การจัดการความรู้กับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล
ตามที่ท่าน อาจารย์ สนธยา บำรุง รองผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลคุ้มหนองคู เทศบาลนครขอนแก่น ถามว่า “การพัฒนาทรัพยากรบุคคลเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้หรือไม่? อย่างไร ? จะใช้วิธีการใดในการพัฒนา? ” นั้น ผมอยากใช้โจทย์นี้สำหรับการนำเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับทุกท่านที่มีความสนใจในเรื่องนี้เช่นกัน โดยขอตอบยาวสักนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันของท่านรองผู้อำนวยการเองและผู้สนใจท่านอื่นว่า
1. “การพัฒนาทรัพยากรบุคคล” หมายถึง กิจกรรมต่างๆที่องค์กรจัดให้มีขึ้นเพื่อเพิ่มคุณภาพของทรัพยากรบุคคลขององค์กร ทั้งในด้านความรู้ ความเข้าใจ (knowledge and understanding) ความถนัด (aptitude) ทักษะ (skill) และความสามารถเฉพาะตัว (individual capacity) เพื่อเพิ่มสมรรถนะ (competencies) ให้แก่พนักงานในอันที่จะปฏิบัติงานในขอบเขตหน้าที่และความรับผิดชอบนั้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
2. กระบวนการในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล แบ่งออกได้เป็น 3 กิจกรรมหลัก (ถ้าเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล จะแบ่งออกเป็น 3 แผนก) คือ
2.1 continuing education หมายถึงกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง เช่นการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาและระดับบัณฑิตศึกษา สำหรับพนักงานที่มีศักยภาพและมีคุณสมบัติครบตามข้อกำหนดขององค์กร ตลอดจนการเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ ทางเทคโนโลยีใหม่ๆด้วย บางตำราเรียกกิจกรรมนี้ว่าการศึกษาผู้ใหญ่ (adult education)
2.2 employee career development หมายถึงการพัฒนาอาชีพของพนักงานในองค์กร โดยการวิเคราะห์สมรรถนะของพนักงาน (competency analysis) และการสำรวจความสนใจในการพัฒนาอาชีพของพนักงาน (career inventory) แล้วนำมาจัดทำแผนพัฒนาพนักงานรายบุคคล (individual career development plan) เพื่อเตรียมพัฒนาพนักงานขึ้นรองรับตำแหน่งระดับสูงที่จะต้องขยับตามกันขึ้นไป พร้อมๆกับการวางผังทดแทน (succession plan) เพื่อเตรียมคนขึ้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นไป กิจกรรมการพัฒนาอาชีพของพนักงานมีหลายกิจกรรมย่อย เช่นการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน (on - the - job training) ที่ทางราชการเรียกกันว่า “การฝึกอบรมในกิจการ” การเป็นครูพี่เลี้ยง (mentoring) การแนะนำงาน (job counseling) การบริหารผลงาน (performance management) และการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน (peformance improvement) เป็นต้น
2.3 training หมายถึง การฝึกอบรมรูปแบบต่างๆ ที่มุ่งเพิ่มความถนัดและทักษะให้แก่พนักงานตามระดับของพนักงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในขอบเขตหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การฝึกอบรมทางเทคนิค (technical training) การฝึกอบรมทักษะเฉพาะทาง (special skill training) การฝึกอบรมการจัดการ (management training) และการพัฒนานักบริหาร (executive development)
3. เพื่อให้ผลของการศึกษาต่อเนื่อง การพัฒนาอาชีพพนักงานและการฝึกอบรมได้มีการนำมาประยุกต์ใช้และบูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรมครบถ้วน เป็นปัจจุบันและต่อยอดการเรียนรู้ของบุคลากรในองค์กร องค์กรจึงจำเป็นต้องจัดให้มีการดำเนินการให้มีศูนย์การเรียนรู้ (learning center) ขึ้น ทั้งในรูปแบบของศูนย์ประมวลเทคโนโลยี (technology center) การเรียนรู้ทางอิเลคทรอนิคส์ (e – learning) และห้องสมุดเทคโนโลยี (technology library) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้การจัดการความรู้ (knowledge management) เข้ามาช่วย เนื่องจากการจัดการความรู้เป็นกระบวนการรวบรวมจัดหมวดหมู่ คัดกรอง ออกแบบการนำไปใช้ และกระจายความรู้ให้ได้รับการนำไปใช้อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ทั้งเพื่อให้การลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ผลคุ้มค่าทั้งด้านเวลาและทุนทรัพย์ กับเพื่อให้นำความรู้ต่างๆ เหล่านั้นมาใช้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันในองค์กร
การจัดการความรู้ จึงนิยมดำเนินการในรูปของกรรมการที่มีตัวแทนของทุกหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วม เช่น เดียวกับคณะกรรมการพัฒนาองค์กร (organization development) ที่ถ้าหากตั้งเป็นหน่วยงานหรือหน่วยงานจัดการความรู้ขึ้นมาเมื่อใด ความล้มเหลวของศูนย์การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น
4. ต่อคำถามที่ว่า “การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาสังกัดหน่วยงานราชการต่างจากสถานศึกษาของเอกชนอย่างไร” คงจะขอตอบว่า “ไม่แตกต่างมากนัก” สถานศึกษาในสังกัดหน่วยงานราชการได้เปรียบกว่าเพราะมีทุนสนับสนุนการศึกษาต่อสำหรับครูอาจารย์ของสถานศึกษา ทั้งทุนของรัฐบาลและทุนช่วยเหลือจากองค์กรภายนอก ในขณะที่สถานศึกษาของเอกชนไม่ค่อยมีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเท่าใดนัก ยกเว้นสถานศึกษาของเอกชนที่อยู่ในสังกัดมูลนิธิต่างๆ เช่น สภาแคทอลิคแห่งประเทศไทย สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย เป็นต้น ที่มีทั้งทุนในการผลิตครูอาจารย์ และทุนการศึกษาต่อสำหรับครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาด้วย
5. ถามว่า “จะใช้วิธีใดในการพัฒนาบุคคลากรของสถานศึกษา” คำตอบก็คือ เนื่องจากครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาของสถานศึกษามีความแตกต่างจากลูกจ้างโดยทั่วๆไปของสถานประกอบการเอกชน จะเห็นได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจ้าง “ลูกจ้างอาจารย์” ของมหาวิทยาลัยต่างๆที่กำลังอยู่ระหว่างการออกนอกระบบอยู่ในปัจจุบัน ฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาจึงจำเป็นต้องร่วมมือกับคณะผู้บริหารของสถานศึกษาในการดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องอย่างเป็นมาตรฐาน จะดำเนินการเพียงการฝึกอบรม สัมมนา ปีละครั้งอย่างฉาบฉวยมิได้
การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษา คงจะต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์วิสัยทัศน์ของสถานศึกษานั้นๆว่าจะมุ่งให้สถานศึกษาแห่งนี้บรรลุเป้าหมายอะไรในสังคมที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วใน 2 – 3 ทศวรรษข้างหน้า แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ของสถานศึกษาก็ควรจะหันหน้าเข้าหากัน แล้วตอบคำถามร่วมกันให้ได้ว่า “เราจะเตรียมตัวในด้านใด อย่างไร และมากเพียงใด เพื่อจะให้มีครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพียงพอที่จะผลิตผู้จบการศึกษา รองรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ? ” โดยจะต้องไม่ต้องคำนึงว่า “เราจะได้รับอะไรจากสถานศึกษาที่เรากำลังทำงานอยู่บ้าง ? แล้วจึงจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษา โดยมุ่งความดีกว่าและความเจริญก้าวหน้าของสังคมเป็นสำคัญครับ
ไม่มีความเห็น