มีใครเคยเป็นมั่งคะ.. เวลาที่เจ็บป่วยไม่สบายแต่ละที เนี่ยเครียดนะ
ไม่ได้เครียดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตัวเองเลย แต่มันเครียดกับงานมากกว่า
เพราะเวลาป่วยที ผู้ร่วมงานก็เดือดร้อนกัน ต้องขึ้นเวรแทน มีใครจะขึ้นเวรได้มั่ง บางทีก็นึก.. ฝืนๆขึ้นไหวมั้ย แต่มานึกอีกที ก็สงสารคนไข้ สงสารผู้ร่วมงานในเวร เพราะว่าถ้าร่างกายเราไม่พร้อม จิตใจไม่พร้อม ทำงานก็ไม่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเสี่ยงต่องานผิดพลาด
ไม่มีใครอยากไม่สบายเลย และก็ไม่อยากจะลางานลาป่วยเลย
เพียงแต่มันจำเป็น เพราะทำไม่ไหวจริงๆ
นอกจากนี้ ถ้าเจ็บป่วยเพราะมีไข้ก็ว่าไปอย่าง
แต่เจ็บป่วย เพราะทุพพลภาพชั่วคราวเนี่ย..จิตใจมันหงุดหงิดและรู้สึกแย่เอามากๆ
เพราะว่าตัวเราเองจะรู้สึกว่าตัวเองสบายดี เพียงแต่อวัยวะบางส่วนมันเจ็บ ใช้งานไม่ได้
เช่น ปวดหลัง ลุกเดินไม่ได้ หรือมือเจ็บ ทำอะไรลำบาก
พูดถึงมือขวา.. หลังผ่าตัดยังใช้งานได้ไม่เต็มร้อยเลย ได้แค่ 90% กว่าๆ แล้วมันก็ยังมีอาการปวดอยู่เป็นพักๆมากบ้าง น้อยบ้าง pain score ยังอยู่ที่ 2-4 คะแนน โดยเฉพาะนิ้วที่มีปัญหา รู้สึกเหมือนมันบิดๆผิดรูปผิดร่างยังไงก็ไม่รู้ สิ่งเดียวที่ทำได้ คือพยายามไม่คิดถึงมัน ทำเป็นลืมๆ แต่พอทำเป็นลืม บางทีก็เผลอตัว ใช้งานแบบลืมตัวไป ก็มีการปวดคอยเตือนให้ระวังเป็นช่วงๆ ว่าทำเกินจากนี้ไม่ได้แล้วนะ
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ไปลื่นล้มลงในตัวเมืองหาดใหญ่ค่ะ กล่าวคือคนงานเทศบาลที่ทำการฝังสายไฟลงดิน เขาเอาน้ำมันราดบนฟุตบาท แล้วไม่ได้วางป้ายเตือนคนเดินไปเดินมา เราเดินไปแล้วไม่ทันเห็น จึงลื่นล้มลง ก้นจ้ำเบ้า แล้วยังเผลอตัว เอามือขวาค้ำอีก .. มือแดงเถือก เพียงแต่ตอนนั้นมัวแต่อายเลยลืมเจ็บ
กลับมาขึ้นเวรบ่าย มันปวดระบมไปเลยค่ะพี่น้อง ก้นก็ปวด (เคยหางหักมาก่อนค่ะ ตอนนั้นลื่นล้มที่ระเบียงหลังห้อง ผล x-ray กระดูก coccyx หัก ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอให้มันหายเอง ระหว่างรอ ก็เจ็บอยู่เป็นเดือน เพื่อนๆเลยแซวว่าหางหัก) แต่ที่เจ็บมากที่สุดก็คือปวดมือ ไม่ใช่แค่ปวดอย่างเดียว แต่ใจมันไม่สบายอีก กังวลเพราะว่าเคยผ่าตัดมา กลัวมันจะมีปัญหา เพราะหมอเคยเตือนไว้ว่ามันมีสิทธิ์เป็นซ้ำได้ ถ้าไม่ระวัง
วันนั้นก็ฝืนทำงานจนลงเวร แต่เพราะความปวดเลยต้องใช้ Elastic bandage มาพัน support ข้อมือไว้เพื่อลดปวด ระหว่างทำงานคุณหมอเวรบนวอร์ดที่ขึ้นมาดูคนไข้เห็นเข้า ก็ถามว่าเป็นอะไร พอบอกว่าล้มมา ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ไป x-ray ที่ ER ดูหน่อยก็ดีเผื่อมีปัญหาอย่างอื่น แต่ถ้าไม่เป็นอะไรก็จะได้สบายใจ
ความจริงก็ไม่อยากไปหาหมอหรอกนะ แต่พอโดนหมอทักก็อดกังวลไม่ได้ (คนเราก็เป็นซะอย่างนี้) แต่อาการที่มันปวดแปล๊บๆเวลาขยับ ทำให้ไม่สบายใจเลย สุดท้ายพอออกเวรก็ลงไปตรวจที่ ER หลังจาก X-ray ก็ consult หมอ ortho มาดูฟิล์ม คุณหมอบอกว่ามันดูไม่ชัด แต่ให้ใส่ เฝือก slab support ไว้ก่อน เพื่อพักข้อมือพร้อมกับสั่งห้ามใช้มือ 3 วัน จากนั้นค่อยมาดูอาการที่ OPD ในเวลา
ทีนี้ล่ะมีปัญหา.. ก็ฉันยังต้องขึ้นเวรนี่ คุณหมอเล่นมาสั่งพักมือห้ามใช้งาน อีกทั้งยังเป็นมือขวาเสียด้วย แล้วอิฉันจะทำยังไงดี ?
มือที่ใส่เฝือก slab มันหุ้มตั้งแต่โคนข้อศอกไปจนถึงเกือบๆปลายนิ้ว เท่ากับมือขวาถูกพันธนาการให้ทุพพลสภาพชั่วคราวไปเลย ใช้ได้แต่มือซ้ายมือเดียว แบบนี้จะทำอะไรได้ อย่าว่าแต่ฉีดยาหรือเขียนหนังสือเลย แม้แต่พิมพ์คอมก็ทำไม่ได้ จับเม้าส์ก็จับไม่ได้ (บนวอร์ดงานเอกสารของคนไข้ ใช้ระบบ IT เกือบหมดแล้วค่ะ)
คุณหมอ Ortho มองหน้า เหมือนจะรู้ว่าฉันกังวลใจ แต่คำพูดของท่าน (อาจจะเป็นการปลอบ ไม่ได้ตั้งใจให้ฉันคิดมาก เพียงแต่สีหน้าและน้ำเสียงของท่าน ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ) ฉันรู้สึกเหมือนกับถูกมองว่าอยากเลี่ยงงาน เพราะสีหน้าแววตาคุณหมอ ... มันเหมือนจะบอกอย่างนั้น
" แหมพี่ เจ็บที่มือแค่นี้เอง ตัวพี่ก็สบายดีนะ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แค่นี้ไม่จำเป็นเป็นต้องลางานหรอกนะ ผมไม่ให้พี่ลา แค่ให้พักงานมือขวาอย่างเดียว ขึ้นเวรทำอย่างอื่นก็ได้ ที่ไม่ต้องใช้มือ ดีเสียอีก..ไปนั่งๆเดินๆ สบายดีออก "
คุณหมอขา.. คุณหมอรู้ไหม คำพูดของคุณหมอ (ซึ่งอาจจะไม่ได้ตั้งใจ) มันทำให้พี่เจ็บปวดจี๊ดเข้าไปในหัวใจ และเครียดไปเลยจริงๆ
หมอจับมือพี่มัดไว้แบบนี้ แล้วสั่งพี่ห้ามใช้มือ แล้วสั่งให้พี่ขึ้นไปทำงาน ทำงานบนวอร์ดนะคะ ไม่ใช่ขึ้นไปเดินประกวดนางงาม งานบนวอร์ดคนไข้ก็หนัก คนทำงานก็แทบไม่พอ ขนาดมือดีๆ ทำงานสองมือยังทำแทบไม่ทันเลยนะคะ แล้วนี่ยังให้พี่ใช้งานแค่มือซ้ายมือเดียว ทำงานอ่ะนะ ?
คนสบายดี สองขายังเดินได้ ไม่ได้เจ็บป่วย แต่มือที่ถนัดโดนมัดไว้ มันต่างอะไรกับเป็นคนพิการล่ะ นึกในใจ.. คุณหมอลองโดนมัดมือไว้แบบนี้ แล้วเดินเข้าไปทำงานในห้องผ่าตัดดูไหม แต่ก็นั่นแหล่ะ หมอเป็นรุ่นพี่ ใช้ปากสั่งงานรุ่นน้องคงได้นี่นา
เอ.. รึคุณหมอคงนึกว่า ระบบงานของพยาบาล เขาเป็นแบบนั้น คือใช้ปากทำงานอย่างเดียวก็ได้ ??
โธ่.. ฉันก็แค่พยาบาลตำแหน่งเล็กๆ ไม่ใช่เป็นระดับหัวหน้าหรือผู้บริหารนะ งานบนวอร์ดคืองานปฏิบัติการ แล้วระบบงานของที่วอร์ดฉัน มันก็แบ่งเป็น 3 ทีม พยาบาล 1 คนต่อคนไข้ 1 ทีม ทำทุกอย่างตั้งแต่ บริการจัดการ ไปจนถึงการทำ Treatment เจาะเลือดฉีดยา ฯลฯ แล้วถ้าหากให้ฉันขึ้นไป นั่งๆเดินๆ ใช้แต่ปากทำงานแบบที่คุณหมอบอก นั่นคือต้องปรับระบบงานใหม่บนวอร์ดชั่วคราว (เฉพาะในเวรที่มีฉัน) ขณะเดียวกัน งานอื่นๆที่ฉันต้องทำ แต่ทำไม่ได้ ็ต้องโอนไปให้ อีก 2 คนที่ขึ้นเวรด้วยกันเป็นคนทำ
นั่นคือ ไปเพิ่มงานและภาระให้คนอื่น (ซึ่งงานเขาก็แทบทำไม่ทันแล้ว) แล้วถ้าหากดึงคนมาขึ้นเวรเพิ่ม แล้วมันต่างอะไรกับให้ฉันหยุดไปเลย จะได้ไม่ไปเป็นภาระคนอื่นในเวร ??
เห็นสีหน้าเครียดของฉัน คุณหมอท่านนั้นก็มองหน้าฉันเหมือนกับว่า ฉันอยากจะหยุดงาน ท่านก็ยังพูดอีกยืนยันว่าไม่ให้ลา เพราะมันไม่จำเป็น
ตอนนั้นในใจฉันรู้สึกแย่กับสายตาที่ถูกมองว่า อยากหยุดงาน ฉันถามตัวเองในใจว่า ฉันอยากหยุดงานเหรอ แล้วคำตอบก็คือ ไม่นะ ฉันไม่อยากลาป่วย ไม่อยากหยุดงาน แต่ถ้าหากต้องขึ้นไปเป็นภาระคนอื่นบนเวร ฉันก็ขอลาป่วยไปเลยดีกว่า งานบนวอร์ดจะได้เดินราบรื่น แล้วการลาป่วย คนที่มาขึ้นเวรแทน อย่างน้อยเขาก็ได้ค่าโอที
เมื่อคุณหมอไม่ให้ลา อธิบายถึงระบบงานที่มันคงไม่สะดวกหากทำงานด้วยมือข้างเดียว คุณหมอท่านก็มินำพา ฉันก็เลยนึกวางแผนอยู่ในใจ ถ้าหมอไม่ให้ลา ไม่เขียนใบรับรองแพทย์ให้หยุดงาน ก็ไม่ลาก็ได้ จะลองไปแลกเวรกับเพื่อนร่วมงานดู แต่ถ้าแลกเวรไม่ได้จริงๆ ก็ขึ้นงานโดยแอบถอดเฝือกทิ้งก็ได้หว่า ยอมเจ็บ..ดีกว่าทำงานด้วยมือซ้ายมือเดียว หรือขึ้นไปเป็นภาวะเพื่อน .. มองมือตัวเอง..มันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกเพราะ x-ray ไม่เห็นอะไร หมอบอกว่าถ้ามีก็คงแค่กระดูกร้าวนิดหน่อยจนฟิล์มมองไม่ชัด .. ดังนั้นคิดว่า คืนนี้พักมือหนึ่งคืน จนไปถึงช่วงบ่าย ค่อยแอบถอด slab แล้วใช้ Elastic bandage มาพัน support ไว้เฉยๆ คงพอทำงานได้ อย่างมากก็คงแค่เจ็บเท่านั้นเอง .. ไม่ถึงตายอยู่แล้ว
เมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้น ฉันก็เลยนิ่งเฉย ไม่พูดไม่ขออะไรอีก
พอตอนออกมาจากห้องเฝือก อยู่ๆคุณหมอท่านนั้นก็ไม่รู้นึกยังไง บอกกับฉันว่า
" เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมให้พี่ลาหยุดงาน 1 วัน แต่ก็วันเดียวพอนะ แล้วอีกวันให้มาตรวจที่ OPD เอาฟิล์มไปให้อาจารย์ที่เคยผ่ามือให้พี่ดู เป็นอย่างไรก็ว่ากันใหม่ "
ฉันกล่าวขอบคุณ ไม่ว่าอะไรต่อ ... เพราะฉันมีกำหนดการไว้ในใจแล้ว ว่าจะทำอย่างไรต่อกับตัวเองดี
หลังจากหยุดงานไปพักขวามือเต็มที่ 1 วัน วันต่อมาก็เอาฟิล์มไปให้อาจารย์เจ้าของไข้ดู อาจารย์บอกว่าไม่มีอะไร ไม่กระทบถึงที่เคยผ่าตัดไว้ ความจริงก็แค่นี้แหล่ะ ที่คนไข้ต้องการ นั่นคือต้องการฟังคำยืนยัน ว่ามันไม่มีอะไร อาจารย์หมอบอกว่า ถ้ายังเจ็บอยู่ ก็อาจจะใส่ slab ต่อไปอีกสักพัก เพื่อพักมือให้หายเจ็บ แต่ถ้าไม่เจ็บ ก็ไม่ต้องใส่ก็ได้
พอได้ยินอย่างนั้น เวรบ่ายวันนั้นฉันถอดเฝือก slab ทิ้งเลย แล้วก็พันมือกับ Elastic bandage อย่างเดียว เจ็บมันก็ยังเจ็บอยู่นะ แต่มันก็ทนได้ เพราะใจมันโล่งไปแล้วว่า มันไม่ได้เป็นอะไร ก็พันมืออยู่ 3-4 วัน เพราะเวลาขยับข้อมือยังปวดอยู่ บวกกับกินยา NSIAD สัปดาห์ต่อมาก็ดีขึ้น
เขียนมายืดยาว.. ไม่ใช่ต้องการโจมตีว่าใครหรอก จริงอยู่ที่ยอมรับว่ามันยังรู้สึกเหมือนมีตะกอนบางอย่างอยู่ในใจ แต่มานึกอีกที.. เอาตะกอนขยะทิ้งไปดีกว่า เก็บไว้แต่ดอกไม้ เรื่องที่เกิดขึ้น มันสะท้อนให้เราได้คิดว่า บางครั้งเมื่อเรามีอำนาจอยู่ในมือ (อำนาจที่จะสั่งคนโน้นคนนี้ ให้ทำหรือห้ามทำอะไร) เราควรจะต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเข้าใจถึงผู้ปฏิบัติว่าเขาทำได้ไหม รวมไปถึงเข้าใจในบริบทของเขาด้วย ไม่ใช่คิดว่าเราทำได้ เขาก็คงทำได้ แต่บางที เขาอาจจะทำไม่ได้เหมือนเรา เพราะว่าบริบทเขากับเรานั้นมันไม่เหมือนกัน
เหมือนอย่างที่คุณหมอ สั่งมัดมือขวาฉันด้วยเฝือก slab แล้วสั่งให้ฉันไปทำงานตามปกติ มิหนำซ้ำยังมองฉันเหมือนอย่างคิดว่ารู้ทันว่าฉันคงอยากจะหยุดงาน (ซึ่งถ้าฉันทำงานมือซ้ายข้างเดียวได้จริงๆ คงเป็นอัจฉริยะไปแล้ว) .. ลองเปลี่ยนความรู้สึกโกรธในตอนนั้น มาย้อนกลับมามองการกระทำของตนเอง ว่าฉันเคยทำกับคนอื่นแบบนั้นโดยไม่ตั้งใจไหม เคยคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ ฉันยังเคยทำได้นะ แล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ไหม ? แล้วถ้าหากเขาทำไม่ได้จริงๆ.. ด้วยบริบทที่แตกต่างไปจากฉัน แต่ฉันไม่เข้าใจ.. ยังจะเอาชนะ สั่งให้เขาทำให้ได้ ...คนๆนั้นเขาจะรู้สึกอย่างไร ?
ก็ขอบคุณคุณหมอท่านนั้นนะคะ สำหรับบทเรียนอันล้ำค่า ที่ทำให้ฉันได้ย้อนคิดได้ถึงข้อนี้
คนเราถ้าไม่เจอกับตัวเอง..ก็คงไม่รู้ซึ้งและเข้าใจจริงๆ
แล้วมันก็จบลงด้วยรอยยิ้มค่ะ
^___________^
.........................
มาให้กำลังใจค่ะ ชีวิตพยาบาล ก็เป็นแบบนี้ สู้ๆอย่าได้ถอย ทำดีย่อมได้ดีค่ะ
สวัสดีครับ คุณจูน
แวะมาเยี่ยมให้กำลังใจครับ เป็นความจริงที่ว่า คนเราส่วนใหญ่นั้น หากไม่เจอเข้ากับตัวเองแล้ว อย่างเก่งก็แค่ "รู้" แต่ไม่ "รู้สึก" หรือแม้แต่ "รู้ซึ้ง"
ตอนนี้มือขวาเป็นยังไงบ้างแล้วครับ ถ้าต้องมาพิมพ์เขียน-ตอบนี่จะทำให้หายช้าไหม ยังไงให้สบายดีก่อนค่อยตอบก็ได้นะครับ (หรือไม่ต้องตอบก็ได้)
นำเพลง ดอกไม้ให้คุณ มาฝากด้วย อยู่ในบันทึกของ อาจารย์ธวัชชัย ดุลยสุจริต นะครับ มีทั้งเวอร์ชันญี่ปุ่น (ซึ่งไพเราะมาก) และเวอร์ชันของ คุณหงา คาราวาน
ถือเป็นการเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าที่แสนดี ด้วยดอกไม้ที่ใช้หูฟังก็แล้วกันครับ ;-)
มีกำลังใจมาให้เสมอนะคะ
เรียนรู้การปฏิบัติ...ได้จากชีวิตจริง
ขอให้ใจเข็มแข็ง....เป็นพอ
ตอบ 1. แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
:: ไม่ใช่แค่พยาบาล ทุกวิชาชีพก็ล้วนต้องมีปัญหาในการทำงาน ในการดำรงชีวิต ความขัดแย้งในตนเอง ? กับคนรอบข้าง ?.. คิดว่าคงมีการคล้ายๆกันล่ะค่ะ
ก็แค่อยากเอาจุดๆหนึ่งของชีวิต มาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น อย่างน้อยชีวิตคนๆหนึ่ง ก็อาจจะมีแนวคิด มีบทเรียน ให้คนอีกคนหนึ่งได้ ..ก็ต้องการแค่นี้แหล่ะค่ะ ^^
ขอบคุณมากค่ะสำหรับกำลังใจ ^^
ตอบ 2. ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ
:: สวัสดีค่ะ ไม่ค่อยได้เข้ามาคุยเสียนานเลย คิดถึงมาก หวังว่าอาจารย์คงสบายดีนะคะ ^^
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ เรื่องมือตอนนี้ก็ใช้งานได้เกือบปกติ แต่ก็ยังไม่ปกติดีนัก แต่ก็พอใจแค่นี้แล้วค่ะ.. พอนึกถึงสังขารมันก็ต้องเสื่อมไปตามวัย มันก็เลยปลงได้มั้ง 5555
จะว่าไปจุดประสงค์ที่เขียนบันทึกนี้ ก็คืออยากจะชวนให้มาเก็บดอกไม้กันน่ะค่ะ สำนวนเก็บดอกไม้ มาจากรายการ อะคาเดมี แฟนเทเชีย (AF) น่ะค่ะ หมายถึง เรื่องราวในชีวิตคนเรา มันย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ที่ดีคือดอกไม้ ที่ไม่ดีคือขยะ ดังนั้นเราควรที่จะเลือกทิ้งขยะไป แล้วเก็บดอกไม้ไว้กับตัวเอง ชอบดูรายการนี้ไม่ได้เชียร์นักล่าฝันคนไหน เพียงแต่ชอบตรงที่เข้าไปศึกษา และเก็บดอกไม้สวยๆจากรายการน่ะค่ะ ^_^
ขอบคุณสำหรับเพลงดอกไม้ ฯ นะคะ เข้าบรรยากาศจริงๆ ^^
ตอบ 3. น้าอึ่งอ๊อบ คนสวย แซ่เฮ
:: สวัสดีค่ะพี่ ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจ เห็นด้วยค่ะที่ว่า เรียนรู้การปฏิบัติ...ได้จากชีวิตจริง ขอให้ใจเข็มแข็ง....เป็นพอ
ถ้าใจไม่เข้มแข็ง ทุกอย่างก็ย่อมล้มเหลวหมด แล้วคงต้องเพิ่มอีกข้อมั้งคะ.. นั่นคือ คิดบวกๆ ^__^
สวัสดีครับ คุณจูน
แวะนำภาพท้องฟ้ายามเช้าแถวๆ บ้านมาฝากครับ ผมถ่ายเองเลยนะเนี่ย ^__^
จากบันทึก ก่อนอรุณรุ่ง
อีกอันหนึ่งเก็บจาก เมืองโบราณ ครับ ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (18 ก.ค. 2551) แต่กะว่าจะไปอีกครั้งพรุ่งนี้ ;-)
จากบันทึก ท่องอดีต ณ เมืองโบราณ (1) ภาคใต้
กลัวน้อยหน้าอ.ขจิต ผมเลยขอส่งลูกชายมาเชียร์ให้กำลังใจครับ
ทำไมแย่งกันจังเลย ของครูต้อยก็มี
ดอกสาละเป็นกำลังใจให้นะคะ