ป่วยACS ที่มีอาการคงที่ เช่น รู้สึกตัวดี สัญญาณชีพ O2 sat ปกติ
2. ผู้ป่วย ACS ที่มีอาการไม่คงที่ เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ความดันโลหิตต่ำ O2 sat ต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อค หัวใจวาย เป็นต้น การดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้มีภาวะวิกฤตฉุกเฉินจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างรีบด่วน
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลผู้ป่วยจะได้รับการดูแลตามแนวทางปฏิบัติโดยพยาบาล คัดแยกจะทำหน้าที่ประเมินอาการและคัดแยกผู้ป่วยเข้าบริเวณห้องฉุกเฉินทุกรายเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมสุขภาพ จากนั้นพยาบาลห้องฉุกเฉินจัดท่าให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงหรือท่าที่ผู้ป่วยสบาย ซักประวัติ วัดสัญญาณชีพ O2 sat เตรียมออกซิเจนให้ผู้ป่วยตามอาการ รายงานให้แพทย์อายุรกรรม ทราบและตรวจอาการภายใน 4 นาที พยาบาลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจภายใน 10 นาที เจาะเลือดส่ง Cardiac enzyme และ Lab อื่นๆ ปรึกษาแพทย์หัวใจและหลอดเลือดเพื่อพิจารณาเปิดหลอดเลือด ภายใน 15 นาที เมื่อแพทย์ตัดสินใจเปิดเส้นเลือดโดยวิธี PCI ที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ เพราะรักษาช้ามีค่าเท่ากับไม่ได้รักษา เวลาจึงมีผลสำคัญมากในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้ พยาบาลห้องฉุกเฉินต้องเตรียมผู้ป่วยให้เสร็จภายใน 90±30 นาที
มาเป็นกำลังใจให้พยาบาลค่ะ ขอบคุณค่ะ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง โรคภัยหนีหายนะคะ
คุณพยาบาลคงเหนื่อยนะคะ..แวะมาให้กำลังใจค่ะ...
ตามท่านพี่ทั้งสองมาติดๆ ค่ะ
มาให้กำลังใจพี่ดอกไม้
เราต่างให้กำลังใจกันและกัน
และมาชวนไปดูบรรยากาศ
เห็นกาแฟแก้วนี้แล้วคิดถึงความรัก ความอ่อนหวาน สดชื่นและหายห่วงเป็นปลิดทิ้ง พร้อมจะสู้งานใหม่แล้วจ้า
กุ๊กกิ๊กมาเยี่ยมเยียน ฝากหัวใจไว้ให้ดูแลนะจ๊ะ
สวัสดีค่ะ
แวะมาทักทาย ถ้ามีทีมทีเข้มแข็ง รับรองคนไข้ปลอดภัย
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาเยี่ยมเยียนนะคะ
สร้าง Comment ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง..คลิ๊กที่นี่
สวัสดีค่ะ
แวะมาทักทายและขอบพระคุณที่ให้ความรู้ในวันนั้น
แค่คิดถึง
PH
ทำไมต้อง door to EKG ภายใน 10 นาที