ครั้งแรกที่อ่านข้อเขียนนี้ของคุณ NidNoi ผมรู้สึกเฉยๆ
และตอบไปในเชิงเล่นๆ เสียมากกว่าว่ามันเป็นนิสัยของคนไทย
แต่อะไรสักอย่างทำให้สะดุดนึกไปถึงนิสัยคนญี่ปุ่นที่เคยเขียนไปแล้ว
เอะทำไมนิสัยนี้ไม่เป็นในหมู่คนญี่ปุ่นบ้าง อะไรเป็นสาเหตุให้คนไทยมีนิสัยไม่ยอมอ่านทั้งๆที่มันมีให้อ่านอยู่ตรงหน้า
แต่เลือกวิธีการถามแทน
แล้วที่สำคัญมักจะเลือกถามเพื่อน แทนที่จะถามจากผู้รู้
หรือครูบาอาจารย์ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้คำตอบที่ได้ ก็ 50:50
อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
อย่างแรกที่นึกถึง
หรือเป็นความล้มเหลวของระบบการศึกษาของเมืองไทย
ที่ไม่สามารถสอนให้คนไทยสามารถหาความรู้ใส่ตัวเองด้วยความสามารถของตัวเองได้
ระบบการศึกษาของบ้านเราสอนให้เราอ้าปาก
เพื่อให้คุณครูเอาวิชาความรู้มาใส่ในปาก จนมือไม้ของนักเรียนอ่อนล้า
และลีบไปในที่สุด การเรียนในระบบท่องจำ
ที่เน้นผู้ที่รู้มากคือผู้ที่สามารถจำได้มากที่สุด
น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งของต้นตอปัญหานี้ การท่องจำโดยไม่รู้ที่มาที่ไป
น่าจะเป็นอันตรายต่อผู้เรียนในระยะยาว
เพราะความรู้ที่ได้มาก็เหมือนนกแก้ว นกขุนทอง
ได้แต่พูดแต่ไม่รู้จักความหมายที่แท้จริง
ซึ่งไม่น่าจะนับว่าเป็นความรู้ได้
แต่ผลที่ได้คือนักเรียนที่เรียนอย่างนี้ได้คะแนนดี
ในขณะที่นักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งที่เริ่มฝึกที่จะคิดเป็น ถามเป็น
หรือเริ่มออกนอกกรอบที่คุณครูขีดไว้ กลับได้คะแนนน้อย นี่เรากำลังสนันสนุนให้เด็กคิดเองเป็นกันอยู่หรือเปล่า
หรือเรากำลังสนันสนุนให้เด็กเชื่อในทุกสิ่งที่ได้ยิน
จนกระทั่งไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด
เป็นเรื่องน่าแปลกอีกอย่าง
ถ้าเราให้เด็กหรือแม้แต่รุ่นผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ตามวาดรูปวิว
มากกว่าร้อยละ 90 จะวาดออกมาด้วยรูปแบบเดียวกันเป๊ะทั้งประเทศ
ไม่ว่าจะอยู่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน หรือภาคใต้
ในรูปนั้นจะต้องมีภูเขาอย่างน้อยสองลูก อยู่ตรงกลางภาพ
มีพระอาทิตย์กำลังขึ้นอยู่ระหว่างกลางเขาทั้งสองลูก
ด้านใต้ของภูเขาจะเป็นอ่าว รูปโค้ง มีเรือใบอยู่ในทะเล
มีนกเป็นรูปตัวเอ็มบินอยู่บนท้องฟ้า
อย่างดีก็จะมีต้นมะพร้าวอยู่บริเวณชายหาด
อะไรทำให้เราก็อบปี้ความคิดเรื่องวิวออกมาได้เหมือนกันทั่วประเทศ
ถ้าไม่ใช่ความล้มเหลวของระบบการศึกษา
อีกอย่างคือเราสบายกันจนเคยตัว
เกือบจะทุกสิ่งที่เราได้มา บางครั้งมันได้มาง่ายเกินไป
จนเราลืมนึกถึงคุณค่าของการได้มา
ความสบายจนเคยตัวทำให้เราอยู่ในฐานะของผู้ขอ แต่ก็ไม่เคยมีใครคิด
รู้สึกเหมือนกับว่าการขอเป็นเรื่องปกติ
สามัญจนจะกลายเป็นวัฒนธรรมของชนชาติไทย
หรืออาจจะเป็นนิสัยประจำชาติกันไปแล้ว
การขวนขวายด้วยตัวเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เพื่อเปลี่ยนสถานะจากผู้ขอเป็นผู้รู้เพื่อที่จะให้
ถือเป็นชนกลุ่มน้อย
อย่างไรก็ตามการเป็นชนกลุ่มน้อยก็ยังเป็นไปในลักษณะของการสนับสนุนให้ผู้ขอขอต่อไป
ผมเองก็จัดอยู่ในชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้เหมือนกัน
เพราะจะคอยบอกทุกเรื่องที่รู้
โดยลืมนึกไปว่าเขาควรจะขวนขวายในบางเรื่องเพื่อที่จะรู้
แล้วเราช่วยเสริมในเรื่องที่เขายังไม่รู้
ผมอดนึกถึงเจ้าหนุ่มญี่ปุ่นที่ตอบปฏิเสธสาวไทยที่ไปขอให้ช่วยอธิบายการใช้โปรแกรมไม่ได้
เขาบอกว่า ให้ไปอ่านหนังสือเองก่อน
ภายหลังจากที่พยายามอ่านเองแล้วไม่เข้าใจ กลับไปถามใหม่
เขาก็ตอบว่า you ยังอ่านไม่มากพอ
ให้กลับไปอ่านใหม่ คนเช่นนี้โตในบ้านเมืองเรายากครับ
น่าจะตายก่อนที่จะโตด้วยซ้ำ
เพราะมันแล้งน้ำใจขนาดที่คนไทยรับกันไม่ค่อยจะได้
แต่เขาก็ไม่สนับสนุนให้คนได้อะไรมาง่ายๆเหมือนกัน ผมเข้าใจว่า KM ที่เราพยายามที่จะจัดการความรู้
ก็ไม่น่าจะสนับสนุนให้คนเราได้ความรู้ในฐานะผู้ขอ
แต่น่าจะสนับสนุนให้เราแลกเปลี่ยนความรู้ในฐานะผู้ให้เสมอกัน
ผมรู้อย่างนี้ คุณรู้อย่างไร เหมือนกันหรือไม่
ต่างกันตรงไหน ทำไมคุณจึงทำอย่างนี้
ทำอย่างนั้นแล้วดีกว่าที่เราทำอยู่หรือเปล่า
ขอลองทำแบบคุณบ้างซิเผื่อว่ามันจะดีกว่าที่ผมทำอยู่ ......
มากกว่าที่เราจะบอกว่า เอ้าวันนี้จะมีอะไรมาพูดให้ฟัง ก็ว่ามาได้เลย
ผมคอยจดแล้ว.......