กาวน์ชุดงาม


กาวน์ชุดงาม

            วันนี้เป็นวันที่ 12 มิถุนายน 2551 เป็นวันไหว้ครูคณะแพทย์อันเป็นที่รักของข้าพเจ้า และทุกปี (หรือเกือบจะทุกปี อันนี้ผมก็ชักเลือนๆ) ผมต้องมาร่วมงานด้วยเสมอ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ซึ่งตอนนั้นผมเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 โดยมีท่านอาจารย์ธาดา ยิบอินซอย เป็นคณบดี ผมก็มาร่วมงานในฐานะเป็นลูกศิษย์ จากนั้นมาก็มาร่วมงานทุกปี ยกเว้นเมื่ออยู่ชั้นปีที่ 6 ซึ่งตอนนั้นกำลังฝึกงานเป็นหมอน้อยอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช

            ผมเองมีความผูกพันกับงานไหว้ครูอยู่ค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าไม่เคยถือพานไหว้ครูเลย แต่ผมก็ทำพานไหว้ครู ทำมันทุกปี ผมไม่เคยได้รับรางวัลต่างๆเหมือนเพื่อนคนอื่นเขา เพราะไม่เคยแต่งกลอนประกวด ไม่เคยเรียนได้ที่หนึ่ง อ้อเคยสิ ก็เมื่อครั้งที่เขาประกาศเกียรติคุณคนที่ทำกิจกรรมของสโมสรนักศึกษานั่นกระมัง แต่ความผูกพันอย่างหนึ่งที่ยังคงมัดผมไว้กับกิจกรรมนี้ก็คือ พิธีการ

            พิธีการไหว้ครูจะมีอะไรไปมากกว่า ยืนเคารพประธาน อาจารย์ ร้องเพลงปาเจรา แล้วมอบพานให้อาจารย์ กราบ ก็เป็นจบ

            แต่พิธีการที่เราจัดขึ้นเมื่อปีการศึกษา 2535 นี่สิ ที่น่าจดจำเสียเหลือเกิน

            ขณะนั้นผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 ชั้นปีของผมเป็นกำลังหลักของสโมสรนักศึกษาคณะแพทย์ คนทำงานก็คือพวกผมนั่นแหละ ผมจำได้ว่าในงานไหว้ครูปีนั้น จิ๋มกับหนุ่ย เป็นแม่งานหลักในการจัดงาน ผมกับเพื่อนๆเป็นลูกน้องของเธอทั้ง 2 และเพื่อให้งานดำเนินไปอย่างดี พวกเราก็ประชุมเตรียมงานกันหลายครั้งหลายหน ทะเลาะกันบ้างก็นับครั้งไม่ไหว แต่ที่สรุปได้ก็คือ เราอยากสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆในพิธีการอันทรงเกียรตินี้บ้าง

            เฮ้ย..เราน่าจะมีการร้องเพลงหมู่เพื่อสรรเสริญอาจารย์บ้างนะ นี่เป็นการเสนอความคิดของเพื่อนร่วมงานเราคนหนึ่งที่ชื่อ โอ๋โอ (คุณหมอวิมล เสกธีระ) ไงล่ะ ร้องเพลงอะไร ตลกตาย เพื่อนเธอบางคนยังคงไม่ค่อยเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นใครร้องเพลงอื่นๆนอกจาก ปาเจรา

            น่าสงสารโอ๋โอที่มีเพื่อนโง่ๆหลายคนอยู่ร่วมทีม แต่เธอก็อธิบายว่า เมื่อนักศึกษามอบพานให้อาจารย์เสร็จแล้ว เราก็มาร้องเพลงเพลงหนึ่ง ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ ...... เพลงนี้ชื่อว่า พระคุณที่สาม ซึ่งเป็นเพลงที่เพราะมาก ใครหนอช่างแต่ง พระคุณที่สาม งดงามแจ่มใส แต่ว่าใครหนอใคร เปรียบเปรยครูไว้ว่าเป็นเรือจ้าง... โอ๋โอ ได้ร้องเพลงนี้ให้ฟัง เพื่อนๆซาบซึ้ง ก็เป็นอันว่าตกลง แล้วใครจะเป็นคนร้องบ้าง ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าใครถามประโยคเด็ดนี้ขึ้นมา แต่ที่แน่ๆก็คือ เราพบแต่ความเงียบ

            น้องปีหนึ่งไง น้องปีหนึ่ง พวกน้องเพิ่งมากัน เราบังคับง่ายดี จับมาฝึกร้องตอนประชุมเชียร์ แล้วให้มาซักซ้อมการเดิน การร้องเพลงในห้องประชุมทองจันทร์ เท่านั้นก็สิ้นเรื่อง และแล้วก็เป็นความจริง ในงานไหว้ครูปี 2535 ในสมัยที่ท่านอาจารย์พันทิพย์ สงวนเชื้อ เป็นคณบดี พิธีการทุกอย่างสมบูรณ์แบบเหลือเกิน ไม่มีความตะกุกตะกัก ทุกอย่างลื่นไหล และเมื่อน้องปีหนึ่งทุกคนยืนตรง เดินออกจากที่นั่ง แล้วไปอยู่ท้ายและด้านข้างหอประชุม เงียบ แล้วก็ขึ้นเพลง ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ ..... นั่นได้สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงาน คณาจารย์ จนท่านคณบดีได้เอ่ยปากชมออกมาว่าจัดได้ดีมาก พวกเราก็ได้แต่ยิ้มอย่างเต็มจิต

            ผ่านมาเนิ่นนาน จากปี 2535 นับต่อมาเรื่อยๆ จนถึงพ.ศ.นี้ 2551 ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามาร่วมงานไหว้ครูทั้งหมดกี่หน ร่วมตั้งแต่เป็นคนมาไหว้ครู จนมาบัดนี้ก็เป็นครูให้เขาไหว้ แต่ทุกๆครั้งก็ยังคงเห็นน้องปี 1 เดินออกมาจากแถว ยืนข้างและหลังหอประชุม ร้องเพลงพระคุณที่สามออกมา ซาบซึ้งทุกทีที่ได้ยิน และผมก็มักจะกลับมาเล่าให้จิ๋ม (ซึ่งตอนนี้เป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมายของผมไปนานแล้ว) ฟังเสมอว่า ผลงานของเธอยังเหลืออยู่นะ

            เช้าวันนี้ผมก็ยังคงไปร่วมงานไหว้ครูอีกครั้ง รุ่นพี่ท่านหนึ่งถามผมว่า น้องแป๊ะเตรียมเสื้อกาวน์ไปหรือยัง

            ยังครับยัง ผมยังไม่มีเสื้อกาวน์ และผมก็จะไม่สวมเสื้อกาวน์ออกงาน

            เมื่อไปถึงในงาน เพื่อนผมซึ่งสวมเสื้อกาวน์มาร่วมงานก็ถามว่า นั่งอยู่แถวด้านหน้า เอาเสื้อกาวน์ของเราไปใส่ก่อนไหม จะได้ดูเหมือนคนอื่นๆ ไม่เอา เราไม่ใส่กาวน์มาร่วมงาน

            พูดถึงความกบฏ ความดันทุรัง นี่ต้องยกให้ผม ไม่ใส่ก็คือไม่ใส่ ไม่เหมือนคนอื่นก็ไม่ต้องเหมือน ทำไมเหรอ พ่อให้มากระมังครับ นิสัยแบบนี้

            หลายคนคงเคยเห็นว่า หมอเมืองไทยเรานี้ เวลาออกงานทีไร จะสวมเสื้อเแล้วสวมกาวน์สีขาวทับเสื้ออีกชั้นออกงานทุกที จะออกทีวีก็ใส่เสื้อกาวน์ จะไปรับรางวัลก็สวมเสื่อกาวน์ ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนก็เถอะ กาวน์ทั้งนั้น แต่เวลาทำงานในโรงพยาบาลก็ไม่ยักกะเห็นเขาสวมกาวน์กันเลย ทั้งๆที่รู้ว่า กาวน์นั้นควรจะสวมเมื่อทำงานกับคนไข้ แต่เราดันไปใส่ออกงาน

            กาวน์ มีไว้เพื่อสวมขณะทำงานในโรงพยาบาล กาวน์มีไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค ใส่กาวน์เมื่อเข้าไปดูคนไข้ ถอดกาวน์เมื่อจะออกนอกโรงพยาบาลเพื่อไม่ให้เชื้อโรคที่ติดอยู่ที่กาวน์นั้นไปปนเปื้อนกับชาวบ้าน นี่คือวัตถุประสงค์ของเสื้อกาวน์ แต่บัดนี้ กาวน์กลายไปเป็นอาภรณ์สวมประดับเมื่อต้องออกงานสำคัญ อันนี้จึงเป็นสาเหตุที่ผมประท้วงไม่สวมกาวน์ออกงาน (ยังไม่เคยได้มีโอกาสออกทีวีเลยครับ)

            แล้วจะสวมอะไรออกงานดี นี่คือคำถาม โธ่เอ๋ย ชุดบ้านเรามีออกจะมากมาย ถ้าคิดไม่ออกก็นุ่งโจงกระเบนไปก็แล้วกัน ชุดสูทก็มี หรือถ้าอยากจะสวมกาวน์อยู่อีก ก็ควรจะมีกาวน์ 2 ชุด ชุดหนึ่งตัดให้สวยเพื่อสวมออกงาน อีกชุดหนึ่งต้องใส่เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วย แล้วเมื่อนั้นแหละ ผมจะสวมกาวน์เหมือนคนอื่นๆ ในวงเล็บว่า ถ้าอยากจะใส่กาวน์ออกงาน เราต้องเต็มใจใส่ทำงานด้วยนะ (ฮ่า ฮ่า)

หมายเลขบันทึก: 187776เขียนเมื่อ 13 มิถุนายน 2008 00:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 เมษายน 2012 14:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)
  • แปลกดี ...ไว้ใส่ออกงาน เพิ่งรู้นะครับเนี่ย อิอิ
  • ขอบคุณคุณหมอมากครับ

สวัสดีค่ะ อ.หมอแป๊ะ

  • ป้าแดงชอบบันทึกนี้จัง ตั้งแต่เรื่อง ร้องเพลง พระคุณครู แล้วก็เรื่องเสื้อกาวด์
  • ที่ทำงานป้าแดง คุณหมอก็คงภาพออกนะคะ ว่า ตจว. อากาศก็ร้อนเหลือหลาย แต่กำหนดให้คุณหมอ แต่งกาวด์ยาว แขนเสื้อก็ยาว แถมข้างในต้องแต่งเชิ้ตผูกไท สงสารคุณหมอจัง----------
  • นอกจากร้อนแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะลากเอาเชื้ออะไรกลับไปบ้านบ้าง
  • เห็นด้วยเลยว่าต้องมี เสื้อกาวด์ 2 ตัว ที่ต่างวัตถุประสงค์กัน
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ

  • ผมก็ชอบงานไหว้ครู รำลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์
  • ชอบที่คุณหมอดื้อตาเขียว ไม่ใส่ ยังไงก็ไม่ใส่
  • ไม่ใส่กาวน์ก็ไม่เป็นไรครับ อย่านุ่งผ้าขาวม้าก็แล้วกัน อิๆๆ

สวัสดีครับมาชวนคุณหมอ ส่งประกวดภาพถ่ายชีวิตและงานบริการปฐมภูมิ  ในหัวข้อ “สุขภาพใกล้ตัว บริการใกล้บ้าน”@187804 

สวัสดีค่ะ

ที่นี่มีแบบใส่กาวน์มานั่งกันในผับ ไม่ค่อยแน่ใจว่าใส่มาเพราะกลัวเชื้อโรคในผับ หรือใส่แล้วเอาเชื้อโรคมาปล่อยในผับกันแน่ ฮ่าๆๆ

สวัสดีครับคุณ อำนวย สุดสวาสดิ์

ลองดูทีวีสิครับ เห็นประจำ

ป้าแดงครับ ไม่ได้เจอกันนานเชียว

บ้านเราร้อน แต่หมอไม่ร้อนครับ เพราะเราอยู่ห้องแอร์ทั้งวัน ฮา

สวัสดีครับท่านธวัขขัย (แปลกดีนะครับที่เขียนว่า ธ วั ช ชั ย)

ผ้าขาวม้านี่ยังดีนะครับ อย่าถึงกับไม่ต้องใส่อะไรเลย ฮา

สวัสดีครับ กวิน

ผมถ่ายรูปเป็นแต่การกดชัตเตอร์เท่านั้นครับ เรื่ององค์ประกอบไม่ต้องพูดกัน หน้ากล้องเปิดเท่าไหร่ ความไวเท่าไหร่ พูดแล้วน้ำลายย้อยทุกที

สวัสดีครับ Genuine

แบบนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อยากโชว์มั้ง

สวัสดีค่ะคุณหมอแป๊ะ

พี่หนิงอ่านด้วยความซาบซึ้ง  มาถึงเรื่องกาวน์นี่แหละ  ขำขำ  อดย้อนคิดไปถึงตัวเองอ่ะค่ะ  สมัยยังทำงานโรงพยาบาล  ตอนนั้นอยู่คนละอำเภอกับบ้าน  พี่หนิงไม่ค่อยแต่งฟอร์มพยาบาลออกจากบ้านมาทำงานเลย  มักจะมาเปลี่ยนที่บ้านพักในรพ.แล้วเดินขึ้น ward  ลงเวรมาก็ถอดชุดส่งซักไว้ที่รพ.นั่นแหละ  จนคนแถวบ้านพูดกันว่า  ตกลงลูกสาวบ้านนี้เป็นพยาบาลจริงหรอ  ไม่เคยเห็นใส่ชุดพยาบาลเลย  555

ค่านิยมของบ้านเราชอบเห็นหมอ เห็นพยาบาลแต่งฟอร์มไปไหนๆมั้งคะ  ตลกดีเนาะ  แล้วพี่ตลกกว่านั้นอีกที่เจอหมอ/พยาบาล  แต่งกาวน์/ฟอร์ม ไปในที่ที่ไม่ควรเห็นอ่ะ  เฮ้อ...ไหนบอกกันว่าเป็นชุดที่ทรงเกียรติน๊อ...

สวัสดีครับพี่หนิง

แบบพี่นี่เหมือนเด็กอยากโดดเรียนครับ แบบว่า ออกจากบ้านชุดกนึ่ง ถึงที่ทำงานชุดหนึ่ง หนีไปไหนพ่อแม่ไม่รู้ ฮา

ก๊ากกกกกกก  คิดได้ไงเนี่ย..คุณหมอ

เดี๋ยวนี้แม่ก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าพี่ไปไหนบ้าง  เมื่อวานอยู่บ้านพ่อครูบา  แม่ยังโทรตามมากินข้าวเลยอ่ะ  อิอิ  เพราะบอกแม่ว่าจะไปบูรณะรถไง  แต่แว๊บบบบบบบศาตร์ ไปถึงสตึก  อิอิ  ตามเจ้ามะเดี่ยวไปอ่ะ (โทษน้องเห็นๆ)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท