ชีวิตนี้ กับการ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)


กราบสวัสดีครับทุกท่าน

    สบายดีกันนะครับ ช่วงนี้วุ่นๆ กับการเคลียร์หลายๆเรื่องก่อนจะมีการคัดลอกและวาง (Clear for copying and pasting) นะครับ มีหลายๆ บันทึกพูดเรื่องการ คัดลอกและวาง หรือบางคนย่อว่า C&P หรือ Copy and Paste นะครับ ดังนั้นผมคิดว่า ผมจะขอเล่าเรื่องการคัดลอก เลียนแบบ และวางของผมให้ฟังกันดีกว่านะครับ

    ตั้งแต่ปฏิสนธิ ก็เริ่มคัดลอกแล้วโดยการเอาโครโมโซม X จากแม่ และ Y จากพ่อคัดลอกลงไปวางในไข่เพื่อการปฏิสนธิ จากนั้นเซลล์ก็มีการเจริญแบบคัดลอกเพิ่มทำซ้ำจนเติบโตพร้อมจะออกมาจากครรภ์คุณแ่ม่ครัีบ ร้องออกมาแกวๆ ตอนนั้น ไม่รู้ไปคัดลอกเสียงของบรรพบุรุษมามาอีกอย่างไร อาจจะเป็นเีสียงร้องของพ่อแม่ที่เคยร้องมาก็ได้ครัีบ เลียนแบบตั้งแต่อยู่ในท้องเลยครัีบ ตอนแรกๆ ตายังไม่เปิด แล้วค่อยๆ เปิด มองอะไรยังไม่เห็นชัด ก็ค่อยๆ เห็นชัด เอาล่ะ เครื่องมือในการรับสารเริ่มพร้อมขึ้น  การส่งสาร การประมวลผล

    รับสิ่งต่างๆ ผ่านหน่วยรับข้อมูล ตา หู จมูก กายสัมผัส ใจ ลิ้น รับเข้าไปผ่านการประมวลผลจากนั้น ก็คือการ วางหรือการแสดงออกนั่นเองครับ  ตั้งเริ่มหัดยิ้มเลียนแบบพ่อแม่  เริ่มคลาน คัดลอกมาจากอะไรก็ไ่ม่รู้ครัีบ บ้างก็ว่าสัญชาตญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ครัีบ ผมก็เริ่มยิ้ม หัวเราะ ส่งเสียง เลียนแบบไปเรื่อยๆ ครัีบ

    โตขึ้นมาหน่อย เริ่มหัดเดิน เลียนแบบเด็กๆ คนอื่น เลียนแบบสัตว์เลี้ยง แมว หมา ก็นี่ล่ะ คนกับการเรียนรู้ มันจำเป็นต้องเลียนแบบทำตาม อะไรคิดได้ก็คิด อะไรคิดไม่ได้ตอนนั้นตามวัยก็เลียนแบบ หาต้นแบบ เห็นทีวีก็เต้นรำ ตามละครทีวี ภาษาละครพูดไม่ชัดก็เลียนแบบในนั้น โตมาหน่อย เริ่มพูดตามเสียงพ่อแม่ พูดตามที่เคยพูด เคยเรียนรู้ จนเริ่มสร้างประโยคเองได้ผิดๆ ถูกๆ พอถึงวัยเริ่มวาดได้เขียนได้ ก็วาดใหญ่ครับ พ่อแม่วาดให้ดูก็วาดตาม ก่อนเข้าโรงเรียน ก็พ่อเขียนให้แล้วก็เขียนตาม คัดลอกและเอามาวางว่าทำแบบนี้ เลียนแบบให้เหมือนมากที่สุด กระบวนการเหล่านี้ผ่านสมองก่อนเป็นสวนใหญ่ จะมากหรือน้อยแล้วแต่รูปแบบกิจกรรมครัีบ

    จนเข้าโรงเรียน กิจกรรมการคัดลอกแล้ววางก็เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ ก.เอ๋ย กอ ไก่ เลยครับ เอาละคราวนี้เป็นจุดของการคัดลอก แล้วต้องคัดลอกให้เหมือนครูด้วยซิครัีบ เพราะออกเสียงผิด จะโดนบิดได้ หรือไม่ก็น้ำขึ้นน้ำลง สมัยนั้นเค้ายังยินดีที่จะรักศิษย์ใ้ห้ดีได้ ต่างจากปัจจุบันนิยมนี้ ตั้งแต่  ก. ถึง ฮ. และ กอ อา กา ... ไปจนถึง อำใอไอเอา ภาษาเราจะได้จากครูโดยไม่รู้ตัว  การคัดลอกสำเนียงจากครูต้นแบบจะเป็นไปโดยไม่รู้ตัว ลิ้นเราจะถูกปรับพฤติกรรมให้ตรงตามลิ้นของครูและเราฟังตัวเราเองไม่ออกหรอกว่าเราพูดอย่างไร เราคิดว่าเราพูดถูกแล้ว เว้นแต่จะคัดลอกลงแผ่นเทป แผ่นเสียงแล้วเอามาวางใหม่เข้าทางรูหูเราเข้าไปประมวลผล ว่า อ๋อ พูดทองแดงนี่นา อิๆๆๆๆ เชื่อไหมครัีบ ว่าผมเพิ่งมารู้ตัวว่าผมพูดทองแดงสำเนียงใต้เอาก็ตอนขึ้น ปริญญาตรีแล้ว ห้าๆๆๆๆๆ ทราบเพราะว่าอ่านบทเรียนเข้าไป คัดลอกเสียงตัวเองลงเทปแล้วเอามาวาง Paste ใ่่ส่เข้าไปในรูหูของตัวเอง อิๆๆ ขำดีแท้ครัีบ และหากเด็กในหมู่บ้านถูกส่งไปในเมืองหลวง เสียงเค้าก็จะต่างจากเราๆ เพราะเราีมีต้นแบบที่แตกต่าง กัน ระบบการคัดลอกเลียนแบบก็ต่างกัน

    จนเรียนมาเรื่อยๆ ทักษะการคัดลอกและวาง ก็จะชำนาญมากขึ้น ประกอบกับความสมบูรณ์ของพัฒนาการทางสมองเติบโต ส่วนระบบคิดนั้นก็ต้องฝึกครัีบ เพื่อค้นหาว่าชีวิตตัวเองมีอะไรบ้างที่คิดเองได้ใหม่บ้าง คิดได้ต่อยอดได้เองบ้าง เพราะส่วนใหญ่ก็รับการคัดลอกมาจากข่าว สื่อทีวี วิทยุ ครู ในห้องเรียน นอกห้องเรียน จากธรรมชาติ แม้แต่การถ่ายรูปยังเป็นการคัดลอกและวาง เลยครัีบ เพียงแต่มันขึ้นกับเวลา บางทีเราหลงผิดไปว่า นี่เรารู้เราทำเอง ทบทวนกันแล้วเราจะทราบว่า เราคัดลอก Copy ผ่านการประมวลผล Process แล้วถ่ายทอดออกมาทางการวาง Paste พูดง่ายๆ คือ มีเข้า ประมวลผล มีออก เรื่องการเข้านั้น และออกนั้นสัมผัสได้ ส่วนการประมวลผลนั้น เราพิสูจน์กันยากครับ เพราะระบบคิดแต่ละคนต่างๆ กัน

    ผมเองโดยส่วนตัว มองเรื่องเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ เพราะแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างๆ กันไปครัีบ คิดเอาเอง หรือรับจากธรรมชาติภายนอก ภายใน ด้วยกระบวนการรับรู้ ประมวลผล และแสดงออกนั่นเอง

    จนมาถึงการเขียนรายงาน หลายๆ คนในโกทูโนว์ ก็คงชินและสัมผัสกับการเรียนรู้แบบนี้กันอยู่แล้วครัีบ แม้แต่การเขียนงานวิจัยทางวิชาการ บางทีกว่าจะมาได้งานที่เราทำนั้น ไ่ม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยเพียงแต่การตัดต่อคัดลอกและวางผ่านกระบวนการประมวลผล ใครตอบไม่ได้นอกจากตัวเราเอง บางทีประเมินคนอื่นก็ยาก เพราะเราคิดต่างจากคนอื่นเช่นกันครัีบ ซึ่งส่วนนี้อยู่ที่เราครัีบ ว่าจะคิดอย่างไร ผมเชื่อว่าแต่ละคน แต่ละวัน เรารับสารมากมาย สารที่รับมาเก็บไว้ เวลาผ่านไปถ่ายทอดที่จำๆ เอาไว้ ลืมต้นตอ เล่าต่อใหม่ เอาประโยคเดิมออกมา ก็มีคนฟังจากเราไป ก็ชื่นชมกันไป หากไม่ได้พูดถึงที่มาว่าใครกล่าวไว้ ตลอดจนการหลงตัวเองในบางครั้ง มีโอกาสทำให้เสียคนได้ง่ายๆ ตลอดจนข่าวลือต่างๆ นาๆ นี่ก็รวมอยู่ในกระบวนการ คัดลอกและวาง ทั้งนั้นครับ เพียงแต่ว่าจะเจือปนด้วยข้อผิดพลาดต่างๆแค่ไหนครัีบ  แม้แต่ตอนกลางคืนการเล่านิทานให้ฟัง พ่อแม่ผมก็ชอบเล่านิทาน ผมก็ต้องจำให้แม่น ไม่งั้นผมจะเอาไปเล่าเพื่อนที่โรงเรียนเพี้ยนไปจากเดิม นับว่าเป็นการคัดลอกจากเสียงเข้าไปเก็บไว้ในสมอง วางไว้ในสมอง ทบทวน แล้วต่อไปผมก็จะคัดลอกจากในสมอง เอาไปวางในอากาศผ่านทางเสียง หรือตัวอักษรให้เพื่อนๆ รับสารไปคัดลอกและวางต่อๆ กันไปครัีบ..........

    แม้แต่การนั่งเรียน ก่อนจะสอนเอ็นท์โควต้าเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องคัดลอกจากทีวี ลงไปเก็บไว้ในสมองด้วย และำสำรองไว้ในกระดาษเอาไปสอนเพื่อนกันต่อๆ ในตอนเช้าก่อนเข้าแถวหน้าเสาธง แบบนี้ก็ล้วนเป็นการคัดลอกและวาง อีกระบบหนึ่งเช่นกัน ผมทำงานในหน้าที่เป็นเพียงตัวนำสารเท่านั้น ไม่ได้เก่งอะไรเลย

    เข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย ติวน้องๆ นักศึกษา ว่าไปแล้วไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็คือการคัดลอกประมวลผลและวาง เช่นกันครัีบ ไม่มีใครที่จะคิดเองทั้งหมด อันนี้ถามๆ กันได้ครับ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องการอบรมทั้งหลายในประเทศนี้ บ้างก็คิดใหม่ ค้นพบเองใหม่ก็ต้องการจะถ่ายทอด ก็คัดลอกจากสิ่งที่ได้ วางลงไปบนสื่อให้คนอื่นรับทราบกันต่อไป..........

    การทำวิจัยก็เช่นกันครัีบ ส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดเกือบทั้งสิ้น เป็นการเล่นแร่แปรธาตุ ผสมกับอะไรใหม่ๆ (ที่อาจจะไม่ใหม่จริงก็ได้) นำเสนอที่คนรับการเสนอ ไม่เคยพบมาก่อน (ไม่ได้หมายถึงว่าไ่ม่เคยมีมาก่อน) ส่วนการคิดใหม่นั้นก็ต้องยอมรับนะครับว่ามีีแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่คือการคัดลอกแล้วประมวลผลอีกรอบ ด้วยฐานคิดของตัวเองและประสบการณ์แล้ววางลงไปบนสื่อ หรือสื่อที่เก็บข้อมูล ก่อนจะำนำไปถ่ายทอดใหม่อีกรอบครับ...... แม้ผมเองเขียนโปรแกรมให้ใช้กันฟรีๆหลายๆ โปรแกรมผมก็ยังไม่กล้าบอกเลยว่ามันใหม่ เพราะิ่สิ่งที่อยู่ภายในก็ล้วนดึงความรู้จากคนอื่นที่เค้าคิดกันมา นำมาปรับให้เข้ากับบริบทเพื่อแก้ปัญหาของเรา 

ทุกวันนี้จริงๆ แล้วเราคิดอะไรเองใหม่กันบ้าง ในยุคไอทีนิยม?

    ร่วมแลกเปลี่ยนกันนะครัีบ  ความเห็นทั้งหมดนี้อาจจะผิดนะครับ....ผมคิดเอาเองเออเองนะครัีบ มีอะไรแลกเปลี่ยนร่วมกันครับผม  บทความนี้ไม่ได้มีหวังจะทำลายความภูิมิใจของใคร เพียงแต่จะบอกว่าหากคิดลึกๆ แล้ว อะไรสำคัญที่สุด เกี่ยวกับความรู้..........สำหรับผมแล้วนั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่สุดคือ....การให้  ส่วนก่อนที่จะให้ได้นั้น เราจะทำอย่างไร คิดกันต่อ นะครัีบ

กราบขอบพระคุณมากครับ

เม้ง

หมายเลขบันทึก: 193355เขียนเมื่อ 10 กรกฎาคม 2008 22:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2012 18:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)
  • ผมว่าเป็นปฐมบทของธรรมเลยครับ
  • ธรรมะ กับ ธรรมชาติ
  • อิอิ

เจาะกึ๋นเจาะใจจริงๆ น้องเม้ง

เรามาชี้กันเรียงต้วกันเลยครับ  ที่น้องเม้งเล่ามานั้นไม่พ้นสักราย

เพียงแต่ว่าจะยอมรับกันแค่ไหน

ถึงแม้บทสวด บทสอนก็เถอะ  ลอกกันมาทั้งนั้น เพียงแต่เราคิดกันยังไงเท่านั้น

บางคนพร่ำสอนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ยังหนีไม่พ้น

เราจะคิดยังไงกันเท่านั้น

ระบอบทุนมันจะผูกขาดทั้งความรู้ ความสามารถกัน จนร่างกฏหมายที่รับรับใช้มัน   ทำลายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  ไอ้พวกนี้ก็ยังมาขโมยอะไรจากเราไปมั่งก็ไม่รู้  เพียงแต่ว่ามันรวบรวมและเขียนกันเก่ง แล้วประกาศว่าเป็นลิขสิทธิ ของมัน

ดีครับ เรามาร่วมกันคิดนะครับ  ว่าเราควรจะวางตัวกันยังไง

สวัสดีครับน้องสายลม อักษรสุนทรีย์

    แหมมาเร็วจริงๆ ครัีบ บายดีนะครับ น้องพูดถึงธรรมะ กับธรรมชาติ ทำให้พี่คิดถึงองค์รู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงคิดค้นสำเร็จในวิถีทางของตน แล้วออกเผยแพร่ เพื่อให้เป็นเครื่องมือของมนุษย์ผู้เรียกตัวเองว่าผู้ประเสริฐแล้ว....แต่พี่เองก็ยังไม่ได้ศึกษาคำภาษาบาลีเหล่านั้นเลยครัีบ เพราะจริตชอบที่ความหมาย เห็นคำบาลีแล้วเข้าไม่ถึงนะครับ แต่ชอบที่ความหมาย ทำให้รู้่ว่าพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก แล้วสิ่งที่พี่ชอบมากๆ คือการให้โดยบริสุทธิ์ใจ  ธรรมะมีมานานครับ องค์ความรู้ก็มีมานาน มีการสะสมต่อยอด เหมือนมอสไลเค่น กลายเป็นพืชที่ใหญ่โตซับซ้อนครัีบ

ฝากคำที่เพิ่งคิดได้ไว้เล่นๆ ครับ ไม่ได้เป็นของใหม่นะครับ คนอื่นอาจจะคิดไว้นานแล้วครัีบ....

อย่าภูมิใจกับความรู้ที่มีแต่จงภูมิใจที่ได้มีโอกาสให้คนอื่นรู้ครับ

ขอบคุณมากครับ

ก็จริง มันก็เป็นการศึกษาต่อบ้าง คิดเพิ่ม คิดเติม แต่ก็ต้องประมวลและเรียบเรียงใหม่ นำเสนอในเรื่องที่เราต้องการ ก็เป็นหลักวิธีวิจัยทั่วไป แต่คงไม่ถึงขั้น copy แล้ว paste เลยมั้ง ถ้าคิดว่าการทำวิจัยทำแบบนี้ได้ เม้งน่าจะลองทำเสนอวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกดูนะ บอกที่ปรึกษาไปเลยว่าผมจะ copy แล้ว paste เพราะไม่มีเรื่องอะไรใหม่ในโลก อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง เอ...แต่เม้งจะทำหรือเปล่าล่ะ เราว่าโยงทฤษฎี หรือเขียนอะไรให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองคิดก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ จะเขียนให้ลิงมีบรรพบุรุษเป็นปลาซีลาคานยังได้เลย

เม้งอยากเขียนไรก็เขียนไปตรงๆ เถอะ อย่าอ้อมค้อมเลย เราอ่านมาหลายอันแล้วคิดว่าคงอยากบอกอะไรกับคนในนี้ มีอะไรที่ไม่เห็นด้วยก็ว่าตรงๆ เหอะ อย่ามัวกระบิดกระบวนเลย มีแต่ผู้หญิงที่เขาเหน็บกันอ้อมค้อมแบบนี้ แต่เราไม่ค่อยจะหญิงไง เรากล้าเขียนเราก็กล้ารับ เพราะรู้ว่าเม้งไม่โกรธถ้าเราพูดตรงจากใจ โทษทีนะ เพื่อนอึดอัดแทน อย่าถือสาถ้าไม่มี hidden agenda แต่ถ้ามีก็ย้อนอ่านข้างบนอีกครั้ง แมนๆ

สวัสดีครับพี่เหลียงสิทธิรักษ์

เจาะกึ๋นเจาะใจจริงๆ น้องเม้ง

    สบายดีนะครับ ขอบคุณมากครับพี่เหลียง จริงๆ บันทึกนี้บ่มไว้ในหัวนานแล้วครัีบ(อย่างน้อยหนึ่งเดือนครัีบ) วันนี้มันสุกพอดีครับ เลยเอามาฝากกันครับ

เรามาชี้กันเรียงต้วกันเลยครับ  ที่น้องเม้งเล่ามานั้นไม่พ้นสักราย

เพียงแต่ว่าจะยอมรับกันแค่ไหน

    เรื่องนี้จริงๆ ไ่ม่ได้อะไรหรอกครับพี่ เพียงจะบอกว่า ลึกๆ แล้วการเรียนรู้นั้น ก็มีการคัดลอก เลียนแบบ ประมวลผล สู่การนำไปใช้และเก็บไว้เป็นข้อคิดนะครับ มันเป็นการนิยามคำ่ว่า Copy and Paste แบบกว้างกว่าที่เราใช้กันในระบบคอมพิวเตอร์นะครับ

ถึงแม้บทสวด บทสอนก็เถอะ  ลอกกันมาทั้งนั้น เพียงแต่เราคิดกันยังไงเท่านั้น

บางคนพร่ำสอนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ยังหนีไม่พ้น

เราจะคิดยังไงกันเท่านั้น

    เรื่องบทสวดนั้นก็ควรต้องทำตามนั่นล่ะครับ ใช่แล้วครัีบ ไม่งั้นถือเป็นการบิดเบือนหลักธรรมคำสอนครับ จริงๆ หลักคือการนำความรู้ไปใช้ ต่อยอดแล้วคิดต่อให้กับคนอื่นได้มองนำไปใช้ต่อๆไปครับ ไม่ใช่เป็นการทำร้ายกันครับ แต่เป็นการให้กันและกันครับ แล้วเราก็กตัญญูกับผู้ให้เรา เช่นธรรมชาติ บิดามารดาครับ ผู้มีพระคุณทั้งหลายครัีบ อย่างในงานวิจัยเราก็ีมีการศึกษาต่อยอดก็ีีมีการอ้างอิงยกมาคุยแล้วอ้างถึงครับ แต่บางอย่างก็ไ่ม่รู้จะอ้างอย่างไรครับ อย่างนิทานที่ว่านะครัีบ ดังนั้นก็เพียงแค่้้อ้างแบบว่าได้มาจากไหน ระดับน้ำหนักก็จะต่างๆ กันครัีบ ผมจะบอกว่าจริงๆ เราติดกันที่เปลือกของความรู้มากกว่าครับ  หากเราก้าวข้ามเปลือกเหล่านี้ได้ เราจะเข้าถึงการบริหารจัดการและการนำไปใช้ความรู้ได้ไกลมากขึ้นครัีบ

ระบอบทุนมันจะผูกขาดทั้งความรู้ ความสามารถกัน จนร่างกฏหมายที่รับรับใช้มัน   ทำลายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้  ไอ้พวกนี้ก็ยังมาขโมยอะไรจากเราไปมั่งก็ไม่รู้  เพียงแต่ว่ามันรวบรวมและเขียนกันเก่ง แล้วประกาศว่าเป็นลิขสิทธิ ของมัน

ดีครับ เรามาร่วมกันคิดนะครับ  ว่าเราควรจะวางตัวกันยังไง

    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีจุดดีและด้อยครัีบ เหมือนอย่างการปลูกกล้วยเรียงแถวแล้วบังคับให้กล้วยออกเครือไปในทางทิศเดียวกันก็เช่นกันครับ ชาวบ้านรู้มานานแล้วครับ แต่การรับรู้และถ่ายทอดตีพิมพ์ความรู้เกิดจากการบอกต่อ คัดลอกและวางในระบบการบอกเล่าต่อๆ กัน ผ่านการปฏิบัติครัีบ แต่พอนักวิชาการไปได้แนวคิดมา ก็เอามาเขียนได้เป็นองค์ความรู้ว่าเป็นของตนเพราะตนเขียนครั้งแรก ตีพิมพ์ไปแพร่หลายได้ แล้วเรามีการโยงไปยังชาวบ้านบ้างไหม หรือว่าชาวบ้านจะต้องโด่งดังก่อนถึงจะให้เกียรติครับ  ในประเทศเราก็เช่นกันครับ ความรู้ในบ้านเราฝรั่งเอาไปเขียนมากมายกลับเป็นความรู้ของฝรั่งไปครับ แต่หากเรามองให้สูงกว่านี้ มันจะทะลุไปถึงว่า นั่นคือการจัดการบริหารความคิดอย่างหนึ่งเรื่องมุมมองของคนด้วยครับเพราะว่า ฐานคิดคนจะต่างๆ กันครัีบ

    บันทึกนี้จึงเป็นการบอกว่า การคัดลอกเลียนแบบและบันทึกความรู้ในแบบต่างๆ นอกจากการเขียนบทความเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วยังมีการทำแบบนี้เช่นกันในชีวิตของคนเราครับ เพื่อให้ความหมายของคำนี้กว้างกว่าที่เรารู้จักแค่ Ctrl C ,  Ctrl V นะครับ

ขอบคุณพี่มากๆ นะครับผม

 

สวัสดีครับซานLittle Jazz

    สบายดีนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ แหมนานๆ มาที มาทีัยังกะพายุ เข้ามาดูอีกทีแปลกใจจริง คนคลิกเข้ามาเพียบเลย อิๆ แต่มาอ่านครัีบ มีใครความดันขึ้นบ้างครับ ยกมือขึ้นครับ

ก็ จริง มันก็เป็นการศึกษาต่อบ้าง คิดเพิ่ม คิดเติม แต่ก็ต้องประมวลและเรียบเรียงใหม่ นำเสนอในเรื่องที่เราต้องการ ก็เป็นหลักวิธีวิจัยทั่วไป แต่คงไม่ถึงขั้น copy แล้ว paste เลยมั้ง ถ้าคิดว่าการทำวิจัยทำแบบนี้ได้ เม้งน่าจะลองทำเสนอวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกดูนะ บอกที่ปรึกษาไปเลยว่าผมจะ copy แล้ว paste เพราะไม่มีเรื่องอะไรใหม่ในโลก อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง เอ...แต่เม้งจะทำหรือเปล่าล่ะ เราว่าโยงทฤษฎี หรือเขียนอะไรให้เข้ากับสิ่งที่ตัวเองคิดก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ จะเขียนให้ลิงมีบรรพบุรุษเป็นปลาซีลาคานยังได้เลย

    จริงๆ เรื่องนี้ผมก็บ่มไว้พอสมควรแล้วครับ ซานใจเย็นๆ แล้วขึ้นอ่านทบทวนใหม่นะครับที่ผมเขียนแล้วมาอ่านที่ซานนำเสนอไว้ครับ ว่าที่ผมเขียนไว้นั้น ผมเน้นอะไรบ้างครับ

    เรื่องวิทยานิพนธ์นั้นจริงๆ มันเป็นการต่อยอดด้วย คิดต่อเพิ่มใหม่ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดานะครับ กว่าจะออกมาเป็นงานสักชิ้นเราคิดตามต้องไปสำรวจใครทำมาบ้างแล้วเกิดปัญหาอะไรบ้างเค้าแก้ปัญหากันอย่างไรบ้าง หากวิธีการไหนดีเหมาะกับชุดการทดลองของตัวเองก็ยกนำมาใช้เลย เพราะถือว่าเป็นการแก้ปัญหาได้โดยอ้างอิงวิธีการของเค้า  ส่วนเมื่องานเราตีพิมพ์ไปแล้วคนอื่นจะเชื่อหรือไม่นั่นก็อยู่ที่ผู้่อ่านครับ บางงานวิจัยเราอ่านแล้วยังเจอการหมกเม็ดในงานวิจัย ด้วยการจำกัดของพื้นกระดาษ หรือการบอกไม่หมดและอื่นๆ ซึ่งเราอ่านแล้วก็ต้องไปศึกษาต่อในอ้างอิงครับ

    ส่วนงาน ป.เอก ที่ผมทำ หากใครจะเอาไปคัดลอกนำเสนอ ก็ทำได้ครับ อิๆ หากตอบคำถามในรายละเอียดได้ครับ เพราะคนทำจะเจอและพบปัญหาเองจะรู้ครับ ผมจะบอกว่าเป้าหมายการเรียนของผมคือเน้นตัวความรู้ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในบ้านเราล้วนๆ ครัีบ โดยภูมิบ้านเราเป็นรากหลักในการทำวิจัยครัีบ

เม้งอยากเขียนไร ก็เขียนไปตรงๆ เถอะ อย่าอ้อมค้อมเลย เราอ่านมาหลายอันแล้วคิดว่าคงอยากบอกอะไรกับคนในนี้ มีอะไรที่ไม่เห็นด้วยก็ว่าตรงๆ เหอะ อย่ามัวกระบิดกระบวนเลย มีแต่ผู้หญิงที่เขาเหน็บกันอ้อมค้อมแบบนี้ แต่เราไม่ค่อยจะหญิงไง เรากล้าเขียนเราก็กล้ารับ เพราะรู้ว่าเม้งไม่โกรธถ้าเราพูดตรงจากใจ โทษทีนะ เพื่อนอึดอัดแทน อย่าถือสาถ้าไม่มี hidden agenda แต่ถ้ามีก็ย้อนอ่านข้างบนอีกครั้ง แมนๆ

    ในส่วนนี้ผมคิดว่าซานทำใจให้สบายใจก่อนนะครับ แล้วค่อยอ่านบันทึกอีกรอบครับ บันทึกผมไม่ได้บอกหมด เพราะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันครับ จริงๆ จะบอกว่ามีอะไรจะบอกก็บอกได้ครับ เพราะบันทึกส่วนใหญ่บล็อกนี้ สะกิดให้คนอ่านคันอยู่เสมอครับ ผมไม่เรียกว่าเหน็บครับ แต่เรียกว่าสะกิดให้คิด จนมีท่านผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านบอกว่า อย่างเม้งนี่ต้องปลูกต้นหมามุ่ย อิๆๆๆ

    จริงๆ เรื่องในโกทูโนว์เองผมมีหลายๆ เรื่องนะครับ ที่สังเกตมาแต่ผมเองไม่ได้จะกล้าสรุปได้ชัดเจนมากหรอกครับ และไม่อยากจะด่วนสรุปด้วยครัีบ เพียงแต่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ผมมักจะได้ข้อคิดเสมอๆ ในการเอามาปรับใช้ เรื่องหญิงเรื่องชายนั้นไม่เกี่ยวนะครับ เน้นที่ระบบคิดนะครับ ผมไ่ม่รู้ว่าซานคิดอะไรลึกๆ อยู่หรือเปล่าครับ ทำใจให้สบายใจเถิดครับ หากบริสุทธิ์ใจต่อกัน ต่อสังคมชุมชนนี้นะครับ

    และบันทึกนี้ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าผมเริ่มคิดและทบทวนเรื่องการสร้างระบบการเรียนรู้ในชุมชนโกทูโนว์ตั้งแต่ ที่ผมทราบข่าวเรื่องมีเด็กนักศึกษามาเขียนบล็อกที่โกทูโนว์นะครับ และมีการพูดคุยเรื่องการ Copy and Paste สิ่งที่ผมบ่มไว้ในหัวตอนนั้นคือ

  • การคัดลอกเหล่านี้มีประโยชน์บ้างไหม?
  • การคัดลอกเหล่านั้นเป็นการเรียนรู้บ้างไหม?
  • หากคนอื่นมาอ่านในบันทึกที่คัดลอกมา เค้าได้ประโยชน์กลับไปไหม? หากได้ประโยชน์หรือความรู้ออกไป แล้วดีหรือไม่? อย่างไร?
  • แล้วผมบ่มไว้เรื่อยมาครับ อาจจะประกอบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จนมาถึงบทความสุกในวันนี้ไงครับเลยปล่อยออกมาครับ อิอิ
    จริงๆ บล็อกทุกๆ บล็อกที่ผมเขียนมา และได้บอกเอาไ้้ว้ใน ประำจำเดือน กรกฏาคม 2550 ว่าผมยกให้ฟรีๆ กับสังคมไทย ใครจะคัดลอกเอาไปทำอะไรก็เชิญเลยครับแค่บอกกล่าวไว้ก็จะได้ทราบบ้างก็แค่นั้นครับ แม้ข้อคิดต่างๆ หากเกิดประโยชน์ผมก็ยินดีครับ ผมคิดว่าการให้นั้นยิ่งใหญ่ที่สุดครับ ยังมีอีกหลายๆ อย่าง ที่เราจะสามารถทำใ้้้ห้กับสังคมนี้ได้ครับ ตามแต่ที่เราจะถนัด ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะครับ อีกนัยหนึ่งคือ ถือว่าผมพยายามที่จะตอบแทนต่อคนที่ส่งผมให้มาร่ำเรียนอยู่ด้วยครับ ไม่ได้ลืมสำนึกนี้ครับ
    เข้าไปอ่านชื่อบันทึกได้นะครับ ส่วนใหญ่แสบๆ คันๆ ทั้งนั้นครัีบ เพราะว่า เน้นให้คิด สะกิดให้คิดต่อ ได้ที่นี่นะครัีบ


    หากมีอะไรไม่เคลียร์ ก็บอกได้ครับ จะมาเคลียร์ให้อีกรอบครับ อิิอิ และบันทึกไหนที่สังเกตมาแล้วรู้สึกว่าซานและเพื่อนๆร้อนก็บอกได้ครับ จะเคลียร์ให้ทีละบันทึกเลยครัีบ  ด้วยความยินดีครัีบ ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยครัีบ....

ขอบคุณมากครับผม

เป็นความจริงที่เจาะลึก

ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด

และก็ชอบใจค่ะ "อย่าภูมิใจกับความรู้ที่มี แต่จงภูมิใจกับความรู้ที่ให้"

ขอบคุณคุณเม้งค่ะ

+ สวัสดียามเช้าค่ะ คุณเม้ง....

+ อ่านแล้ว ก็อ่านอีก และอ่านอีก...แบบว่าครูบ้านนอกนะค่ะ...ทำให้คิดว่าตัวเองรู้ก็เป็นเช่นนี้

" ส่วนการคิดใหม่นั้นก็ต้องยอมรับนะครับว่ามีีแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่คือการคัดลอกแล้วประมวลผลอีกรอบ ด้วยฐานคิดของตัวเองและประสบการณ์แล้ววางลงไปบนสื่อ หรือสื่อที่เก็บข้อมูล ก่อนจะำนำไปถ่ายทอดใหม่อีกรอบครับ......"

+ ยอมรับค่ะ...ยอมรับแบบสิโรราบ...

+ ด้วยความคิดถึงค่ะ

+ สวัสดียามเช้าค่ะ คุณเม้ง....

+ อ่านแล้ว ก็อ่านอีก และอ่านอีก...แบบว่าครูบ้านนอกนะค่ะ...ทำให้คิดว่าตัวเอง รู้  ก็เป็นเช่นนี้

" ส่วนการคิดใหม่นั้นก็ต้องยอมรับนะครับว่ามีีแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่คือการคัดลอกแล้วประมวลผลอีกรอบ ด้วยฐานคิดของตัวเองและประสบการณ์แล้ววางลงไปบนสื่อ หรือสื่อที่เก็บข้อมูล ก่อนจะำนำไปถ่ายทอดใหม่อีกรอบครับ......"

+ ยอมรับค่ะ...ยอมรับแบบสิโรราบ... + ด้วยความคิดถึงค่ะ

ร้อนน่ะเมืองไทยมันร้อนอยู่แล้ว ไหนจะการเมือง ไหนจะเศรษฐกิจ คนไม่ต้องไปเพิ่มดีกรีให้มันร้อนขึ้นหรอก เพียงแต่ที่เขียนมาน่ะเราสงสัยว่ามีอะไรที่เม้งอยากจะสื่อ แต่ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ ต้องไปลากทฤษฎีมามากมาย อย่าไปพาดพิงถึงใครเลย เราเขียนเราก็รับเอง ก็แค่อึดอัดแทน นี่คิดนานมั้ยเนี่ยกว่าจะอธิบายเป็นทฤษฎีได้ ระวังจะเสียเวลางานกับเสียเวลาเรียนนะ ตอบตรงๆ ง่ายๆ ก็ได้ เพื่อนฟังได้ ไม่ต้องพยายามนำเสนอให้ยากหรอก ยากไปอ่านแล้วมึน

เม้งคิดอะไรรู้อยู่แก่ใจดี เพื่อนคงไม่กล้าไปตัดสิน และเราก็ไม่ว่างพอที่จะไปงมหาทุกบันทึกที่เม้งเขียนมาวิเคราะห์เพราะมีงานทำเยอะ แล้วก็เขียนอ่านยากด้วย คือกว่าจะอ่านจบแต่ละอันเหนื่อย เอาเป็นว่าถ้าไม่มีอะไรก็เขียนไป เราก็เป็นผู้อ่านที่ดี ติดตามมาตั้งแต่ต้นที่เริ่มใช้งานจนถึงเดี๋ยวนี้ ของแบบนี้ไม่ต้องบอกคนอื่นหรอก ตัวเองเขียนตัวเองก็รู้เอง คนอ่านก็รับสาร คิด ตีความ ทำความเข้าใจ เรียนรู้ ส่วนจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนเขียนออกมาได้แค่ไหนเป็นอีกเรื่อง พอสงสัยก็มาถามกัน ผู้เขียนตอบได้ก็ตอบ หรือไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ หรือแทงใจดำแล้วตอบเลี่ยงหรือไม่ตอบก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ทั้งนั้น ทำไมตื่นเช้ากว่าเราหว่า หรือยังไม่ได้นอน?

สวัสดีครับคุณครูลำดวน

เป็นความจริงที่เจาะลึก

ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด

และก็ชอบใจค่ะ "อย่าภูมิใจกับความรู้ที่มี แต่จงภูมิใจกับความรู้ที่ให้"

ขอบคุณคุณเม้งค่ะ

    สบายดีไหมครับคุณครู ผมได้มีโอกาสโทรไปคุยกับคุณครูหลายๆ ท่านที่สอนประถมและมัธยม คุณครูยังจำได้ครับเพียงแต่ภาพที่คุณครูจำเป็นภาพตอนเด็กๆ ครับ แบบตอนที่สอนนะครับ มีโอกาสเราก็ทำอะไรเพื่อเด็กๆ กันได้นะครับ หลายๆ อย่างที่เด็กๆ ยังขาดโอกาสครับ การใ้ห้ความรู้กับอนาคตของชาติเราจำเป็นต้องใ้ห้อย่างจริงใจ และฟรี โดยเฉพาะโอกาสทางการศึกษาครับ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงหรือนอกกรุง ในชนบทโอกาสทางการศึกษาเรียนรู้ ควรจะเข้าถึงและเปิดโอกาสให้กับเด็กๆ ทุกกลุ่มพื้นที่ครัีบ

    มีอะไรก็เล่า นำเสนอต่อกันครับ ใครเคยผ่านประสบการณ์มาก็นำเสนอกระบวนการที่เคยผ่าน เพื่อต่อยอดนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพพื้นที่และปัญหาครัีบ

ขอบคุณคุณครูมากๆ นะครับ

อุตส่าห์ยอมไปอ่านบันทึกเม้งตามที่แนะนำไว้แล้วก็เกิดอาการสับสน ระหว่างแนวคิดเก่ากับแนวคิดใหม่ที่ต่างกันสามเดือน http://gotoknow.org/blog/theink/180578 เม้งลองวิเคราะห์ให้เพื่อนฟังหน่อยนะ ยากๆ ก็ได้ เพื่อนรับได้ ชักชินแล้ว เดี๋ยวจะอ่านจับใจความเอาเองว่าเนื้อๆ ที่ตอบโดนน่ะมันตรงไหน สามารถอยู่ ; P วันนี้ทำงานอยู่บ้าน ลดการใช้พลังงานน้ำมัน ^ ^

  • วันนี้พี่สอบนักศึกษาค่ะ
  • ปวดใจมากที่นักศึกษา เกินครึ่ง ไม่เตรียมตัวมาก่อน
  • ทั้งๆที่เรียนมา 5 สับดาห์แล้ว และบอกล่วงหน้าก่อนสอบ
  • มีสองสามคน จำรหัสผ่านไม่ได้
  • ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็เข้าระบบไม่ได้
  • ถามทำไมหรือ นักศึกษาผู้หญิง 3 คน ที่แต่งตัวสวยเช้ง ทำท่าฮึดฮัด แล้วตอบว่า หนูกรอกถูกหมดทุกอย่างทำไมคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน
  • อึ้ง มากๆ นี่คือคำตอบของเด็กปี 3 ไม่ใช่อนุบาล 3 นะ
  •  5 ปี ที่ผ่านมา พี่พบเด็กลักษณะนี้มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะยอมรับผิดว่าจำไม่ได้ ไม่เคยเข้าเรียน ไม่เตรียมตัวมาก่อน
  • กับโทษโน่นนี่ บอกไม่มีเวลา ไม่มีคอมที่บ้าน ทั้งๆ ที่ห้องคอมในมหาวิทยาลัยก็มี และมีร้านเน็ต อีก 20 ร้าน ริมรั้วมหาวิทยาลัย
  • ที่สำคัญไม่มีความแตกต่างกันของวันสอบ และชั่วโมงเรียนธรรมดา
  • ไม่เข้าใจเลยว่าการสอบต้องแข่งกับเวลาไปพร้อมๆประยุกต์ทักษะที่เคยเรียนไป ต้องแก้ปัญหาตามข้อสอบให้ได้ แต่นักศึกษาก็ไม่กระตือรือร้นมากกว่าเดิมเลย ปล่อยให้หมดเวลาไปเฉยๆ แล้วบอกว่าทำไม่ทัน 
  • ไม่ใส่ใจว่า เกรด มีผลในการสมัครงาน ควรจะทำเกรดให้ดี พร้อมๆตั้งใจแสวงหาความรู้
  • ----------------
  • ที่พูดมาข้างต้น นักศึกษาพวกนี้ก็เป็นผลพวงของการใช้ คอมพิวเตอร์ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)
  • เพราะสิ่งที่พี่สอบ คุณต้องคิดและลงมือทำเอง
  • เด็กก็จะบอกว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีตัวอย่างหรือทำให้ดูก่อน
  • เด็กพวกนี้เคยชินกับการจะทำตามอย่างเดียว หากให้ทำเองจะบอกว่าคิดไม่ออก ทำไม่ได้
  • ----------------
  • อย่าไปหวังอะไรอื่นให้มากกว่านี้เลย เช่นกลั่นกรอง เปลี่ยนแปลง ประยุกต์ใช้ สร้างสรร .....คงหวังได้ยากจริงๆ

คุณเม้งใกล้จะกลับมาหรือยังคะ

ถ้าได้มาเชียงใหม่ บอกมาด้วยนะคะ อยากเลี้ยงข้าว

 

..

สวัสดีครับ

ผมว่ามันเป็นธรรมชาติมากๆ ก้บ C&P อย่างที่คุณบอก อย่าว่าแต่คนสอนหนังสือเลยครับ เด็กสมัยนี้ลองไปตามร้านรับพิมพ์งานดิครับ เด็กเอาหัวข้อไปให้แล้วคนรับงานก็เปิดInternet แล้วก็ตัดต่อออกมาเป็นเล่มๆ ขายให้เด็กเอาไปส่งอาจารย์ บางครั้งผมลองถามดูเด็กยังไม่รู้เลยครับว่าข้างในมันเป็นเรื่องอะไร อย่างไร แต่ขอให้มีส่งเป็นใช้ได้ บางร้านหัวใสครับพอรู้หัวข้อรายงานของเด็กก็ทำเป็นสิบๆ เล่มเลย...เห็นแล้วน่าสงสารการศึกษาไทยครับ....

นิสิต ป.ร.ด.(ปอรอดอ)

อาจารย์คะ naree suwan ที่อาจารย์เล่า...

  • ที่พูดมาข้างต้น นักศึกษาพวกนี้ก็เป็นผลพวงของการใช้ คอมพิวเตอร์ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)
  • เพราะสิ่งที่พี่สอบ คุณต้องคิดและลงมือทำเอง
  • เด็กก็จะบอกว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีตัวอย่างหรือทำให้ดูก่อน
  • เด็กพวกนี้เคยชินกับการจะทำตามอย่างเดียว หากให้ทำเองจะบอกว่าคิดไม่ออก ทำไม่ได้
  • พี่คิดว่า คงเป็นกับนักศึกษา ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ยังมีอีกมาก ที่ชอบใช้ความสามารถของตัวเองนะคะ ....
    พี่ไม่สบายใจที่พบและได้ยินสิ่งเหล่านี้ในหมู่เด็กๆ
    มันมีปัจจัยให้แก้ไขหลายอย่างสำหรับเด็กที่ไม่เอาใจใส่เรียนอย่างนี้ค่ะ  แต่ต้องทำตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ เป็นไม้อ่อนดัดง่าย...
    คุณเม้ง ขอโทษ ที่มาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์นารี ในบันทึกคุณนะคะ

    • ส่วนตัวพี่เองไม่เห็นด้วยกับการ copy และ paste
    • ไม่ส่งเสริมให้นิสิตทำ
    • จริงอยู่เราเรียนได้ แต่ต้องเอามาเขียนเป็นคำพูดของเราเองเป็นการสรุปความเห็นแล้วเราก็อ้างอิงไม่ใช่ลอกมาทั้งดุ้น(แล้วเปลี่ยนสรรนามบางคำไม่เคยพบ)
    • องค์ความรู้ใหม่ๆเกิดได้ จากองค์ความรู้เดิม แต่ไม่ใช่ว่าเราไปลอกเขามาแล้วบอกว่าเป็นของใหม่
    • เราควรเอาไปเขียนต่อยอด ไปคิดวิเคราะห์ให้ดีกว่าเดิม
    • ยังไม่อยากเห็น อาชญากรทางวิชาการ ในหมู่นักวิชาการครับ
    • ผมอยากเรียกมันว่า ขยะทางวิชาการ
    • ขอบคุณครับ

    สวัสดีครับญาติมิตรทุกท่าน

        ดีจังครับ ลองมาถกกันให้เผ็ดมัน ได้สาระของสิ่งต่างๆ เหล่านี้กันดูนะครับ  ดีใจที่ทุกๆ คนให้ความสำคัญนะครับ ต่างคนต่างมุมมอง เขียนได้เต็มที่นะครับ

        ว่าแต่ผมขอตัวไปคุยงานให้นักเรียนจากมหาวิทยาลัยต่างเมืองสามสิบคนฟังงานผมก่อนนะครับ เป็นการคัดลอกสิ่งที่ผมทำเพื่อวางลงบนระบบคิดให้กับนักเรียนอีกวิธีหนึ่ง ให้เค้าเอาไปคิดต่อยอดอีกเช่นกันครับ

    สร้างแรงจูงใจให้กับเด็กๆ ในการเรียนครัีบ แล้วนักเรียนจะเรียนรู้เองโดยไม่ต้องสอน  (ไอน์สไตน์เคยว่าไว้งั้นครับ)

    ถกกันได้เลยครัีบ ไม่จำเป็นต้องผ่านผมครับ เพราะจริงๆ แล้วญาติมิตรคุ้นเคยกันทั้งนั้นครับ

    ด้วยความยินดีและต้อนรับทุกๆ ท่านนะครับ

    สวัสดีค่ะคุณเม้ง

    อ่านเป็นบันทึกแรกเลยค่ะ

    ค่อยสบายใจหน่อยว่า ว่าชีวิตจริงของเราต่างก็มาจากการลอกเลียนแบบกันตั้งแต่เกิด เหมือนๆกัน และอีกอย่างหนึ่งที่เราก็มักจะลอกเรียนแบบผู้ใกล้ชิดมา หรือคนที่ตนศรัทธาก็คือ การใช้วินิจฉัยในเรื่องราวต่างๆ อันนี้สำคัญมาก สำหรับเรา และจะเป็นพื้นฐานชีวิตที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป จนกว่าจะสิ้นอายุ จะมิจฉาทิฏฐิหรือ สัมมาทิฏฐิ ก็ตอนนี้แหละ

    คงไม่มีใครดี หรือเลวสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ

    ก็ต้องค่อยๆปรับกันไป

    ขอบคุณบันทึกนี้ ที่ช่วยเตือนใจให้ จะได้ระมัดระวัง มิให้ความคิดของตน ไปตัดสินหรือทำร้ายใครค่ะ

    ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ

    สวัสดีครับหนูแอมแปร์

    + สวัสดียามเช้าค่ะ คุณเม้ง....

    + อ่านแล้ว ก็อ่านอีก และอ่านอีก...แบบว่าครูบ้านนอกนะค่ะ...ทำให้คิดว่าตัวเองรู้ก็เป็นเช่นนี้

    " ส่วนการคิดใหม่นั้นก็ต้องยอมรับนะครับว่ามีีแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่คือการคัดลอกแล้วประมวลผลอีกรอบ ด้วยฐานคิดของตัวเองและประสบการณ์แล้ววางลงไปบนสื่อ หรือสื่อที่เก็บข้อมูล ก่อนจะำนำไปถ่ายทอดใหม่อีกรอบครับ......"

    + ยอมรับค่ะ...ยอมรับแบบสิโรราบ...

    + ด้วยความคิดถึงค่ะ

    ....................................................

        สบายดีนะครับ หนูแอมแปร์เป็นไงบ้าง วิ่งเล่นได้สบายแล้วนะครับ พอดีเพิ่งกลับมาจากคุยให้น้องๆนักเรียนจากเมืองชตูทการ์ทฟังครับ ประมาณสามสิบกว่าคนครับ เกี่ยวกับงานวิจัยต้นไม้ครับ สร้างแรงจูงใจให้เด็กๆ ครับ

                  เรื่องการอ่านหนังสือหรือว่าคัดลอกจากหนังแล้วบ่มไว้ในหัววางไว้ในหัวสมองเราทำได้เต็มที่เลยครับ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งนะครับ ซึ่งทุกคนก็ทำแบบนี้ครับ เป็นการรอการประมวลผลปรับให้เข้ากับบริบทของเรา ในท้องถิ่นเราเพื่อสอนแนะนำเด็กๆ ครับ  มีโอกาสผมจะไปเยี่ยมที่โรงเรียนเลยครับ

          รักษาสุขภาพนะครับ ด้วยความคิดถึงหนูแอมแปร์และครอบครัวเช่นกันนะครับ

    สนุกในการสอนนะครับ การเรียนรู้ไม่มีวันจบ เราจบกันแค่ก็เพียงหลักสูตรเท่านั้นครับ

    ขอบคุณมากๆ นะครับ

    สวัสดีครับพี่นารีnaree suwan

        สบายดีนะครับพี่  ยิ้มก่อนนะครับ .......... :-)

    • วันนี้พี่สอบนักศึกษาค่ะ
    • ปวดใจมากที่นักศึกษา เกินครึ่ง ไม่เตรียมตัวมาก่อน
    • ทั้งๆที่เรียนมา 5 สับดาห์แล้ว และบอกล่วงหน้าก่อนสอบ
    • มีสองสามคน จำรหัสผ่านไม่ได้
    • ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็เข้าระบบไม่ได้
    • ถามทำไมหรือ นักศึกษาผู้หญิง 3 คน ที่แต่งตัวสวยเช้ง ทำท่าฮึดฮัด แล้วตอบว่า หนูกรอกถูกหมดทุกอย่างทำไมคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน
    • อึ้ง มากๆ นี่คือคำตอบของเด็กปี 3 ไม่ใช่อนุบาล 3 นะ
    •  5 ปี ที่ผ่านมา พี่พบเด็กลักษณะนี้มากขึ้นทุกวัน แทนที่จะยอมรับผิดว่าจำไม่ได้ ไม่เคยเข้าเรียน ไม่เตรียมตัวมาก่อน
    • กับโทษโน่นนี่ บอกไม่มีเวลา ไม่มีคอมที่บ้าน ทั้งๆ ที่ห้องคอมในมหาวิทยาลัยก็มี และมีร้านเน็ต อีก 20 ร้าน ริมรั้วมหาวิทยาลัย
    • ที่สำคัญไม่มีความแตกต่างกันของวันสอบ และชั่วโมงเรียนธรรมดา
    • ไม่เข้าใจเลยว่าการสอบต้องแข่งกับเวลาไปพร้อมๆประยุกต์ทักษะที่เคยเรียนไป ต้องแก้ปัญหาตามข้อสอบให้ได้ แต่นักศึกษาก็ไม่กระตือรือร้นมากกว่าเดิมเลย ปล่อยให้หมดเวลาไปเฉยๆ แล้วบอกว่าทำไม่ทัน 
    • ไม่ใส่ใจว่า เกรด มีผลในการสมัครงาน ควรจะทำเกรดให้ดี พร้อมๆตั้งใจแสวงหาความรู้
           เห็นใจ เข้าใจ และเป็นกำลังใจนะครับ เรื่องนี้จะว่าไปผมว่าจะโทษเด็กทั้งหมดก็คงไม่ได้ครับ ปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนในมากมายครับ จะพูดตรงๆ ก็เกิดจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี่ล่ะครับ บางปัญหาเรารั้งกันมานานครับ แล้วปล่อยไว้ครับ ลองค่อยๆ ปรับให้เข้าถึงใจเด็กดูไหมครับ เค้าจะติดเราเองล่ะครับ ผมเองที่เคยสอนมาปีกว่าๆ ผมใช้หลักเพื่่อนสอนเพื่อนหรือพี่สอนน้องครับ แล้วมาเรียนด้วยกัน ปล่อยมุกบ้าง เอาจริงเอาจังบ้าง ดุบ้างครับ ใจดีบ้างครับ ผมเชื่อว่าพี่ทำแล้วแน่นอนครับ
           หากเราหาสาเหตุได้เจอและพบก็วางแผนร่วมกันทั้งมหาวิทยาลัยหรือทั้งประเทศก็ได้ครับ ผมว่าน่าจะช่วยได้ระดับหนึ่งครับ แล้วทำงานร่วมกันกับฝ่ายกิจการนักศึกษาครับ นักศึกษามีสองส่วนหลักๆ ในวัยเรียนคือ แสวงหาการเรียนรู้ประสบการณ์ในตำราเพื่อปูพื้นฐานและบ่มเพื่อต่อยอดครับ  กับอีกอย่างคือความรู้นอกตำรานอกห้องเรียน เรื่องนี้ว่าไปก็คือกิจกรรมนักศึกษานั่นเองครับ อาจจะช่วยได้ระดับหนึ่งครับ ผมคิดว่าเด็กปัจจุบันต้องเอาดีต่อย คือต่อยด้วยความดี พูดด้วยเหตุผล ฝึกให้เค้าไตร่ตรองด้วยเห็นผล พิจารณาตนเอง บางครั้งผมพบว่าการไปนั่งเรียนในห้องบางทีก็สู้การได้คุยกับอาจารย์แบบถูกใจโดนใจสักประโยคสองประโยคไม่ได้หรอกครับ เพราะสิ่งนั้นจะทำให้เราเกิดพลังกำลังใจ เอาไปให้เด็กฮึดขึ้นมาตั้งใจเรียนศึกษาได้ครับ

            ผมเองประสบการณ์ยังน้อยครับ เกี่ยวกับการสอนผมเน้นประสบการณ์การเรียนเป็นหลักครับ เพราะกลับไปสอนก็ต้องเรียนจากเด็กนี่ล่ะครับ เหมือนการทำธุรกิจนะครับ แต่เป็นธุรกิจการให้ความรู้แบบไม่เอาคืนนะครับ กำไรคือเราสบายใจเมื่อเห็นเด็กยิ้มและร้องบอกว่า อ๋อ มันอย่างนี้นี่เอง
    • ----------------
    • ที่พูดมาข้างต้น นักศึกษาพวกนี้ก็เป็นผลพวงของการใช้ คอมพิวเตอร์ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)
    • เพราะสิ่งที่พี่สอบ คุณต้องคิดและลงมือทำเอง
    • เด็กก็จะบอกว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีตัวอย่างหรือทำให้ดูก่อน
    • เด็กพวกนี้เคยชินกับการจะทำตามอย่างเดียว หากให้ทำเองจะบอกว่าคิดไม่ออก ทำไม่ได้
    • ----------------
    • อย่าไปหวังอะไรอื่นให้มากกว่านี้เลย เช่นกลั่นกรอง เปลี่ยนแปลง ประยุกต์ใช้ สร้างสรร .....คงหวังได้ยากจริงๆ
           การคัดลอกและวางนั้น เราทดสอบได้ครับ หากเด็กตอบไม่ได้และไม่รู้เรื่องเลยแสดงว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แต่หากคัดลอกแล้ววางแล้วเค้าอธิบายได้เป็นฉากๆ อันนี้ครูผู้สอนควรนำมาคิดครับ เราจึงด่วนตัดสินเด็กไม่ได้ครับว่าจริงๆ แล้วการคัดลอกแล้ววางนั้นผ่านสมองเด็กหรือเปล่าครับ
           เอาน่าครับ ผมเอาใจช่วยครับ วันหนึ่งเด็กจะจำได้ว่า หนูคิดถึงคุณครูนารีจังเลย สมัยนั้นเราผิดจริงๆ ล่ะที่ไม่สนใจครับ... ผมเชื่อว่าพี่ทำได้สบายอยู่ครับ  สู้ๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ มีโอกาสคงได้แลกเปลี่ยนเรื่องนี้กันมากขึ้นครับ  ผมเองชอบสอนเด็กอ่อนถึงปานกลางครับ เพราะเด็กเก่าเค้าศึกษาและเรียนรู้ต่อยอดได้ง่ายครับ

    ขอบคุณมากๆ นะครับผม มีอะไรมาระบายไว้ได้อีกนะครับ การสร้างคนคล้ายๆ กับการปลูกต้นกล้วยไม้ครับ นานกว่าจะออกดอก แต่ดอกที่ออกนั้นอยู่นานครับ  เค้าเปรียบไว้ว่าอย่างนี้ครับ ฟังๆ ที่เค้าบอกๆ ต่อๆ กันมานะครับ

    สวัสดีครับพี่สร้อย จันทรรัตน์

    คุณเม้งใกล้จะกลับมาหรือยังคะ

    ถ้าได้มาเชียงใหม่ บอกมาด้วยนะคะ อยากเลี้ยงข้าว

    ..

           สบายดีนะครับพี่ นานๆ จะได้แลกเปลี่ยนกับพี่สักครั้ง แต่ก็รับรู้และรู้สึกดีเสมอครับ เรื่องเหล่านี้ผมว่าคลื่นออร่าส่งถึงได้นะครับ มีโอกาสไปแน่นอนครับ เชียงใหม่ เหนืออีสานครับ มาใต้เมื่อไหร่ ยินดีต้อนรับครับผม  มาใต้จะเป็นพ่อครัวให้บริการสักมื้ออย่างน้อยครับ

           ผมโชคดีมาเยอรมัน ได้มีโอกาสทำครัวเพราะต้องทำ อิๆๆ นี่ล่ะครับข้อดีที่แม่พยายามจะคัดลอกแล้ววางใส่ไว้ในสมองเอาไว้เป็นภูมิคุ้มกันตอนอยู่ไกลบ้านครับ ไม่วันหนึ่งก็วันหนึ่งครับ ได้ใช้ ได้ทำ พอทำบ่อยๆ ไปก็ปรับประยุกต์เอาครับ จะวาดด้วยพู่กันศาสตร์และพู่กันศิลป์ให้สมดุลครับ

           ขอให้สนุกในการทำงานนะครับ และขอบคุณมากๆ นะครับ

    สวัสดีครับคุณประโยชน์

    สวัสดีครับ

    ผมว่ามันเป็นธรรมชาติมากๆ ก้บ C&P อย่างที่คุณบอก อย่าว่าแต่คนสอนหนังสือเลยครับ เด็กสมัยนี้ลองไปตามร้านรับพิมพ์งานดิครับ เด็กเอาหัวข้อไปให้แล้วคนรับงานก็เปิดInternet แล้วก็ตัดต่อออกมาเป็นเล่มๆ ขายให้เด็กเอาไปส่งอาจารย์ บางครั้งผมลองถามดูเด็กยังไม่รู้เลยครับว่าข้างในมันเป็นเรื่องอะไร อย่างไร แต่ขอให้มีส่งเป็นใช้ได้ บางร้านหัวใสครับพอรู้หัวข้อรายงานของเด็กก็ทำเป็นสิบๆ เล่มเลย...เห็นแล้วน่าสงสารการศึกษาไทยครับ....

    นิสิต ป.ร.ด.(ปอรอดอ)

        ยินดีต้อนรับและขอบคุณมากๆ นะครับ สำหรับการสะท้อนมุมมองที่ให้คิดต่อยอดครับ ผมว่ามีวิธีการบริหารเรื่องได้เพื่อทดสอบว่าเค้าได้อะไรจากในเล่มนั้นบ้างครับ ให้เขียนสรุป หรือสอบพูดปากเปล่าจากสิ่งที่ทำ หรือทดสอบของใครของคนนั้นไ้ด้ครับ แล้วดูสิ่งที่เค้าได้ว่าเค้าผ่านการประมวลผลทางสมองไหม เราเน้นที่ว่าเค้ามีอะไรค้างอยู่ในสมองบ้างครับ เพราะจุดสำคัญคือสิ่งที่เราต้องการให้เค้าเรียนรู้ครับ

        ส่วนห้างร้านค้า เราทำไรไม่ได้หรอกครับ อยู่ที่ครูจะปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารการจัดการการเรียนรู้ของเด็กอย่างไรครับ

        ลองคิดๆ ดูนะครับ มีวิธีการมากมายครับ ขอเป็นกำลังใจนะครับ

    ขอบคุณมากๆนะครับ

    สวัสดีครับพี่Sasinanda

    อาจารย์คะ naree suwan ที่อาจารย์เล่า...

  • ที่พูดมาข้างต้น นักศึกษาพวกนี้ก็เป็นผลพวงของการใช้ คอมพิวเตอร์ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)
  • เพราะสิ่งที่พี่สอบ คุณต้องคิดและลงมือทำเอง
  • เด็กก็จะบอกว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีตัวอย่างหรือทำให้ดูก่อน
  • เด็กพวกนี้เคยชินกับการจะทำตามอย่างเดียว หากให้ทำเองจะบอกว่าคิดไม่ออก ทำไม่ได้
  • พี่คิดว่า คงเป็นกับนักศึกษา ส่วนหนึ่งค่ะ แต่ยังมีอีกมาก ที่ชอบใช้ความสามารถของตัวเองนะคะ ....
    พี่ไม่สบายใจที่พบและได้ยินสิ่งเหล่านี้ในหมู่เด็กๆ
    มันมีปัจจัยให้แก้ไขหลายอย่างสำหรับเด็กที่ไม่เอาใจใส่เรียนอย่างนี้ค่ะ  แต่ต้องทำตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ เป็นไม้อ่อนดัดง่าย...
    คุณเม้ง ขอโทษ ที่มาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์นารี ในบันทึกคุณนะคะ

        สบายดีไหมครับ ดีใจที่ผู้ใหญ่ใจดีมาช่วยกันตอบครับ น้องหนูสบายดีไหมครับ พี่ยกเรื่องนี้ว่ามีหลายปัจจัย ทำให้ผมคิดถึงตอนที่ผมทำงานกิจกรรมนักศึกษาสมัยปริญญาตรี เรามาถกกันเรื่องว่าทำไมนักศึกษาไม่สนใจการทำกิจกรรมนักศึกษากันเลยทั้งๆที่มีเครื่องมือและงบประมาณให้พร้อม ทำให้เราพบว่าจริงๆ แล้วมีปัจจัยเยอะมากๆ ครับ แล้วก็เป็นแบบนี้ทั่วประเทศบ่นเป็นเสียงเดียวกัน ในส่วนคนทำงานกิจกรรมครับ การปรับการะบวนยุทธ์จำเป็นต้องศึกษา สิ่งที่เกิดครับ

        ขอบคุณพี่มากๆ นะครับผม

    สวัสดีครับพี่เม้ง ของผมใช้หลัก CD ครับนั่นคือ Kouprey  เอ้ย Copy and Development (Cop n Develop) แจ่ม เลย

    สวัสดีครับพี่บ่าวขจิต ฝอยทอง

    • ส่วนตัวพี่เองไม่เห็นด้วยกับการ copy และ paste
    • ไม่ส่งเสริมให้นิสิตทำ
    • จริงอยู่เราเรียนได้ แต่ต้องเอามาเขียนเป็นคำพูดของเราเองเป็นการสรุปความเห็นแล้วเราก็อ้างอิงไม่ใช่ลอกมาทั้งดุ้น(แล้วเปลี่ยนสรรนามบางคำไม่เคยพบ)
    • องค์ความรู้ใหม่ๆเกิดได้ จากองค์ความรู้เดิม แต่ไม่ใช่ว่าเราไปลอกเขามาแล้วบอกว่าเป็นของใหม่
    • เราควรเอาไปเขียนต่อยอด ไปคิดวิเคราะห์ให้ดีกว่าเดิม
    • ยังไม่อยากเห็น อาชญากรทางวิชาการ ในหมู่นักวิชาการครับ
    • ผมอยากเรียกมันว่า ขยะทางวิชาการ
    • ขอบคุณครับ
        สบายดีนะครับผม ยิ้มยิ้ม (คัดลอกจากพี่ครับ คำนี้ผมได้จากพี่ครับ) การคัดลอกและวาง แนะนำให้ดูว่ามีอะไรอยู่ในการประมวลผลของเด็กหรือไม่ครับ พี่เคยสั่งให้เด็กคัดลอกตามในกระดานไหมครับ หากเราพิจารณากระบวนการกันลึกๆ เช่น
    • ตาจ้องกระดาน อ่านคำภาษอังกฤษ เช่้น อ่านคำว่า Copy and Paste
    • เด็กก็จะรับคำนี้เข้าไปไว้ในสมองแล้วสั่งให้เขียนออกมาในกระดาษสมุด
    • ในสมองเด็กมีการคิดต่อ ว่า Copy and Paste คืออะไร แปลว่าอะไร หมายความถึงอะไรได้บ้าง ใช้เมื่อใด ควรทำแบบนี้ไหม หรือว่าไม่ควรทำ  ส่วนนี้ผมว่าสำคัญ
    • การคัดลอกแบบไม่ผ่านสมองนั้นน่ากลัวครับ เพราะจะคล้ายๆ กองทัพงูเห่า ที่รับถังปูนแล้วโยนต่อเป็นแบบหุ่นยนต์ตลอดวัน แบบนี้อาจจะไม่ผ่านสมองครับ
        พี่เคยเล่นเกมส์ Copy and Paste หรือจัดกิจกรรมให้เด็กไหม เช่นเราบอกว่า
    • เข้าแถวละสิบคน สามแถว
    • แถวแรกบอกคนหน้าสุดว่า Copy
    • แถวที่สองบอกคนหน้าสุดว่า and
    • แถวที่สามบอกคนหน้าสุดว่า Paste
        แล้วแต่ละคน คัดลอกและวาง (ฟังแล้วบอกต่อ เก็บคำนั้นไว้ในสมอง) แล้วให้คนสุดท้ายแต่ละแถวบอก หรือออกมาเขียนในหน้ากระดาน เรียงตามแถว  ก็จะได้คำสามคำ แล้วก็ให้คนหน้าสุดไปเขียนเฉลย
        เราอาจจะได้สนุกๆ ครับ  คำตอบอาจจะแปลงจากอังกฤษเป็นไทยก็ได้ครับ เช่น
    • เกาะพีพี  เอน  เพลซ   ก็ได้ครับ ห้าๆๆๆๆ
        จริงๆ แล้วที่พี่พูดมานั้นเห็นด้วยนะครับ การคัดลอกและวางโดยไม่ผ่านสมองนั้น ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น แต่การคัดลอกแล้วผ่านสมอง ผมเชื่อว่าเด็กๆ จะได้เรียนรู้ครับ เป็นหน้าที่ของครู พ่อแม่ ผู้ใหญ่ที่จะช่วยๆ กันนะครับ ในการแนะนำเด็กสู่แนวทางการเรียนรู้ด้วยตนเองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านกลุ่มนะครับ เหมือนที่พี่ทำกิจกรรม อบรมให้กับน้องๆ อยู่นะครับ แบบนี้น่าชื่นชมครับ เราสอนเค้าค่อยๆ สอนครับ ให้คิดและเป็นตัวของตัวเองในเรื่องระบบคิด ฐานคิด การต่อยอดทางความคิดครับ
           สำหรับขยะทางวิชาการ จริงๆ มันไม่น่าจะมีหรอกครับ หรือจะบอกว่าวัชพืชวิชาการเหมือนบันทึกก่อนนะครับ ผมว่าอยู่ที่ว่าเกิดประโยชน์กับใครบ้าง งานวิจัยเราเน้นการนำไปใช้ได้จริงครับ ที่ขึ้นหิ้งอาจจะไม่มีประโยชน์ตอนนี้ แต่วันหน้าอาจจะมีประโยชน์ครับ อยู่ที่ว่าเราจะให้ความสำคัญกับส่วนใด แต่เชื่อว่าหลักๆ คือกระบวนการเรียนรู้ครับ

        ขอบคุณพี่บ่าว มากๆ นะครับ ขอให้หนุกๆ กับการสอนเด็กๆ ครับ อย่างน้อยวันหนึ่งเด็กๆ จะจำได้ว่า ออคำนึ้ Copy and Paste นึกถึง อ.พี่ขจิต ท่านย้ำและกำชับไว้อย่างดีครับ

    ขอบคุณมากๆ นะครับ

    สวัสดีครับพี่รุ่งตันติราพันธ์

    สวัสดีค่ะคุณเม้ง

    อ่านเป็นบันทึกแรกเลยค่ะ

    ค่อยสบายใจหน่อยว่า ว่าชีวิตจริงของเราต่างก็มาจากการลอกเลียนแบบกันตั้งแต่เกิด เหมือนๆกัน และอีกอย่างหนึ่งที่เราก็มักจะลอกเรียนแบบผู้ใกล้ชิดมา หรือคนที่ตนศรัทธาก็คือ การใช้วินิจฉัยในเรื่องราวต่างๆ อันนี้สำคัญมาก สำหรับเรา และจะเป็นพื้นฐานชีวิตที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป จนกว่าจะสิ้นอายุ จะมิจฉาทิฏฐิหรือ สัมมาทิฏฐิ ก็ตอนนี้แหละ

    คงไม่มีใครดี หรือเลวสมบูรณ์แบบหรอกค่ะ

    ก็ต้องค่อยๆปรับกันไป

    ขอบคุณบันทึกนี้ ที่ช่วยเตือนใจให้ จะได้ระมัดระวัง มิให้ความคิดของตน ไปตัดสินหรือทำร้ายใครค่ะ

    ขอบคุณมากๆๆๆๆๆ

    สาธุครับพี่ พี่สบายดีนะครับ

        เราอาจจะมีโมเดลที่เป็นต้นแบบในชีวิต เอาแบบอย่าง เช่นผู้ใหญ่ใจดี มีคุณธรรมสูง มีเมตตา หากเราปรับใช้ได้ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ อย่างเด็กวัยรุ่นน้องๆ หลงไหลดารา นี่ก็เป็นตัวอย่างการคัดลอกเลียนแบบเช่นกันครับ ประเด็นอยู่ที่ว่าอะไรที่ควรเลียนแบบคัดลอกจากต้นแบบที่ดี นี่ผมว่าหากชาวพุทธ ลองคัดลอกแนวคิดจากพระพุทธเจ้าในเรื่องความคิด เรื่องการรับนำไปปฏิบัติต่อยอด เราจะสุดยอดขนาดไหนครับ

        เราอาจจะคัดลอกข้อดีของญี่ปุ่น  จีน  เพื่อนบ้าน แล้วนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทเราครับ นำส่วนดีๆ มาครับ อาจจะช่วยเหลือสังคมเราได้เยอะครับ

        ค่อยๆ ปรับไปครับ ใช่ครับ

    ขอบคุณมากๆ นะครับ

    สวัสดีครับน้องกวินกวิน

    สวัสดีครับพี่เม้ง ของผมใช้หลัก CD ครับนั่นคือ Kouprey  เอ้ย Copy and Development (Cop n Develop) แจ่ม เลย

     

        สบายดีนะครับผม ขอบคุณมากๆ ครับ ที่เข้าไปแต่งกลอนเด็ดๆในคำผวนครับ อิๆๆๆๆ ไม่ธรรมดาครับ แต่งกลอนได้โดดเด่นยิ่งนักครับ

        ตอนแรกเป็นวิธี CD นึ่ง CD Burner นึกว่าวิธีการเผาแผ่นครับ น่าสนใจครับ C&D ว่าไปก็มี CP&D คือ Copy Paste and Develop

        หรืออยากจะให้ครบก็อาจจะเพิ่มเป็น CPDGF&H คือ Copy Paste Develop Give Free and Happy ครับ

        ขอให้ัสนุกในการแต่งกลอน และเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ

    ขอบคุณมากครับ

     

    สวัสดีค่ะคุณเม้ง

    ***แวะมาอ่านแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนคัดลอกและวางอยู่ไกล้ๆตัวมากมาย คล้ายๆเป็นนัก........ที่มีสมองเยี่ยมเทียมสิงขร ได้รับผลตอบแทนที่ชวนให้คนทั้งตระกูลภาคภูมิใจ น่ายกย่องว่าเป็นเทพ แต่เวลาทำงานก็เอาเปรียบและไม่ยอมเสียสละทุ่มเท เพราะต้องรีบก้าวให้เร็วกว่าคนอื่น ขอบคุณที่หาถ้อยคำที่มีความหมายมาให้ใช้ "ขยะทางวิชาการ"( ที่ไม่มีวันย่อยสลาย ) และอาชญากรทางการศึกษาก็มีอยู่ทุกคลาส...หรือว่าดิฉันคิดมากไปเอง...มานิ่มอีกแล้ว..อิอิ...

    ***ชอบคุณเม้ง...บันทึกของคุณทำให้ดิฉันมีกำลังใจ และหลอกตัวเองได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว..เพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยอารีย์ ..

    ***ถ้ามาพิษณุโลกก็จะพาไปชิมอาหารพื้นบ้านที่ทำจากปลาแม่นำน่าน..แล้วคุณจะติดใจ..จริงๆนา...

    ***ขอบคุณค่ะที่คิดจะไป

    สวัสดีครับ

    (เรื่องสมมุติ)....นักเรียนcopyงานส่งครูเพื่อหวังประโยชน์เฉพาะหน้าของตน

    (เรื่องจริง)...เกษตรกรกำลังมีปัญหาเรื่องการเพาะเมล็ดสบู่ดำ แต่ผมมีความรู้เรื่องนี้น้อยมากเพราะเป็นเรื่องใหม่ในพื้นที่ ผมจึงไปซื้อหนังสือจากร้านค้ามาหนึ่งเล่ม ราคา 100 บาท แล้วทำการcopyเอกสารแจกให้เกษตรกรนำไปศึกษา

    ...

    วิธีการไม่แตกต่าง!!

    ความแตกต่างอยู่ที่ประโยชน์บั้นปลาย

    ว่าประโยชน์ตกอยู่กับตัวหรือว่าตกอยู่ที่ผู้อื่น

    ...

    ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง

    ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ฯ

    ....

    ขอบคุณที่กระตุกให้ได้คิดครับ

    :)

    สวัสดีครับคุณ กิติยา เตชะวรรณวุฒิ

    สวัสดีค่ะคุณเม้ง

    ***แวะ มาอ่านแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีคนคัดลอกและวางอยู่ไกล้ๆตัวมากมาย คล้ายๆเป็นนัก........ที่มีสมองเยี่ยมเทียมสิงขร ได้รับผลตอบแทนที่ชวนให้คนทั้งตระกูลภาคภูมิใจ น่ายกย่องว่าเป็นเทพ แต่เวลาทำงานก็เอาเปรียบและไม่ยอมเสียสละทุ่มเท เพราะต้องรีบก้าวให้เร็วกว่าคนอื่น ขอบคุณที่หาถ้อยคำที่มีความหมายมาให้ใช้ "ขยะทางวิชาการ"( ที่ไม่มีวันย่อยสลาย ) และอาชญากรทางการศึกษาก็มีอยู่ทุกคลาส...หรือว่าดิฉันคิดมากไปเอง...มานิ่ม อีกแล้ว..อิอิ...

        ขอบคุณมากๆ นะครับ สบายดีนะครัีบ จริงๆ บางครั้งเรากังวลมากไปนะครับ ว่าคนนั้นไปคัดลอกมาเอามาทำนั่นทำนี่ ขอผลงาน หรืออะไรต่างๆ ผมเองไ่ม่ได้เน้นอะไรมากนักครับ ผมมองว่าขอให้เป็นการเรียนรู้เถิดครับ หากเค้าทำแล้วได้เรียนรู้ แล้วได้คิดต่อ ผมว่าดีแล้วครับ เพียงแต่แน่นอนว่าการให้เกียรติคนเป็นเรื่องความสวยงามของมนุษย์ครับ บางทีระบบในบ้านเรายึดตัวหลักการ กฏเกณฑ์มากไปครับ ว่าต้องทำนั่นทำนี่ จนบางทีเราไปติดเปลือกตรงนั้น จนดิ้นไม่หลุดว่าแท้จริงแล้วความองค์ความรู้จริงๆ มันอยู่ตรงไหน ผมส่งงานวิชาการไปหลายๆ ที่ บางครั้งผมรู้ว่าคนตรวจอ่านงานเราเค้าไม่ได้เข้าใจไรมากหรอกครับ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดานะครับ เพราะทำวิจัยอย่างหนึ่ง คนอ่านเป็นอีกสาขาหนึ่ง แต่เค้าให้เกียรติเราในการนำเสนองาน ที่พูดมานี้ผมอยากจะยกตัวอย่างว่า บางครั้งคนไปจับผิดเรื่องฟอร์แมตของเอกสาร แทนจะอ่านว่าความรู้ที่เป็นสาระในบทความนั้นคืออะไร  แต่ผมเชื่อว่าด้วยคนแล้วต้องคิดก่อนเสมอครับ ส่วนจะมากหรือน้อยคิดว่า ให้เค้าตัดสินใจของเค้า เพราะเค้ารู้ตัวเอง

        ผมเชื่่อเรื่องกรรมสนองกรรม ไม่ว่าจะเป็น กรรมทางกาย  วาจา ใจ ครับ กรรมเกิดได้ตั้งแต่คิด ความทุกข์หรือสุขก็เกิดที่นั่นครับ คนไทยเก่งนะครับ ในเรื่องการประยุกต์ใช้ เพียงแต่ใครจะเห็นค่านี้ บ้านเราขาดการบริหารจัดการที่ดี ใครล่ะครับที่จะบริหารจัดการที่ดีให้กับตัวเรา หากไม่ใช่ตัวเราเอง  ดังนั้นหากเป็นการเรียนรู้ก็ยินดีให้กับเค้า เราเป็นผู้ให้ก็ต้องรับจากคนอื่นก่อนเช่นกันครัีบ ตอนแรกๆ รับมากหน่อยครัีบ รับก็คือการคัดลอกแล้ววางนั่่นนะครับ

        ขยะวิชาการ(หากมีจริง)เกิดจากอะไร....ที่มาก็มาจากคนครับ ทำไมคนถึงทำ มีอะไรเป็นแรงขับเคลื่อน สาวไปเรื่อยๆ เราจะเจอต้นตอบางอย่างครัีบ  อย่างการจะถามว่าทำไมเราต้องมานั่งปรับยศตัวเองกันอยู่เพื่ออัพเกรดตัวเอง แล้วเด็กได้อะไร สังคมได้อะไร

    ***ชอบคุณเม้ง...บันทึกของคุณทำให้ดิฉันมีกำลังใจ และหลอกตัวเองได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว..เพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยอารีย์ ..

    ***ถ้ามาพิษณุโลกก็จะพาไปชิมอาหารพื้นบ้านที่ทำจากปลาแม่นำน่าน..แล้วคุณจะติดใจ..จริงๆนา...

    ***ขอบคุณค่ะที่คิดจะไป

        ขอบคุณมากครับ สำหรับความบริสุทธิ์ที่มีให้นะครัีบ ด้วยความยินดีเช่นกันนะครัีบ ที่เขียนมาไม่ได้เป็นการสอนนะครัีบ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันนะครัีบ

    สนุกในการทำงานนะครับผม

    สวัสดีครัีบคุณพิทักษ์

    สวัสดีครับ

    (เรื่องสมมุติ)....นักเรียนcopyงานส่งครูเพื่อหวังประโยชน์เฉพาะหน้าของตน

    (เรื่อง จริง)...เกษตรกรกำลังมีปัญหาเรื่องการเพาะเมล็ดสบู่ดำ แต่ผมมีความรู้เรื่องนี้น้อยมากเพราะเป็นเรื่องใหม่ในพื้นที่ ผมจึงไปซื้อหนังสือจากร้านค้ามาหนึ่งเล่ม ราคา 100 บาท แล้วทำการcopyเอกสารแจกให้เกษตรกรนำไปศึกษา

    ...

    วิธีการไม่แตกต่าง!!

    ความแตกต่างอยู่ที่ประโยชน์บั้นปลาย

    ว่าประโยชน์ตกอยู่กับตัวหรือว่าตกอยู่ที่ผู้อื่น

    ...

    ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัว เป็นที่สอง

    ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ฯ

    ....

    ขอบคุณที่กระตุกให้ได้คิดครับ

    :)

        สบายดีนะครับ สาธุครัีบ สำหรับตัวอย่าง เรื่องของการให้มันล้ำค่าอยู่ในตัวเสมอครัีบ โดยเฉพาะการให้ความรู้ ให้คนได้คิดร่วมกัน ทำร่วมกัน ดีใจจังครับ ที่คุณยกพระราชปณิธานมานะครับ เรื่องนี้ล่ะครัีบ คือการให้ที่ยิ่งใหญ่ครัีบ การให้ตนเองนั้นควรมาหลังและเป็นเรื่องรอง คนอาจจะแย้งว่าหากตนเองอยู่ไม่ได้แล้วจะให้คนอื่นได้อย่างไร จริงทางสายกลางมันมีอยู่ รถยนต์มีหลายองค์ประกอบ ก็เรื่องเดียวกันนะครับเนอะ

        ขอบคุณมากๆ นะครัีบ  สนุกในการทำงานงานและพักผ่อนครับ ว่าแต่ผมชอบตัวอย่างในความจริงของคุณมากๆเลยครัีบ บางทีเรามานั่งถกเรื่องนี้ น่าจะไปหาคำตอบที่เป็นปัญหาจริงๆ ให้กับสังคมอาจจะดีกว่าครัีบ แต่ระบบคิดก็ต้องขับเคลื่อนตลอดเวลาครัีบ ดังนั้นทำไปพร้อมๆ กันครับ

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท