โรงพยาบาลสัตว์ และคณะสัตวแพทย์ มีไว้ทำอะไร


เมื่อไม่เกิดผลในทางที่ดีแต่อย่างใด ทั้งสัตว์ป่วยน้อย (ไม่รับรักษา) และสัตว์ป่วยหนัก (รักษาไม่ได้) โรงพยาบาลสัตว์ และคณะสัตวแพทย์ มีไว้ทำไม

 

เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๑ สุนัขเฝ้าบ้านที่ผมเลี้ยงไว้ที่บ้าน ที่ปกติจะวิ่งมารับผมตอนกลับบ้านทุกครั้ง จนเสื้อผ้าเปื้อนทุกวัน มีอาการป่วย

(ซึ่งมีอาการซึม มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่า จะป่วยหนัก) โดยมีอาการนอนซึม กินอาหารทีละน้อยๆมาหลายวัน เดินไปมาได้นิดหน่อยส่วนใหญ่จะนอนใต้ถุนบ้าน

Mod004

รูปถ่าย "มด" สุนัขร็อตไวเลอร์อายุ ๒ ปี ที่น่ารักที่สุดในบ้านรวยสูงเนิน

ของขวัญจากลูกชาย เมื่ื่องานสงกรานต์ปี ๒๕๔๙

ถ่ายเมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ก่อนที่จะป่วย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลสัตว์

(เสียชีวิตเมื่อไหร่หมอสัตว์แพทย์ที่รักษาก็ไม่ทราบ แต่ฝังไว้ที่สวนหน้าบ้านในวันนี้ ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๑ เวลา ๑๗.๓๐ น.)

ผมพยายามสังเกตอาการมาหลายวัน ว่าไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แต่ยังถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะได้ น่าจะมีโอกาสรักษาได้ จึงตัดสินใจพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

 

ผมได้รับแจ้งมาว่าถ้าสุนัข ป่วยไม่หนัก เกือบปกติ เขาจะต้องให้เจ้าของไปอยู่ด้วยตลอดเวลา (ที่เป็นไปไม่ได้สำหรับกรณีของผม) ผมจึงเพียงซื้อยาปฏิชีวนะมาให้สุนัขกิน โดยการแจ้งอาการให้หมอที่คลินิกทราบ หมอก็จะสั่งยาให้แทนการไปพาหาหมอ

 

แต่ถ้าป่วยหนักเขาจะรับรักษา แต่ผมก็เห็นใจว่าทำอะไรยากเพราะอาการหนักเกินไป แต่ก็หวังว่า หมอน่าจะช่วยรักษาสุนัขของผมได้  เพราะอาการโดยรวมก็ยังดูดีอยู่

 

แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็ควรแจ้งให้เจ้าของทราบว่า การรักษาเป็นไปได้หรือไม่ คุ้มหรือไม่คุ้ม มีประโยชน์หรือไม่ ต้องมีค่าใช้จ่ายคร่าวๆสักเท่าไหร่

 

เพื่อช่วยในการตัดสินใจของเจ้าของ

 

ดังนั้น ในเวลาประมาณ ๘.๔๕ น. ของวันเดียวกัน ผมพาสุนัขไปถึงโรงพยาบาลสัตว์ และรอให้หมอเข้ามาตรวจอาการ สิ่งที่ได้รับการตอบรับจากหมอว่า สุนัขของผมมีอาการโลหิตจางอย่างมาก แต่ผมก็บอกสัตวแพทย์ไปว่า หนักหรือไม่หนัก ก็ให้หมอตัดสินใจ หากรักษาแล้วหาย ผมยินดีที่จะจ่ายอยู่แล้ว เพราะสุนัขตัวหนึ่งผมลงทุนเลี้ยงไปหลายหมื่นบาท  เฉพาะอาหารทั้งหมดก็เกือบ ห้าพันบาทต่อเดือน ไม่รวมค่ายา และการดูแลอื่นๆ ซึ่งก็ขอให้คุณหมอตัดสินใจ ว่ากรณีนี้ควรทำอย่างไร

 

ในที่สุด หมอแจ้งว่า สุนัขของผม ต้องเข้ารับการรักษาโดยเข้าพักในโรงพยาบาลสัตว์ เพื่อดูอาการวันต่อวัน และมีค่าใช้จ่ายดังนี้

- ค่าพักรักษาสุนัข  จำนวน ๘๐ บาท ต่อวัน

-  ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ หมอไม่ได้แจ้งให้ทราบ เพียงแต่บอกว่า ให้เราจ่ายค่ามัดจำ ในราคาทั้งหมด ๑,๕๐๐ บาท ในเบื้องต้นไว้ก่อน

 

ผมจึงได้จ่ายไว้เรียบร้อยและก็ไปทำงานตามปกติ

 

ตอนบ่าย ผมผ่านไปเยี่ยมก็ยังอาการปกติอยู่ มีน้ำเกลือที่แทบไม่หยดเสียบติดเส้นเลือดขาหน้าอยู่ ๑ ขวด อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีการรักษาอะไร

 

แต่ช่วงเสาร์อาทิตย์ ผมมีงานที่ต้องทำที่นา และแปลงทดลอง ผมจึงคาดว่า ถ้ามีปัญหาอะไร สัตวแพทย์ที่รักษาหรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสัตว์ จะโทรแจ้งให้ผมทราบ

 

จนเวลาผ่านไปเสาร์-อาทิตย์ ก็ไม่มีการติดต่อ จากโรงพยาบาลสัตว์ และผมตั้งใจว่า วันจันทร์ที่ ๑๖ มิ.ย.๕๑ จะไปเยี่ยมสุนัขว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง แต่..

 

ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลสัตว์ว่า สุนัข ผมเสียชีวิตแล้ว

 

ผมเลยถามว่า “ตาย ตอนไหน”

หมอบอกว่า : ไม่ทราบค่ะ มาเข้าเวรเช้าวันจันทร์ก็เห็นตายแล้ว

อ้าว!! ผมก็เลยสงสัยว่า ตั้งแต่วันศุกร์ตอนเย็น จนถึงวันจันทร์ตอนเช้า ไม่มีการดูแลหรืออย่างไร

 

หมอผู้หญิงบอกมาทางโทรศัพท์ว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าของ ต้องมาดูแลเอง (แต่มาบอกย้อนหลัง หลังจากสุนัขผมตายแล้ว)

 

แล้วทำไมให้สุนัขผมพักค้างคืน โดยคิดคืนละ ๘๐ บาท ไว้ทำอะไร

 

แสดงว่า ในแต่ละวัน สุนัข จะเป็นอย่างไร ไม่มีการติดตามอาการเลยหรือไร ?

 

ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมต้องให้สุนัขพักค้างด้วย

ผมทราบดีว่า เจ้าของดูแลไม่ได้ จึงต้องนำไปฝากให้หมอดูแลที่โรงพยาบาล เพราะไม่มียา ไม่มีความรู้

 

แต่หมอจะทำอะไรอย่างไร ก็ควรชี้แจงให้เจ้าของสุนัข ทราบล่วงหน้าบ้าง

 

วันนี้ ๑๖ มิ.ย.๕๑ ช่วงบ่าย ผมก็เลยแวะไปรับเอาสุนัขที่ประทับตราว่า “เสียชีวิตแล้ว” กลับบ้าน แต่ก่อนกลับบ้าน ผมได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า

 

ผมต้องจ่ายเพิ่มอีก ประมาณเกือบ ๕๐๐ บาท  เมื่อรวมกับค่ามัดจำเดิมที่ได้จ่ายไว้ ก็รวมเกือบ ๒,๐๐๐ บาท

สิ่งที่ผมสงสัย ก็คือ เงินที่เสียเป็นค่าอะไรบ้าง

เขาบอกว่า เป็นค่าตรวจเลือด ค่ายา ในจำนวนเงินเกือบ ๒,๐๐๐ บาท

 

 

และสงสัยว่า ทำไมจึงสูงขนาดนั้นกับการเข้าโรงพยาบาลสัตว์ที่ไม่ได้รักษาอะไร เพียง ๒ วัน (เสาร์อาทิตย์) และสุนัขผมตายเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ

 

และ ถ้าเมื่อหมอตรวจเช็คอาการของสุนัขตัวนี้ว่า ว่ามีทางรักษาหายหรือรอดกี่เปอร์เซ็นต์ ควรจะบอกเจ้าของให้ทราบ ไม่ใช่ปล่อยไปตามสบายใจของหมอเอง จะทำอะไรอย่างไรก็ได้

 

ควรจะคาดการณ์ทั้งความเป็นไปได้ และประมาณการณ์ค่ารักษา และแจ้งให้เจ้าของล่วงหน้า ได้ด้วยวิจารณญาณของความเป็น “สัตวแพทย์

 

ผมคิดว่า หากผมรู้รายละเอียดค่าใช้จ่ายที่แพงเช่นนี้ ในขณะที่หมอเองต้องบอกเปอร์เซ็นต์รอดให้ทราบ ผมคงตัดสินใจไม่รักษา ปล่อยให้ตายไปตามปกติของสุนัขเอง และนำเงินที่ต้องมารักษาตัวนี้ ไปหาซื้อลูกสุนัข มาเลี้ยงใหม่เพื่อทดแทนกันได้

 

แต่ ตอนแรกผมคาดว่า หากหมอมั่นใจว่ารักษาหาย เท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย และน่าจะบอกกันบ้างว่าไม่มีทางรอดหรือหายขาดสักกี่เปอร์เซ็นต์ จะได้มีข้อมูลตัดสินใจ

 

หากโรงพยาบาลสัตว์ บอกว่า ต้องจ่ายเกือบ ๒,๐๐๐ บาท และมีอัตราเสี่ยง ต้องเสียฟรี เพราะรักษาไปก็ไม่หาย ผมไม่รักษาแน่นอน

 

โรงพยาบาลควรมีการแจ้งให้เจ้าของได้บ้าง ไม่ใช่คลุมเครือ

วิธีการแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้อง ควรตรวจอาการของสัตว์ว่า ควรรักษา หรือมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร  โดยการหารือกับเจ้าของสัตว์เป็นสำคัญ

 

และที่สำคัญ การเตรียมการรักษาของนักศึกษาสัตวแพทย์ที่เหมาะสม ดดยเแพาะการแต่งกายเหมือนไปงานแฟชั่นโชว์ ทั้งการปล่อยผมห้อยไปสัมผัสตัวสุนัข ไม่เหมาะสมกับการทำงานมารักษาสุนัข

 

ในการรักษาขณะที่ผมอยู่ด้วย หมอก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้ผมเข้าใจมากมาย ดูไม่ค่อยจริงจังกับการรักษาเท่าใดนัก คงคิดว่า “ชีวิตสุนัข ก็เท่านั้น”

 

ผมก็เห็นใจสัตวแพทย์ ว่า สภาพสุนัข ก็หนักพอสมควร แต่เมื่ออยู่ในมือหมอสัตวแพทย์ แล้วน่าจะมีโอกาสรอดมากขึ้น

 

หากหมอ สัตวแพทย์ บอกเราแล้วว่า โอกาสรักษาหายน้อย ก็ควรจะบอกเจ้าของตั้งแต่ต้น ก็จะไม่เสียความรู้สึกมากเท่านี้

 

 

ดังนั้น เพื่อความเป็นธรรม(นิดๆ) ผมจึงขอปฏิเสธการจ่ายเงิน ที่ต้องจ่ายเพิ่มดังกล่าว เนื่องจากสัตวแพทย์ไม่แจ้ง หรือขอความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จากผม ผู้เป็นเจ้าของสุนัข

 

พร้อมกับบอกว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ผมจึงไม่ควรเสียตั้งแต่แรก และยังต้องให้ผมจ่ายเกินอีก ทำไม

 

อาจารย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์ จึงขอมาชี้แจงด้วยตนเอง พร้อมกับ ยกเว้น ให้ผมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ๕๐๐ บาท จึงได้จ่ายเพียง ๑,๕๐๐ บาท (ตามที่มัดจำไว้)

 

และเมื่อผมถามทั้งทางโทรศัพท์ และต่อหน้าว่า สุนัขที่บ้านมีอีกตัวที่ไม่ค่อยสบาย (ยังมีสภาพดี เพียงแต่เราดูเหมือนอาการไม่ค่อยปกตินัก) ป่วยเล็กน้อย

 

สัตวแพทย์จากโรงพยาบาลสัตว์บอกว่า ให้ดูแลอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องนำมารักษาเพราะกลัวสุนัขกัดนักศึกษา และคนงาน

 

 

อ้าว....แล้วสุนัข ที่มีสุขภาพดีหน่อย (แต่มีอาการไม่สบาย)ไม่รับรักษา กลัวโดนกัด

ส่วนสุนัข ที่มีอาการป่วยที่หนัก กลับรับไว้รักษา แต่รักษาไม่ได้ และปล่อยให้ตายโดยไม่แจ้งสภาพการดูแลให้เจ้าของทราบ

 

ผมจึงสงสัยว่า เมื่อไม่เกิดผลในทางที่ดีแต่อย่างใด ทั้งสัตว์ป่วยน้อย (ไม่รับรักษา) และสัตว์ป่วยหนัก (รักษาไม่ได้) โรงพยาบาลสัตว์ และคณะสัตวแพทย์ มีไว้ทำไม

 

สถาบันการศึกษา และราชการได้ทุ่มเทงบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อสาขานี้ มากมาย แต่ท่านเหล่านั้นตอบแทนช่วยเหลือสังคมได้อะไรบ้าง

 

นอกจากทำงานตามสะดวกตัวเอง ใครจะเดือดร้อนอย่างไร (ที่เป็นหน้าที่ของตนเอง) ฉันไม่เกี่ยว ไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น ตัวใครตัวมัน เพียงเนื่องมาจากกลัวสุนัขกัด ที่น่าจะมีวิธีป้องกันได้ตั้งหลายวิธี (หรือว่า เรื่องนี้ไม่มีการสอนกันเลย หรือสอนแล้วแต่ทำไม่เป็น จึงยังกลัวอยู่)

 

คำถามต่างๆเหล่านี้ ผมได้แจ้งไปแล้วกับ ผอ.โรงพยาบาลสัตว์

ว่าผมจะนำเสนอข้อมูลนี้มา เพื่อให้ท่านผู้เลี้ยงสัตว์คนอื่นทราบว่า

 

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า

 

ผมอาจจะเป็นคนโชคร้ายคนเดียวในโลกนี้ ครับ

 

แต่ถ้า ใครได้ประสบเหตุการณ์เหมือนผม ก็เล่าสู่กันฟังหน่อย เพื่อเป็นการสะท้อนเรื่องนี้ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของโรงพยาบาลสัตว์ และจิตวิญญาณของผู้มีหน้าที่รักษาสัตว์ที่ดีกว่านี้ เพื่อสังคมโดยรวมครับ

หมายเลขบันทึก: 188421เขียนเมื่อ 16 มิถุนายน 2008 20:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (49)

สงสาร คุณหมา ครับ ชีวิตหนึ่ง

อ่านๆ ไป ก็ค่อยๆ เศร้าใจไปกับอาจารย์ด้วย...

ความเห็นส่วนตัว อาจารย์รอให้มีความเห็นในบันทึกนี้พอสมควร แล้วก็ถ่ายสำเนาบันทึกนี้ นำไปแจกเผยแพร่ที่คณะสัตวแพทย์หรือโรงพยาลสัตว์ที่ว่า อาจเป็นอุทาหรณ์บางอย่าง เพื่อจะได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นบ้าง อีกทั้งเจ้าของสัตว์ไข้ (น่าจะใช้ศัพท์นี้) จะได้หาทางป้องกันล่วงหน้า...

เจริญพร

ครับ นมัสการท่านมหาฯ

ท่านอ่านใจผมออก ๑๐๐% เลยครับ

ผมบอกท่าน ผอ. รพ. ไว้แล้วครับ

ท่านก็ยินดี

เพราะ ผมไม่มีเจตนาร้ายกับใคร

มีแต่หวังดีให้เขาทำหน้าที่ดีกว่าเดิม

(ถ้าต้องการ)

ครับ

ท่านอาจารยืยังโดนน้อยครับ

โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทบาลัยรัฐมีชื่อเเห่งหนึ่งในกทม.

ฝากสุนัขป่วยไว้ สองคืน เสียชีวิต

ค่าใช้จ่าย 9800 บาท

ไม่มีการผ่าตัด หรืออื่นไดเป็นพเศษนอกจากให้ยารักษา (อยู่ห้องฉุกเฉิน)

  • เสียใจด้วยครับ  สำหรับการตายของสุนัขตัวโปรด
  • ขอร่วมเสียความรู้สึกด้วยกับการทำหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องใน รพ.สัตว์ คณะสัตวแพทย์ ม.ขอนแก่น
  • ผมเองยังเสียใจไม่หายกับการพาคุณตาไปให้แพทย์(หญิง)คนหนึ่งฆ่า(อย่างโหดร้ายและเลือดเย็น)ที่ รพ.ประจำจังหวัดหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน และต่อมาแพทย์หญิงคนเดียวกัน ก็ทำให้เด็กหนุ่มอีกคน(ญาติผมอีกเช่นกัน) กลายเป็นอัมพาตมาเท่าทุกวันนี้  เพียงเพราะเป็นไข้หวัดเท่านั้น
  • ก็ได้แต่ปลงครับ กับโทษภาพ(ไม่ใช่คุณภาพ)การศึกษาของไทยในทุกสาขาอาชีพ  แม้แต่สาขาที่ต้องมีจรรยาบรรณอย่างสูง
  • สวัสดีครับ

สวัสดีค่ะอาจารย์ ดร.แสวงคะ

ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของ"มด"ค่ะ  หนิงไม่ได้เลี้ยงสุนัขมานานแล้ว  เพราะไม่สะดวก  แต่ก็ใจหายทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องหมาป่วย หรืออุบัติเหตุ  ล่าสุดนี่...เจ้าสนธิ ที่น้าเลี้ยงอยู่บ้านก็ถูกรถชนตายค่ะ  เฮ้อ...ยิ่งมาเจอบันทึกของอาจารย์  ยิ่งคิดถึงที่น้องพิพม์ดีดเขียนไว้ ที่นี่ ด้วยค่ะ

ไม่ทราบว่ารักษาที่ไหนคะ บอกได้ปะคะ ทาง mail ก็ได้ค่ะ

และอยากปรึกษาด้วย ตอนนี้มีสุนัขป่วยอยู่ค่ะ

เค้าป่วยมานานแล้วแต่เรานิ่งนอนใจไม่เอาไปรักษา

จนเอาไปรักษาเมื่อวันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน 2551

ที่รพ.สัตว์ เค้าบอกว่าตับวาย แล้วก็ให้ยามากิน

ต้องป้อนยาทั้งเช้า เย็น ซึ่งเราก้แจ้งว่าให้นอนที่รพ.ได้มั๊ย

เพราะเค้าเป็นหนัก แล้วเราต้องทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้ากว่าจะกลับก็

ประมาณ 1 ทุ่ม เค้าก็บอกไม่ได้ไม่มีกรงว่าง เสียค่ายาไปทั้งหมด

1,960 บาท มีแค่ยามากินค่ะ แล้วเราต้องเอาเค้าไปฝากดูแลที่อื่น

คืนละ 150 บาท 7 คืน พอวันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พาเค้าไปหาหมออีก

เสียค่ายาอีก 1,950 คราวนี้หมอให้นอนได้ มัดจำอีก 2,000 บาท

แต่หมอบอกว่า หายยาก เค้ากินข้าวเองก็ไม่ได้ต้องป้อนด้วย

ร้านที่เคยรับฝากเลี้ยงก็ไม่รับแล้ว เค้าบอกว่าดูแลไม่ไหว

พอเช้าวันนี้ที่รพ.บอกว่าให้มารับกลับไป เพราะว่าพ้นขีดอันตราย

แล้ว เค้าต้องเอากรงไว้สำหรับสัตว์ที่ป่วยหนักเท่านั้น เลยไม่รู้ว่า

ขนาด กินข้าวเองไม่ได้ยังไม่ถือว่าป่วยหนักอีกหรอ

ไม่รู้ว่าจะทำไงดีน่ะค่ะ เอากลับมาบ้านก็ไม่มีคนดูแล

จะทำอย่างไรดีคะ สุนัข เป็นพุดเดิ้ล เลี้ยงมา 5 ปีแล้วค่ะ

หรือใครมีที่ไหนที่รับดูแล แต่ราคาไม่แพงมากช่วยแนะนำด้วยค่ะ

กล้วย

อาจารย์คะ ขอแสดงความเห็นใจนะคะ และเสียใจนะคะ

เคยพบปัญหาเดียวกับอาจารย์นะคะ ก็มีคำถามเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

ตอนนั้นปี 2547 ยอมรับได้ ลุกหมาตายเพราะติดเชื้อ Leptospirosis รอผลเลือดยืนยัน ไม่ให้การรักษาอย่างทันที รออยู่ 3 วัน จึงให้ยา เจ้บปวดใจมากคะ เสียค่ายา ค่ารักษาไม่เท่าไร ซึ่งจริง ๆแล้วอาการตอนแรกถ้ารักษาทันก็หาย

แต่นี่ไม่ให้ยา antibiotic ให้ฝากไว้ก่อนรอผลเลือดออก ฝากไว้ 1 คืน เช้ารีบไปดุห้องแล้วไม่น่าใช่จะเป็นที่พักของสัตว์ป่วยเลยคะ ถามบอกว่ามีคนเฝ้าไหม ไม่มี แล้วจะรับไว้รักษาในโรงพยาบาลทำไม ตัดสินใจนำกลับมานอนบ้าน เช้านำไปให้น้ำเกลือใหม่

คนไข้ยังมีหมอ มีพยาบาลดูแล โรงพยาบาลลสัตว์ก็น่าจะทำตาม มีมาตรการเหมือนกันนะคะ

ตัวที่สองนำไรกษา ปี 2549 ตัวนี้รอด ได้คุณหมอน่ารัก ใจดี ลุกสุนัขพันธ์ซิสุ หลังผสมพันธ์ แล้วอีก 7ซึม ไม่กินอาหาร พาไปหาหมอคิดว่าน่าจะอาการเดียวกันกับตัวแรก วันนั้นมีสอนและงานด่วนจึงฝากไว้และบอกยินดีรับผิดชอบค่ารักษาทั้งหมด ตายหรือรอดก็จะรับผิดชอบ ให้เบอร์โทรไว้

พอสายประมาณ 11น. คุณหมอโทรมาให้ไปเซ็นใบยินยอมรักษาและดมยาสลบ เจ้าโดนัทต้องผ่าตัดตัดด่วน มดลูกอักเสบและช่องท้องอักเสบมาก จนติดเชื้อในกระแสเลือด คุณหมอให้คำอธิบายเหมือนการรักษาคน OK คะ จะรักษาอย่างไรก็รักษา ถ้าตัวนี้ตายอีก ลุกสาวคงเสียใจมาก ตัวนี้รอดคะ

ไม่ฝากไว้ที่โรงพยาบาลแน่นอนมีประสบการณ์แล้ว เช้าไปส่งให้น้ำเกลือ ให้ยา antibiotic เที่ยงไปดูอาการ เย็นรับกลับทุกวัน ทำแบบนี้อยุ่ 7 วัน ขอหัวหน้าเลยว่าจะขอลาพักร้อนดูแลหมานะคะ แต่ท่านไม่อนุญาต

ถ้าจะให้ดีโรงพยาบาลสัตว์ควรจะพัฒนามากกว่านี้นะคะ ฝึกหรือจ้างพนักงานผู้ช่วยดุแลสัตว์ป่วย อยู่เวร และมีสัตวแพทย์อยุ่เวร เหมือนกับหมอ พยาบาล โรงพยาบาลที่รักษาคน

ครั้งนี้เห็นบันทึกอาจารย์แล้ว สะท้อนใจนะคะ ถ้าไม่เกิดกับใครก็คงไม่รู้สึก

ขอบคุณครับที่เข้ามาแสดงความเห็น สัระยะหนึ่งผมจะพิมพ์ไปติดไว้ที่หน้า รพ. สัตว์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แบบ "สร้างสรร" ครับ

เป็นเรื่องน่าคิดนะคะ

จริงๆแล้ว ถ้าทางโรงพยาบาลไม่สามารถรับประกันคุณภาพในการดูแลสัตว์ป่วยได้ ก็ควรแจ้งให้เจ้าของทราบ เพราะคนที่ เลี้ยงสัตว์ ก็ย่อมรักและผูกพันมากโขอยู่ เหมือนเพื่อน เหมือนลูก

การปล่อยปละละเลย ทำให้เขาไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ย่อมทำให้เสียความรู้สึกไม่น้อย

กับตัวเจ้าของเองคงจะรู้สึกว่า "ฉันไม่น่าเอาหมาไปฝากโรงพยาบาลไว้เลย" จะให้เขาคิดอย่างนี้หรือ?

และถ้าเป็นอย่างนี้ ทางโรงพยาบาลคงต้องทบทวนแล้วล่ะค่ะ ว่าจะมีมาตรการรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร

จะปล่อยไปเฉยๆ แล้วมาคอยแก้ไขกรณีพิพาทภายหลัง

หรือจะทบทวน/ปรับปรุงระบบบริการดี

ทุกปัญหามีทางออก ทำได้/ไม่ได้ ก็คุยกันได้เสมอ เพราะทุกคนย่อมรู้อยู่ว่าทุกที่ ทุกงาน ต่างก็มีความจำเป็นและข้อจำกัด ฯลฯ

อาจจะอธิบายยากหน่อย แต่ก็ไม่น่าเกินความพยายามนะคะ

ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียสัตว์เลี้ยงที่เรารักนะครับ กับประโยคที่ว่า..."หากรักษาแล้วหาย ผมยินดีที่จะจ่ายอยู่แล้ว" หรือบางกรณีที่ว่า...."เท่าไหร่ก้อยอมจ่าย..ขอให้หาย" ก็เป็นที่หนักใจสำหรับแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นอย่างยิ่ง... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าแพทย์ให้คำตอบกับคนไข้หรือญาติคนไข้อย่างกระจ่าง...ชัดเจน จนมีความเข้าใจ ปัญหาที่จะตามมาก็จะน้อยลง อีกนิดนึงนะครับ..... การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนั้น ...รัก..อย่างเดียวไม่พอนะครับ..ต้องพร้อม..และต้องมีความรับผิดชอบพอสมควร...เขาจะได้อยู่เป็นเพือนกับเราอย่างมีความสุขไปนานๆ

รวมตัวกันไปร้องเรียนผ่านสื่อหรือว่าที่แพทย์สภาดีไหมค่ะ ดิฉันเจ้าของแมวเอาไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์24ชั่วโมงถนนหลังพิพิธภัณฑ์เขาฉีดยาแมวให้เกินขนาด 5 เข็มติดต่อกันแมวอายุแค่ 6 เดือนและอยู่ในระหว่างให้นมลูก

ได้เลยครับ

ผมร่วมด้วยแน่นอน

ผมไม่อยากเห็นคนที่ไม่รับผิดชอบในวิชาชีพของตัวเอง

และไม่เห็นด้วยกับการ "มักง่าย" ครับ

ขอบคุณนะคะ อจ.ถ้าอย่างงั้นดิฉันคงพาเกาลัด (หมาปั๊ก) ไปรักษาที่นี่ เกือบไปแล้ว...

อ่านกระทู้ของอาจารย์น่าเห็นใจและยิ่งคิดถึงหมาที่เลี้ยงไว้เพิ่งตายเพราะโดนหมอวิเคราะห์อาการผิด

หมอที่พาหมาไปรักษาจบมาจากมหาลัยเดียวกับที่อาจารย์พาหมาของอาจารย์ไปรักษา

พอพากลับจากคลีนิกหมาอาการไม่ดีขึ้นเลยพาไปอีกคลีนิกที่ใหม่หมอบอกว่าหมาเป็นโรคหัดอาการหนักเกินเยียวยาเพราะหมอที่แรกให้ยาเกินสมควรแก่ลูกสุนัขจึงให้กลับบ้านไปทำใจ

ทั้งที่หมอคนแรกไม่ให้ความกระจ่างว่าหมาเป็นอะไรฉีดยาแก้ปวดและค่าเชื้อให้

แล้วจะฉีดเพื่ออะไร

นั่นนะซิ

มีไว้ทำอะไรครับ

ยังไม่มีคำตอบเลยครับ มีแต่ตำถามครับ

ขอแสดงความเสียใจกับอาจารย์ด้วยนะคะ อ่านแล้วเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์เลยเพราะว่าแมวที่เลี้ยงไว้ก็ตายเหมือนกันตายเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2552 แต่ว่าโดนหนักกว่าอาจารย์อีกค่ะ พาแมวไปรักษาเนื่องจากถูกรถจักรยานยนต์ชน พาไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์มหิดล เข้าไปรอนานมาก ตอนแรกที่หมอตรวจอาการบอกว่าแมวไม่เป็นอะไร แต่เราบอกว่าช่วยตรวจให้ละเอียดหน่อยได้ไหมเพราะก่อนที่จะพามารักษาที่โรงพยาบาลสัตว์มหิดล เราได้พาไปหาหมอที่คลีนิคสัตว์แพทย์แห่งหนึ่งที่อำเภอสามพราน ซึ่งเพื่อนของเราเป็นเจ้าของคลีนิคอยู่ เพื่อนแนะนำว่าให้พาไปรักษาที่โรงพยาบาลรักษาสัตว์โดยตรงดีกว่าเพราะมีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ที่พร้อมกว่า หมอจึงได้สั่งให้ผู้ช่วยนำแมวของเราไปเอ็กซเรย์อย่างละเอียด ผลการเอ็กซ์เรย์พบว่าท้องได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ต้องได้รับการผ่าตัดด่วนเพราะมีสายที่ต่อไปที่ท่อฉีกขาด (กระเพาะปัสสาวะแตก) โดยหมอบอกว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000.- กว่าบาท เราถามว่าแล้วโอกาสในการผ่าตัดมีมากน้อยแค่ไหน หมอบอกว่าก็ประมาณ 30 % หลังจากที่ปรึกษากันแล้วเราตัดสินใจว่าไหน ๆ ก็ช่วยแล้วก็ช่วยให้ถึงที่สุด จึงเซ็นต์ยินยอมให้ผ่าตัดและยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งเราต้องจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าเหมือนกัน คืนนั้นเรานั่งเฝ้าแมวของเราผ่าตัดจนเรียบร้อย หมอออกมาบอกว่ารอดูอาการอีกประมาณ 2 - 3 วัน ถ้าสายที่ผ่าตัดไม่มีปัญหาไม่มีน้ำออกมาในท้อง ท้องไม่บวมแมวเราก็จะปลอดภัย เราดีใจมาก เพราะเราและครอบครัวรักแมวตัวนี้มาก เพราะทุกวันเช้า-เย็น แมวเราจะเดินมาส่งเรามาทำงานและรับเราตอนกลับจากทำงานทุกวันไม่เคยเว้นหลังเสร็จสิ้นการผ่าตัดหมอบอกว่าให้เรากลับบ้านก่อน ไว้ค่อยมาเยี่ยมทีหลังเพราะแมวต้องพักฟื้นหมอให้น้ำเกลือและจะดูแลให้มีหมอเวรและเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดไม่ต้องห่วง เราทำงานทุกวันได้หยุดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เราจึงไม่สะดวกที่จะไปหาแมวได้ทุกวัน แต่เราก็โทรศัพท์ไปถามอาการตลอด หลังจากผ่านการผ่าตัดได้ประมาณ 3 วัน หมอบอกว่าไม่มีน้ำออกในท้องแล้วเพราะท้องปกติไม่บวม น่าจะปลอดภัยแล้วไม่น่ามีอะไรต้องเป็นห่วง แต่หมอบอกว่าให้เราซื้ออาหารเหลวสำหรับแมวป่วยและยาบำรุงเลือดไปให้เพราะแมวเราโลหิตจางและอาหารและยาของโรงพยาบาลหมด วันรุ่งขึ้นเราจึงซื้อยาและอาหารไปให้และฝากหมอเอาไว้ ว่าให้ช่วยให้แมวเรากินด้วย ซึ่งหมอก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงอีกไม่กี่วันก็น่าจะกลับบ้านได้ หรือจะให้เรานำกลับไปดูแลที่บ้านเองก็ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ท่อที่ท่อไว้สำหรับฉี่หลุด ถ้าหลุดต้องรีบพามาใส่ใหม่ไม่เช่นนั้นแมวจะฉี่ลำบากและอาจจะต้องเบ่งแรงและทำให้แผลที่ผ่าตัดฉีกขาดได้ เราจึงคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลมีหมอผู้ซึ่งมีความรู้ดูแลน่าจะดีกว่า เราและครอบครัวพูดกันถึงแมวเราทุกวันว่าอีกไม่กี่วันก็จะกลับบ้านมาอยู่กับเราได้แล้ว เสียค่าใช้จ่ายเท่าไรเราไม่เคยว่า ยินดีจ่ายตามที่แจ้งทุกอย่าง แต่ว่าพอวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกเราเวลาประมาณ 9.50 น. ว่า แมวเรามีอาการไม่ดี ให้เรารีบไปด่วน เราถามว่าถ้าช่วยเต็มที่จะอยู่รอให้เราไปทันเห็นเขาก่อนสิ้นใจไหม เพราะว่าเราต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที หมอบอกว่าให้รีบมาจะพยายามช่วยเต็มที่ ระหว่างที่เราเดินทางไปเราคิดอยู่ตลอดเวลาว่าถึงแมวเราต้องตาย แต่เราน่าจะได้มีโอกาสอุ้มและกอดเขา ให้เขาตายและสิ้นใจในอ้อมกอดของเรา แต่พอเราโทรไปอีกครั้งหมอบอกว่าแมวเราตายแล้ว เราไปไม่ทัน เราไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแมวเรามีอาการไม่ดีขึ้นทางโรงพยาบาลไม่เคยบอกเราเลย ว่าแมวเราไม่ดีขึ้น ทุกครั้งที่เราโทรไปทางโรงพยาบาลบอกเราตลอดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกไม่กี่วันก็น่าจะกลับบ้านได้ แต่พอวันที่นัดให้เราไปรับแมวกลับบ้านกลับบอกว่าแมวเราอาการไม่ดี คงจะไม่รอดแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราก็ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้และบอกว่ามีถ้ามีเหตุการณ์อะไรให้โทรหาเราได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง แต่ทางโรงพยาบาลไม่เคยบอก ร้ายไปกว่านั้นหลังจากที่แมวเราเสียชีวิตแล้ว เราโทรไปติดต่อขอรับซากกลับทางโรงพยาบาลยังถามเราอีกว่าจะเข้ามาชำระค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือเมื่อไร และระหว่างที่รักษาและไปเยี่ยมแมวเราพบแมวเรานอนเปียกฉี่อยู่ถึง 2 ครั้ง โดนที่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าแมวนอนเปียกฉี่อยู่ จนกระทั่งเราไปบอก สรุปแล้วเราเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาไป 6,000.-กว่าบาท เกือบเจ็ดพันบาท แล้วแมวเราก็ตาย และวันที่เราไปรับซากแมวเรากลับแมวเราตัวแข็งหมดแล้วไม่เหมือนซากแมวที่เพิ่งเสียชีวิตเลย

นี่แหละคือประเด็นที่ต้องเคลียร์

สัตว์แพทย์ทั้งหลายว่ายังไงครับ

ค่ะ เข้าใจในในความรู้สึกทุกท่านนะค่ะ

เราเองเพิ่งจะสูญเสีย ชำมะเลียง หมาพุดเดิ้ล 7 ขวบไปเมื่อตอน ตีหนึ่งของวันเสาร์ที่ 9 มกรา 2510 นี้เองค่ะ

ชำมะเลียงอาศัยอยู่กับแม่ที่สุพรรณฯ พอดีแม่ต้องย้ายมาอยู่ที่นครปฐมเราเองได้เจอ ชำมะเลียงเมื่อวันที่ 4 มกรา เห็นท้องบวมน้ำ

ถามแม่ แม่ว่าบวมมาเกิอบ 2 เดือนแล้ว ชำมะเลียงก็วิ่งเล่นได้ สวัสดีได้ อ้อนเรา ให้เราแต่งขนได้เรียกก็วิ่งมาหามาให้กอด เราก็คิดว่าน่าจะพาไปให้หมอดูสักหน่อย เพราะ รักและสงสารเค้า เราพาไปโรงพยาบาลมหิดล(เราไม่คิดว่าจะเป็นการพาเค้าไปตาย) เช้าวันพุธเราพาไป รอคิวนานมา พอเข้าห้องตรวจหมอผู้หญิงยังดูวัยรุ่น ก็ตรวจบอกให้เราพาไปเอกซเรย์ กลับมาเจาะเลือดอีก

รอผลเลือดหมอว่า ค่าตับสูง ชำมะเลียงก็ร้องเพราะเจ็บปวดที่เจาะเลือด เพราะโดนทั้ง สี่ขาเลย เราเข้าใจนะค่ะ เราก็ได้แต่คิดว่าถึงมือหมอแล้วต้องหาย

เจาะน้ำออกจากท้องแล้ว หมดไป สองพันกว่าบาท วันพฤหัส เค้าก็เดินได้ ทานได้ หมอให้ยาขับน้ำ ฉี่ตลอด เช้ามืดวันศุกร์เค้าก็ทรุด กัดผ้าเกร็ง เราก็ต้องรีบนำกลับไปที่มหิดลอีก หมอก็ช่วยกัน วินิจฉัยโรค รักษาตามอาการ สุดท้าย ต้องนอนโรงพยาบาล

เราโทรถามอาการ หมอบอกว่า ภาวะสมองบวม ความดันเลือด ให้เราหาซื้อยา แมนิทอล มาจะหาตามคิลนิคไหนก็ได้ เพราะที่ โรงพยาบาลมหิดลหมดไม่มี เราก็วิ่งหาซื้อไป ให้ตอนเย็นห้าโมง เราร้องไห้เดินกลับบ้าน หมอบอกว่า ถ้าตอบสนองกลับยาก็จะดีขึ้น

ให้เราทำเรื่องฝาก มัดจำไว้ พันห้า กลางดึกหมอบอกว่า ยังมีอาการเกร็งชัก หมอบอกว่าต้องให้ยาสลบแต่ค่ารักษาตกอยู่ชั่วโมงละ 300 บาท เราบอกยินดีให้ช่วยเต็มที่ ใช้ว่าเราจะรวยหรือมีเงิน แต่เราก็พยายามรักษาเต็มที่จะกู้หนี้ยืมสินก็ยอม ตีหนึ่งหมอคนใหม่มีเปลี่ยนเวรก็โทรมาบอกว่า ชำมะเลียงอ้วกอาหารอุดหลอดลม เค้าก็ช่วยปั้มหัวใจ ตอนนี้ต้องทำใจเพราะการหายใจเข้าแผ่วลง

เรา ร้องไห้ ทั้งคืน เช้ามา เราโทรไปที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ตายแล้ว เราก็ยินดีเคลีย์ค่ารักษา เราไม่อยากเห็น เราทำใจไม่ได้ เค้าคิดค่ากำจัดซาก เผา 300 ใจเราอยากเอาการมาฝั่ง แต่เราทำใจไม่ได้ เราเป็นคนเอาเค้าไป ตายแท้ ๆ วันที่เราไปรับไปหาหมอเค้าก็วิ่งเล่น หยอกล้อ กับหมาตัวอื่น มาสวัสดีเรา เรา กลับพาเค้าไปทรมานจนตาย เราไม่รู้ว่าการรักษาเป็นอย่างไรแต่เราขอแนะนำว่า

โรงพยาบาลมหิดล ค่ารักษาก็ไม่ถูกไปกว่า คลีนิคเอกชนที่อื่น ๆ แถม รอคิวนาน ความสะอาดพื้นและเก้าอื้ ต้องปรับปรุง

เราโทรเข้าไปที่โรงพยาบาลเป็นสิบกว่าครั้งกว่าจะมีคนรับสาย ขอบคุณหมอบ้างท่านที่ตั้งใจทำงาน และรักในอาชีพ

ผมไม่แน่ใจเรื่องจรรยาบรรณของสัตวแพทย์ จะใช้หลักของ "แพทย์" ที่รักษาคนหรือไม่

เห็นดูย่อหย่อนมากๆ ทำเป็นเล่นไปหมด เหมือนไม่คิดถึงใจของเจ้าของ

ไม่เกรงใจสัตว์ก็เกรงใจเจ้าของสักนิดก็ยังดี

หรือเราควรจะฟ้องให้เป็นกรณีตัวอย่างซะบ้าง จะได้มีเหตุผลที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง

ใครมีความเห็นว่าอย่างไรครับ

ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคนเลี้ยงอย่างดีเลยค่ะ เพราะดิฉันเพิ่งจะเลี้ยงลูกสุนัขพันธุ์ไทย เก็บมาเลี้ยงเพราะแม่เค้าคาบมาให้ ครั้งแรก1 ตัว แล้วลูกชายก็อยากเลี้ยงด้วย ลูกชายดิฉัน อายุ 9 ขวบค่ะ เขาอยากมีสัตว์เลี้ยงมากๆ ตอนนั้นสุนัขอายุประมาณ 1-2 สัปดาห์ได้ค่ะ สงสารก็เลยเลี้ยงด้วยนมพลาสเจอร์ไร และอาหารเม็ด ลูกชายดิฉันตั้งชื่อให้ว่า บุญรอด เพราะสามีดิฉันไม่ชอบให้เลี้ยงสัตว์เพราะกลัวดูแลเขาไม่ได้ แต่ก็ยอมให้ลูกชายเลี้ยง ลูกเลยบอกว่าตั้งชื่อนี้เพราะมันรอดตายแล้ว และอาทิตย์ต่อมา แม่สุนัขก็คาบมาให้อีก 1 ตัว ลูกชายดิฉันก็ตั้งชื่อให้ว่า บุญเลิศ ค่ะ เป็นตัวผู้ทั้งสองเลยค่ะ กลายเป็นมาต้องรับผิดชอบสุนัข 2 ตัวโดยปริยาย และลูกชายบอกว่า ยอมให้คุณแม่หักค่าขนม วันละ 20 บาท มาเพื่อเป็นค่าอาหารของสุนัข และส่วนหนึ่งลูกก็จะหยอดกระปุกออมสินไว้ให้ซื้อของเล่นของสุนัข เดิมลูกจะหยอดกระปุกเก็บไว้ให้คุณพ่อซื้อสลากออมสิน เลี้ยงมาได้ประมาณ 3 เดือน แต่ไม่มีความรู้ในการเลี้ยงเลยค่ะ ไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วย เมื่อประมาณวันที่ 19 ม.ค.53 บุญรอดมีอาการซึมไม่กินอาหาร ดิฉันคิดว่าไม่เป็นอะไรมากก็ยังไม่ได้พาไปหาหมอ ต่อมาวันที่ 22 มีอาการถ่ายเป็นเลือด ดิฉันเลยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลสัตว์ สัตว์แพทย์บอกว่า ต้องนอนที่โรงพยาบาล โดยมีค่าใช้จ่ายวันละ 500 บาท รวมค่ายา น้ำเกลือ ค่าดูแล โดยให้มัดจำ 1000 บาทค่ะ ซึ่งในตอนแรกดิฉันคิดว่ามันแพงเหมือนกันค่ะ เพราะสามีรับราชการเงินเดือนหมื่นกว่าบาทเองค่ะ แล้วก็ถามคุณหมอว่าประมาณกี่วันหาย หมอก็ตอบ ว่าใช้เวลา แต่ไม่แน่ว่าจะหายเมื่อไร อาจจะตายก็ได้ เขาก็ให้ดิฉันตัดสินว่าจะรักษาหรือไม่ คุณหมอบอกว่า เป็นโรคลำไส้อักเสบ และบอกว่ามีสุนัขอาการเดียวกัน มาเมื่อ 3-4 วันก่อนก็ตายตั้ง 3 ตัว แต่ลูกชายดิฉันบอกว่า เขาเลี้ยงมา เขาก็ต้องรับผิดชอบ เขาให้หมอรักษา และจะนำเงินจากที่เขาเก็บไว้มารักษา ถ้าไม่พอจะให้คุณพ่อถอนเงินจากสลากออมสินของเขามารักษาค่ะ พอมาอ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดว่าสัตว์แพทย์ไม่เห็นความสำคัญของคำว่าชีวิตหรือ คุณเรียนมาเพื่อชีวิตสัตว์ ควรมีความเอาใจใส่ในวิชาชีพ เพราะสัตว์เลี้ยงทุกคนที่นำมารักษา ก็เพราะความเป็นห่วงเป็นใยของเจ้าของ ดิฉันบอกลูกว่าคุณหมอเขาต้องดูแลบุญรอดอย่างดี เพราะเขาเรียนมาเพื่อรักษาสัตว์นะลูก แต่ที่โรงพยาบาลนี้ดูแลอย่างดีค่ะ ในวันรุ่งขึ้นดิฉันก็พาลูกไปเยี่ยมเจ้าบุญรอด หมอบอกว่าอาการดีขึ้นแล้ว ทำให้ลูกดีใจอย่างมากค่ะ ให้ดิฉันพาไปไหว้พระขอพรให้เจ้าบุญรอดหายไวๆ

ลำไส้อักเสบผมนำมารักษาเองที่บ้านครับ

โดยให้ยาปฏิชีวนะ และฉีดน้ำเกลือแบบใต้ผิวหนังที่คอ รอดมาหลายตัวแล้วครับ

อย่าไปพึ่งเขามาก เขาไม่มีเวลาดูแลให้เราหรอก

ผมเดานะครับ

ว่า

เขาไม่เห็นคุณค่าจิตใจเจ้าของหรอกครับ

ตายก็ตายไป

เขาคงคิดแค่นั้นครับ

ผมเจอมามากจนเห็นเป็น "ธรรมดา" แล้วครับ

อย่าเพิ่งเอาประสบการณ์ของตัวเองตัดสินโลกทั้งโลก

ก็ยังไม่ตัดสิน เพียงแต่พบบ่อยคล้ายคลึงกัน เท่านั้นเอง

ถ้าท่านเจอดีๆ บ้างก็มาเติมมุมบวกบ้าง

ผมเจอที่พวกไม่รับผิดชอบ จนเลิกไปหาแล้วครับ

ถ้ามีดีๆที่ไหนช่วยบอกด้วยนะครับ

ย่าว่าแต่ โรงพยาบาลสัตว์ และแพทย์วสัตว์ เลยที่เป็นแบบนี้ โรงพยาบาลกะแพทยทย์รักษาคน ก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้นทุกที โดนมาแล้ว ช้ำใจมาก ไม่อยากพูดว่าถ้างั้นจะมีพวกแพทย์ ไว้ทำไม คุณจะเรียนมาเพื่อทำอะไรถ้าไม่คิดจะรับใช้สังคม และจจรรยาแพทย์คือทำหน้าที่ที่ดีที่สุดเพื่อรักษาผู้ป่วย ผู้ที่ฝากชีวิตไว้ จุดบอดจุดใหญ่ของวงการศึกษาไทย แม้กระทั่วแพทย์ ไม่ใช่ไม่มีคนเก่ง แต่บอดทางด้านจิตสำนึก และจรรยาบรรณความเป็นแพทย์ ไม่ใช่คิดว่าพอได้เป็นหมอแล้วใครจะเป็นยังไงช่างมัน เออข้าเก่ง เอ็งต้องง้อ อย่างนี้มี แยะ

ในที่สุด ทุกคนก็มีขีดจำกัด

แต่ก็หวังว่าทุกคนจะพยายามทำหน้าที่ของตัวเองมากกว่าแค่หวังผลประโยชน์สั้นๆ

โรงพยาบาลสัตว์แถวอินทรารักษ์สุขาภิบาล 1คลองกุ่ม บึงกุ่ม กทม. บริการแย่มากหมอไม่ใส่ในสุนัขเลย ถ้าใครอ่านเจอขอความกรุณาอย่าเอาคนที่เรารักไปฝากไว้กับหมอที่ไม่มีความเมตตาต่อสัตว์นะคะ

ผมเริ่มได้ข้อสรุปแล้วว่า เขาสอนกันมาอย่างไร

ที่ไหนๆ ก็ไม่แตกต่างกัน

ตกลงเรามีไว้ "ระบบชุ่ยๆแบบนี้" ไว้ทำอะไรกันครับ

หากมีข้อเสนอแนะอะไรก็สามารถเนอแนะได้นะคะ

ที่รพ.สัตว์ ก็มี แบบสอบถามให้ท่านผู้มารับบริการ ได้เสนอความคิดเห็นคะ

คนเราไม่เท่ากัน ก็มีทั้งดีและไม่ดี หรือเรียกง่ายๆว่าดีไม่เท่ากัน

อ่านแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ก็เป็นการเสนอความคิดเห็น ก็ดีจะได้ทราบว่าเกิดปัญหาอะไร

ซึ่งบางทีอาจเป็นความไม่เข้าใจ ของทั้ง 2 ฝ่าย

การรักษาสัตว์เล็ก ก็เป็นเหมือนรักษาเจ้าของ เพราะสัตว์เลี้ยงมีความผูกพันกับเจ้าของ

การทำงานในรพ.ก็เป็นการทำงานร่วมกันในหลายๆคน อาจจะไม่ใช่ความผิดคนใดคนหนึ่ง

ซึ่งบางที สัตว์เค้าอาจจะมีอาการที่แย่มากแล้วค่อยถึงมือหมอ จึงทำให้การรักษาไม่ได้ผล

ไว้เด๋วมีเวลาจะมาอ่านใหม่ เยอะเหลือเกิน เศร้าใจ

ถ้าคิดจะแก้ไข ก็มีความเห็นที่ตรงไปตรงมาแบบไม่มีอคติมากมายพอสมควร

ถ้าจะหาเหตุผลมาแก้ตัวหรือพยายามอธิบายนอกประเด็น เรื่องนี้ก็จะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอกครับ

เพราะความจริงก็เป็นอย่างที่ทุกคนประสพมา

ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่าน

วันนี้ อ้วน อ้วน สุนัขที่เลี้ยงไว้ 10 ปี เสียชีวิตเพราะ คลอดลูกไม่ได้ มดลูกแตก

สิ่งที่อยากจะบอก รพ.สัตว์ขอนแก่นให้ทราบ ถึงการรับสัตว์เข้ากรณีฉุกเฉิน

สุนัขไปถึง รพ.ประมาณ 10 โมงเช้า น้องที่ไปรพ.แจ้งว่าสุนัขคลอดไม่ได้ตั้งแต่เย็นเมื่อวาน

ไปคลินิค หมอบอกให้รีบส่งมาที่ รพ.สัตว์ขอนแก่น

คนรับเรื่องทราบทั้งหมด แต่กลับปล่อยให้หมารออยู่บนรถเข็นกับเจ้าของนานเกือบชั่วโมง

ไม่มีสักคนที่จะมาดูอาการ จนหมาหยุดหายใจไปต่อหน้าเจ้าของ

พวกที่อยู่ รพ. ถึงมาดู

ถ้าคุณทำงานแล้วไม่มีจรรยาบรรณ ไม่สนใจว่าสุนัขจะอาการหนัก

ก็อย่ามาประกอบอาชีพนี้เลย

เสียใจที่สุนัขต้องมาตาย ยังมาเสียความรู้สึกกับความมักง่ายของคนทำงานได้ห่วยแตกอย่างพวกคุณ

ไปประกอบอาชีพอื่นเสียเถอะ หากไม่อยากทำ

นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง

จะคิดแก้ไข หรือจะคิดแก้ตัวก็ตามสบายครับ

แต่เงินที่จ้างท่านนั้นเป็นของคนไทยทั้งประเทศนะครับ

ไม่ใช่เงินท่านเอง ช่วยเกรงใจสักนิดก็ดีครับ

นาย บุญชัย ทัศน์พีรพันธ์

ลูกหมาผมตอนนี้ก็รักษา โรคตับอัพเสบ มาเป็นอาทิตย์ ยังไม่ดีขึ้น จ่ายเงินไปกว่า ห้าพันกว่าบาทแล้วผมคิดว่า ถ้าอาทิตย์นี้ไม่ดีขึ้น คงต้องใช้วิทีอื่น ปล่องไปเงินหาไม่ทันจ่ายค่ารักษาแน่ แต่ผมก็มีถามคนที่เจ้าของหมาคนอืน เค้าก็

บอกว่า ไม่น่ารักษานาน ขนายนี่ หรือทางนั้นคงจะเลี้อยไข้หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้ ไม่รู้จะทำยังไงดีครับ ไม่ได้เลี้อยมาเป็น 10 ปี มาอีกทีกับมาป๋วย ถ้าทางหมอเขายังไม่รับลองผมคิดว่าเอานองหมากลับมาบ้าน แล้วหาวิทีอืนอีกทีดีกว่า คิดว่า.


เข้ามาหาข้อมูลเลยมาเจอกระทู้นี้ครับจึงอยากแชร์เรื่องราวบ้าง


คืนวันจันทร์เวลาประมาณ 2-3 ทุ่มพบเจอลูกแมวนอนนิ่งอยู่ในสวนภายในบริเวณบ้านจึงเข้าไปจับดู

ปรากฎว่ายังมีชีวิตอยู่เลยนำเข้าบ้านเพื่อดูอาการเอง ไม่ได้มีความรู้อะไรแต่เวลานั้นดึกแล้ว รพ.เอกชนที่พา

สุนัขที่เลี้ยงไว้ประจำก้อปิดแล้วจึงคิดว่าขอดูอาการก่อน คืนนึงถ้ารอดจะพาไปรักษา

พยายามป้อนนมแพะ และ น้ำ เพื่อต้องการให้เค้ามีแรงขึ้นมาบ้าง หาอาการเค้าในเน็ดพอรู้ละว่าเป็นโรคไข้หวัดแมว

ผมก้อได้แต่ทำความสะอาดเช็ดขี้ตาให้มัน พอเช้ารอดแฮะเลยพาไป รพ.แห่งนึงในเชียงใหม่

ค้อนข้างใหญ่เลยทีเดียว

หมอก้อมาดูอาการและบอกว่าเป็นหวัดแมวจริงๆและบอกว่ามันยังเด็กมีโอกาศตายสูงถ้าจะรักษาจะให่อยู่ที่ รพ.

ผมก้อเลยถามราคา แอ็ดมิต หมอบอกคืนละ 100 เออพอรับได้ หมอบอกจะให้น้ำเกลือก่อนเพราะร่างกายเค้าขาดน้ำ

ตัวนี้ผอมเชียว ผมเลยตกลงรักษา มัดจำไป 1000 ตอนเย็นผมก้อโทรไปถามอาการ ยังโคม่าแต่เหมือนจะดีขึ้น

หมอบอกมีการตอบสนอง เช้าวันนี้ พุธที่ 3 เมษา 56  9 โมงเช้าหมอโทรมาแจ้งว่าน้องแมวเสียชีวิตแล้ว

ให้เข้าไปรับศพด้วย คิดในใจเค้าคงหักค่ารักษาและคืนเงินให้เราแน่ๆเลย

ปล่าวครับ ค่าแอ็ดมิต 200 ค่าน้ำเกลือ+ค่าดูแล 1000

ตกใจครับน้ำเกลือ เหมือนที่อาจารย์เล่าเรื่องหมาตัวเองครับ ยังเหมือนเต็มขวดอยู่เลย

เลยคิดให้สบายใจว่าทำบุญไปละกัน

ถ้าอาการหนักดูแล้วไม่น่ารอดควรตัดใจครับอย่าพาลูกรักน้องหมา แมว ไปทรมาณดีกว่า

ตอนแรกผมคิดว่าโดนไปเยอะพอมาอ่านเรื่องแต่ละท่าน โอ้วหนักกว่าผมอีก


ถ้ามีคนที่คิดแคบๆ แบบลุง  งั้นไปเรียนเองไป๊6 ปีน่ะ. พูดไม่ให้เกียรติอาชีพสัตวแพทย์เลย. ลุงเป็นใครมาตัดสินวิชาชีพคนอื่น. ทุกอาชีพย่อมมีคนดีและไม่ดี. กรุณาใช้วิจารณญานแยกแยะให้ออกด้วย. อย่าใข้แต่อารมณ์มาตัดสิน

ตอนนี้มีสัตวแพทยสภาแล้ว  ใครอยากฟ้องหาความจริงไปฟ้องได้. เอากฎหมายกับข้อเท็จจริงมาคุยกันตรงๆ อย่ามาโพสว่ากันให้เกิดความเสึยหาย มันจะบานปลายโดนฟ้องกลับ

ใจเย็นๆน่ะค่ะหมอดีๆก็มีมากมายค่ะ. อย่าเหมารวมเลยค่ะ.  ตอนที่หมอรักษาน้องหมาของเราหาย เราดีใจอยู่แต่พอปกติก็ลืมๆไป แต่พอป่วยมากหมอรักษาไม่ทัน. ตายขึ้นมา. ก็คิดว่าจะจำหมอคนนั้นไว้จนวันตายเลยเหรอค่ะ. ไม่ยุติธรรมเลย.  ขอย้ำหมอดีๆมีเยอะน่ะค่ะ


ทุกอย่างคือเหตุการณ์จริง มิได้บิดเบือน แม้แต่โจทย์ที่ถามก็ถามแบบตรงๆ ไม่ใช้อารมณ์ เหตุการผ่านมา 6 ปี ผมก็ยังจะตั้งคำถามเดิมๆ ครับ และก็ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้สักคน

 

ว่าสัตว์ป่วยน้อยไม่รับรักษา สัตว์ป่วยมากรักษาไม่ได้ แล้วระบบนี้จะมีประโยชน์อะไร กับใครบ้างครับ

 

ใครก็ได้ช่วยตอบแบบตรงๆ ไม่เล่นลิ้น และไม่ใช้อารมณ์ได้ไหมครับ

ผมยังอยากทราบจริงๆครับ ว่าความจริงในระบบนี้คือออะไรกันแน่ครับ

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

โรงพยาบาลคือ ส่วนรวม

โรงพยาบาลรักษาสัตว์ และ โรงพยาบาลรักษาคน สภาพก็คล้ายๆ กับว่า ไม่แตกต่างกันนัก

ครั้งหนึ่ง เมื่อมีคนไข้สูงอายุถึงแก่กรรม หมอก็พูดได้เพียงว่า คนไข้อายุมากแล้ว

เมื่อภาพที่เห็นเป็นความจริง มาตรฐานที่ออกมาตำหนิคนพูดความจริง กับ

การไปรวมตัวกันเพื่อยกระดับของบริการวิชาชีพ  ก็ยังมีความประพฤติแบบแก้ต่างที่ไม่ก้าวหน้า

หมอดีๆ  และหมอไร้จิตสำนึก ร่วมงานกัน อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน 

หมอดีๆ ก็คงไม่กล้าพูดมากหรอก  น้ำท่วมหัวอก เพราะหลงเข้าไปอยู่ในกระทงเดียวกันแล้ว  

จริงอยู่ เรียนเป็นหมอ กว่าจะจบก็ใช้เวลานานกว่าจะออกมาทำอาชีพรับเงิน

แต่อาจกลายเป็นว่า ใบรับรองที่ได้มา เป็นแค่ใบอนุญาตที่คุณสามารถทดลองปฏิบัติการบนชีวิตของคน

ก็เห็นใจหมอดีๆ น้า..  แต่ที่เจอ ก็เป็นหมอระดับผู้ใหญ่ที่จิตใจไม่เป็นหมอ  เห็นแล้วก็เป็นห่วงหมอรุ่นหลังๆ

แบบนี้ คนไข้ต้องดวงดี และแม้ไม่เก่ง ไม่สามารถเข้าไปเรียนอาชีพหมอ 

แต่คนไข้ต้องฉลาดกว่าหมอ และเมคเซ้นท์เป็นเท่านั้นจึงจะรอดเงื้อมมือพิฆาต




ผมยอมรับว่าหมอส่วนใหญ่ก็ยังเป็น "ปุถุชน"

และน่าจะพัฒนาได้อีกมาก

นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการโพสต์เรื่องนี้ครับ

ของเราพึ่งร้อนวันนี้เอง หมอกิตติยา เปนหมอที่ไม่น่าเรียนเปนหมอแลยทั้งกริยาการพูดจาเหมือนเราเอาหมาไปรักษาฟรีๆทั้งๆที่เปนโรงบาลสัตว์เอกชนที่เสียค่าใช้จ่ายแพงโคตรๆ แต่วันนี้มันทำน้องหมาอายุได้เพียง 2 เดือนโดยมันไม่ดูดำดูดีอะไรเลยสักนิด มันบอกกับผช.พยาบาลว่าน้องมีอาการหายใจอ่อนนะดูแลให้ดีด้วย ซึ่ง ผช.พยาบาลเปนแค่เด็กวัยรุ่นที่ไหนไม่รู้ไม่มีการศึกษาด้านการแพทย์เลยมาเฝ้าน้องหมาที่มีอาการหายใจอ่อนเปนคนที่ดูแล เสร็จมันไปนั่งที่ห้องพักแพทย์หัวเราะร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนน้องไม่หายใจ ผช.พยาบาลมันยังไม่รุเลยว่าน้องไม่หายใจแล้วจนเราต้องบอกว่า มาดูทีทำไมน้องไม่หายใจมันถึงมาดูและปั้มหัวใจทั้งๆที่น้องหายใจอ่อนมากแต่มันกลับเอาอ๊อกซิเจนออกแล้วบอกว่าน้องหายใจเองได้แล้ว แล้วน้องก้อไม่หายใจอีกเลยอีหมอมันกลับเดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์แล้วเงียบไปจนเรางงว่าน้องเสียแล้ว แล้วยังไงไม่มีการเดินมาพูดคุยอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรียนมาเปนหมอแล้วไม่สามารถทำอะไรได้ก้อไม่ต้องเรียนดีกว่าเพราะความรุที่เรียนมามันไม่ได้ช่วยอะไรสังคมได้เลยไปเรียนอย่างอื่นที่มันดีกว่านี้ดีกว่าไม 

ส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สัตวแพทยสภาแล้วครับเนื่องจากหมอโกหกให้รอผลตรวจเลือดแมว รออยู่ 5 วันแมวตาย แต่ทางสัตวแพทยสภาไม่ตอบกลับ 2 เดือนแล้วที่รอจดหมายตอบกลับ สงสัยทำเป็นเงียบ เพราะหมอต้องเข้าข้างหมอด้วยกันอยู่แล้ว

พึ่งโดนมาเหมือนกันแต่คนละแบบคือไม่เคยพาแมวไปหาหมอค่ายาไม่เท่าไหร่แค่ใบเสร็จนี้ระบุค่าบริการแพงมากค่าหมออีก. พอถามค่าทำหมันก็โครตแพงนึกว่ารพ.รัฐทำไมมีคิดค่าบริการเพิ่มถ้าไม่กีบาทไม่ว่าแต่นีเครึ่งนึงของค่ายาเดียวนี้เขาคิดค่าบริการแพงขนาดนี้เสียความรู้สึกคะพึ่งพาไปครั้งแรกด้วย..

มันเป็นกันเกือบทุกที่เลยวุ๊ย หมอสัตว์พวกเนี้ย รักษาสัตว์ที่ไม่ตายให้ตาย รักษาที่ป่วยให้พิการ ที่บ้านผมเป็นงี้

พาน้องแมวไปรักษา ผ่านไป 5 เดือน ไม่ระบุว่าน้องเป็นโรคอะไร 5 เดือนตรวจหาสาเหตุไม่เจอ เริ่มนับ 1 ใหม่ทุกครั้งที่พาน้องไปหา นศ.ทำงานแย่ หมอแย่มากกว่า เปลี่ยนหมอทุกครั้งที่ไป รักษา วิเคราะห์สะเปะสะปะ ค่ารักษาแต่ละครั้ง 1,000 - 2,000+ สุดท้ายน้องแมวตาย เจาะท้องแผลติดเชื้อ การรักษาแย่มากๆๆๆที่สุดไม่เคยเจอ ถ้าแมวหมาป่วยจะไม่พาไปที่รพ.มข.อีกเด็ดขาด เสียใจเพราะเราส่งเเมวไปตาย ไร้จรรยาบรรณ ถ้าเห็นชีวิตสัตว์ไม่มีค่า อย่ามาเป็นหมอเพราะอยากได้ตังค์แต่ไม่รักในอาชีพตัวเอง เกลียดรพ.นี้ที่สุด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท