(ผลพวงจากการที่นาหว่านของพี่น้องชาวนามีน้ำเร็วกว่าปกติ
ก็คือการที่ต้องลงทุนเพิ่มในด้านสารกำจัดหอยเชอรี
ที่ชาวนาต้องสูญเสียและขาดทุนอีกหลายเด้ง)
************
นอกจากการที่พี่น้องต้องลงทุนในการทำนาเป็นจำนวนมหาศาล
แต่เปราะบางเสี่ยงต่อการเสียหายอย่างง่ายๆดังที่กระผมได้กล่าวมาใน
2 ตอนที่แล้ว
ผลพวงอีกอย่างที่พี่น้องชาวนาแถวศรีสะเกษต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนไม่น้อย
ในกรณีที่ฝนฟ้ามาเร็วกว่าปกติก็คือ
"ค่าสารเคมีกำจัดหอยเชอร์รี่"
ซึ่งแน่นอน
เราทุกคนทราบดีว่าสิ่งดังกล่าวมีราคาแพง
และเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมทั้งมวล
รวมทั้งสุขภาพของพี่น้องชาวนาเองด้วย
แต่ดูเหมือนว่าพี่น้องชาวนาของเราจะมิได้ใส่ใจใดๆเลย
ทุกคนดูเหมือนว่าพร้อมจะกระทำการหรือลงทุนอะไรก็ได้เพิ่มขึ้นอีก(ถ้ามีตังค์)
ขอเพียงต้นข้าวในส่วนที่เหลืออยู่เจริญเติบโตผ่านวิกฤติไปได้จนถึงออกรวง
เรียกว่า"ขาดทุนเป็นขาด
ขอเพียงมีรวงข้าวให้เก็บเกี่ยวเป็นพอ"
นี่คือลักษณะของการลงทุนทำนาของพี่น้องในทุกปีที่ผ่านๆมา
เช่นในกรณีการเก็บเกี่ยว
ที่แม้รู้ทั้งรู้ว่าค่าจ้างเกี่ยวข้าวขึ้นจากนาที่มีน้ำขังสูงที่เกิดจากการที่พายุเข้าในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
(ประมาณปลาย ต.ค..-ธ.ค.)
จะแพงกว่ามูลค่าของเมล็ดข้าวสีคล้ำๆที่จะได้มา
(โดยไม่ต้องพูดถึงมูลค่าการลงทุนตั้งแต่เริ่มแรกเป็นต้นมาว่าหมดไปแล้วเท่าไหร่)
พี่น้องชาวนาก็ยังต้องจำใจจ้างเกี่ยว
เพราะทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยข้าวทิ้งในนา
***********
....ที่จริง....
ทางแก้ของปัญหาดังกล่าวนี้
ก็มีพี่น้องชาวนาส่วนหนึ่งรู้เท่าทันธรรมชาติของฟ้าฝนและสภาพพื้นที่นาของศรีสะเกษบ้างแล้ว
กล่าวคือ
โดยปกติ นาส่วนใหญ่ของศรีสะเกษ
จะเป็นที่ราบเรียบและค่อนข้างลุ่มต่ำ
ฟ้าฝนโดยมรสุมปกติจะมาค่อนข้างล่าช้า
แต่ส่วนใหญ่พื้นที่ในแถบแถวอีสานใต้
จะได้น้ำฝนที่มากับหางพายุลูกต่างๆ
ทั้งที่เกิดทางทะเลอันดามันและทะเลจีนใต้เป็นหลัก
ซึ่งบางปีจะมีพายุเข้าเร็วเช่นกรณี"นาร์กีส"และ"ฮาลอง"ในปีนี้
และไม่ว่าพายุจะมาช้าหรือเร็ว
ข้าวนาหว่านของพี่น้องชาวนาล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น
ถ้าพายุเข้าเร็ว
ข้าวและนาก็จะเป็นเช่นปีนี้
ส่วนถ้าพายุเข้าช้า นาก็เผชิญกับหญ้า เพลี้ย
และแมลง
หรือแม้แต่การยืนแห้งตายคานา
(แต่กรณีหลังนี้จะเกิดการเสียหายน้อยกว่า
เพราะต้นข้าวจะมีความทรหดโดยธรรมชาติพอสมควร)
(2
ภาพต่อไปนี้ ถ่ายจากแปลงนาบริเวณเดียวกัน
ห่างกันประมาณเดือนเศษๆ)
(นาหว่านแห้งในท้องที่อำเภอปรางค์กู่
ที่หว่านตั้งแต่ช่วงหลังสงกรานต์ไม่นาน เห็นที่พื้นนามีสีเขียวนิดๆ
นั้นคือต้นข้าวที่เพิ่งงอกใหม่ๆ ไม่ใช่หญ้า)
(ต้นข้าวจะตั้งตัวได้ดีก่อนที่นาจะมีน้ำ
ซึ่งจะสามารถทนแล้ง ทนน้ำท่วมได้นานวันกว่า
และด้วยความที่ลำต้นแข็งแกร่ง
จึงทำให้ปลอดภัยจากหอยเชอร์รี่มากขึ้น)
***********************
ดังนั้น
พี่น้องชาวนาส่วนหนึ่งจึงต้องรีบหว่านข้าวตั้งแต่ก่อนสงกรานต์
แต่ส่วนใหญ่ก็จะรีบเร่งเต็มที่ก็ประมาณหลังสงกรานต์ถึงช่วงไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคมเป็นอย่างช้า
ซึ่งเรียกว่า "การทำนาแบบหว่านแห้ง"
เป็นการทำนาหว่านแบบฝากแม่ธรณีไว้
เมื่อดินมีความชื้นพอเพียง
เมล็ดข้าวที่หว่านไถกลบไว้ ก็จะงอกออกมาเอง
ซึ่งต้นข้าวที่งอกในลักษณะนี้
จะมีความแข็งแรงโดยธรรมชาติมากกว่า
สามารถทนต่อสภาพความแห้งแล้งได้ดี
แม้ฝนฟ้าจะมาช้าบ้าง
ก็ไม่ทำให้ต้นข้าวเสียหายมากนัก
และพอได้น้ำฝนหรือความชื้นเป็นระยะๆ
ก็จะแตกกออย่างเต็มที่(แตกกอดีกว่าข้าวหว่านช้า)
สามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าหญ้าที่ขึ้นพร้อมกันซะอีก
ข้อสำคัญ
ข้าวที่งอกก่อนที่จะมีน้ำขังในนานานๆ
จะมีเวลาในการเจริญเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างเต็มที่
จนรอดพ้นจากการเป็นอาหารอันโอชะของแมลงและหอยเชอร์รี่จอมเขมือบ
ที่มีการขยายและกระจายพันธุ์อย่างรวดเร็วเมื่อน้ำเต็มนาได้อีกด้วย
(ข้าวที่งอกใหม่ๆแล้วมีน้ำขังในนาทันที
จะถูกหอยเชอร์รี่กัดกินเสียหายยับเยินเช่นนี้ )
*******
และด้วยสภาพการณ์ที่ฝนฟ้ามักมาไม่แน่นอน
อันเป็ผลจาก "สภาวะโลกร้อน" เช่นนี้
พี่น้องชาวนาที่ศรีสะเกษจึงจำต้องรีบเร่งลงนาหว่านข้าวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยเฉพาะถ้าเห็นฝนเริ่มมาบ่อยครั้งในช่วงเมษายน
จะต้องรีบเร่งให้เร็วที่สุดเป็นกรณีพิเศษ
(แต่พี่น้องชาวนาหลายคนก็ยังหัวเราะเยาะคนที่เร่งรีบหว่านข้าวในช่วงนี้อยู่)
<h3 style="text-align: center;">เพราะถ้าขีนชักช้า
นั่นหมายความว่าปีนั้น</h3>
<h2 style="text-align: center;">“อาจต้องนา ทิ้งลูก
ทิ้งถิ่นไปรับจ้างหาเงินมาซื้อข้าวกิน”</h2>
<h2 style="text-align: center;">โดยปล่อยให้คนเฒ่าคนแก่และโรงเรียน</h2>
<h2 style="text-align: center;">รับกรรมในการเลี้ยงดูลูกน้อยกลอยใจแทน</h2>
<h3 style="text-align: center;">ทั้งปีก็เป็นได้</h3>
<h3 style="text-align: center;">*********</h3>