เห็นด้วยกับอาจารย์กมลวัลย์ครับ ...
ชีวิตที่นับถือแค่ตัวเลข ตัวเลขที่ไม่สามารถวัดความเป็นคนดี คนเลว ได้ ... แต่ก็ยึดมั่นไปแล้ว ผ่านมาแล้ว และสายไปแล้ว
เคยมีเพื่อนนั่งร้องไห้ เพราะไม่ได้ A ... ส่วนพวกเรียนไม่เก่งอย่างเราได้ C นั่งหัวเราะ ฮ่า ๆ ด้วยความสุข
ครูเขาลืมสอนเรื่องชีวิตให้กับเด็กหรือเปล่า
สภาพแวดล้อมที่มีแต่คนเก่งสอนให้เขาต้องคิดแบบนี้หรือเปล่า
ครอบครัวสนใจเรื่องนี้หรือเปล่า
คำถามมีอยู่มากมาย ล้วนเป็นไปได้ทั้งหมด
แต่ ... คงต้องใช้กรรมต่อไปอีกหลายชาติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นกรรมหนัก
ขอบคุณครับอาจารย์ :)
เจริญพร
เหตุการณ์นี้ทำให้สงสัยขึ้นมาว่าเกิดอะไรกับ EQ ของสังคมไทยครับ ชีวิตมีความซับซ้อน ไม่ได้เป็นสมการเชิงเส้นสักหน่อย
ทุกข์ก่อเกิดข้างใน ตัวตน
ยึดถือแน่นติดทน ทุกเรื่อง
บ้าบอนั้นล้วนคน สร้างขึ้น เองนา
ไร้ปล่อยวางใครหา ช่วยได้ ไม่มี
ขอบรรยายความรู้สึกกับเรื่องแบบนี้ด้วยโคลงแล้วกัน อารมณ์กวีพลุ่งพล่าน
สวัสดีค่ะอ.วสวัตฯ
ต้องยอมรับว่าเด็กบางคนนั้นไม่สามารถแยกออกได้ว่า อะไรคือสาระสำคัญของชีวิตจริงๆ ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงน้องคนนี้ที่จบชีวิตตัวเองนะคะ.. เด็กๆ รุ่นนี้ถูกเลี้ยงมาด้วยการตั้งเป้าและรางวัลตั้งแต่เด็ก..รุ่นพ่อแม่มองเห็นใบปริญญาและวิชาชีพเป็นใบเบิกทางของชีวิต สังคม/สื่อก็ช่วยกันประโคมคนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย เรียนเก่ง กันเพียงด้านเดียว..ประมาณว่าลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนสูง พอกระแสมาแบบนี้ พ่อแม่ก็เลี้ยงมาแบบนี้.. โอกาสที่เด็กจะรู้ว่ามันเป็นเพียงตัวเลขมันน้อยมาก..เพราะสำหรับเขา..ตัวเลขได้กลายเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในชีิวิตไปเสียแล้ว..
โทษเด็กก็ไม่ได้..จะว่าพ่อแม่ที่หวังดีต่อลูกก็คงไม่ใช่.. แต่มันเป็นที่ระบบและสังคมที่ขาดความเข้าใจ มันเป็นที่สื่อ ที่มีด้านเดียวเป็นส่วนใหญ่..
อ่านข่าว"3.18"แล้วมันสะดุดใจ ก็เลยต้องมาเขียนเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจกันค่ะ
ขอบคุณที่อาจารย์แวะมา ลปรร นะคะ
กราบนมัสการหลวงพี่มหาชัยวุธ
เรื่องหลอกล่อและอุปาทานในชีวิตมีมากจริงๆ..มันมาติดตัวตั้งแต่เด็กๆ..ต้องค่อยๆ แกะ กันไปเรื่อยๆ ค่ะ
สาธุเจ้าค่ะ _/|\_
สวัสดีค่ะคุณ Conductor
บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าอะไรเกิดขึ้นกับ EQ ของเด็กๆ หรือสังคมไทย
รู้สึกได้แต่ว่ามันเป็นกรรมที่สะสมกันมานาน..และได้ร่วมกันสะสมไว้..ผลจึงเป็นเช่นนี้ค่ะ
สวัสดีจ๊ะน้องซูซาน
ตอนพี่เห็นตัวเลข 3.18 ก็รู้สึก"วูบ"ไปเหมือนกัน..จิตตก..
เดาว่าต้องเป็นข่าวนี้แน่นอน..แต่วิธีการที่เขานำเสนอหัวข้อข่าวทำให้พี่คิดถึงเรื่องการตัดสินชีวิตด้วยตัวเลขขึ้นมาทันที...
อยากบรรยายเป็นบทกลอนเหมือนกัน แต่ทำไม่เป็น..บันทึกนี้ก็ใช้เวลาเขียนอยู่นาน..อยากจะสื่อความรู้สึกออกไปมากๆ เหมือนกัน..
กลอนของหลวงพี่กับของน้องเนี่ยสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ดีจริงๆ
แวะมาอีกครับ ผมคิดว่าเป็นกันทั้งสังคมเป็นส่วนใหญ่
ถ้าว่าเด็ก ก็ต้องว่าผู้ใหญ่ด้วย + ถ้าว่านักการเมือง ก็ต้องว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วย + ถ้าว่าสื่อ ก็ต้องว่าผู้บริโภคข่าวสารด้วยครับ -- เราดูแต่ผลโดยไม่ดูสาเหตุไม่ได้
เห็นด้วยค่ะคุณ Conductor ว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดังแน่ๆ ต้องมองทั้งสองด้าน เพียงแต่คิดว่าด้านหนึ่งอาจมีอำนาจในการ manipulate มากกว่า? ส่วนอีกด้านก็อาจจะมี ignorance ประกอบ? ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้..
อ.ตุ๋ยเขียนบันทึกนี้ตรงกับใจที่คิดไว้มานานมากค่ะ ในเรื่องของความคาดหวัง เพราะจะบอกทุกๆคนที่ใกล้ชิดเสมอๆในเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ผิดหวังเมื่อไม่เป็นตามที่คาดไว้..
ขอบคุณค่ะที่นำมาย้ำเตือน..
สวัสดีค่ะพี่อุ๊
คนที่เข้าใจถึงความไม่แน่อน และเข้าใจเรื่องข้อเสียของการตั้งความคาดหวัง(แบบยึดติด) เป็นคนที่มีปัญญาค่ะ จริงอยู่การคาดหวัง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาในโลกใบนี้ แต่การพัฒนาก็ยังมีทั้งในทางที่ดีและไม่ดี เหมือนกับทุกอย่าง
คิดถึงมีดค่ะ มีทั้งด้านด้านคม และด้านที่เป็นสัน... นึกถึงมีดที่ใช้หั่นของให้ขาดออกจากกัน กับนึกถึงมีดที่เป็นอาวุธทำร้ายกัน.. .. ไปเรื่อยแล้วค่ะ ^ ^
* เขียนได้โดนใจมาก
* ปัญหามีไว้แก้ไข
* แต่ปัญหาบางอย่างมันแก้ไม่ได้
* สิ่งสำคัญที่สุดเราต้องมีคนที่เข้าใจเรา คนๆนั้นจะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่เราไว้วางใจ ที่เราสามารถพูดได้ทุกเรื่อง
* คนที่ได้รับความไว้วางใจสำคัญที่สุด ที่คุณจะเป็นที่ปรึกษาชีวิตของใครบางคน
* คนเราไม่ได้ยึดติดกับตัวเลข แต่ตัวเลขมามีบทบาทสำคัญเหนือชีวิต และมีคนหมู่มากที่ยังนับถือตัวเลขอยู่ ใครมีตัวเลขเยอะคนนั้นคือคนสำคัญ ถ้าเราขจัดความคิด "ตัวเลข" ออกได้ สังคมจะน่าอยู่กว่านี้
สวัสดีค่ะคุณครูละเอียด
เห็นด้วยค่ะว่าถ้าเราสามารถลดการยึดถือตัวเลขเป็นสรณะ หรือบูชาตัวเลขไปได้ โดยเข้าใจว่าตัวเลขเป็นแค่เครื่องมือ แต่ไม่ใช่ตัวตัดสิน กะเกณฑ์ชีวิต ก็คงจะดีไม่น้อย
เห็ํนด้วยนะคะว่าปัญหาบางอย่างมันแก้ไม่ได้จริงๆ เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงผู้เดียว.. นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับและเข้าใจ และหาทางเลี่ยงปัญหาหรือยอมรับปัญหาไป.. การมีใครสักคนไว้หารือ พูดคุยก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก ... ที่สำคัญ เราต้องเข้าใจและยอมรับตัวเอง..เข้าใจธรรมชาติของเราเอง ของสิ่งแวดล้อม ก็คงผ่อนหนักเป็นเบาได้แน่ๆ
ขอบคุณที่แวะมา ลปรร นะคะ
สวัสดีค่ะอ.ขจิต
ตัวเลขเต็มไปหมดเลยนะคะ โดยเฉพาะสามสิบกว่าๆ น่ะ ^ ^
เรื่องการที่เกรดกับการประสบความสำเร็จในชีวิตหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่เด็กบางคนไม่ค่อยรู้จริงๆ.. เวลาสอนเขาก็จะพยายามบอก..เรียนให้ได้ความรู้ ไม่ใช่เกรด ถ้ามีความรุ้ รับรองทำข้อสอบอาจารย์ได้.. แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินขนาดไหนนะคะ.. เด็กบางคนเติบโตมากับตัวเลขที่เขาคิดว่าเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพเขาจริงๆ น่าเห็นใจค่ะ
สวัสดีค่ะอ.สุพักตร์
เห็นด้วยค่ะว่าเด็กคนที่สองเป็นคนที่มาความสุชในการดำรงชีวิตกว่าคนแรกเยอะเลย..
คงต้องช่วยกันเน้นให้เด็กๆ รับรู้ว่า เกรดไม่ใช่ตัวตัดสิน แต่คุณงามความดีของเขา ความตั้งใจของเขาต่างหากที่เป็นตัวชี้วัด..ซึ่งก็ไม่สามารถวัดมาเทียบกันเป็นตัวเลขได้..
บทเรียนจากข่าวนี้ทำให้ต้องหันกลับไปปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับเด็กๆ มากขึ้นด้วยค่ะ สร้างภูมิคุ้มกันอย่างที่อาจารย์บอก แม้จะเล็กน้อย ก็ยังดีค่ะ
มันเป็นเช่นนั้นเอง
....
เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นค่ะ
ขอบคุณนะคะ
สวัสดีค่ะพี่อึ่งอ๊อบ
ูปรัชญาล้ำลึก
ดีใจที่พี่บอกว่าพัฒนาขึ้น แล้วอย่าลืมสอนกันมั่งล่ะ ^ ^
สวัสดีค่ะอาจารย์น้องตุ๋ย
ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้ารู้จักปล่อยวางลงได้ เราคงเป็นสุขกันมากกว่านี้นะคะ
กระบวนท่าว่าด้วย "อุเบกขาบารมี" เป็นยอดวิทยายุทธที่พวกเราคงต้องฝึกกันอีกต่อไปและต่อไป...สู้สู้ค่ะ
ขออนุโมทนาบุญกับข้อคิดและบทความธรรมะที่มีคุณค่าของน้องตุ๋ยค่ะ
สวัสดีค่ะอ.พี่ตุ้ม
เรื่องอุปาทานกับเรื่องอัตตาเป็นเรื่องที่ต้องระวังมากๆ เลยค่ะพี่ บางครั้งโดน(ความคิด)หลอกได้ง่ายมากๆ เพราะอยู่กับระบบความคิดนี้มานาน ต้องฝึกฝน ต้องสร้างบารมีอย่างที่ว่ากันต่อไปค่ะ
อนุโมนทนาบุญกับสิ่งที่พี่ปฏิบัติเช่นกันนะคะ ^ ^
สวัสดีค่ะ
บันทึกนี้ดีจังค่ะ
การรู้จักปล่อยวางนั้น ทำยาก แต่ทำได้คือความสุขสุดยอดค่ะ
อีกอย่างหนึ่งที่คนเรามักจะกลัว คือการกลัวแพ้
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะชนะอะไร ไปทำไม
สิ่งที่ควรชนะ คือตัวเอง กลับไม่สนใจ
ค่ะขอบคุณธรรมะ ในบันทึกดีๆค่ะ
สวัสดีค่ะพี่หมอรุ่ง
ขอบคุณที่ชมค่ะ ยิ้มหน้าบานเลย..
แต่ตอนเขียนเรื่องนี้..หน้าไม่บานเท่าไหร่..นั่งดูเรื่องราวที่เกิดขึ้น..ลามไปเรื่องอื่นๆ เห็นอุปาทานเต็มไปหมด - -"
สิ่งที่เราทำได้คืออย่างที่พี่บอก..เอาชนะตัวเอง..หัดปล่อยวางอย่างเข้าใจ(ธรรมะและธรรมชาติ)..ตัวเองมีความเชื่อและศรัทธามากค่ะว่าเราสามารถทำได้ ... และก็จะพยายามต่อไปค่ะ ^ ^
บุญรักษาค่ะ
คนทั่วไปก็จะคิดถึง ว่า นี่คือเป็นโจทย์ใหญ่ที่กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันการศึกษาต่างๆ สังคม ครอบครัวต้องทบทวนคิดให้มาก
วิเคราะห์ได้กว้างขวาง
เราคิดกันเล่นๆ แต่เอาจริงๆ ว่า
สวัสดีค่ะอ.อาลัม
ยินดีที่ได้รู้จักเช่นเดียวกันค่ะ
อ่านอนุทินอาจารย์เรื่อยๆ แหละค่ะ
ยินดีต้อนรับนะคะ ^ ^
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
ขึ้นต้นกะลงท้ายคนละอารมณ์เลยนะคะ อิอิ
จริงค่ะที่เกือบทุกอย่างต้องใช้ตัวเลขมาวัด เพราะคนพยายามเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่นใครเก่งกว่า ใครดีกว่า ใครรวยกว่า จนกว่า สวยกว่า..
เมื่อวัดกันด้วยคำพูดบรรยายไม่ได้ ก็เลยต้องใช้ตัวเลข.. ตัวเลขเลยกลายเป็นเครื่องมือที่บางครั้งใช้ได้ดีในหลายๆ กรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใช้เป็นเครื่องมือวัดเปรียบเทียบในหมู่คนจำนวนมาก เช่นในเรื่องการเรียนการสอนที่เราใช้กันมาตั้งแต่อนุบาล..วันนี้หนูได้สี่ดาว ห้าดาว จากคุณครูเป็นต้น..
เราก็เติบโตกันมาแบบนี้ตลอด.. ปัญหามันคือเราไม่ได้ถูกสอนมาพร้อมๆ กันว่า คุณค่าของตัวเราไม่ได้ขึ้นกับตัวเลขเหล่านี้เสมอไป..เพราะบางทีคนวัด(เช่นครู)ก็เป็นคนเหมือนกัน ให้คะแนนผิดก็เป็นเหมือนกัน มีอคติก็เป็น.. ตังนั้น คะแนนที่ได้ในแต่ละครั้งมันเป็นส่วนผสมของผลของตัวเรา กับคนวัดผล และเครื่องมือที่ใช้วัด (เช่นข้อสอบ)ด้วย
นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น..เรื่องในชีวิตที่วัดกันด้วยตัวเลขก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน .. ที่ขาดไปก็คงเป็นในเรื่องของการสอนให้เด็กๆ เข้าใจว่าตัวเลขเป็นเครื่องบ่งชี้ที่เหมือนตาัชั่งที่ใช้นานๆ ก็เสียได้ บางทีก็ตาชั่งเอียง หรือคนวัดใช้ตาชั่งไม่เป็น..
ก็ต้องช่วยกันสอนทั้งครอบครัว ทั้งโรงเรียนกันต่อไปค่ะ ^ ^
แต่ที่แน่ๆ คือนอนเยอะไปไม่ดี ฮ่าๆๆๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านอนแล้วไปสาย อิอิ แต่ตัวเองจะเป็นโรคนอนเยอะเกินแล้วปวดหัว..โชคดีไป อิอิ
ขอบคุณพี่ที่เข้ามา ลปรร กันนะคะ
ฝากบทกวี โลก เคยเขียนเกี่ยกับตัวเลข ความยึดติด แต่ยังค้นไม่เจอค่ะ
บังเอิญว่าพูดคุยกันในครอบครัววันนี้ หัวข้อนี้เลยค่ะ อ.กมลวัลย์
สวัสดีค่ะคุณหมอจริยา
เมื่อครู่ไปอ่านบทกวี"โลก"มาแล้วนะคะ เีขียนตั้งแต่ปีใหม่แน่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้จักคุณหมอเลย ^ ^
เรื่องการยึดตัวเลขนี้เป็นเรื่องที่เราต้องเจอเป็นประจำวันเลยค่ะ .. ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนที่เจอแล้ว จะยึดติดกับตัวเลข หรือเข้าใจแค่ไหนว่ามันเป็นแค่ตัวบ่งชี้บางอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด.. วัดอะไรๆ ก็ไม่ได้ทั้งหมดหรอก..ใช่ไหมคะ ^ ^
ขอบคุณที่มา ลปรร นะคะ
ข่าวนี้ ทำให้พี่งงๆๆ มากๆๆ เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย
มีคำตอบแล้ว แต่เป็นคำตอบ ที่ไม่อยากจะย้ำออกมาอีกค่ะ..ได้แต่ถอนใจ..
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์
อ่านข่าวในครั้งแรกก็สลดใจมากๆ เหมือนกันค่ะ..
จะแต่ว่าตัวเองไม่เห็นแนวโน้มของสังคม..หรือไม่คาดคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับเด็กไทย..ก็ไม่ใช่..
เพียงแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนที่ติดอยู่กับอุปาทาน แยกออกว่านี่คืออุปาทาน..
ก็ต้องพยายามทำหน้าที่ของตัวเองเท่าที่ทำได้ค่ะ..คงช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่คิดว่าก็ยังดีค่ะ