เมื่อเรียนจบปริญญาตรี เคยฝันว่า อยากมีโอกาสทำงานเป็น "ข้าราชการ" ข้าของแผ่นดินสักครั้งหนึ่ง ขอให้ได้ใส่ชุดข้าราชการสีขาว ๆ สักครั้ง
แต่ความฝัน ก็คือ ความฝัน ...
ผมเรียนปริญญาโทต่อเนื่องจากปริญญาตรีในปีเดียวกัน ... ถึงแม้จะได้มีโอกาสทำงานระยะสั้นในมหาวิทยาลัยที่มีต้นนนทรีเยอะ ๆ
การร่ำเรียนปริญญาโทที่นานมาก ๆ ๆ เรียนแบบไม่ยอมจบเสียที ทำให้ผมขาดโอกาสที่จะสอบเป็นข้าราชการกับเค้า อีกทั้งถึงแม้จะเรียนจบสายครูมา มีสิทธิ์ที่สอบบรรจุขึ้นทะเบียนเป็นข้าราชการครู แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายในชีวิตของผม ผมจึงไม่เคยสมัครสอบข้าราชการครูแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต ... เป้าหมายผมกลับมีความสุขจากการได้ทำงานในระดับอุดมศึกษา ชอบวิชาการหรือยังไงกัน ก็ไม่ทราบ ชีวิตจึงหันเหอยู่ในระดับอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัยมานาน
ในระยะเวลาการศึกษาต่อระดับปริญญาโทนั้น เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยกำลังวางกรอบ โครงสร้าง อัตรากำลังใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมออกสู่นอกระบบราชการ ทำให้ตำแหน่งงานและอัตราต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย รับเฉพาะตำแหน่งที่มีสถานะ "พนักงานมหาวิทยาลัย" เท่านั้น โดยแยกเป็น "พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ" หรือ ข้าราชการสาย ข สาย ค เดิม และ "พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ" หรือข้าราชการสาย ก เดิม
เมื่อผมใกล้เรียนจบปริญญาโทในปีสุดท้าย ผมจึงเลือกไปหางานทำไปด้วย ทำวิทยานิพนธ์ไปด้วย ดังนั้น จึงเห็นว่า มีแต่ "พนักงานมหาวิทยาลัย" เท่านั้น ตำแหน่งยังคงชื่อเดิมจาก ก.พ.
ผมเรียนจบปริญญาโทในที่สุด และได้ทำงานมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน ปรากฎว่า ผมทำงานในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น อาจจะมี Job เล็ก ๆ บ้างจากสถานประกอบการเอกชน
ประสบการณ์การทำงานของผมจึงเรียกได้ว่า เติบโตในสถาบันอุดมศึกษามาตลอดชีวิตการทำงาน อยู่ในแวดวงนี้มา 10 กว่าปี
ผมเคยมีสถานะเป็น "ลูกจ้างชั่วคราว" ........ 2 มหาวิทยาลัย 3 หน่วยงาน
ผมเคยมีสถานะเป็น "พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ" ....... 2 มหาวิทยาลัย 2 หน่วยงาน
ผมเคยมีสถานะเป็น "พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ" ........ 1 มหาวิทยาลัย 1 หน่วยงาน
สรุปได้ว่า ผมอยู่ในสถานะ "พนักงานมหาวิทยาลัย" ถึง 3 มหาวิทยาลัย มาแล้ว ...
เงินเดือน
มหาวิทยาลัยแรก ... คือ มหาวิทยาลัยช้าง .... ถ้าเป็นการว่าจ้าง "พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ" ด้วยงบประมาณแผ่นดิน เงินเดือนเริ่มต้นจะอยู่ที่ ประมาณ 9,540.- บาท ซึ่งในเชียงใหม่ ถือว่า สูงมาก ในขณะที่ "พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ" ได้แก่ อาจารย์ หรือ นักวิจัย เงินเดือนเริ่มต้น ประมาณ 15,000.- บาท (อ๋อ ถ้าเป็นการว่าจ้างจากงบเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย มักจะจ้างตามวุฒิที่ ก.พ. กำหนด เช่น สายปฏิบัติการ ปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 6,360.- บาท ช่วงปี 2542 - 45 เป็นต้น)
มหาวิทยาลัยที่สอง ... คือ มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า ... ว่าจ้าง "พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ" ด้วยงบประมาณแผ่นดิน เงินเดือนเริ่มต้นจะอยู่ที่ ประมาณ 8,870.- บาท ในขณะที่ "พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ" ได้แก่ อาจารย์ หรือ นักวิจัย เงินเดือนเริ่มต้น ประมาณ 15,000.- บาท
มหาวิทยาลัยที่สาม ... คือ มหาวิทยาลัยผลิตครู ... ว่าจ้าง "พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ" ด้วยงบประมาณแผ่นดิน เงินเดือนเริ่มต้นจะอยู่ที่ ประมาณ 6,360.- บาท ในขณะที่ "พนักงานมหาวิทยาลัยสายวิชาการ" ได้แก่ อาจารย์ หรือ นักวิจัย เงินเดือนเริ่มต้น ประมาณ 7,780 บาท << เรื่องจริงกันเลย
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ก็คือ ท่านสังเกตว่า ผมได้รับเงินเดือนต่ำลงมาเรื่อย ๆ จากการย้ายจากแห่งที่ 1 มาแห่งที่ 3 ... โปรดอย่าถามว่า ผมเงินเดือนถึงหมื่นหรือยังครับ ปล่อยให้ปริศนา ... การได้เป็น "ครูมหาวิทยาลัย" ทำหน้าที่ผลิตครู ถือว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่ง
สวัสดิการของมหาวิทยาลัย ทั้งสามนั้น คือ "ประกันสังคม" และ "เบี้ยสะสม"
"ประกันสังคม" ทั้งสามมหาวิทยาลัย จะหัก 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เข้า "กองทุนเงินประกันสังคม" ถ้าเงินเดือนสักหมื่นหนึ่ง ก็ ถูกหักไป 500 บาท ทุกเดือน
"เบี้ยสะสม" อันนี้แตกต่างกัน ครับ
มหาวิทยาลัยช้าง ... หัก 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน และ มหาวิทยาลัยจะสมทบให้อีก 5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ลาออกจากราชการ รวมเป็นเงินสะสมจนหมดอายุราชการ ไม่มีบำเหน็จ บำนาญ เหมือนข้าราชการ
มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า ... หัก 4 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน และ มหาวิทยาลัยจะสมทบให้อีก 4 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ลาออกจากราชการ รวมเป็นเงินสะสมจนหมดอายุราชการ
มหาวิทยาลัยผลิตครู ... หัก 2.5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน และ มหาวิทยาลัยจะสมทบให้อีก 2.5 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่ลาออกจากราชการ รวมเป็นเงินสะสมจนหมดอายุราชการ
ต่างกันไหมครับ .... :)
การต่อสัญญาทำงาน
มหาวิทยาลัยช้าง ... ทดลองงาน 6 เดือน ... หลังจากต่อสัญญาครั้งละ 1 ปี จำรายละเอียดไม่ได้ว่า ต่ออีกกี่ครั้งแล้วจะมีการเซ็นสัญญา 5 ปี หรือตลอดชีวิต
มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า ... ทดลองงาน 1 ปี ... หลังจากต่อสัญญาครั้งละ 1 ปี จำรายละเอียดไม่ได้ว่า ต่ออีกกี่ครั้งแล้วจะมีการเซ็นสัญญา 5 ปี หรือตลอดชีวิต
มหาวิทยาลัยผลิตครู ... ทดลองงาน 1 ปี ... หลังจากต่อสัญญาครั้งละ 1 ปี 2 ครั้ง แล้วต่อสัญญาเป็น 4 ปี หลังจากนั้นจึงจะต่อสัญญาตลอดไป (ถ้าจำไม่ผิด)
อันนี้ก็ต่างกัน
การขึ้นเงินเดือน
มหาวิทยาลัยช้าง ... ใกล้หมดสัญญาจะเรียกไปสัมภาษณ์ ดูผลงาน และมหาวิทยาลัยจะขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์ ... ดี ดีมาก ขึ้นไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ดีเยี่ยม ขึ้นได้ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน (อันนี้ เป็น พนักงานมหาวิทยาลัยสายปฏิบัติการ ถ้าสายวิชาการ จะได้มากกว่านี้ ครับ)
มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า ... ขึ้นเงินเดือน ไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์
มหาวิทยาลัยผลิตครู ... ขึ้นเงินเดือนเป็นขั้นข้าราชการ แบบแท่ง ... ตลกดี ถ้าปีหนึ่ง ได้สัก 1 ขั้น 1 ขีด ก็ขึ้นไม่เกิน 400 บาท ถ้าหัวหน้ารักมากกว่าคนอื่น ได้ 2 ขั้น ก็ 800 บาท ระบบเปอร์เซ็นต์ยังไม่มา
การออกนอกระบบ
ผมอยู่มหาวิทยาลัยช้าง ตอนที่เตรียมการออกนอกระบบ แต่ปัจจุบันได้ออกนอกระบบราชการไปแล้ว
ผมอยู่มหาวิทยาลัยสมเด็จย่านั้น เขาออกนอกระบบตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแล้ว
ส่วนมหาวิทยาลัยผลิตครู ... อยู่ในขั้นเตรียมการออกนอกระบบ ไม่รับข้าราชการอีกแล้ว มีแต่พนักงานมหาวิทยาลัยเท่านั้น (พ.ศ.2575 ข้าราชการคนสุดท้ายจะเกษียณอายุราชการ)
แบบนี้ ... ผมพอจะพูดเรื่อง "การออกนอกระบบ" ได้หรือยังครับ ผมมีประสบการณ์มา 10 กว่าปี สำหรับมหาวิทยาลัยที่กำลังมีปัญหาเรื่องออกนอกระบบ หรือไม่ออก ประท้วงกันวุ่นวาย
ผมเคยอ่านข้อเขียนในหลายบันทึกที่เกี่ยวข้องกับ "การออกนอกระบบ" ของมหาวิทยาลัยตัวเอง รวมถึง ความเข้าใจและไม่เข้าใจในเรื่อง "การออกนอกระบบ" ของคนที่แสดงความคิดเห็นด้วยความไม่รู้ หรือรู้ก็รู้ไม่จริง หรือ ไม่รู้แต่ไม่ฟัง ...
ในส่วนตัวผมแล้ว การออกนอกระบบราชการ แต่ยังได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ถือเป็นเรื่องที่ทำให้การทำงานด้านวิชาการ พัฒนาสังคม ท้องถิ่น ไปได้อย่างว่องไว รวดเร็ว ไม่มีระบบเดิมมาถ่วง
แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ
1. การใช้อำนาจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยใช้หลักธรรมาภิบาล สั่งการเอาแต่ใจตัว ไม่สนใจประชาคมมหาวิทยาลัยตัวเอง
2. สภามหาวิทยาลัยต้องมีอิสระ สภามหาวิทยาลัยจะมีบทบาทในการบริหารจัดการมากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น ดังนั้น สภามหาวิทยาลัยต้องมีอิสระในการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัยมากที่สุด ไม่ใช่ทำตามที่ผู้บริหารต้องการไปทั้งหมด
3. ต้องมีระบบตรวจสอบที่ดี ระบบตรวจสอบการทำงานทั้งระบบ ผู้บริหาร ต้องเข้มแข็ง ใครโกงก็จัดการตามกฏหมาย
4. ต้องมีระบบการประเมินพนักงานฯ ที่ยุติธรรม ระบบการประเมินการทำงานของพนักงานมหาวิทยาลัยว่า ปี ๆ หนึ่งมีผลงานอย่างไรบ้าง ควรได้รับขวัญและกำลังใจอย่างไรดี ... ตามประสบการณ์พนักงานมหาวิทยาลัย 3 สถาบันของผมนั้น พบว่า ระบบนี้ได้บั่นทอนการทำงานค่อนข้างมาก เนื่องจาก ถ้าพนักงานคนใดใกล้ชิดเจ้านาย ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขึ้นเงินเดือนต่าง ๆ เขาผู้นั้น มักจะได้ขึ้นเงินเดือนมากกว่าผู้อื่นเสมอ บางทีก็ไม่เห็นจะทำงานอะไรได้ดีไปกว่า เอาลิ้นไปเลียเจ้านาย มันช่างไม่ต่างอะไรจากระบบราชการเดิมเลย ดังนั้น กรรมการประเมินต้องยุติธรรมมาก ๆ อย่าตัดสินใจโดยใช้ระบบอุปถัมภ์ แต่ให้ดูผลของงาน
เล่าให้ฟังจากประสบการณ์ เชื่อหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่วิจารณญาณของท่านเองเถอะ
ปรัชญาการออกนอกระบบเป็นสิ่งดี แต่กลไกต่าง ๆ ก็ต้องเดินไปด้วยอย่างมั่นคงและยุติธรรม จึงจะทำให้ระบบนี้ดีจริง แต่ถ้ากลไกบางอย่างหลุดวงโคจร ... ก็ไม่ต่างจากระบบเดิมที่หนีมาหรอก
หมายเหตุ ... ข้อมูลนี้อาจจะเก่า ตั้งแต่ปี 2542 - 2551 ท่านใดที่อยู่ในสายงานการเจ้าหน้าที่ โปรดแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย จักขอบพระคุณเป็นที่สุด
บุญรักษา ทุกท่าน ครับ
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ในสายงานการศึกษาแต่อยากมาแชร์ความคิดเห็นค่ะ
เคยมีประสบการณ์คล้ายๆ กันค่ะ เรียนปริญญาโทนานมากๆ (ทำเล่มไม่เสร็จซะที)
แต่ก็เคยเริ่มทำงานในตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของกระทรวงหนึ่งที่บ้านเมืองนี้ให้ความสำคัญเป็นอันดับท้ายๆ
เรื่องการออกนอกระบบ...เนื่องจากไม่ได้ทำงานอยู่ในแวดวงการศึกษา
แต่...คิดว่านโยบายหรืออะไรก็ตามที่จะออกมา ก็ต้องมีความพร้อมในหลายๆ ส่วนรองรับ ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลเสียตามมามากกว่าผลดี
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณ พี่ jaewjingjing ... ไม่ต้องเป็นคนในแวดวงนี้สามารถแชร์ความคิดเห็นกันได้ครับพี่ ... มุมมองหลายมุมจะทำให้เราเห็นปัญหา ข้อดี ข้อเสีย ที่ชัดเจนมากขึ้นครับ
:) ...
ผมเคยผ่านการรับราชการมานานกว่า 10 ปี และปัจจุบันก็ได้เบนชีวิตออกมาในเส้นทางที่เป็นอิสระ หมายถึง ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อเดินทางตามทางที่ผมต้องการ และตามความฝันครับ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ...ขอให้มีความสุข มีคุณค่าในสิ่งที่ทำ
และวันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมค้นพบมากครับ
สุดท้ายแล้วผมคาดหวังเป็นชาวไร่ ชาวสวน ทำเกษตรปลอดสารพิษ ปลูกไว้กืน เหลือไว้ขาย มีบ้านสวนเล็กๆบนแผ่นดินบ้านเกิด น่าจะเป็นความสุขที่หาเจอได้ในช่วงชีวิตนี้
มาเรียนรู้ชีวิตของอาจารย์หลากหลายและน่าสนใจดีครับ การได้เรียนรู้จากหลากวัฒนธรรมองค์กร สามารถเปรียบเทียบจุดแข็ง จุดอ่อนได้ชัดเจนเหมือนที่อาจารย์ได้เขียนมาในบันทึก
มีเพียงไม่กี่คนหรอกครับ ที่จะได้ผ่านมาขนาดนั้น
โชคดีเป็นของผู้แสวงหาครับ
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
แหม อาจารย์ได้เป็นตั้งหลายที่หลายแห่ง
ผมอยากจะเป็น "อาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย" ยังไม่ได้เป็นสักแห่งเลย
อิจฉา นะครับ
แต่ผมขอชื่นชมอาจารย์ครับ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจนในการสร้างบุคลากรของประเทศ
ความเป็นครู มันมีทั้ง ลหุ และ ครุ
นับถือครับ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ Wasawat Deemarn
สวัสดีครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
ขอบคุณครับ และดีใจที่คุณเอกแวะเข้ามาพูดคุยกัน :)
สวัสดีครับ คุณ ครูข้างถนน
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับ คุณ AnthroCat
ขอบคุณมากครับที่แวะมาพูดคุยกัน :)
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับ อาจารย์ Jeed ครูแก้วตา อาณาจักร์
ขอบคุณครับ :)
ชอบเหมือนกันค่ะ สุขของเราไม่เห็นจะต้องเป็นเหมือนใคร..สุขใจก็พอ" และคำว่า ข้าของแผ่นดิน รับใช้พ่อหลวงได้ยินแล้ว ภูมิใจจังค่ะ
ขอบคุณ ครูเอ ครับ .. ทานกาแฟร้านไหนดีครับ :)
ทำไม ..ง่วงหรอค่ะ คิคิ พรุ่งนี้วันหยุดค่ะ
เผื่อ ครูเอ ... มีร้านแนะนำครับ สำหรับคอกาแฟสด ๆ :)
สวัสดีตอนเช้าครับผม อ.Wasawat Deemarn
เช้าวันนี้ผมก็ตื่นแต่เช้าด้วยความสดชื่นครับ มาเยี่ยมน้องสาวที่มาเป็น "ครู" ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแถบภาคกลาง อากาศสดชื่นดีจังครับ เสียงนก เสียงกระรอก อากาศเย็นสบายยามเช้า ที่บ้านพักของ "ครู" แม้จะไม่มีอะไรหรูหรามาก ผมสังเกตได้ว่าน้องสาวผมเขามีความสุขมากทีเดียว
ดังนั้นสิ่งที่เป็นอยู่ หากสิ่งนั้นคือ "สุข" ผมคิดว่าใครคนนั้นได้บรรลุถึงเป้าหมายระดับหนึ่งของชีวิตแล้ว
น้องสาวเองก็ผกผัน ไม่เคยคิดว่าจะเป็นครู และก็ได้เป็นครู ในที่สุดเธอก็ชอบอาชีพนี้ครับ ที่มีโอกาสได้สร้าง พัฒนาคนเพื่อเข้าไปสู่สังคมของเรา
ผมสะดุดใจคำหนึ่งว่า "กรรมเก่า" ที่อาจารย์เขียนไว้ ผมมีความเชื่อแบบนั้นด้วยครับ เพราะกรรมเก่าเราจึงต้องมาพบ ต้องมาเจอ และมีภาระในในภพภูมินี้ และท่านว่านี่คือโอกาสที่เราทั้งหลายจะได้ทำดี ได้บำเพ็ญกุศลครับ
หรือใครก็ตามที่บอกว่า ผ่านงานมาหลายที่ ก็ใช่ว่าเราจะเป็นคนหยิบโหย่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แต่เพียงเหตุผลลบขนาดนั้น...ผมเชื่อว่าทุกคนมีฝันเป็นของตัวเอง และจะมีสักกี่คนที่จะเดินตามฝันนั้นได้ อย่างที่ใจต้องการ พันธนาการที่เกิดขึ้นเรื่อยๆรัดตัวเสียสิ้น ไปไหนไม่ได้เลย
เพื่อนที่ทำงานเดิม หลายคนบอกผมว่า เขาอยากลาออกเหมือนกัน แต่หนี้สินที่มีอยู่ (ข้าราชการมีเครดิตดี) ทำให้ไม่สามารถเปลื้องได้หมด บางคนก็ไม่มีที่จะไป ทั้งๆที่อยากไป และด้วยหลายๆเหตุผล
ดังนั้นการจะอยู่หรือจะไป...ตามฝันก็มีเงื่อนไขหลายอย่าง คนที่เดินตามฝันได้ โชคดีอย่างที่สุดครับ
ผมเองก็สุ่มเสี่ยงกับข้อกล่าวหาว่า ไม่อดทน เพราะผ่านงานมาหลายที่ แต่เพื่อหาประสบการณ์ทั้งนั้น เพียงเพราะชีวิตเราไม่ยืนยาว หากอยากทำอะไรจงรีบทำ และทำให้ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขที่เรามีอยู่ และมีความสุข
ผมดีใจที่ได้รู้จักอาจารย์นะครับ อาจารย์มีฝัน มีความมุ่งมั่น และชัดเจนในการเดินทางต่อ และมุ่งไปสู่ความสำเร็จ
ผมขอให้กำลังใจครับ
สวัสดี คุณ Wasawat Deemarn
คุณ Wasawat Deemarn เล่าประสบการณ์มหาวิทยาลัยชีวิต 3 แห่ง ทำให้ผมได้เห็นมุมมอง หัวใจของสถาบันอุดมศึกษา ว่า
ต้องมีบรรยากาศเสรีภาพทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางวิชาการที่เราเรียนมา หรือแสดงออกนอกสายวิชาการที่เราเรียน เกิดขึ้นในองค์กรของเราหรือชุมชน สังคมได้อย่างเสรี บนหลักการแห่งเหตุผล แต่หากไม่ตั้งอยู่ในหลักการแห่งเหตุผล ย่อมสะท้อนถึงองค์กรนั้น ยังหลงไหลอยู่ในระบอบอำมาตยาธิปไตย ผมว่าองค์กรนั้นแย่ๆ มากๆ มีผลไปในทางเสื่อมๆ เสื่อมลง ขยายผลไปถึงองค์รวมวัฒนะขององค์กรทุกภาคส่วน อย่าลืมมนุษย์มีชีวิต+หัวใจ ครับ
ต้องบริหารจัดการองค์กรบนหลักธรรมาธิปไตย เอามาใช้ปฎิบัติเสียที่เถอะ พวกผู้ใหญ่ใส่สูท และ/หรือสวมเครื่อง...ชอบพูดไทยปนฝรั่ง ดูเท่ห์ ยืนอยู่บนหอคอยงาช้าง เลิกเสียที่เดี่ยวนี้ ไม่มีรอ โลกก็ร้อนจะแย่อยู่แล้ว มีธรรมภิบาล มีความโปร่งใส พูดจัง หากเรามีผู้บริหารที่มีประสบการณ์กว้างไกล สิ่งแรกที่อยากเห็น ความมีชีวิตชีวามาพร้อมพลังขับเคลื่อนขององค์กร
ต้องถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ศึกษามาในสายวิชาการที่ตนเล่าเรียน และ/หรือองค์ความรู้อื่นๆ ที่ตนเองสนใจ โดยเฉพาะประสบการณ์ชีวิต นำมามอบให้ศิษย์อย่างหมดไส้หมดพุง
ต้องรู้จักตั้งคำถาม สามารถให้ศิษย์นำไปคิดต่อ ทั้งในและนอกห้องเรียน อย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน รับใช้สังคม
ต้องมีงานตำราวิชาการหรืองานวิจัยวิชาการ สะท้อนปัญหาสังคมหรือไม่ก็ตาม
ลองคิดดู ซิครับ ถ้าอาจารย์ระดับสถาบันอุมศึกษาและ/หรือครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่สามารถแนะนำตำรา เอกสารงานวิจัย หรือวารสารสิ่งพิมพ์ ชีวิตสังคม ได้ จะเกิดอะไรขึ้นในสังคมนี้ ครับ
ขอให้คุณ Wasawat Deemarn นอนพักผ่อนให้เต็มที่ สุขภาพก็สำคัญ นะครับ
สวัสดีครับ
ร่วมแจ่ม และทักท้าย
ประสบการณ์มากหลาย เหลือคณานับ อย่างนี้ เป็นบุญของมหาวิทยาลัยและสังคมแล้ว
หวังว่า คงได้รับความรู้อีกครับ
สวัสดีค่ะ
ความฝันกับความจริงมาบรรจบกันก็เป็นเช่นปัจจุบันของเรา พูดถึงเรื่อง "กรรม" เชื่อค่ะ บุญ-กรรม ลิขิตให้สัมพันธ์กับใคร ที่ไหน อย่างไร ตามสภาวะกฎแห่งกรรม ฉะนั้นถือเป็นโอกาสดีที่เราได้พบเจอ ทำด้วยความยินดี และมีความสุขเถอะค่ะ ดูแลดวงจิตของเราให้แจ่มใสเบิกบาน เพื่อจะได้พัฒนาจิตวิญญาณไปด้วยกัน ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์ Wasawat Deemarn
สวัสดีครับ คุณเอก จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร :)
ขอบคุณสำหรับน้ำใจและกำลังใจที่มีให้นะครับ :)
สวัสดีครับ อาจารย์ ทวิช
ขอบคุณคำอวยพรเรื่องสุขภาพของอาจารย์ด้วยครับ :)
สวัสดีครับ คุณ คนตานี
ขอบพระคุณนะครับ :)
สวัสดีครับ อาจารย์ แจ่มใส
ขอบคุณมากครับ :)
สวัสดีครับ คุณครู จุฑารัตน์
ขอบคุณครับ :)
สวัสดีครับครูWasawat Deemarn
ครับผมความใฝ่ฝันก็เหมือนกับทุกคนครับ
คืออยากจะได้เป็นราชการกับเขาบ้าง
แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกับเขาหรือเปล่า(เพราะยังไออยู่ครับ)
และตอนที่ผมทำงานที่ ก.ศ.น. นะครับ
ผมได้เงินเดือน ประมาณ 9 พันกว่า จำไม่ได้
ว่ากว่าเท่าไร เพราะตอนนี้กินเงินเดือนงบ
อุดนุนของโรงเรียนได้ 4000 บาท ต่างกัน
กว่าครึ่งและงานก็เยอะกว่ามากด้วย
แต่ก็มีความสุขดีครับในสายงานนี้
สวัสดีครับ คุณครูสาโรจน์ นักแสวงหา
ขอบคุณมากครับ :)
สวัสดีครับ คุณครู จุฑารัตน์
ขอบคุณมาก ๆ ครับ
ครับอาจารย์
จะพยายามกินยาให้หายครับ
ขอบคุณครับ อาจารย์สาโรจน์ :) นักแสวงหา
ขอบคุณมากครับอาจารย์ครับ
ผมจะสู้ต่อไปครับ
ขอให้กำลังใจอาจารย์ครับ ... นักแสวงหา ... :)
สุขสันต์วันปี๋ใหม่ไทย เช่นกันครับ อาจารย์ นิโรธ :)
สวัสดีครับอาจารย์วันนี้ได้ออกมาประชุมในเมือง
เลยหลบมาเล่นเน็ทนิดหน่อย ครับ
อาจารย์สบายดีนะครับ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ คุณครูสาโรจน์ นักแสวงหา
ขอบคุณครับ :)
อาจารย์ครับ
เมื่อไรผมจะได้กินยาแก้ไขครับอาจารย์
ช่วงนี้รู้สึกเป็นหนักเหลือเกินครับ
อยากกินยาแก้ไขเพื่อให้หายจากอาการไอเมื่อคนอื่นๆครับ
สวัสดีคะ อาจารย์
หนูแวะมาแนะนำ บันทึก ครูดี "ครูเพื่อศิษย์" อยากให้อาจารย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาการศึกษาคะ
ฝากด้วยนะคะ
ขอบคุณครับ น้อง มะปรางเปรี้ยว .. ผมรู้สึกว่า ผมยังห่างไกลคำว่า "ครูดี" นะ .. ยังไงก็จะนำเสนอเรื่องราวนี้ให้ "ครูดีเพื่อศิษย์" นะครับ :)
ตอนนี้ ผมรับราชการครูอยู่ ครับอยู่บ้านนอกก็ไม่เชิงแต่ก็มีความสุขที่ทำให้พ่อกับแม่(แม้จะหัวโบราณนิดหนึ่งที่อยากให้ลูกเป็นข้าของแผ่นดิน)
แรกจบตรีไม่คิดเป็นครูหรอกไม่ได้จบสายครู(ต้องเรียนครูเพิ่ม)
ตอนนี้จะจบโท ก็คนทาบทามให้ไปสอนมหาลัยเกิดใหม่แห่งหนึ่ง
แต่ไม่ได้เป็นข้าราชการแต่เงินเยอะกว่าว่างั้น
ตอนนี้รับราชการครูมาจะสามปีแล้ว ยังชั่งใจเลยว่าจะไปดีไหม...
อยู่บ้านนอกเงินเดือน ครูให้แบบพอเพี่ยงจะพอมีเงินเหลือเก็บให้ไปเที่ยวได้นะ
เคยสอนมาหมดแล้ว มหาลัยผลิตครู...อาชีวะ..มัธยม(ปัจุบัน)
ขอความเห็นท่านทั้งหลายด้วย
หมายเหตุ
สอน มหาลัยเด็กโต แต่ละห้องมีน้อย
สอน เทคนิค..ห้องกำลังดีแต่เด็กรับไม่ค่อยไหว..
สอน เด็กน้อย...แต่ละห้องมีเกือบหกสิบเหนือยมีความสุขมากๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณครู Atomic
ขอให้โชคดีครับ คุณครู Atomic
อ่านblogนี้แล้ว ใจอ่อน อ่อนใจ บอกไม่ถูกครับกับการออกนอกระบบ และระบบเลียแข้งเลียขา ใกล้เจ้าใกล้นายขึ้นเอาขึ้นเอา ชนชั้นรากหญ้าอย่าไปหวังเลย คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า รอวันฟ้าเปิดครับ กำลังยื่นเรื่องไปมหาวิทยาลัยพระองค์ดำอยู่ตอนนี้
เฮ้อ จากพนักงานสาย ป.มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า
ขอบคุณ คุณ Mr.Ake AV Service แห่ง มหาวิทยาลัยสมเด็จย่า ครับ ... อยากให้กำลังใจครับ สู้ สู้ :)
สวัสดีค่ะ
อยากขอทราบความรู้เกี่ยวกับ สัญญาจ้าง
ของพนักงานมหาวิทยาลัย อ่ะค่ะ
ถ้าพอทราบ กรุณา ด้วยนะคะ
อยากทราบนะคะ ว่า เริ่มแรก ของการทำสัญญาจ้าง
พนักงานมหาวิทยาลัยในตำแหน่ง อาจารย์ พิเศษประจำ
จะมีระยะสัญญาเวลาจ้าง ประมาณเท่ารัย ค่ะ
หรือ มีรายละเอียดอย่าง อื่นๆๆที่เกี่ยวข้องจะกรุณาด้วย ก้อ ได้ นะคะ
ขอบคุณนะคะ
GifF
เรียน คุณ Giff ;)
เอาซะผมเป็นฝ่ายบุคคลเลยนะครับ 555
โดยส่วนใหญ่ ถ้าเป็นอาจารย์พิเศษ เค้าจะจ้างเป็นภาคเรียน ๆ ไปครับ แต่ชื่อของอาจารย์พิเศษจะติดอยู่ที่สาขาวิชานั้นอยู่เลย เมื่อมีงานเมื่อไหร่ อาจารย์ปกติสอนไม่พอ เค้าจะเรียกตัวอาจารย์พิเศษมาช่วยสอนครับ
เหมือนครูสอนหนังสือปกติ หากจะต้องสอนต้องสอนตั้งแต่กระบวนแรก คือ คาบแรก ยันการประเมินผลการเรียนของเด็ก
จ้างก็เช่นเดียวกันครับ ... ส่วนอัตรา และรายละเอียดปลีกย่อย ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยจะร่างสัญญาจ้างเอง ครับ
พอกระจ่างนะครับ :)
โชคดีครับ
ขอบคุณมากๆๆนะคะ
ยินดีครับ คุณ GiFF :)
เกิดและเติบโตในครอบครัวราชการ
แต่ตั้งใจตั้งแต่เรียนแล้วว่าจะไม่เป็นข้าราชการ
ไม่ถึงกับเกลียดแต่ไม่รู้สึกว่ารัฐจะดูแลคนของเขาได้ดีเพียงพอ
จบปริญญาตรี หนีแม่ไปเป็นสจ๊วตเกือบสองปี
เป็นอาชีพที่สร้างเงินได้เป็นกอบเป็นกำ...แต่ทำร้ายจิตใจบุพการี
ตามใจแม่ทิ้งงานสจ๊วตมาสอบบรรจุเป็นครูสังกัดกรมสามัญ (ครูมัธยม)
ไม่ได้อ่านกนังสือก่อนสอบ...ไม่ได้ตั้งใจสอบ...แต่ก็ไม่ได้กามั่ว...
คะแนนสอบอยู่ลำดับที่ 7 ไม่ได้ดีใจ หรือเสียใจ ...แต่หนักใจ
นั้งรอบรรจุอยู่ 2 สัปดาห์
เป็นแม่พิมพ์ได้ 2 ปีก็หนีไปเรียนต่อปริญญาโท
กลับมาทำงานใช้หนี้เวลา...
เริ่มแอบหนีไปสอบอาจารย์มหาลัยน้อยใหญ่...
ติดราชมงคลภาคเหนือตัดสินใจลาออก...สู้กับภาระงานที่เกินทนและค่าตอบแทนที่น้อยนิดทนอยู่ได้ปีเดียวก็บอกศาลาเก็บตัวอ่านหนังสือขึ้นสังเวียนสอบอีกที 5 สนามในเวลาไล่เลี่ยกัน...
สอบผ่านสัมภาษณ์ 3 มหาวิทยาลัย
1. ม. เอกชน ใจกลางกรุง
2. ม. ราชภัฏไม่ไกลจากกรุงเทพ
3. ม. รัฐบาลหมายเลขล่าสุดของประเทศไทย
สุดท้ายก็จบที่ตัวเลือกสุดท้าย
ปัจจุบันยังหวังและฝันต่อไป...
ขอบคุณเรื่องเล่าประสบการณ์ของคุณ lesta มาก ๆ ครับ ;)
คุณ lesta เป็นคนเก่งมาก ๆ ครับ
ขอให้ทำความฝันต่อไปนะครับ
ทำงานเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยไม่ใช่ราชการถูกคนเป็นราชการเอาเปรียบเยอะครับทั้งสวัสดิการต่างๆ เงินเดือน บำเน็จบำนาญ และในแง่ของการปฏิบัติงาน ไม่รู้ว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้มีความยุติธรรมมั้ยผมทำงานมา12ปีเป็นลูกจ้าวชั่วคราวมา5ปีสรุปเป็นพนักงานมา6ปีเงินเดือน10800-แตกต่างจากพวกข้าราชการเงินเดือน28000บำนาญอีก5000-20000สวัสดิการยังอยู่ครบ
ไม่รู้ว่าคิดได้งัยมันอาจจะไม่ผิดปกติในแง่ของระบบพนักงาน-กับระบบราชการแต่ความเหลื่อมล้ำมีแน่นอนในด้านของจิตวิทยาไม่รู้ผู้หลักผู้ใหญ่มีความรู้สูงๆคิดได้งัย คนอ่านโปรดวิเคราะห์ด้วยครับ ผมกะว่าอีก2-3ปี จะลาออกแน่นอนครับ
เห็นจะจริงตามคุณบุญเลิศ ... โอกาสที่ปลูกฝังกันมานานไม่ใช่เป็นของ "พนักงานมหาวิทยาลัย" แต่เป็นของคนอีกฐานะ บางมหาวิทยาลัยมีการจ้างให้ออกจากฐานะนั้น เป็น "พนักงานมหาวิทยาลัย" บวกเงินโน้นนี่อีกแล้วทำให้เงินตอนนี้เกือบแสนอย่างน่าตกใจ
สู้ ๆ นะครับ ;)
เราทำงานในม.ของรัฐ อยู่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นลูกจ้างชั่วคราวกว่า 10 ปี จบปริญญาโทปัจจุบันเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยสายผู้สอน ผู้บริหารที่นี่ให้การสนับสนุนดี มีบางครั้งที่ไม่ถูกใจเรา แต่ต้องทำใจ รอจังหวะและโอกาส แต่สิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติคือตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หากเราไม่รักไม่ศรัทธาในส่ิงที่เราทำอยู่คง ต้องละทิ้งมันไป เปิดโอกาสให้คนอื่นที่ต้องการ
ชีวิตคือการแสวงหาไม่มีสิ้นสุด
ขอบคุณมากครับ อาจารย์ ... ฟันเฟืองเล็ก ๆ อย่างเราสามารถขับเคลื่อนสังคมได้ครับ
เห็นสอดคล้องกับท่านอาจารย์ เพราะตอนนี้ระบบซีเลิกแล้ว ระบบแท่ง กำลังจะมา ตอนนี้กำลังวุ่นๆ ในสถาบันฯ ที่ผมอยู่
คนจะเข้าสู่ผู้บริหาร ต้องมีหลักธรรมภิบาล และไม่ฉกฉวยเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง
การมีระบบตรวจสอบที่ดีจะเป็นสิ่งที่ป้องกันได้จริงครับ
ใครทำผิดกฎหมาย เอื้อประโยชน์ ก็ว่ากันไปตามผิดแหละครับ ^^
เห็นควรมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ อาจารย์ตี๋ ครูgisชนบท ;)...
และแล้ว ในคืนที่นอนไม่หลับ search อะไรไปเรื่อยเปื่อย เพราะความคิดวุ่นวาย ก็มาเจอบันทึกนีี้ของอาจารย์ ได้ข้อมูลอ่่านเพลินค่ะ ... ปล. คำที่ search คือ "การลาออกจากพนักงานมหาวิทยาลัย" เพราะหวังมาก จึงผิดหวังมาก..ชีวิตเป็นเช่นนี้
ช่างบังเอิญแท้ ... นะครับ คุณหมอบางเวลา ป. ;)...
อะไรหนอ ทำให้คุณหมอ "หวัง"
อะไรหนอ ทำให้คุณหมอ "หมดหวัง"
หากไม่มี "เหตุ" คงไม่มี "ผล" นะครับ
ขอให้กำลังใจคุณหมอในการทำความดีนะครับ ;)...
ดิฉันสอบพนักงานมหาวิทยาลัย สายสนับสนุน ของ ม.ราชภัฏ แห่งหนึ่ง วุฒิปริญญาโท ได้สำรองอันดับ 3 ขณะนี้กำลังตัดสินใจอยู่ค่ะ ได้เงินเดือน 13,240 ค่าครองชีพ 2,700 รวม 15,940 ขณะนี้ดิฉันทำงานเป็นพนักงานขายเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ ได้เงินเดือนและอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน
ดิฉันไม่มีความรู้เรื่องการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยเลย แต่อยู่ที่บริษัทขณะนี้ดิฉัน ก็เจริญก้าวหน้าดี แต่กลัวความไม่มั่นคงในอนาคต แต่ใจก็กลัวว่าถ้าตัดสินใจลาออกจากบริษัท แล้วไปเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย อ่านความเห็นข้างบนตรงผู้บริหารเอนเอียงในการประเมิน ซึ่งดิฉันต้องถูกประเมินทุกปี เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ ดิฉันเป็นคนตรง และเบื่อการประจบเอาใจนาย ดิฉันคงอึดอัดใจมาก กลัวเจอนายที่ไม่เป็นธรรมในการประเมิน และคงจะต้องลาออกในที่สุด แล้วไปเริ่มงานใหม่ในบริษัทอื่นอีก คงเสียเวลาในการเริ่มใหม่
ตอนนี้ดิฉันว้าวุ่นใจมากเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะอีกไม่นานมหาวิทยาลัยคงเรียกตัว จึงหาผู้รู้ช่วยแนะนำในการตัดสินใจครั้งนี้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
เรียน คุณ น้องปัท ;)...
ผมคิดว่า หากใช้ "เงินเดือน" เป็นข้อพิจารณาตัดสินใจเป็นอันดับแรก ก็มิควรไป แต่อยากให้เลือก "ความสุข" น่าจะดีกว่า หรือ "ความรัก" ที่เรามีต่องานที่เราต้องการจะทำจริง ๆ
พนักงานมหาิวิทยาลัย หากเป็นการว่าจ้างด้วยงบประมาณแผ่นดินจะมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่หากว่าจ้างด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย ความมั่นคงก็จะน้อยกว่า
เงินเดือนเราวางเอาไว้ สวัสดิการ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เลือกใช้ "ประกันสังคม" ยกเว้นบางแห่งเริ่มมี "กองทุนรวม" เป็นของตนเอง และบางแห่งมีสวัสดิการเป็นของตนเอง
พนักงานมหาวิทยาลัยจะมีการต่อสัญญาตามที่ระเบียบบุคคลฯ มหาวิทยาลัยนั้น ๆ กำหนดไว้ เช่น ทุก 2 ปี ทุก 4 ปี และบางแห่งตอนนี้มีตลอดชีพแล้ว
ส่วนการขึ้นเงินเดือนก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะหามีที่ไหนที่จะพอใจกับมนุษย์ทุกคนอย่างแน่นอน
สรุปง่าย ๆ สำหรับผมแล้ว "งานคือความสุข" หากไ่ม่มีความสุขก็จะไม่ทำ ส่วนเงินเดือนสนใจมากก็จะทุกข์ เพราะเรามักจะเอาตัวเองไปเปรียบคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ใ่ช่หรือไม่หนอ
ลองตัดสินใจดูนะครับ
โชคดีครับ ;)...
ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบจากคุณ wasawat
ถ้าทาง ม.ราชภัฏเรียกตัวไปทำสัญญาจ้าง เราจะมีโอกาสทราบไหมคะว่า เขาจ้างเราด้วยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย หรือเงินงบประมาณแผ่นดิน ถ้าเราไม่ทราบ เราก็ยังไม่แน่ใจถึงความมั่นคงในอาชีพของพนักงานมหาวิทยาลัยอยู่ดีแหละ การลาออกจากบริษัทในครั้งนี้เพื่อต้องการความมั่นคงของอาชีพพนักงานมหาวิทยาลัยค่ะ
ถ้าวันนั้นในสัญญาจ้างบอกก็ดีนะ จะได้ตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าเอา แต่ถ้าไม่บอกเราจะทำไงดีคะ ไว้ถึงวันนั้นจะรายงานให้ทราบนะคะ ขอบคุณมากสำหรับคำตอบค่ะ
ให้คุณ น้องปัท โทรศัพท์ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ "กองการเจ้าหน้าที่" ของเขาได้เลยครับ เขาน่าจะตอบได้ เพราะสัญญาว่าจ้างทั้งหมดกองนี้เขาเป็นคนดูแลอยู่ครับ ;)...
โชคดีครับ ;)...
สวัสดีค่ะ^_^ เพิ่งเข้ามาอ่าน เราทำงานเอกชนมา6ปีแล้วค่อนข้างเบื่อ อยากเปลี่ยนสายงานมาทำงานในมหาลัย เราเคยฝึกงานในมหาลัยพอจะรู้ว่าเป็นยังไง เราก็สมัครสอบแต่ก็ไม่ได้ซักทีY_Y
ขอบคุณ คุณ weerawan ที่มาเยี่ยมเยือนบันทึกเก่าแก่
ขอให้กำลังใจครับ ;)...
กว่าจะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย (22 ปี) จุดเริ่มแรกได้เข้ามาปฏิบัติงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว เป็นระยะเวลา 10 ปี จากเงินเดือน 6,360 ต่อมาได้รับการบรรจุเป็นพนักงานเงินรายได้ของสถาบันฯ (11,070.-) เป็นระยะเวลา 11 ปี และได้ศึกษาต่อปริญญาโท บรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เข้าปี ที่ 12 หรือเรียกว่าพนักงานเงินงบประมาณได้ใช้เงินของหลวงนั่นละ (ส่วนสองอันแรกจะกินเงินรายได้ของคณะฯ) เราเองสอบเพื่อจะเป็นพนักงานมหาวิทยายลัยหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ติดสักที สอบมาทั้งหมด 4 ครั้งอายุปาเข้าไปก็จะ 45 แล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีโอกาส ปัจจุบันนับอายุการทำงาน ก็ 22 ปี มีความสุขในสิ่งที่ทำ การทำงานบางครั้งก็มีความขัดแย้งกันบ้าง ตามระบบผู้บริหาร หรือตามระบบของสถาบันฯ เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราก็ทำได้แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มีความซื่อสัตย์สุจริตสำหรับตัวเองก็พอ ความก้าวหน้าในสายวิชาชีพของสายสนับสนุนพนักงานมหาวิทยาลัย ตอนนี้เรารอตำแหน่งชำนาญการขั้นสูง อยู่ค่ะ รอมา 3 ปีกว่าแล้ว ที่มหาวิทยาลัยเราสวัสดิการดี ดีมากๆ เบิกเงินก็ได้เร็วด้วยค่ะ ปัญหาเจ้านายเพื่อนร่วมงานมีกันทุกที่ แต่เราเชื่อว่า ถ้าเรารับผิดชอบงานดี มีความซื่อสัตย์ ความดีก็จะคุ้มครองตัวเราเอง
กว่าจะเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย (22 ปี) จุดเริ่มแรกได้เข้ามาปฏิบัติงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว เป็นระยะเวลา 10 ปี จากเงินเดือน 6,360 ต่อมาได้รับการบรรจุเป็นพนักงานเงินรายได้ของสถาบันฯ (11,070.-) เป็นระยะเวลา 11 ปี และได้ศึกษาต่อปริญญาโท บรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เข้าปี ที่ 12 หรือเรียกว่าพนักงานเงินงบประมาณได้ใช้เงินของหลวงนั่นละ (ส่วนสองอันแรกจะกินเงินรายได้ของคณะฯ) เราเองสอบเพื่อจะเป็นพนักงานมหาวิทยายลัยหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ติดสักที สอบมาทั้งหมด 4 ครั้งอายุปาเข้าไปก็จะ 45 แล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีโอกาส ปัจจุบันนับอายุการทำงาน ก็ 22 ปี มีความสุขในสิ่งที่ทำ การทำงานบางครั้งก็มีความขัดแย้งกันบ้าง ตามระบบผู้บริหาร หรือตามระบบของสถาบันฯ เราเป็นผู้ปฏิบัติ เราก็ทำได้แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด มีความซื่อสัตย์สุจริตสำหรับตัวเองก็พอ ความก้าวหน้าในสายวิชาชีพของสายสนับสนุนพนักงานมหาวิทยาลัย ตอนนี้เรารอตำแหน่งชำนาญการขั้นสูง อยู่ค่ะ รอมา 3 ปีกว่าแล้ว ที่มหาวิทยาลัยเราสวัสดิการดี ดีมากๆ เบิกเงินก็ได้เร็วด้วยค่ะ ปัญหาเจ้านายเพื่อนร่วมงานมีกันทุกที่ แต่เราเชื่อว่า ถ้าเรารับผิดชอบงานดี มีความซื่อสัตย์ ความดีก็จะคุ้มครองตัวเราเอง
ขอบคุณมากครับ คุณ [email protected] ที่แวะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันนะครับ
สุดยอดเลย ;)…
กำลังจะสอบสัมภาษณ์เป็นลูกจ้างรายได้ของมหาวิทยาลัยค่ะ สอบวันศุกร์จะถึงนี้ พอจะให้คำเเนะนำเรื่องการสัมภาษณ์หรือเรื่องงานในตำเเหน่งนี้หน่อยได้มั้ยคะ ไม่มีประสบการณ์ทำงานเเบนี้เลย เเต่เป็นมหาวิทยาลัยที่ตัวเองจบค่ะ อยากจะขอคำเเนะนำกับผู้มีประสบการณ์ตรงค่ะ
มาตอบไม่ทัน … ขออภัยด้วยครับ
มหาวิทยาลัยคงอยากได้คนที่อยากทำงานให้อย่างเต็มที่
คงต้องแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นเช่นนั้น
ขอให้กำลังใจครับ ;)…