ผมถูกสายลมหนาวปลุกให้ตื่นมากลางดึกทั้งที่ก่อนจะพาเจ้าตัวเล็กเข้านอนนั้นผมก็พยายามปิดประตูหน้าต่างทุกด้านของเต็นท์อย่างมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสายลมหนาวแอบเล็ดลอดเข้ามาโบยตีให้ผมและสองหนุ่มหนาวสะท้าน
เวลาเกือบ ๆ จะตีสองในค่ายต้านลมหนาว ถ้าไม่นับเสียงพูดคุยเสวนาของนิสิตก็ถือว่าเงียบสงัดพอสมควรคงมีก็แต่เสียงผ่านพัดของลมหนาวเท่านั้นที่ดูประหนึ่งว่าน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด
ส่วนเทือกเขาภูพานอันยาวเหยียดนั้นก็ดูเงียบขรึมไม่มีแม้แต่สรรพเสียงใด ๆ จะผ่านเลยมาทักทาย
หลังการประชุมอันหลายตลบของเย็นวันศุกร์(12ธันวาคม 2551)ผมก็ออกเดินทางมายังค่ายต้านลมหนาวสานปัญญาณโรงเรียนเหล่าภูพานสาขาบ้านหนองหญ้าปล้องตำบลแซงบาดาล อำเภอสมเด็จจังหวัดกาฬสินธุ์
ผมเดินทางมาถึงโรงเรียนเหล่าภูพาน สาขาหนองหญ้าปล้องในราว ๆ เกือบจะสามทุ่มรถยนต์คู่ชีพอัดแน่นไปด้วยสัมภาระอย่างหลายหลากทั้งเต็นท์ ถุงนอนกระเป๋าเสื้อผ้ากล้องวีดีโอปลั๊กไฟรวมถึงเพื่อนร่วมทางอีก 4 คนได้แก่คุณสุริยะสอนสุระเจ้าเดียร์ จากกลุ่มไหลและน้องดินกับน้องแดน
ถึงแม้สถานที่ออกค่ายโครงการ “ต้านลมหนาวสานปัญญา”จะอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอสมเด็จมากนักแต่ด้วยความที่ว่ายังไม่ “เคยทาง”จึงจำต้องขับแบบค่อยเป็นค่อยไปและยิ่งต้องขับฝ่าความมืดลัดเลาะไปตามเส้นทางอันแคบ ๆที่เต็มไปด้วยความสูงชัน หรือไม่ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามระดับความสูงต่ำของภูเขาก็ยิ่งทำให้ตัวเองออกอาการเกร็ง ๆ และเพิ่มความระมัดระวังเข้มขึ้นเท่าตัว
ในห้วงที่ผมเดินทางเข้ามาถึงตัวโรงเรียนอันเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสิ่งแรกที่มองเห็นอย่างเด่นชัดเลยก็คือคนกลุ่มใหญ่กำลังนั่งล้อมรอบกองไฟกองเล็ก ๆอยู่กลางลานโล่ง และกองไฟที่ว่านั้นก็ไม่ใช่กองไฟที่ใหญ่โตนักจึงส่งผลให้บรรยากาศ ณ ที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยความมืดสลัว
ภายหลังการเก็บสัมภาระออกจากตัวรถเสร็จสิ้นลงผมถือโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์กิจกรรของนิสิต พร้อม ๆ กับการบันทึกภาพเหล่านั้นไว้เป็นระยะ ๆโดยภาพรวมแล้วเห็นได้ชัดว่านิสิตกำลังสรุปงานประจำวันและมอบหมายงานในวันรุ่งขึ้นตลอดจนการย้ำถึงกระบวนการของการจับ “บัดดี้บัดเดอร์”เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของการอยู่ร่วมกัน
กิจกรรมในครั้งนี้มีองค์กรนิสิตพาเหรดเข้าร่วมขับเคลื่อนมากถึง 11 องค์กรและเมื่อตรวจเช็คจำนวนนิสิตที่เข้าร่วมกิจกรรมก็ยิ่งชวนให้ตื่นตระหนกเป็นที่สุดเพราะมีผู้เข้าร่วมมากถึงเกือบ ๆจะ 150คนเลยทีเดียวยังผลให้ผ้าห่มที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้รองรับไม่เพียงพอไปโดยปริยาย(ผมเลยต้องนอนแบบไม่มีผ้าห่ม)
ถัดจากนั้นเมื่อกิจกรรมยุติลงผมจึงชวนให้แกนนำขององค์กรต่าง ๆ มานั่งพูดคุยกัน โดยมีคุณสุริยะ สอนสุระทำหน้าที่บันทึกวีดีโอ และเรื่องที่เราพูดคุยกันนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นหลัก ๆของการทำงานแทบทั้งสิ้นเช่นภาพรวมโครงการสาเหตุการเข้าร่วมของแต่ละองค์กรเหตุของการเลือกพื้นที่รูปแบบกิจกรรมการแบ่งงานปัญหาและอุปสรรค ฯลฯ
การนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองนี้ผมถือเป็นส่วนหนึ่งของการ “ถอดความรู้”ของแต่ละคนขณะเดียวกันก็ถือเป็นกระบวนการหนึ่งในการ “แลกเปลี่ยนเรียนรู้”ร่วมกันของผู้นำค่าย
จากการพูดคุยกันในครั้งนี้ผมสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นในการทำงานของแต่ละองค์กร เห็นถึงกระบวนการทำงานหรือการบริหารจัดการที่เต็มไปด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดเพราะลำพังแค่เฉพาะองค์กรเดียวยังทำงานแสนลำบาก ซ้ำร้ายบ่อยครั้งก็หาความเป็นปึกแผ่นแทบไม่ได้นี่ถึงขั้นทะลักมาตั้ง 11 องค์กร ก็ยิ่งดูเหมือนจะบริหารจัดการลำบากขึ้นเท่าตัวยิ่งต่างคนต่างมี “วัฒนธรรมองค์กร”ที่ต่างกันการหลอมรวมเข้าสู่ “จุดร่วม”ในทางวัฒนธรรมของค่ายนี้จึงดูซับซ้อนและลำบากอยู่มากโขซึ่งในความซับซ้อนและยากลำบากนั้นก็หมายถึง “ความท้าทาย”ดี ๆ นั่นเอง
ในภาพรวมของการพูดคุยกันนั้นผมค่อนข้างประทับใจเกี่ยวกับการร่วมคิดร่วมสร้างของชาวค่ายนี้มากเริ่มต้นจากการให้อิสระแต่ละองค์กรได้เลือกที่จะไปสำรวจค่ายตามพื้นที่ที่ตนปรารถนาจากนั้นก็นำข้อมูลที่เกิดจากการสำรวจมาเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อให้ทุกองค์กรได้ร่วมตัดสินใจว่าจะเลือกพื้นที่ใดเป็นสถานที่จัดกิจกรรม
เกี่ยวกับการคัดเลือกสถานที่นั้นเบื้องต้นทำการคัดกรองให้เหลือเพียง 3พื้นที่จากนั้นจึงแต่งตั้งทีมงานลงสำรวจพื้นที่อีกรอบเพื่อก่อให้เกิดความแน่ใจเกี่ยวกับความต้องการของชุมชนรวมถึงการวิเคราะห์ว่าความต้องการที่ว่านั้นเรามีศักยภาพเพียงพอที่จะให้บริการหรือไม่ !
โดยส่วนตัวแล้วถึงแม้ฟังดูเหมือนกับว่ากระบวนการขับเคลื่อนเรื่องพื้นที่จะมากครั้งไปหน่อยแต่ผมก็ถือเป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วเพราะนั่นคือการทำงานแบบมีส่วนร่วมทั้งในภาคของนิสิตและชุมชนรวมถึงเป็นการซ่อนนัยยะแห่งการเป็นกุศโลบายที่พยายามหลอมให้แกนนำค่ายจากองค์กรต่าง ๆได้ละลายพฤติกรรมเข้าหากันโดยมีกิจกรรมการสำรวจค่ายเป็นกลไกในการขับเคลื่อน
สำหรับประเด็นของการเลือกเข้าร่วมกิจกรรมนั้นส่วนใหญ่สะท้อนตรงกันว่าต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการทำงานกับเพื่อนต่างองค์กรและเชื่อมั่นว่าการทำงานร่วมกับองค์กรต่าง ๆที่มี “วัฒนธรรมองค์กร”ต่างไปจากองค์กรตัวเองนั้นถือเป็นความ “ท้าทาย”ที่ควรต้อง “เรียนรู้”รวมถึงการเชื่อว่ากิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ ไม่ซับซ้อนและสามารถก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
และที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คือการผูกโยงกลับไปสู่ครั้งที่ผ่านมาว่าทีมงานในปัจจุบันได้พยายามนำข้อมูลจากปีที่แล้วมาปรับแก้ หรือแม้แต่มาต่อยอดให้กิจกรรมสมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมโดยเฉพาะในเรื่องของการแบ่งงานนั้นได้กำหนดให้สมาชิกของแต่ละองค์กรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ๆโดยห้ามมิให้ขลุกอยู่กับแต่เฉพาะด้านที่องค์กรตัวเองเป็น “แม่งาน”
ในช่วงท้ายของการพูดคุยกันนั้นผมถามแบบเปิดเปลือยว่าเห็นด้วยกับแนวคิดที่ผมนำมาใช้เป็นกรอบกว้าง ๆด้วยการเชิญชวนให้แต่ละองค์กรมาร่วมรับผิดชอบในกิจกรรนี้หรือไม่ ?เพราะแทนที่จะปล่อยให้ “พรรคชาวดิน”ได้จัดโครงการนี้แต่เพียงลำพังเหมือนในอดีตแต่กลับนำความเป็นหน่วยงานลงมาร่วมรับผิดชอบพร้อม ๆ กับการเชิญชวนให้องค์กรต่าง ๆ มาผนึกกำลังและลงเรือลำเดียวกันเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เกือบทุกองค์กรให้คำตอบแก่ผมอย่างฉะฉานว่าเห็นด้วยกับแนวคิดนี้เพราะถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่แต่ละองค์กรจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะการทำงานที่มีองค์กรหลาย ๆ องค์กรมาร่วมกันนั้นถือว่าหาได้ยากมากนี่จึงเป็นโอกาสอันดีของการเรียนรู้อัน “ท้าทาย”และยิ่งเป็นการเรียนรู้ที่เกิดมิติทาง “จิตอาสา” ต่อสังคมยิ่งทำให้การเรียนรู้ที่ว่านี้มีคุณค่ามากขึ้น
นั่นคือส่วนหนึ่งอันน้อยนิดที่ผมพยายามประมวลมาจากเวทีเล็ก ๆ ที่ผมนั่งคุยกับน้องนิสิตโดยมีการบันทึกวีดีโอเทปไว้ทุกกระบวนความเพื่อนำไปสู่การจัดทำเป็นสารคดีค่ายเล็ก ๆส่งต่อไปสู่การเรียนรู้ในโอกาสต่าง ๆ
และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของนิสิตทั้งต่อวิถีการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์และกระบวนการของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในทางวัฒนธรรมจากเพื่อนต่างองค์กรรวมถึงความปรารถนาที่จะทำสิ่งที่ดีงามต่อสังคมผมถือว่าล้วนแล้วแต่เป็นพลังที่ช่วยขับเคลื่อนให้ค่ายต้านลมหนาวสานปัญญาในครั้งนี้เดินทางมาได้อย่างยาวไกล
และผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแต่ละองค์กรถึงกล้าทุบกระปุกชมรมตนเองนำเงินมาลงขันกันหลายพันบาท(บางชมรมก็เป็นหมื่นบาท)เพื่อเติมเต็มจำนวนเงินบริจาคที่ได้มาต่ำกว่าเป้าเพราะที่จริงแล้วเงินเหล่านี้ควรต้องเก็บไว้เพื่อจัดกิจกรรมเฉพาะของตนเองเสียมากกว่า ...
ด้วยเหตุนี้แหละผมถึงมีความสุขที่จะเขียนถึงความดีงามของพวกเขาอย่างไม่รู้เบื่อและดีใจที่ได้รับรู้ว่าเสร็จจากค่ายนี้แล้วต้านลมหนาวสานปัญญาก็จะขยายผลอีกครั้งในเดือนมกราคม 2552
นี่คือความอบอุ่นที่หัวใจของผมสัมผัสได้ในห้วงที่ชีวิตกำลังทำสงครามกับสายลมหนาว ...
.....
04.27
เสียงไก่ขานรับวันใหม่
ภูพาน, ..
และลมหนาวที่หนาวสะท้าน
สวัสดีเจ้าค่ะ ครูแผ่นดิน ถิ่นสยามที่น่ารัก
น้องจิแวะมาเยี่ยมค่ะ เห็นกิจกรรมแล้วน่าสนุกมากๆเลยค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะค่ะ คิดถึงค่ะ ...หนูจิ
ภาพนี้สวยจริงๆ ได้อารมณ์ของภาพมากๆ ชอบๆ
มาเป็นกำลังใจให้คนทำงานและน้อง ๆ ครับ...
สวัสดีค่ะอาจารย์
***ดูสิคะ...เพียงภาพบรรยากาศ ก็ทำไห้หลายคนมีความสุข
***ช่างเป็นวันเวลาที่มีค่าของคนหนุ่มสาว..ที่น่าอิจฉาจริงๆค่ะ
สวัสดีคะ มาเยี่ยมค่ายต้านลมหนาว ให้กำลังใจนักศึกษาและอาจารย์
สวัสดีค่ะน้องชายที่คิดถึง
ครูอ้อยแวะมาเยี่ยม ตามลมหนาวมาค่ะ
กิจกรรมนี้ดีมากเช่นเคย นะคะ
ครูอ้อยขอเป็นกำลังใจน้องชายเสมอค่ะ.....ที่นี่ ค่ะ
แวะมาอ่าน ดูกิจกรรมดีๆที่สร้างสรรค์ ต้านลมหนาวค่ะ
มีความสุขในทุกๆวัน
รักษาสุขภาพ นะคะ
กิจกรรมดีมากมากครับ ไม่ทราบว่า คณาจารย์ มมส มาร่วม เรียนรู้กู่สร้างสรรค์ สู่นิสิตที่พึงประสงค์ด้วยใหมครับ
มาร่วมชมภาพประทับใจ และดีใจกับ จิตอาสา ครั้งนี้อย่างยิ่ง
สวัสดีครับ . โก๊ะจิจัง แซ่เฮ~natadee ที่สุดในแก๊ง
เป็นยังไงบ้าง.. เก็บไปได้กี่หน่วยกิตแล้ว รวมถึงมีโอกาสได้ออกค่ายอาสาพัฒนากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ในศิลปากรบ้างหรือยัง..
รักษาสุขภาพ ด้วยเด้อ
สวัสดีครับ . ครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
ภาพนี้คุณสุริยะ ..เป็นคนถ่ายให้ครับ ใช้ขาตั้งกล้อง บรรยากาศดีมาก ผมเองก็ชอบภาพนี้เช่นกัน
และคงเป็นภาพในความทรงจำของคนค่ายไปอีกภาพเลยทีเดียว
สวัสดีครับ Mr.Direct
ปีแรกไปที่ชัยภูมิ ปีนั้น "หนาวลม" เพราะมีลมพัดกรรโชกแรงตลอดเวลา
ปีที่สอง ไปที่อุดรธานี ปีนี้ "หนาวฝน" เพราะฝนยังตกปรอย ๆ
ปีนี้ ไม่มีลมไม่มีฝน แต่น้ำค้างและหมอกนั้น หนักหนาสาโหดมาก ผมเลยพลอยนอนไม่หลับ เพราะห่วงลูก ๆ เกรงว่าจะนอนจัดจนเป็นอะไรไป
สวัสดีครับ กิติยา เตชะวรรณวุฒิ
ค่ายนี้รวมพลังกันหลายองค์กร มีคนเข้าร่วมเยอะมาก และเชื่อว่าแต่ละคนคงได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ บ้าง อย่างน้อยก็เรียนรู้ถึงการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อคนรอบข้าง
ส่วนเขาจะพัฒนาไปสู่จิตอาสาได้มากหรือน้อยนั้น ผมไม่อาจคาดหวังอะไรมาก ทุกอย่างมันอยู่ที่เขาทั้งหมด
ขอบคุณครับ
อืม บรรยากาศการทำงานดีมากเลยคะ
คิดถึงตอนเป็นนักศึกษา บรรยากาศแบบนี้ ใช่เลย
การทำงานร่วมกับชุมชนเป็นอะไรที่น่าค้นหา และน่าติดตาม เรียนรู้อย่างมาก
ท้าทาย สร้างสมประสบการณ์ให้ตนเอง
ขอเป็นกำลังใจ ให้มีกิจกรรมดีๆแบบนี้ต่อไปนะคะ
เพื่อปลูกฝังและพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน
สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆนะคะ
คนสารคาม
มองย้อยขึ้นไปอีกเห็นภาพ "กล้วยไม้" ทำให้นึกถึงคำที่ว่า
"กล้วยไม้ออกดอกช้าฉันใด การศึกษาออกดอกช้าฉันนั้น"
สวัสดีครับ พี่ประกาย~natachoei
สำหรับค่ายในครั้งนี้ นิสิตมีพลังใจกันเยอะมาก รวบรวมเพื่อน ๆ มาช่วยงานกันได้เป็นระยะ ๆ รวมถึงการกล้าที่จะเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงาน เพื่อให้สอดรับกับสภาวะการณ์ความเป็นจริงของชุมชน
และคิดว่า กิจกรรมต้านลมหนาวสานปัญญาฯ จะกลายเป็น "ประเพณี" บนถนนสายกิจกรรมของมหาวิทยาลัยสืบต่อไปอย่างยาวนาน
....
สวัสดีครับ ครูอ้อย แซ่เฮ
ผมมีความตั้งใจไว้นานมากว่าจะมีค่ายที่ช่วยเหลือชาวบ้านให้ครบทั้งสามฤดูกาล เช่น น้ำท่วม หนาว และแห้งแล้ง
สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดได้จริง นิสิตจะเรียนรู้การทำงานที่แหลกหลายบรรยากาศ และมีจิตอาสา รวมถึงการเห็นคุณค่าของตัวเองด้วยเช่นกัน
....
รักษาสุขภาพ นะครับ
สวัสดีครับ @..สายธาร..@
โครงการต้านลมหนาวสานปัญญา มีความน่าสนใจหลายอย่าง นับตั้งแต่การทำงานร่วมกันของหลาย ๆ ฝ่าย การบูรณาการกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้เวลาอันจำกัด รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงพลังของประชาคม มมส สู่การมีจิตศรัทธาเพื่อสังคมด้วยเช่นกัน
ในอนาคต ปรารถนาให้กิจกรรมนี้ได้กลายเป็นประเพณีของสถาบัน ซึ่งหมายถึง เป้นความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างนิสิตกับมหาวิทยาลัย โดยมีพื้นที่ปฏิบัติการสองกรอบใหญ่ ๆ คือ ภายในมหาสารคาม และพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ ทั้งในภาคอีสาน หรือภาคอื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
โห หลากปัญญา นำพาชีวิต กันเลยทีเดียว
.
ส่งต่อ กำลังใจ ครับ
สวัสดีครับ อ. JJ
กิจกรรมในครั้งนี้ได้ผลในเชิงรุกมาก นิสิตรวมตัวกันหลายกลุ่ม ขณะที่บุคลากรในมหาวิทยาลัยก็ขยับมาช่วยเหลือบ้างตามโอกาส
ตอนนี้กำลังวางแผนในการขยายผลต่อไปอีกรอบ
คงมีความเคลื่อนไหวให้ได้เห็นอีกรอบ ครับ
สวัสดีครับ subparod
เรื่องราวของจิตอาสาเป็นเรื่องที่งดงามและมีพลังมาก รวมถึงการเป็นเรื่องชวนฝันสำหรับคนหนุ่มสาว ...
ที่ มมส ไม่ค่อยได้เรียกชื่อนี้นะครับ แต่จะเรียกว่า "จิตสำนึกสาธารณะ"
...
อย่ากเป็นส่วนหนึ่ง ของโครงการดีๆครับ มีอะไรที่พอจะช่วยเหลื่อได้ ติดต่อผมบ้างนะครับ ขอบคุณที่ไม่ลืมเด็กๆ ที่อยู่นัย ชนบท