ต้องขอยกย่องปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ท่านมหาตมะ คานธี ผู้นำการเคลื่อนไหวดื้อแพ่ง เพื่อต่อต้านอังกฤษในประเทศอินเดีย ท่านเรียกแนวทางของท่านว่า สัตยาเคราะห์ นั่นก็คือการต่อสู้ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความจริงหรือสัจจะ ในยุคของท่านต้องต่อสู้การผูกขาดเกลือโดยอังกฤษ คนอินเดียผลิตไม่ได้ ขายไม่ได้ ฝ่าฝืนจำคุก ท่านต้องใช้เวลาเดินเท้าถึง 23 วันเพื่อเริ่มกระทำการดื้อแพ่ง ชักชวนคนอินเดียผลิตเกลือเต็งไปหมด การกระทำเช่นนี้กลายเป็นข่าวไปทั่วโลก คนอินเดีนต่างขุดดินต้มเกลือขายโดยไม่กลัวกฎหมาย ในที่สุดท่านถูกจับ ท่านให้การต่อศาลว่า " การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่ข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง" ท่านยังสอนไว้ให้ชาวโลกทราบอีกว่า แม้เพียงท่านไม่เห็นด้วยในความคิดนั่นก็คือการต่อสู้อหิงสาในตัวท่านแล้ว สำหรับในประเทศไทย ผู้บัญญัติศัพท์คำนี้ อารยะขัดขืน ก็คือ อาจารย์ ดร. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นมุสลิมไทยที่ศึกษาเรื่องนี้มามาก และคำนี้เกิดขึ้นจนเราได้ยินหนาหูเช่นกัน เทื่อครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ใช้เป็นหลักในการต่อสู้ขับไล่ ทักษิณ เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมานี่เอง ก็มีความหมายที่น่าสนใจว่า อารยะขัดขืน เป็นการดื้อแพ่งซึ่งเป็นรูปการหนึ่งของการขัดขืนอำนาจรัฐ ที่ทั้งเป้าหมายและตัววิธีการอันเป็นหัวใจของเรื่องนี่ ส่งผลในการทำให้สังคมการเมืองโดยรวมมีอารยะ มากขึ้น การจำกัดอำนาจรัฐนั่นเอง เป็นหนทาง อารยะ ยิ่งการจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะคือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรงและยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมือง เป็นธรรม ขึ้น เคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น ปฏิบัติการอารยะขัดขืน นั้น ในทางการเมืองที่คนในสังคมไทยใช้กันก็คือ 1.ตั้งใจละเมิดกฎหมาย 2 ใช้กระบวนการสันติวิธีทั้งครบ นั่นคือจะไม่ใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ 3.เป็นการกระทำที่เปิดเผย เป็นสาธารณะที่แจ้งให้ฝ่ายรัฐรับรู้ล่วงหน้า 4.ความเต็มใจที่จะรับผลทางกฎหมายของการละเมิดกฎหมายดังกล่าว 5.ปกติเขากระทำไปก็เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาลที่เลว ที่ชั่ว 6.เชิ่อมโยงกับสำนึกแห่งความยุติธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง 7. เปิดเผย เปิดโปง กระทำใช้เชื่อมโยงกับสำนึกความยุติธรรมเพื่อให้ผู้คนในสังคมหันมาสนใจกฎหมายชั่วและผู้นำรัฐบาลที่ฉ้อฉลโดยให้สถาบันทางสังคมทั่วทั้งประเทศหวั่นไหวกับการกระทำดังกล่าว นี่คือสิทธิการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐ เป็นช่องทางการเคลื่อนไหวเรียกร้องของผู้คนธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือช่องทางปกติ เป็นตัวสร้างสิ่งใหม่ๆให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งกระทำได้ในระบอบที่เป็นอยู่ ถือเป็นคุณุปการที่เด่นชัดของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องมีการจัดการฝึกอบรม มีการจัดการเรียนการสอน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนฟังบรรยาย กระบวนการสันติวิธีมีหลายรูปแบบ อารยะขัดขืนที่เห็นในสังคมขณะนี้คือ การที่ข้าราชการไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง นายกรัฐมนตรี รมต. มหาดไทย กรณี ให้ผู้ประกอบธุรกิจเคเบิลทีวี ทั่วประเทศงดถ่ายทอด ผู้ประกอบการเองก็ไม่ปฏิบัติตาม ประชาชนเรียกร้องให้ยึดกฎหมายสูงสุด คือ รธน ปี 2550 การอดอาหารประท้วง การฉีกบัตรเลือกตั้งในยุคที่ กกต.ชั่วสั่งการดำเนินการเข้าข้างรัฐบาลไทยรักไทย การเรียนรู้เรื่องนี้น่าจะได้บรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับชั้น แม้กระทั่งศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ต้องไม่ลืมว่าสังคมไทย รัฐบาลไทยทุกยุคสมัย ไม่สนใจเรื่องนี้ เจ้ากระทรวงศึกษาธิการก็สติปัญญาไม่ก้าวหน้า อำนาจรัฐไทยทุกสมัยจึงชอบใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน เราต้องหันมาจัดทำหลักสูตร " การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี " วิชา "อารยะขัดขืน" และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัตอการสันติวิธิ ในสังคม"ต้องทำได้แล้ว ความรุนแรงจะได้หมดไปจากสังคมไทย และขอเรียกร้องอย่างหนักแน่นว่า อำนาจรัฐโฉดชั่วอย่างได้ใช้ความรุนแรงกับประชาชนไทยอีก "หยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชนไทย"
ไม่มีความเห็น