เมื่อวาน (15 มี.ค.) ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมการเตรียมความพร้อมให้นิสิตก่อนฝึกงาน โดยวิทยากรจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ระหว่างกิจกรรม มีประโยคหนึ่งที่ฟังแล้วต้อง หยุด!ทำความเข้าใจแล้วคิดต่อ ก็คือคำว่า " คืนกำไรให้สังคม"
ทำอย่างไรจะไม่ให้มีช่องว่างระหว่าง มหาวิทยาลัย กับ ชุมชน หรือที่สื่อกำลังนิยมคำว่า "รากหญ้า"
มีโอกาสกล่าวฝากนิสิตฝึกงานในฐานะ ผู้ประสานการฝึกปฏิบัติงานวิชาชีพเภสัชศาสตร์ นิสิตโปรดนำสาร ไปสื่อ กับชาวบ้าน ด้วยว่า "ขอบคุณ ที่ภาษีของทุกท่าน ได้ทำให้พวกคุณมีโอกาสศึกษา ในมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพ มีอาจารย์ที่มีความสามารถด้านวิชาการสูง มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย" และวันนี้ พวกเรานิสิตทั้งหลาย มีโอกาสได้มาฝึกงาน แม้เป็นเวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมของพวกเราในอนาคตที่จะไปทำหน้าที่ที่สังคมได้กำหนดบทบาทให้เป็น "หมอยา" และฝากความหวังไว้ ว่าเราจะเป็นผู้ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพให้ท่านทั้งหลาย ได้ในอนาคต ต่อไป
สิ่งที่ติดตัวนิสิตมาคือ รูปร่าง หน้าตา ทรัพย์สินเงินทองที่ผู้ปกครองหาไว้ให้ และมหาวิทยาลัยก็ช่วยหล่อหลอมความคิด ปัญญาให้คุณระดับนึง แต่สิ่งที่นิสิตจะต้องสร้างให้กับตัวเอง เพราะไม่มีใครจะนำมามอบให้นิสิตได้ก็จะเกิดขึ้นจากการใช้โอกาสที่จะออกไปฝึกงาน ณ สถานีอนามัย ครั้งนี้ นิสิตจะได้สิ่งใดบ้าง ลองฟังดูนะ
1. ได้มีโอกาสนำองค์ความรู้จากห้องเรียนไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชน และเป็นส่วนหนึ่งในระบบสาธารณสุขขั้นพื้นฐานของประเทศอย่างแท้จริง ได้เห็นของจริง สัมผัสจริง ว่าต่างจาก power point ที่เห็นในชั้นเรียน แค่ไหน อย่างไร และสามารถเชื่อมโยงความรู้ กับ ความสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างไร
2. ได้มีโอกาสพัฒนาศักยภาพด้านสังคม ไม่ว่านิสิตจะมาจากครอบครัวแบบใดก็ตาม วันนี้ นิสิตเท่ากัน เหมือนกัน คือ เป็นนิสิตฝึกงาน จาก มหาวิทยาลัยนเรศวร ต้องเรียนรู้ที่จะร่วมงานกับบุคคลหลากหลาย ตั้งแต่ ผู้นำชุมชน ชาวบ้านหลากหลายอาชีพ เช่น เกษตรกร ชาวบ้านร้านตลาด ผู้ใช้แรงงาน โรงเรียนของชุมชน วัด และอื่นๆที่เป็นสิ่งแวดล้อม ซึ่งนิสิตต้องใช้ศิลปะในการดำเนินชีวิต ให้เหมาะสม ตั้งแต่ การรักษาเวลา การแต่งกาย การแสดงออกด้วยสีหน้า แววตา ท่าทาง ความมีน้ำใจ จริงใจ ขยัน อดทน เข้าใจสิ่งที่กำลังทำ ไม่ใช่ทำเพราะถูกสั่งให้ทำ และรู้จักที่จะคิดอย่างมีเหตุมีผล สามารถบูรณาการองค์ความรู้ ที่เป็นทฤษฎี ประยุกต์เข้ากับ วิถีประชา อย่างกลมกลืนและเกิดประโยชน์
3. ได้มีโอกาสปรับตัวด้านการใช้ชีวิตประจำวัน นอกรั้วมหาวิทยาลัย นอกสายตา พ่อแม่ ครู อาจารย์ ได้เปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ เพื่อฝึกปรับทัศนคติ เจตคติ ที่มีต่อสภาพแวดล้อมที่เผชิญ รู้จักดูแลรักษาตัวเอง เคารพสิทธิ์ของคนอื่น และเอื้ออาทรต่อเพื่อน (ร่วมชะตา(อิอิ))
4. ได้มีโอกาสพัฒนาความคิดแบบ องค์รวม คือ การมองภาพรวมของสิ่งต่างๆ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เชื่อมโยง ความคิด พัฒนาต่อไปได้ไม่สิ้นสุด เช่น มีคนไข้ "หัวแตก" มาหา ไม่ใช่ว่าเราแค่ ปิดพลาสเตอร์ให้แล้วปล่อยเค้ากลับบ้าน ก็หมดหน้าที่ ไม่ใช่ ต้อง ถามเขาว่า ไปทำอะไรมาจึงหัวแตก เพื่อทบทวนเหตุการณ์ เค้าจะได้เพิ่มความระมัดระวัง แล้วแนะนำต่อไปว่า แผลนี้ไม่ควรถูกน้ำเป็นเวลานานเท่าไหร่ ต้องเปลี่ยนพลาสเตอร์บ่อยแค่ไหน ทำความสะอาดแผลด้วยตัวเองอย่างไร มีอาการอื่นไม๊ อาจทดสอบ ตรวจสอบ เช่น ตาพล่า มือสั่น ใจสั่น หายใจหอบ หรือติดขัด เลือดแข็งตัวช้า บวมช้ำผิดปกติ หลังจากนั้นต้องแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตตัวเองหลังกลับบ้าน ว่า มีอาการแผลอักเสบ ไข้ขึ้น แผลหายช้า กว่าปกติหรือไม่ (ต้องบอกเค้าว่า คาดว่ากี่วันจะหาย ถ้าไม่หายให้กลับมาใหม่) เหล่านี้ คือ องค์รวม ไม่ใช่ มีดบาด ปิดแผล กลับบ้าน ต่อไปก็ติดเชื้อ ซื้อยากินเอง ก็แย่ อย่างนี้ ถือว่า คนจากระบบสาธารณสุข ไม่ได้ช่วยอะไรให้เค้าคิดเป็น คิดต่อ ดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ ขอให้นิสิตใช้ ความรู้ และธรรมชาติของตัวเอง ด้วย
- คุณธรรม ก็คือ ธรรมชาติในตัวเรา ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น สิ่งอื่น
- จริยธรรม ก็คือ (จริต) การแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ จริงใจ ไม่เสแสร้ง
- ความมีเมตตา เป็นมิตรต่อทุกสิ่งในชุมชน
ทุกคนเป็นครูของเรา ด้วยวัยวุฒิที่มากกว่าของคนในชุมชน จะสามารถช่วยให้นิสิตได้รับประสบการณ์ที่มีค่าต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตได้อย่างดี ในคน 1 คน ก็คือ หนังสือ 1 เรื่อง ไม่มีอะไรที่ซ้ำกันเลย นิสิตต้องเปิดใจที่จะ อ่าน ทำความเข้าใจ เรียนรู้ ทดลอง ทดสอบ ให้เข้าใจ
สิ่งที่พี่อยากเห็นเมื่อนิสิตกลับมาก็คือ หัวใจที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมกับความสุข ที่คุณได้มอบประโยชน์ จากปัญญาของคุณให้กับชุมชน และเกิดเป็น สายใยความผูกพัน ที่คนในชุมชน มีต่อคุณ ไม่ใช่ผลคะแนน
มหาวิทยาลัย ช่วยให้ชีวิตเรามีระเบียบแบบแผน มีเหตุ มีผล รู้จัก คิด รู้จัก ทำ อย่างดี
ท้องถิ่น และรากหญ้า ก็ช่วยให้คุณรู้จัก และเข้าใจ ความเป็น ธรรมชาติ ความเป็นมา รากเหง้า ของวิถีชีวิตที่มีอยู่จริงในสังคม และทุกคนคือเพื่อนมนุษย์
ทั้งสองสิ่ง จะผสมให้เข้ากันได้ อย่างกลมกลืน ก็ต้องอาศัยศิลปะ
การเปิดใจ --ไปสู่--> ความเข้าใจ --เพื่อจะ--> ผูกใจ และ ผลที่จะได้รับคือ
ความสุขใจ สุขกาย เจริญงอกงามทั้งภายนอกและภายใน เป็น คนที่สมบูรณ์ เพื่อ สร้างสิ่งที่ดีงามต่อๆไป
ตั้งใจจะไปทุกครั้ง "ถ้าทราบ" แต่ที่ผ่านมา ไม่เคยได้รับสารที่เกี่ยวกับกิจกรรม QA KM เลยค่ะ เพราะต้องผ่านงานนโยบายและแผนของคณะฯ ซึ่งทางคณะฯอาจจะคิดว่าไม่เกี่ยวกับแหม่ม เลยไม่ได้สื่อสารกัน อีกทั้งอาจารย์คงทราบดีว่า ห้องทำงานแหม่มอยู่แยกจาก สน.เลขาฯ บางครั้งก็ขาดการสื่อสารกันหน่ะค่ะ มีหลายครั้งที่แสดงตัวกับฝ่ายแผนฯว่าอยากเข้าร่วมกิจกรรมของอาจารย์ อย่างตอนไปทรัพย์ไพรวัลย์ หรือ ที่กำลังจะไป มอ. แต่คณะฯก็ไม่ได้ว่ายังไง ก็เลยต้องหาความรู้ผ่าน blog นี่แหละค่ะ
แต่ก็ยินดีที่จะเฝ้าคอยติดตามผ่าน blog นะคะ
6 ปีแล้วมั้งครับ จำได้ว่าตอนผมไปฝึกงานรอบ 2 อาจารย์วิบูรย์มาพูดให้ฟังก่อนออกไปฝึกงาน และผมก็ชอบคำสอนที่อาจารย์ให้ไว้ ประมาณว่า
เราอย่าหวังอะไรกับมากกับแหล่งฝึกและก็พยายามอย่าทำให้แหล่งฝึกเค้าลำบากด้วย
ตอนนี้ในฐานะที่โรงพยาบาลผมก็รับนิสิตฝึกงานด้วย ก็เข้าใจว่า ที่อาจารย์พูดไว้นั้น หมายความว่าอย่างไร
พูดตรงๆคือ การเป็นแหล่งฝึก เป็นการเพิ่มภาระอย่างหนึ่งให้กับแหล่งฝึกนอกเหนือจากงานประจำ แต่ถ้าไม่รับเป็นแหล่งฝึก น้องๆว่าที่เภสัชกรทั้งหลายก็จะขาดประสบการณ์ และในบางครั้งเนื่องด้วยภาระงาน อาจทำให้สอนนิสิต/นักศึกษาได้ไม่เต็มที่ บางทีผู้ดูแลก็ต้องไปประชุมต่างจังหวัดหรือประชุมในโรงพยาบาลเอาดื้อๆ ทิ้งนิสิต/นักศึกษาฝึกงานไว้กับเภสัชกรคนอื่นๆ ซึ่งเราเองก็ลำบากใจและไม่สบายใจที่ต้องทำเช่นนี้
แต่ข้อดีของการเป็นแหล่งฝึกก็คือ การกระตุ้นให้ตนเองหาความรู้ เพื่อใช้ในการถ่ายทองให้กับนิสิต/นักศึกษาฝึกงาน
ตอนนี้ผมรู้ซึ้งเป็นอย่างดี (ซึ่งความจริงก็ตั้งแต่ตอนมาทำงานและได้มีโอกาสเป็นเภสัชกรที่สอนและฝึกงานรุ่นน้องๆ) กับคำกล่าวของท่านอาจารย์วิบูรย์ จริงครับที่ "อย่าคาดหวังอะไรกับแหล่งฝึกมาก"
ขอบพระคุณ อ.วิบูลย์ มากนะคะที่กรุณาให้เราได้มีโอกาสพัฒนาองค์ความรู้ ตามความเห็นส่วนตัว ที่มาสนใจกิจกรรมนี้ก็เพราะ QA และ KM เป็นเรื่องใหม่ที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนควรเรียนรู้และทำความเข้าใจไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายแผนฯแต่ละคณะเท่านั้น
ภก.ดุรงฤทธิ์ รหัส 38xxxxx ใช่หรือไม่ เอกลักษณ์ของคุณที่พี่จำได้ก็คือ คุณจะตัวเล็กๆ สมัยนั้นดูไม่ค่อยแข็งแรง หวังว่าวันนี้คุณคงสบายดี
คุณเคยให้ความเห็นไว้เมื่อสมัยเรียน ตอนจะฝึกงานว่า "วิชาชีพเภสัชกรรมน่าจะมีความชัดเจนในการทำงานมากกว่านี้" ไม่ทราบว่าพี่จะจำผิดรึเปล่านะ และถ้าจริง ถึง ณ วันนี้ ความเห็นนั้น ได้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้างแล้ว
เรื่องการฝึกงาน พี่ในฐานะเป็นคนกลางระหว่าง นิสิต อาจารย์ และแหล่งฝึก มีความเห็นว่า ทุกฝ่ายสามารถปรับกระบวนการเพื่อให้ร่วมงานกันได้อย่างราบรื่น เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
ขอเปรียบนิสิตฝึกงานก็เหมือน ลูกนกที่ต้องได้อาหารคือความรู้จากพ่อคือ คณะฯ มาส่งให้แม่คือ แหล่งฝึก ที่ให้ทั้งความเป็นชีวิต และให้ประสบการณ์ในชีวิต ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งเจ้าลูกนกตัวนั้น คงมีชีวิตในอนาคตที่ลำบากแน่ๆ
- นิสิตฝึกงานทุกปี แหล่งฝึกอาจจัดแผนการฝึกงานให้ชัดเจนไปเลย (อันที่จริงมีอยู่ในคู่มือ) เภสัชประจำแหล่งฝึกก็ทำงานประจำตามปกติแต่ช่วยเป็นพี่เลี้ยง และประเมินนิสิตเป็นระยะเพื่อให้มีพัฒนาการ แล้วหาผู้ประสานงานกลาง ที่อาจไม่ใช่เภสัช อาจเป็น จพง. ก็น่าจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แหล่งฝึกมากเกินไป
- อาจารย์ประจำคณะฯ จะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการที่เป็นปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการของวิชาชีพ จัดประชุม สัมมนา เพื่อ ลปรร. กันเป็นระยะ
- อาจารย์แหล่งฝึก เป็นต้นแบบ เป็นเภสัชกรในจินตนาการของนิสิต ซึ่งนิสิตจะเป็นเสมือนผู้ช่วยปฏิบัติงานเพิ่มในช่วงเวลานึง สามารถทำให้นิสิตกลายเป็นสายใยเชื่อมโยงมหาวิทยาลัย กับชุมชน และสังคมได้
คิดว่านิสิตก็เหมือนลูกนก ไม่ว่าจะดื้อ จะร้าย ในความรู้สึก แต่เราต่างก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลผลิตของวิชาชีพด้วยกันทุกฝ่าย
อย่างนี้ ก็จะเป็นการบูรณาการความรู้แบบองค์รวม เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และความมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างแท้จริง
เขียนได้ดีครับ อ่านแล้วเลยมาร่วมแจมด้วย ติดตามทุกบันทึกเลย มีปะรโยชน์มากๆ
ใช่ค่ะ -คุณธรรม ก็คือ ธรรมชาติในตัวเรา ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น สิ่งอื่น - จริยธรรม ก็คือ (จริต) การแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ จริงใจ ไม่เสแสร้ง - ความมีเมตตา เป็นมิตรต่อทุกสิ่งในชุมชน ค่ะ 3 สิ่งนี้ เป็นคุณค่าในตัวตนของมนุษย์ที่สังคมกำลังปรารถนาย่างยิ่ง สังคมใดขาด 3 สิ่งนี้ไป พี่มีความคิดว่า สังคมนั้นไม่มีความสุขแน่
อันที่จริงระบบการศึกษาไทย มีหมวดการศึกษา เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต มาตั้งแต่ประถมแล้ว
ดังนั้น การฝึกปฏิบัติงานเพื่อเสริมประสบการณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เรียน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาชีพในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาสาขาใดก็ตาม ไม่เฉพาะแต่ในสาขา "วิชาชีพชั้นสูง" เท่านั้น
กระบวนการจัดการ ให้ผู้เรียนได้ฝึกงานเพื่อรับประสบการณ์ ที่สถาบัน ร่วมกับแหล่งฝึก จะจัดให้ผู้เรียน จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้เค้าเกิดจินตนาการ เกิดทัศนคติ เข้าใจ และสนุกกับการได้เรียนรู้ และอยากย้ำว่า สำคัญทุกสาขาวิชาจริงๆ เพียงแต่จะแทรกไว้ส่วนไหนของแผนการศึกษาอย่างเหมาะสม
ฉะนั้น หากสถาบันการศึกษาใด ให้ความสำคัญของ กระบวนการบริหารจัดการด้านการฝึกประสบการณ์แล้วหล่ะก็ ผู้เรียนจะได้รับประโยชน์สูงสุดแน่นอนค่ะ