กราบสวัสดีครับทุกท่าน
สบายดีกันนะครับ... คนเราเกิดมากันเพื่ออะไร? คงเป็นคำถามที่หลายๆ คนถามกันบ่อยๆ เป็นการหาคำตอบให้กับตัวเอง ต่างคนต่างคำตอบ ต่างมุมมองต่างคำตอบ ต่างวาระต่างคำตอบ ....ละ
สำหรัีบผม ผมคิดว่า ผมเกิดมาเพื่อพัฒนาตน...พัฒนาทางความคิด ทางกาย ทางใจ แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่ความคิดผมเท่านั้น แต่ละคนก็มีความคิดของตนเอง และคำ่ว่า พัฒนา ของแต่ละคนก็ต่างๆ กัน ต่างความหมาย ต่างบริบท ต่างการกระทำ ต่างผลลัพธ์ ..... ละ
กว่าจะมาถึงวันนี้...แม้ว่าชีวิตยังไม่ได้ผ่านมามาก...แต่ผมอยากจะชวนมาคุยเรื่องอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองกัน ด้วยกันนะครัีบ....
เรามาลองอ่านใจตัวเองกันดีไหมครับ ว่าเราติดกับดัก อะไรกันบ้าง ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตัวเอง...
ปล... อันนี้เป็นเพียงมุมมองที่ผมลองประมวลดูเฉยๆ นะครัีบ อาจจะไม่ตรงกับของคุณ ก็ขออภัยด้วยนะครับ เพราะว่าความคิดผมยังไม่โตพอ...แต่ยังพร้อมจะเรียนรู้นะครับ
เราลองมามองตนกันดูไหมครับ.... ว่าเราเห็นอุปสรรคในการพัฒนาตัวเราอะไรบ้าง.... ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้จะนำไปสู่อุปสรรคต่อการพัฒนาชาิติหรือสังคมโดยรวม...ในโอกาสต่อไป.....
ขอบพระคุณมากครัีบ
เม้ง
สวัสดีครับ
อ่านแล้วได้ประโยชน์มาก
สำหรับตัวเองแล้ว ต้องพัฒนาข้อที่ "การกลัวในความขัดแย้ง" เพราะเป็นคนที่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ต่างความคิด เพราะไม่อยากมีปัญหา จนกระทั่งมาเรียนต่อ,มาใช้ G2K ได้สัมผัสกับความเป็นมืออาชีพแล้ว กลับไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยปีที่แล้ว อ.ด้วยกันบอกว่าเปลี่ยนไปเยอะ กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น อะไรที่ agree หรือ disagree ก็ว่าไปตามความคิดเรา แต่ไม่ไปทับถมคนอื่น แต่ก็ต้องควบคุมอารมณ์ (temper)ตัวเองไปพร้อมกันด้วย เพราะบางทีการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป โดยมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องก็ทำให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังได้เหมือนกัน นับว่าเป็นข้อดีในการพัฒนาตนเองและอาจจะนำไปสู่การพัฒนาสังคมและชาติต่อไปก็ได้ อย่างที่คุณสมพรกล่าวไว้ ใครจะรู้
สวัสดีครัีบอาจารย์ ผศ. วศิน เหลี่ยมปรีชา
ยินดีต้อนรับครัีบ ขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติมาร่วมแลกเปลี่ยนด้วยนะครับ ผมเองก็ยังต้องพัฒนาอีกเยอะครับอาจารย์ หากเรากล้าจะรับฟังคนอื่นเราก็คงต้องพร้อมที่จะฟังสิ่งที่นอกเหนือจากที่เราคิดด้วยเช่นกันใช่ไหมครับ เพราะเราควบคุมความคิดใครไม่ได้ และเราก็คงอยากมีอิสระในทางความคิดเช่นกันครับ ผมว่าการแลกเปลี่ยนกันทำให้เรานำหลายๆ อย่างมาประมวลต่อการพัฒนาตนเอง การได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ก็เป็นการทำให้เรารู้จักการให้โอกาสกับคนที่่อ่อนอาวุโสเราด้วยครัีบ ผมว่าหากเราจะพัฒนาตนเองและจะสร้างคนไปด้วยกัน ก็คงต้องให้โอกาสเด็กๆ ได้เีรียนรู้และต้องการผู้ใหญ่ใจดีเช่นกันครับ
ส่วนเรื่องอารมณ์นั้น เป็นก้อนหินบนทางข้างเหวเลยละครับ เหยียบเมื่อไหร่ก็มีโอกาสตกเหวเมื่อนั้นครัีบ ขอบคุณมากๆ นะครับ
การกลัวเสียหน้า...หรือไม่อยากให้ใครทำให้เราหน้าเสีย เห็นด้วยค่ะ..ตัวนี้ล่ะ OOHOOH ว่าสำคัญมาก ถ้ากลัวเสียหน้าซะแระ ใครจาเตือนอารัย ๆ ก็มิอยากฟัง เฮ้อ ! เบื่อจังค่ะ..
ขวางผลประโยชน์ผู้มีอำนาจบริหาร ณ ปัจจุบันกาล ... เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเองเหมือนกันครับ :) พูดไม่ออก บอกไม่ได้ เดี๋ยวเขาว่าเอา หรือไม่ก็แทงทั้งข้างหน้า ทั้งข้างหลัง
:)
สวัสดีครับคุณOOHOOH
ขอบคุณมากครับ สบายดีนะครับ เรื่องนี้จากประสบการณ์ที่พบของคนไทยส่วนหนึ่งคือ ไม่อยากให้คนอื่นวิจารณ์ตัวเองต่อสาธารณะ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมครับ ผมว่าเราเป็นกันเกือบทุกคน เพียงแต่ว่าโตขึ้นใครจะยอมรับกันได้มากขึ้นแค่นั้นครับ เช่น การพูดตรงๆ บางคนรับได้ บางคนรับไม่ได้ เสียเพื่อนเสียมิตรภาพได้ง่าย การพูดผ่านคนอื่นด้วยความหวังดีบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ครับ
ก็คงเป็นการยากครับ ที่ใครจะมานั่งเตือนใครได้ตลอดนะครับ หากเราไม่เห็นตัวเราเองครับ มาดูตัวเรากัน แล้วพร้อมให้คนอื่นสะท้อนเราโดยการรับฟังอย่างใจนิ่งๆ บ้างก็คงดีนะครับ ผมเองก็ยังมีส่วนเสียๆ แย่ๆ อยู่เยอะครับ อยู่ที่ว่าเราจะปรับปรุงมันหรือไม่ครับ
ขอบคุณมากนะครับ
สวัสดีครับอาจารย์ Wasawat Deemarn
ขอบคุณมากครับ เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันจริงๆ นะครับ
จากประสบการณ์การบริหารงานแบบเด็กๆ ที่ผมเคยทำมา ผมพบว่า
การเป็นผู้บริหาร หรือหัวหน้าคนอื่นนั้น เป็นเพียงหัวโขนในเวลางานเท่านั้น และการเป็นหัวหน้าคนอื่น ผมพบว่า เราต้องฟังมากกว่าำนำเสนอครับ
เพราะเราควรจะนำประมวลความเห็นคนอื่นมาเป็นความเห็นโดยรวม ทำหน้าที่ฟัง หรืออาจจะชี้ประเด็นให้องค์กร องค์รวมนำไปคิด แต่เราให้คนอื่นถกกันเพื่อหาประเด็นที่เหมาะสม จะได้ผลออกมาที่ดี
ส่วนเรื่องผลประโยชน์นั้น สำหรับผมยังไกลเกินเอื้อม เพราะผมเบื่อเรื่องผลประโยชน์มากๆ เลยนะครับ อยากทำงานแบบไม่มีผลประโยชน์นะครับ ผมรู้สึกว่างานเหล่านั้นมันจริงใจดี แล้วงานจะมีคุณภาพจริงๆ
ขอบพระคุณมากๆ นะครับ ที่มาร่วมถกด้วยนะครับ มีความสุขในการทำงานนะครับ
อุปสรรคต่อการพัฒนาตนเอง น่าจะเป็นที่ความรู้สึกกลัว ๆ กล้า ๆ ของตัวเองมากกว่าค่ะ อันนี้ที่สำคัญ กลัวใจตัวเอง ยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ต่อสู้ เพราะ
กลัวเขาขายหน้า เช่น เคยเลือกซื้อกางเกงตัวหนึ่ง พาดไว้ที่ราวพาดผ้า กำลังเลือกตัวที่สองอยู่ ก็มีคนมาสนใจและหยิบกางเกงที่เราเลือกไว้ เอาไปทดลองใส่แล้วซื้อเอาไปเลย เราจะพิทักษ์สิทธิ์ แต่ก็อ้าปากค้าง รู้สึกเห็นเขา เห็นเขาดีใจ กลัวเขาไม่ได้สิ่งที่เขาชอบ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยค่ะ
กลัวความขัดแย้ง กลัวเขาโกรธ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะกับผู้ร่วมงานคนใกล้ชิดไม่อยากพูดหรือทะเลาะกับเขา เวลาพูดคุยหรือถกปัญหามักจะสู้เขาไม่ได้ กลัวพ่ายแพ้ มักจะใช้วิธีเงียบไปเลยจะดีกว่า เมื่ออารมณ์ดี หลังจากทุกฝายได้คิดวิเคราะห์แล้ว ค่อยหันหามาคุยกันใหม่
ส่วนใหญ่มักจะอยู่แบบถ่อมตัว ไม่ทะเยอทะยาน อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ว่างๆ จะศึกษาหาข้อมูลความรู้ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีโอกาสก็ค่อยนำเสนอหรือแสดงออก
ถ้วยกาแฟ มีจานรอง
หัวใจ จะใช้เบาะรอง หรือจานรอง ดีละเม๊ง
สวัสดีครัีบคุณ กัญญา
สบายดีนะครับ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ใช่เลยครัีบ
ความกลัว กลัวไปทุกอย่าง ก็ส่งผลต่อการพัฒนาตนเองได้เช่นกัน
แต่หากสังคมมีทุกคนกลัวกันหมด... ก็คงน่าเศร้านะครับ สมัยก่อนเค้าบอกว่ากลัวระเบิดต้องอยู่หลุม สมัยนี้บอกว่ากลัวการเรียนรู้ต้องอยู่ในกะลา เลยทำให้มีคนคิดต่อครับ ว่าจะพัฒนาความรู้ได้ต้องเปิดกะลา ได้แก่ กะลาสมอง กะลาใจ จึงเกิดคำต่างๆ เช่น ไร้กรอบ ไร้เขต ไร้อุปสรรค
มีความสุขในการทำงานเช่นกันนะครัีบ
กราบสวัสดีครับท่านครูครูบา สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
อิ ๆๆ แหม...วันนี้มาไม่ธรรมดานะครับ หัวใจก็คงต้องใช้สิ่งที่คู่กับหัวใจนะซิครับ ถึงจะรองไปด้วยกันได้ครัีบ ผลัดกันรอง ใจไหนช้ำอีกใจก็มารองรับไว้ ผลัดเปลี่ยนกันรองตามบริบทครับ สังคมมันจะอยู่ได้เองครับ
เพ้อฝันไปไหมครับ ผมตอบแบบเด็กๆ นะครับอิๆๆ
รักษาสุขภาพนะครัีบ
สวัสดีคะ พี่เม้ง
สบายดีนะคะพี่เม้ง
วันก่อนได้ฟังอาจารย์รังสรรค์ (เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์) พูดถึงการประเมินนโยบาย ว่าปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการประเมินการทำงานของนโยบาย ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับบันทึกนี้ จึงขอนำมาแลกเปลี่ยนนะคะ
"วัฒนธรรมการวิพาษณ์"
การวิพาษณ์เป็นสิ่งดี หากแต่เรายังขาดวัฒนธรรมในการยอมรับการถูกวิพาษณ์ ซึ่งน่าจะเป็นอุปสรรคหนึ่งของการพัฒนาตนเอง...คิดเห็นอย่างไรคะ :)
ขอบคุณคะ...รักษาสุขภาพนะคะ
---^.^---
ขอโทษคะพี่เม้ง...เขียนผิด
"วัฒนธรรมการวิพากษ์" รีบไปหน่อย ว้า! แย่จัง
สวัสดีครับน้องพิมพ์
สบายดีนะครับนะครับน้อง พี่สบายดีครับ เืรื่องนี้พี่เคยเขียนไว้ในนี้ครับ พี่ว่าหากเราสร้างวัฒนธรรมการยอมรับการวิจารณ์ไม่ได้ ก็ยากนะครับ ที่จะพัฒนาครับ จริงๆ บทความนี้มองในระดับตนเองนะครับ
หากเราทำได้เราจะเปิดใจและปรับไปเรื่อยๆ ครับ
ขอบคุณมาก ๆ นะครัีบ
น้องเม้งครับ...สบายดีครับ...
ถึงแม้ช่วงนี้จะห่างเหินกันไปนาน...ก็ไม่ลืมที่มีน้องชายที่เยอรมัน...ฝันว่าจะกลับมาพัฒนาไทยให้ได้ดั่งปรารถนา...
ช่วงนี้พี่มั่วกับงานยังไม่พอ...ต้องยุ่งกับเรื่องส่งลูกชายไปเรียนแพทย์ศิริราช...(เขาแอบตัดพ้อกับพี่เล็ก ๆ ว่า...แม่ไม่รู้หรือไงว่าตั้งแต่วันนี้ไปเราจะมีโอกาสพบกันทั้งครอบครัว 5 คน น้อยยิ่งนัก...พี่บอกว่า...ไปตามทางที่เธอย่อมรู้ดีเถอะ...อิอิ...ขนาดยังไม่ได้ไปเยอรมันเหมือนอาเม้งนะเนี่ย...555)
เข้ามาติดตามประเด็นเรื่องการพัฒนาของน้องเม้ง...พี่เลยเกิดความคิดแบบผุดบังเกิด(อาจารย์ชัยวัฒน์ใช้คำว่า tran self escendence) จากประสบการณ์ส่วนตัวว่า
อันที่จริงคนทุกคนมีต้นทุนที่ดีอยู่ 2 ประการในตน
1.คือศักยภาพ(พี่หมายรวมถึง IQ EQ SQ AQ และ ฯลฯ) ใกล้เคียงกันเมื่อแรกปฏิสนธิ
2.สัญชาติญาณและจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้เมื่อแรกเกิดเช่นกัน
ปัญหาคือเมื่อเกิดแล้ว....แต่ละคนตกอยู่ในภาวะแวดล้อมที่เอื้อหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
ดังนั้น...ศักยภาพที่ควรจะถูกพัฒนาถึงขั้นเป็นผู้นำ...จิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้ที่ควรพัฒนาได้ถึงขั้นปราชญ์ เลยถูกบดบังไปด้วยกรอบแห่งวาสนาและอวิชชา...
พี่เลยฝันไปไกลกว่าเม้งนิดนึงว่าจะมีคนไทยที่พัฒนาทั้งสองด้านด้วยความเต็มพร้อม...จนเกิดมหาบุรุษหรือมหาสตรีในประเทศไทยได้....55555
พี่เลยเชื่อว่าที่จริงธรรมชาติสร้างคนมาเพื่อให้พัฒนาศักยภาพตนเองและพัฒนาจิตวิญญาณแห่งการเรียนรู้
เพียงแต่บุญ(สิ่งที่ผู้คนแวดล้อมและตนเองได้สะสมไว้)...วาสนา(พระเขาแปลว่าสันดาน...คือสะสมไว้นานจนเป็นปรกติวิสัย...อิอิ)...บารมี(สิ่งที่สะสมไว้นานจนเป็นปรกติวิสัยนั้น...ให้คุณต่อโลก...555) หล่อมหลอมให้แต่ละคนเป็นอยู่อย่างที่เป็น...เช่นนั้นเอง
สวัสดีครับพี่นายขำ
คิดถึงมากๆ เลยครับ ผมก็คิดว่าพี่คงยุ่งครับ และฐานะการงานหน้าที่คงเยอะมากตามคุณวุฒิ วัยวุฒิ ปัญญาวุฒิ ที่พี่ชายสะสมตลอดมาครับ
ผมก็ยังไม่เสร็จครัีบ คงเสร็จวันไหนวันนั้นครัีบ แต่กลับแน่นอนครับ เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลครัีบ
ยินดีกับหลานชาย ลูกของพี่ด้วยนะครัีบ เมื่อนกออกจากรัง ก็เป็นอย่างนี้ล่ะครัีบ เค้าต้องการฐานทางใจเป็นต้นทุนจากครอบครัวรังเดิมครัีบ ต้นทุนนี้คือทุนใจ ทุนสนับสนุนให้เค้าไม่หลุดเมื่อเจออุปสรรคครัีบ เค้าจะไม่ลืมรากเหง้าตัวเองก็เพราะทุนนี้ล่ะครัีบ
ผมเห็นด้วยเลยครัีบ เรื่องต้นทุนของคน สองประการนั้น และเชื่อว่าทุกคนพัฒนาตนเองได้ แม้บัวใต้โคลนตมก็พัฒนาตนได้ครับ ทุกส่วนเป็นองค์ประกอบร่วมกัน การพัฒนาตนเองจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากดั่งที่คิด มันอยู่ที่ใจเราครัีบ ตัวผมก็ยังต้องพัฒนาระบบคิดอีกมากครัีบ
เป็นอย่างที่ว่า เช่นนั้น เอง บุญ วาสนา บารมี .... สร้างได้จากตนเป็นฐาน สิ่งแวดล้อมก็ส่งผลช่วยหนุนนำ
ท้ายที่สุดก็คือ ทำ ทำ และก็ ทำ
ขอบคุณพี่ชายมากๆ นะครับ ที่มาเยี่ยม มีโอกาสจะโทรไปคุยแลกเปลี่ยนบ้างนะครับ ยังมีการบ้านที่ค้างอยู่และไม่ได้ลืมนะครับ
ขอบคุณครัีบ