ทั้งความกลัวและความโกรธก็ทำให้เราขาดสติได้เช่นเดียวกัน..
การขาดสตินั้นนำไปสู่การกระทำนานาสารพันที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คาดไม่ถึง..
จะเล่าให้ฟังค่ะ เหตุการณ์ขาดสติของใบไม้ย้อนแสงที่มีเหตุมาจากความกลัวตาย..
สมัยที่เป็นนักศึกษาอายุราว 20 ปีเห็นจะได้ ฉันต้องเดินทางไปฝึกงานในเขตทุ่งใหญ่นเรศวร อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ในยุคนั้น เราต้องเดินเท้าเข้าไปกว่าประมาณ 9 กิโลเมตร พวกเรานักศึกษาชาย 1 คน หญิง 3 คน และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาชาวเขาฯ เดินข้ามเขาขนาดย่อม ๆ มาหนึ่งลูก จนถึงธารน้ำ
ใกล้ถึงที่หมายซึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงแล้ว..
ชาวกะเหรี่ยงละแวกนั้น จะทำสะพานไม้ไผ่แบบที่ไม่ใช้ตะปูเลยไว้ข้ามน้ำในฤดูฝน ส่วนหน้าแล้งจะปล่อยให้สะพานผุผังไป แล้วเมื่อฤดูฝนเวียนมาถึงอีกครั้ง พวกเขาจึงทำสะพานข้ามน้ำใหม่
พวกเราได้รับคำแนะนำให้เอาผ้าพลาสติกห่อเสื้อผ้าในกระเป๋าเป็นอย่างดี เพราะว่าเราต้องเดินแบกกระเป๋าข้ามน้ำ ขณะนั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำลดแล้ว สูงท่วมเอวพอดี..
หินกรวดใต้น้ำเต็มไปด้วยตะไคร่ที่ทำให้ลื่น ทรงตัวยาก แถมน้ำก็ไหลแรงเหลือเกิน ฉันและเพื่อนผู้หญิงเดินเกาะกลุ่มมาด้วยกัน อีกนิดเดียวจะถึงฝั่งแล้ว แต่น้ำก็ไหลแรงจนท้อใจ ที่สำคัญผู้หญิง 3 คน ไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลยสักคน มีฉันคนเดียวที่พอจะมีพื้นฐานเล็กน้อย
ด้วยความอยากถึงฝั่งเร็ว ๆ ฉันนำเพื่อนไปทางที่ใกล้ฝั่งที่สุด..
แต่เพียงก้าวเท้าไปทางนั้น น้ำก็ท่วมถึงอก เรา 3 คนไหลไปตามน้ำทันที..
ระหว่างที่ไหลไปตามน้ำ เพื่อนฉันที่ตั้งสติได้ ก็บอกให้ฉันรีบคว้ากิ่งไม้จากต้นไม้ข้างทางไว้ ฉันก็คว้าหมับที่กิ่งไม้นั้นอย่างรวดเร็ว..
แล้วฉันผู้ขาดสติในขณะนั้นก็ทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึง ไม่มีความรู้ตัวใด ๆ อีกแล้ว มีแต่ความกลัว..
ฉันสะบัดมือเพื่อนที่จับฉันไว้หลุดไป แล้วก็ใช้สองมือยึดกิ่งไม้ไว้..
โชคดี.. หลังจากนั้น พี่ล่ามชาวกะเหรี่ยงก็ว่ายน้ำมาลากพวกเรากลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัยในเวลาชั่วพริบตา
ฉันยังคงไม่ได้มีสติอะไร คิดอะไรไม่ออก มึนงงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น.. จนกระทั่งเพื่อนที่บอกให้ฉันจับกิ่งไม้เดินมาบอกฉันว่า “แกทิ้งฉัน!”
เท่านั้นเอง ความทรงจำก็หวนกลับคืนมา ฉันแทบรับตัวเองไม่ได้เลยที่ทิ้งเพื่อนในภาวะอันตรายอย่างนั้น รู้สึกผิดหวังกับตัวเองเหลือเกิน..
เคยเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนรักเพื่อนมาก เสียสละให้เพื่อนได้ แต่ที่ฉันทำลงไปเป็นสิ่งตรงกันข้าม..
คิดถึงเรื่องนี้คราใด ฉันก็ยังคงรู้สึกผิดเสมอ..
วันหนึ่ง ฉันได้ดูภาพยนตร์ฝรั่งเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวทหารคนหนึ่งที่ทิ้งเพื่อนในภาวะสงครามให้เสียชีวิตไป เขารู้สึกผิดมาตลอดชีวิต และตั้งมั่นว่าจะไม่ทำพลาดอีก ในที่สุดเมื่อเผชิญสถานการณ์เยี่ยงนั้นอีก เขาก็สามารถเอาชนะความกลัวของตัวเองได้
วันนี้ฉันให้อภัยตัวเองได้แล้ว และรู้ว่าที่ตัวเองทำลงไปนั้น เป็นเพราะความขาดสติ เป็นสัญชาติญาณเอาตัวรอดของสัตว์ทั่วไป มีเพียงสติเท่านั้นที่จะทำให้เราควบคุมตัวเองได้ในทุกสถานการณ์
เรื่องของผู้หญิงขาดสติคนนี้ยังไม่จบค่ะ แต่คราวนี้ขาดสติจนลืมกลัวตาย..
ผ่านมาอีกสัก 10 ปีเห็นจะได้..
บนถนนซอยสุขุมวิท 71 ผู้หญิงคนเดิมยืนรอข้ามถนนที่ทางม้าลาย เมื่อไฟเขียวสัญญาณให้คนข้ามถนนได้ปรากฏขึ้น เธอเดินข้ามตามปกติ
แต่แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นรถบรรทุกทางขวามือแล่นมา โดยไม่มีแววว่าจะหยุดตามสัญญาณไฟ
ความโกรธวิ่งแล่นไปทั่วกาย เธอหยุดเดิน ยืนหันหน้าไปมองคนขับรถบรรทุกที่กำลังวิ่งเข้ามาหา ใช้สายตาแห่งความความโกรธมองทะลุไปถึงดวงตาชายผู้นั้น
ในใจเธอพูดว่า “ถ้าไม่ละอายแก่ใจ ไม่หยุดรถ ก็ตรงมาชนฉันเลย”
ณ ขณะนั้น ความกลัวตายแม้สักนิดก็ไม่มี.. มีแต่ความโกรธ ความอยากเอาชนะ..
กลับมาที่ชายผู้ขับรถบรรทุก เขาหลบสายตาหญิงสาวบ้าบิ่น แล้วเขาค่อย ๆ ชะลอรถหยุดตรงหน้าเธอ
เธอผู้ขาดสติจึงเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งอย่างปลอดภัย
ไม่ว่าเธอเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ทุกคนก็ตำหนิในความบ้าบิ่น ถ้ารถบรรทุกคันนั้นไม่หยุด ป่านนี้เธอจะเป็นยังไง
เธอเองก็มานั่งนึกภายหลังว่า เธอช่างไม่นึกถึงคนในครอบครัวบ้างเลยว่า พวกเขาจะเสียใจแค่ไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ..
เป็นเพราะความขาดสติแท้ ๆ ที่ทำให้เธอทำเช่นนั้นลงไป
เห็นไหมคะ ว่าความขาดสติน่ากลัวแค่ไหน
ไม่ว่าจะแทนสรรพนามว่า “ ฉัน” หรือ “เธอ” ก็ล้วนเป็นผู้ขาดสติคนเดียวกัน ในต่างวาระ ต่างอารมณ์
ทั้งความกลัวและความโกรธก็ทำให้เราขาดสติได้เช่นเดียวกัน..
ตอนนี้ใบไม้ย้อนแสงก็ฝึกสติได้ดีขึ้นมาก ไม่ค่อยโกรธ ไม่ค่อยกลัวอะไร แต่ก็ไม่รู้ค่ะว่าจะขาดสติอีกเมื่อไร ได้แต่หวังว่าสติของตัวเราจะแข็งแรงพอ
อยากให้กัลยาณมิตรทุกท่านฝึกฝนสติเข้าไว้ค่ะ มันช่วยเราได้ทุกสถานการณ์ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อย่างที่ใบไม้ย้อนแสงทำลงไปในอดีตไงคะ ^_^
-----------------------------------------------------
ป.ล. บันทึกนี้เป็นบันทึกที่ใบไม้ย้อนแสงตั้งใจว่าจะเขียนมานานแล้ว ภายหลังได้รับการ Tag ความลับจากครูมิม จึงขอใช้เป็น Tag ความลับที่ 1 ของใบไม้ย้อนแสงไปด้วย ส่วนความลับที่เหลืออีก 4 ข้อ ตอบไม่ได้ค่ะ ว่าจะเขียนเมื่อไร แหะ ๆ :P