พากันไปเรียนรู้ที่ สุภัทราแลนด์ แดนดินถิ่นผลไม้ เมืองระยอง


เด็กกรุงส่วนใหญ่มักจะตื่นเต้นเวลาไปเห็นผลไม้ยังอยู่กับต้น เพราะเคยแต่รับประทานแต่ไม่รู้จักเลยว่าต้นนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ใหญ่โตขนาดไหน

      เมื่อ 30 เมษายนที่ผ่านมา  เป็นวันที่สนุกอีกวันหนึ่ง  ปกติแล้วเหล่าพลพรรค Inno Facilitator ที่ผ่านการอบรมจาก SCG จะมีการนัดพบกันทุกเดือน ปีที่แล้ว จัดบ้างไม่จัดบ้าง กลุ่มสภาเจไดจึงลงความเห็นกันว่า ต้องมีเวทีให้อัศวินทั้งหลายมาพบกับท่านโยดาบ่อยๆ แต่พอจะให้ส่วนกลางเป็นผู้จัด   ทุกเดือนก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย เลยตกลงว่าในปีนี้ ขอให้กลุ่มธุรกิจต่างๆ ผลัดกันเป็นเจ้าภาพ

       
     
เดือนนี้เป็นคิวของกลุ่มธุรกิจเรา ซึ่งมีนิวาสถาน โรงงานอยู่ที่ระยอง สมาชิกในพื้นที่ช่วยกันออกความเห็นกันไปต่างต่างนานา ในที่สุด เราก็เลือกสุภัทราแลนด์ ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ อาจจะไม่ต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเล และคิดว่าสถานที่น่าจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดี มีห้องประชุมเย็นๆ ให้เรามานั่งคุยกับครูบาอาจารย์ในช่วงบ่าย

       

      คราวนี้จึงถือโอกาสของความเป็นเจ้าภาพชักชวนผู้ที่เป็นสาวก หรือกลุ่มที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากต้นน้ำอย่างพวกเราไปแล้ว ให้มาร่วมกิจกรรมนี้ด้วย รวมพลได้กว่า 35 ชีวิต เป็นคนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ 25 คนเห็นจะได้

     

      ที่สุภัทราแลนด์ มีหลายคนเคยมาเที่ยวแล้ว เป็นที่ท่องเที่ยวเอกชน เสียค่าเข้าชมคนละ 150 บาท  เจ้าของเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างของ SCG และเบียร์สิงห์ สวนผลไม้ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ แรกเริ่ม เป็นสวนยางปนผลไม้ ปลูกไว้เพื่อเก็บผลไว้รับกันเอง หรือนำไปแจกญาติผู้ใหญ่ รายได้หวังว่าจะมาจากสวนยาง ซึ่งขณะนั้นประมาณ 15 ปีมาแล้ว มีที่ดินประมาณกว่า 100 ไร่ แต่พอทำไปทำมา ราคายางไม่ดี แถมหาแรงงานกรีดยางยากหนักหนา ประจวบเหมาะกับมีคนมาดูงานเยี่ยมชมสวนด้านการเกษตรที่สนใจทำธุรกิจทัวร์ จึงชักชวนกันหาช่องทางการทำทัวร์สวนผลไม้

       

     ปัจจุบันนี้มีพื้นที่กว่า 800 ไร่ ปลูกผลไม้ 20 ชนิดเพื่อให้มีผลเก็บกินหมุนเวียนให้นักท่องเที่ยวมากันทั้งปี นอกจากนั้นยังทำสวนผักในมุ้งไม่ใช้ดินหรือไฮโดรโพนิก เพาะกล้วยไม้ และผึ้ง เห็นเลี้ยงไว้ในกล่องมีอยู่หลายสิบรัง แต่ละรัง (กล่อง) มีผึ้งเป็นหมื่นตัวยั้วเยี้ยไปหมด

       

     ช่วงเช้าพวกเรานั่งรถไปชมสวนผลไม้ประมาณ 2 ชั่วโมง จุดแรกที่เขาปล่อยเราลงเป็นบุฟเฟต์ผลไม้ใส่ถาดปอกรออยู่แล้ว พอลงจากรถได้สมาชิกทั้งหลายแปลงร่างราวกับแมลงอะไรก็ไม่รู้บินโฉบเฉี่ยวไปมาอย่างรวดเร็วและกรูกันไปที่โต๊ะทุเรียนซึ่งแยกจากผลไม้ชนิดอื่นๆ ได้ยินว่าบางคนซัดซะจนอืดหลามไปตามๆ กัน

     

      ออกจากจุดแรกนั่งรถต่อต้องข้ามถนนใหญ่ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อไปดูองุ่นไร้เมล็ด ต้นของมันปลูกอยู่บนแปลงดินยกสูงที่ต้องทำแผงไม้ไว้ให้เกาะและอยู่ภายใต้หลังคา  จุดแวะที่สองเป็นจุดส้มตำ ที่จุดนี้ตัวเองไม่ได้ชิมสักแอะ เพราะมัวแต่ไปแวะสนใจโรงปลูกเมลอนกับแตงโมที่อยู่ใกล้กัน โดนแดดจนผิวเป็นสีน้ำผึ้งเลย

     

     ตอนที่นั่งรถต่อออกมาเกือบถึงปากประตู ได้พบกับเรือนเพาะชำกล้วยไม้สีสวยสะดุดตา บางสีไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นพันธุ์ไม้ดอกที่เคยบ้าอยู่พักนึง แต่ตอนนี้เลิกแล้ว ไม่กล้าปลูก เพราะมีคนผวนคำว่า กล้วยไม้ ให้ฟัง  จากนั้นที่ตื่นเต้นจนลืมความกลัวผึ้งต่อย นั่นคือ... เด็กกรุงที่ไม่เคยเห็นนางพญาผึ้งที่มีอยู่ตัวเดียวในแต่ละรังรายล้อมด้วยผึ้งบริวารตัวเล็กกว่า เพิ่งรู้ว่าผึ้งงานไม่มีเพศ แต่มีเหล็กไนไว้ต่อยศัตรู  ผึ้งที่แย่สุดคือผึ้งตัวผู้  ที่ผสมพันธุ์กับนางพญาครั้งเดียวแล้วต้องตาย ใครรู้บ้างว่าทำไม ถ้าอยากมีชีวิตยืนยาวก็น่าจะอยู่ให้ห่างๆ นางพญาไว้น่าจะดีกว่า

 

        ช้วงบ่ายมีวิทยากรมาบรรยายเกี่ยวกับความเป็นมา และการทำตลาดของสวนแห่งนี้ ที่น่าแปลกใจคือ ตอนนี้ต้องซื้อน้ำรดต้นไม้เดือนละเป็นแสน ต่อวันจ่ายกว่าห้าพันบาท และพืชที่กินน้ำมากที่สุดคือ พืชตระกูลส้ม เลยโดนโค่นทิ้งเกือบหมด เหลือส้มโอให้ดูเล่นๆ ไว้ไม่กี่ต้น  จากนั้นพวกเราได้นั่งสนทนากับ อ.คนไร้กรอบ ถึง 5 โมงเย็น สุดท้ายได้ร่วมบริจาคเงินไถ่ชีวิตโค กระบือ ให้กับ ธนาคาร โค กระบือ จังหวัดปทุมธานี ซึ่ง citrus จะนำเงินที่ได้ทั้งหมดจากเพื่อนฝูงที่บริษัท และเหล่าพลพรรค Inno FA ไปมอบในวันฉัตรมงคลที่จะถึงนี้ ขอถือโอกาสนี้อนุโมทนาบุญให้กับทุกๆ ท่านด้วยนะคะ งานนี้ทั้งอิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มปัญญา และอิ่มบุญ

 

        สำหรับตัวเองแล้ว รู้สึกสนุกกับการมาเรียนรู้เรื่องผลไม้ และได้เห็นผลไม้ดิบๆ ที่ยังอยู่กับต้น เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน กระท้อน แก้วมังกร มะเฟือง องุ่น สละ เมลอน แตงโม ทราบจากวิทยากรว่า การนำผลไม้มาปลูกในละแวกเดียวกัน เขาต้องศึกษานิสัยของต้นไม้แต่ละชนิดอย่างละเอียดว่าชอบ หรือไม่ชอบอะไร โรคที่มีโอกาสเป็นจะติดต่อไปยังเพื่อนใกล้เคียงได้ไหม อยู่ใกล้กันต้องกินน้ำปริมาณพอๆ กัน สามารถเป็นร่มเงาพึ่งพากันได้หรือไม่ ทำให้เห็นว่าคนที่เขาคลุกคลีกับต้นไม้ เขาต้องมีความรัก ความเอาใจใส่ในรายละเอียด และเอาใจต้นไม้ทุกต้น ทำยังไงให้ต้นไม้ไม่มีโรค ทำยังไงให้เขาได้รับอาหารและการบำรุงที่เหมาะสมจนออกดอกออกผลได้  ปัญหาของคนทำการเกษตรอย่างหนึ่งที่น่ากลัวก็คือ สภาพภูมิอากาศของโลกเราที่นับวันจะแปรปรวนมากขึ้นทุกที ความหนาว ความร้อนที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาลที่ควรเป็นส่งผลให้ ผลผลิตไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และคนทำสวนมีโอกาสที่จะได้รับความเสียหายจนถึงเสียชื่อได้เหมือนกัน  

หมายเลขบันทึก: 180464เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2008 22:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ยังคงเป็นแฟนประจำมาแอบ อ่านเสมอๆค่ะ...วันนี้ขอรายงานตัว โปรแกรมตกแต่งรูป อันนี้ก็น่าสนใจนะคะ ใช้ง่ายอีกด้วยค่ะ http://www.photoscape.org/ps/main/index.php

แวะมาเยี่ยมครับ เหมือนกับได้ไปเที่ยวเองเลย เรื่องผึ้งน่าสนใจ ผมรักกล้วยไม้ และชอบทานผัก โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ กำลังจะติดด่อมาปลูกทานเองที่บ้าน เทตนิครูปสวยดีครับ

สวัสดีค่ะ คุณ 1. เมตตา

ขอบคุณมากๆ ค่ะ สำหรับโปรแกรมตกแต่งรูป ที่แนะนำมา จะลองเข้าไปศึกษาดูค่ะ ที่ทำมาแสดงในบันทึกนี้ ไม่ค่อยได้ดั่งใจ แต่ก็ยังดีกว่าเดิมที่เป็น picture แปะไว้เหลี่ยมๆ

สวัสดีค่ะ คุณ

2. riceman

ชื่อนี้กำลังเป็นประเด็นร้อน ออกข่าวทุกวันและ ผู้เกี่ยวข้องกับข้าว น่าจะมีความสุขนะคะ

ผักปลอดสารพิษน่าสนใจค่ะ สำหรับผักที่เขาปลูกกันในมุ้ง แบบไม่ใช้ดิน ใช้น้ำหล่อเลี้ยง น่าสงสัยว่าทำได้แต่ผักที่ใบเบาๆ แบบทานกับน้ำสลัด หรือใบคล้ายผักกาดนำไปแกงจืด ยังไม่เคยเห็นผักที่หลากหลายกว่านี้ค่ะ ถ้าทำที่บ้านได้น่าจะดี และเพลินด้วยค่ะ

ปลายเมษาผมก็ไประยองมาเหมือนกันครับ ไปรับเพื่อนที่เลี้ยงกุ้งอยู่แถวแหลมสิงห์ แถมได้กุ้งกลับบ้านอีกเพียบเลย ว่าจะแบ่งให้สักหน่อยแต่หมดแล้วครับ

น่าสนใจครับ

ผมน่ะเป็นคนมือร้อน ปลูกอะไรก็ตาย

แต่ไม่เคยทำลายต้นไม้เลยครับ

รู้สึกจิตเกิดมากเวลาเห็นคนตัดต้นไม้ ผมว่าพวกเขาเป็นคนทำลายโลกเลยนะครับ

วันก่อนลูกถามว่า ปลูกต้นไม้นี่ ช่วยลดรอยที่หุ้มโลกได้อย่างไร รู้สึกดีใจกับคำถามนี้จัง อธิบายเสียยกใหญ่ ไม่รู้จะเข้าใจไหม

วันก่อนเศร้าใจ ได้ข่าว่าผืนป่าในเมืองไทยมีแค่ ๑๘% ของพื้นที่ เศร้าจัง

ดีใจที่ได้สัมผัสธรรมชาตินะครับ แล้วจะหาโอกาสไปบ้าง

กลับมาขอบคุณ คุณเมตตาสุดสวย ที่ช่วยแนะนำโปรแกรมทำ ภาพอีกอัน ที่citrus ลองเล่นดูแล้ว ติดตามได้ในบันทึกเรื่อง ไถ่ชีวิต โค กระบือค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ

5. Noppanat Pongwan

โธ่กินกุ้งไปหมดแล้ว มาบอกตอนนี้ ชักหิวจนท้องร้องจริงๆ ค่ะ เห็นภาพตัวงอสีส้ม

สวัสดีค่ะ อาจารย์

6. คนไร้กรอบ

คุณทวีสิน แนะนำโปรแกรม Picasa ให้มาลองเล่นดู พอทำได้ แต่ยังไม่แล้วใจ เพราะเราบิดมุมรูปตามใจชอบ ไม่ได้ค่ะ

7. ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

สวัสดีจ้ะ น้องปรีดิ์ ช่างเป็นคุณพ่อที่น่าชื่นชมคนหนึ่งอย่างยิ่ง จากคำถามที่ลูกถาม ทำให้เห็นว่าคุณพ่อสอนอะไร หรือทำให้รู้อะไรไปแล้วบ้าง

พี่เองได้รับการสอนที่จำได้ครั้งแรกตอนอยู่ ป.5 คุณครูสอนให้นักเรียนรักต้นไม้ และบอกเล่าเรื่องปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าของไทย นี่มันกี่สิบปีมาแล้ว สมัยนั้นป่าไม้เหลือประมาณ 25 หรือ 30% พี่จำไม่ได้แน่ชัด รู้แต่ว่าตอนเด็กๆ พี่เคยถึงขนาดแช่งชักหักกระดูกคนตัดไม้ทำลายป่าก่อนนอนทุกคืนเลย แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่พี่ขอกลับกัน คือ ขอให้คนที่ทำไม่ดีต่อสังคม ประเทศชาติ บ้านเมือง เกิดจิตสำนึกในด้านดี ให้เขากลับตัว กลับใจกันบ้าง เลิกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนกันเสียที

พี่ส้มครับ ไม่ต้องแช่งหรือทำอะไรเขาหรอกครับ มันมีกรรมอยู่และทุกอย่างมันก็เป็นเช่นนั้นเองครับ คนดีคนชั่วก็มีมาทุกยุกทุกสมัยครับ ไม่ใด้เป้นเฉพาะเดี๋ยวนี้ครับ จะมีเราหรือไม่มีเรา เราจะเกิดมาหรือไม่ มันก็เป็นครับ เพราะโลกเป็นเช่นนั้น

ขอบคุณสำหรับรายละเอียดค่ะ .. ตอนนี้กำลังเรียนโทอยู่ เลยอยากวิจัยงานสักชิ้น

อืมมมม..... ได้ความรู้เยอะเลย แถมน่าไปเที่ยวอีกด้วยค่ะ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท