สวัสดีครับวันนี้ผมขอเล่าเรื่องเสน่ห์การเมืองหน่อยนะครับเพราะมีคนเล่าให้ผมฟังว่า
พี่แก้วเชื่อไหมผมจะเล่าเรื่องคนลงการเมืองให้ฟังสักสามเรื่องเขาอารามพะบทให้ฟังว่า่
เรื่องแรก มีคนข้างบ้านเป็นช่างตัดผม วันๆก็ตัดผมทุกวัน ก็มีรายได้ดีก็คุยเรื่องการเมือง
ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไปทุกวัน จนเก็บเงินไว้ได้สอง
ปีบคือตัดผมได้เงินมาก็ใส่ปีบเก็บไว้เป็นประจำทุกวันรวมเป็นเวลาหลายปีจนเก็บเงินได้ สองปีบด้วย
กันในเวลาเดียวกันก็คุยเรื่องการเมืองและ การทำงานของนักการเมืองกับผู้ํที่มาตัดผมเป็นประจำทุกวัน
จนผู้ที่มาตัดผมก็แนะนำว่ามีความคิด ความอ่านอย่างนี้น่าจะลงสมัครลงการเมืองท้องถิ่นก็ได้นะแต่
่ช่างตัดผมคนนี้ก็หาสนใจไม่ แล้วลูกก็บอกว่าพ่ออยากได้รถปิคอัพเอาไปบรรทุกของค้าขายพ่อก็ตก
ลง นำเงินจำนวนสองปีบที่มีอยู่จากการตัดผมพอไปซื้อรถ คนขายรถต้องช่วยกันนับเงินจำนวนสอง
ปีบนั้นจนซื้อรถปิคอัพให้ลูกไปทำการค้าขายได้ ส่วนตัวเองก็มาตัดผมต่อ แล้วก็ยังเก็บเงินเหมือนเช่น
เคยอย่างที่ปฎิบัติมาก็คือเก็บเงินใส่ปีบไว้อีก ในเวลาเดียวกันก็คุยเรื่องการเมืองกับลูกค้าที่มาตัดผม
เป็นประจำมิได้ขาด เพื่อนฝูงก็บอกว่ามีความคิดดีๆอย่างนี้น่าจะลงสมัครการเมืองกับเขาบ้างนะพอ
อยู่มาได้ระยะหนึ่ง ก็มีการประกาศรับสมัครการเมืองท้องถิ่น ช่างตัดผมก็ตัดสินใจลงสัมครกับเขาด้วย
เพราะเพื่อนๆบอกว่าถ้าลงสมัคร ไม่ต้องกลัวพวกเราจะช่วยกันหาเสียงให้ ยังไงเสียต้องได้ขอให้เชื่อใจ
้รับเลือกตั้งแน่นอนความคิดดีๆ อย่างนี้ใครจะไม่เลือก ผลสุดท้ายก็ถูก รบเร้า จากเพื่อนบ้านและพรรค
พวกไม่ได้จึงได้ตัดสินใจลงสมัครการเมืองท้องถิ่น ก็เอาเงินที่เก็บไว้ในปีบมานับรวมแล้วก็เป็นเงิน
ประมาณ เก้าหมื่นบาท นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งที่ตัวเองลงสมัคร ในแต่ละวันก็ต้องมีค่าใช้
จ่ายทุกๆวันจนเงินจำนวน ที่ตัดผมก็หมดลง และในเวลาเดียวกันก็ประกาศผลการเลือกตั้งผลปรากฎว่า
แพ้การเลือกตั้ง สู้เขาไม่ได้เพราะ เงินค่าใช้จ่ายไม่พอในการหาเสียง ช่างตัดผมคนนี้เสียใจมาก โถ
อุตส่าห์์เก็บเงินใส่ปีบไว้ อดออมไว้เมื่อยามแก่เฒ่าเขาบ่นอยู่ตลอดเวลาว่าไม่น่าเลยที่ต้องหมดเงินกับ
เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องแต่ยังดีนะที่ เงินสองปีบแรกได้ซื้อรถให้ลูกเสียก่อนไม่อย่างนั้นคงหมดอีกเยอะ
ปัจจุบันนี้ช่างตัดผมคนนี้ก็ยังมีอาชีพตัดผมอยู่บอกว่าเข็ดแล้วเรื่องการเมือง
เรื่องที่สอง เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกันครับเป็นพ่อค้าขายเกลือมีรถปิคอัพเป็นของตัวเอง
ส่งเกลือขายเป็นประจำทุกวันทีนี้ก็มีความคิดความอ่านเก่งชอบคุยแต่เรื่องการเมือง มีความสนใจ
การเมืองเป็นอย่างมากใครจะคุยเรื่องการเมืองเป็นต้องมีความคิดที่น่าสนใจให้เพื่อนฝูงฟังเป็นประจำ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอด บางคนก็แนะนำว่าอย่างนี้น่าจะลงสมัครลงเลือกตั้งกับเขาบ้างถ้ามี
โอกาสคนขายเกลือคนนี้ต้องแบกเกลือส่งตามร้านต่างๆอยู่ทุกวันหนักก็หนักเหนื่อยก็เหนื่อยแต่เขามี
ความมานะมีความอดทนจนเก็บเงินไว้ได้มากเพราะขายเกลือกำไรดี จนมีฐานะดีขึ้นตามลำดับ
ในเวลาเดียวกันก็มีเพื่อนๆชวนลงเล่นการคนขายเกลือคนนี้ก็ตัดสินใจลงสมัครการเมืองท้องถิ่นกับเขา
เพราะมีคนให้การสนับสนุนมากคนนั้นก็จะช่วยคนนี้ก็จะช่วยบอกว่าอย่างนี้ต้องได้แน่ๆในเวลาเดียวกัน
ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพราะถ้าไม่มีค่าใช้จ่ายใครเขาจะช่วยออกหาเสียงให้ไหนจะ ค่ากินข้าว ไหนจะค่ารถ
จิปาถะ รวมแล้วก็เป็นเงินจำนวนมากโขอยู่ บางทีเราจะได้ยินเสมอว่า เงินไม่มากาไม่เป็น ส่วนมากเรา
จะได้ยินกันเป็นประจำ แต่ไม่มีหลักฐานเพียงแต่พูดกันไปพูดกันมาผลสุดท้าย วันลงคะแนนมาถึงคนนั้น
ก็บอกว่าลงคะแนนให้คนนี้ก็บอกว่าลงคะแนนให้ ไปทางไหนก็บอกว่าลงคะแนนให้ไม่ต้องกลัวได้แน่ๆ
แต่ผลสุดท้ายการนับคะแนนออกมาผลปรากฎว่าตัวเองไม่ได้รับการเลือกตั้งแพ้เขาสู้เขาไม่ได ้คนขาย
เกลือคนนี้เสียใจมากมีแต่คนเห็นใจเขาตรงที่ว่าขยันทำกิน ไม่น่าเลยที่จะต้องมาหมดเงินกับเรื่องไม่
เป็นเรื่องอย่างนี้
ผมยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟัง แต่ผมจำไม่ได้ว่าชื่อเรื่องอะไรไว้โอกาสต่อไปผมจะนำมาเล่าให้ฟัง
อีกนะครับ เรื่องทั้งสองเรื่องนี้ก็คงเป็นอุทาหรณ์ได้ดีนะครับสำหรับถนนสู่สายการเมือง มันเต็มไปด้วย
เล่ห์เหลี่ยมช่อฉนทั้งสิ้นไม่ว่าคนที่แนะนำมาชวนให้หมดสิ้นกับเงินทองที่หามาเมื่อถึงเวลาไม่มีใครเลย
ที่ช่วยเราจริงไม่เหมือนก่อนหน้านั้นรับปากรับคำกันดีนัก ผมก็หวังว่าเรื่องสองเรื่องที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้
คงจะเป็นจุดประกายอย่างหนึ่งนะครับ สำหรับผู้ที่จะเดินทางสู่การเมืองมันยากลำบากจริงๆ อย่าคิดนะ
ครับว่าวันนี้เขาพูดอย่างหนึ่งวันต่อไปจะพูดอีกอย่างหนึ่ง วันนี้บอกช่วยเราและวันต่อไปเขาอาจจะรับ
ปากบอกช่วยใครๆอีกก็ได้ใครจะไปรู้ถ้าหลีกได้เป็นหลีกห่างได้เป็นห่างอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ถ้ามีคน
เขาสนับสนุนเราทั้งเงินและคนก็เอาเลย แต่ท่านก็ต้องคิดให้ดีนะครับว่าเขาลงทุนช่วยเราออกเงินให้
้เราลงทุนให้เราแล้วคิดไหมว่าเมื่อเราเข้าไปสู่ถนนการเมืองได้แล้วเราจะไม่ตอบแทนบุญคุณเขาหรือ?
ที่เขาเคยช่วยเหลือเราไว้มาทางการเมืองเราต้องคอยตอบแทนบุญคุณเขาอยู่เรื่อยไป การจะเป็นคนดี
ของสังคมไม่จำเป็นเราต้องเข้าสู่ถถนการเมืองก็ได้ มีอีกหลายอย่างที่เราสามารถรักประเทศไทยของ
เราได้เช่น เป็นพลเมืองดีของประเทศ เป็นคนดีของสังคมช่วยเหลือสังคม เสียสละให้สังคมให้ความ
ร่วมมือกับทางราชการเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย อย่าทำผิดศิลธรรม อย่าทำผิดกฎหมาย หรือระ
เบียบของสังคมแค่นี้ก็ถือได้ว่าเราช่วยเหลือประเทศของเราแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่จะเดินทางสู่การเมือง
เมื่อเราทำดีสังคมเห็นสังคมก็สรรญเสริญเรา ขอให้คิดอย่างนี้ดีกว่าไม่เข้าเนื้อตัวเองและไม่เสียใจด้วย
สุดท้ายนี้สิ่งที่ผมรับฟังมาจากผู้เล่าและนำมานำเสนอกับท่านผู้อ่านผมหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์
ไม่มากก็น้อยกับท่านผู้อ่านนะครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านจงมีความสุข ความเจริญอายุมั่นขวัญยืน
ขอให้คุณพระคุ้มครองครับ
จากแก้ว สาริกา
สวัสดีคะ
บันทึกนี้ได้ข้อคิดดีๆ มากมายคะ
ดิฉันขอแนะนำให้ลองอ่านบันทึกที่แนะนำเกี่ยวกับคำสำคัญที่ http://gotoknow.org/blog/tutorial4u/tag/คำสำคัญ คะ
เพื่อเป็นประโยชน์ในการใช้งานคะ
ลองอ่านดูนะคะ