บันทึกเรื่องเล่าโดย วิชชุณี ละม้ายศรี ศูนย์สิทธิประโยชน์ โรงพยาบาลเขาวง เด็กเอย เด็กน้อย ความรู้สึก ความผูกพันของเจ้าช่างละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ผู้เป็นมารดาต้องทุ่มพลังเพื่อรักษาตนเองและยาใจลูก รวมทั้งเผื่อแผ่ไปยังเพื่อนหญิงที่ประสบชะตาเดียวกัน ลมหนาวในเดือนกุมภาพันธ์พัดมาอย่างแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน อบอุ่น วันแห่งความรัก เดือนแห่งความรัก ใคร ๆ ก็รอคอยกุหลาบสีแดงแย้มบานในใจคนทั้งหล้า แต่ทว่ากุหลาบในใจฉันกลับเหี่ยวเฉา สายลมหนาวพัดผ่านไป ลูบไล้ใบไม้ให้ร่วงหล่นลงดิน เหมือนชีวิตของฉันที่เฉียดฉิวจะปลิดปลิวไปพร้อมลมหนาวในเดือนกุมภาหลายปีที่ผ่านมา ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมลูก ๆ ไปโรงเรียน “สัปดาห์นี้แม่จะไปประชุม ๕ วันนะจ๊ะ” ฉันบอกลูกๆ พร้อมส่งลูกขึ้นรถไปโรงเรียนแล้วก็รีบแต่งตัวเพื่อไปประชุมงานวิจัยสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ และวันนี้ฉันมีนัดกับแพทย์เพื่อไปฟังผลการตรวจชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ด้วย จึงขอร้องให้ลุงติซึ่งเป็นพนักงานขับรถพาฉันไปโรงพยาบาลศรีนครินทร์ก่อนจึงจะกลับมาประชุมที่จังหวัด “คุณมากับใครเหรอครับ” คุณหมอเจ้าของไข้ได้เอ่ยถามฉัน ด้วยอาชีพพยาบาลฉันรู้ได้ทันทีจากคำแรกที่หมอเอ่ยทักทาย ผลชิ้นเนื้อไม่ปกติแน่ ฉันครุ่นคิด “คุณเป็นมะเร็งที่เต้านมนะครับ” ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คิดอะไรไม่ออก ก่อนที่จะรวบรวมสติพูดคุยกับหมอถึงแผนการรักษาต่อไป และเดินออกจากห้องตรวจโรคด้วยความว้าวุ่น “โลกหนอช่างโหดร้าย ลูกของฉันยังเล็กนัก” ฉันรำพึงกับตัวเองและฉันก็โทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายกับทุกคนที่ฉันรักด้วยน้ำตานองหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มร้องไห้กับข่าวร้าย เพื่อนทุกคนดีกับฉันมาก ผู้บังคับบัญชาของฉันโทรมาหาบอกว่า “เดี๋ยวผมจะให้แฟนผมไปอยู่เป็นเพื่อนนะครับ” ฉันกล่าวขอบคุณทุกคน ระยะทางจากขอนแก่นถึงกาฬสินธุ์ ฉันนั่งคิดมาในรถ ว้าวุ่น สับสน พยายามตั้งสติ นั่งสมาธิ สร้างพลังให้ตนเอง วันนี้ฉันเข้าประชุมไม่ได้แล้วและสามีก็มารับกลับบ้าน นับเป็นข่าวร้ายของครอบครัวเรา ฉันวางแผนชีวิต พูดคุยกับลูกสาวคนโตอายุ ๘ ขวบถึงการเจ็บป่วยของแม่ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ ๓ ขวบ ฉันไม่ได้เตรียม คิดว่ายังเด็กนัก คืนนั้นฉันนอนไม่หลับสามีนั่งเฝ้าให้กำลังใจคอยถามด้วยความห่วงใย ฉันมองดูลูกหลับใหล แต่หัวใจของแม่แทบแตกสลาย จนกระทั่งตี ๓ ของวันใหม่ฉันลุกขึ้นมานั่งร้องไห้ ท่ามกลางคำพูดปลอบใจของทุกคนในครอบครัวและหลับไปพร้อมน้ำตา หนึ่งสัปดาห์ต่อมาฉันเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ฉันรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเหมือนมีอะไรเย็น ๆ มาลูบไล้ทั่วใบหน้า ฉันหรี่เปลือกตาขึ้นมองพบหน้าสามีกำลังเช็ดหน้าให้ด้วยความเป็นห่วง รู้สึกเจ็บแปลบกับแผลที่อก มีสายระโยงระยางตามตัวเต็มไปหมด
สูญสิ้นไปแล้วความเป็นแม่ …. ความเป็นหญิง….รู้สึกเสียดาย….โหยหา…รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ฉันไม่ร้องไห้คร่ำครวญ สัญญากับตัวเอง ต้องเข้มแข็ง ต่อสู้กับโรคร้าย ช่วงที่นอนอยู่โรงพยาบาลเป็นช่วงเรียนรู้ เจ็บปวดบาดแผลแต่ฉันไม่ใช้ยาแก้ปวดเลย เยียวยาใจตัวเอง อ่านหนังสือ สมาธิ เพื่อเตรียมตัวกับการรักษาต่อไป เป็นช่วงที่ชีวิตมีความผกผัน “แม่กลับมาแล้ว ดีใจจังเลย” เสียงลูกน้อยร้องพร้อมวิ่งมาให้ฉันกอด โอบอุ้มลูกแนบอก “แม่จะอยู่กับหนู ๒ คนตลอดไป” ที่บ้านทุกคนมีความสุขรอการกลับบ้านของฉัน คุณตาเริ่มเปิดเพลงเบา ๆ หลังจากที่คุณยายบอกว่าเสียงเพลงเงียบหายไปจากบ้านเราร่วมสัปดาห์แล้ว ฉันกลับมาแล้ว ต้นค้อข้างบ้านเริ่มสลัดใบสีเหลือง ร่วงหล่นเต็มพื้นดิน อากาศในค่ำคืนนี้หนาวเย็นมาก และลมก็พัดแรง เวลาจวนจะห้าทุ่มแล้วลูกสาวคนโตนอนหลับปุ๋ย แต่ลูกชายคนเล็กไม่ยอมเข้านอน “แม่จ๋าไปฉีดยาเจ็บไหมครับ คุณยายบอกหนูว่าแม่ไปฉีดยามา” ฉันกอดลูกชายไว้แน่นพร้อมบอกเขาว่า “แม่ไปตัดนมมามันเป็นเนื้อร้ายต้องทิ้งไป แม่จะได้อยู่กับหนูนาน ๆ” พร้อมเปิดแผลที่หน้าอกให้ลูกดู “ไม่ยอม เอานมหนูทิ้งทำไม” “นมจะร้องไห้หาแม่” “นมจะสกปรก แม่ไปเอากลับมาเดี๋ยวนี้” เสียงลูกน้อยตะโกนลั่น พร้อมไล่ฉันกับสามีออกนอกบ้านแล้วก็ขังตัวเองอยู่กับพี่สาวซึ่งนอนหลับไม่รู้เรื่อง เสียงลูกร้องไห้เหมือนใจจะขาด “หนูเกลียดแม่ เอานมหนูทิ้งทำไม” ดังกึกก้องเข้าไปในหัวอกของคนเป็นแม่ ค่ำคืนวันนี้ฉันหนาวเหน็บเข้าไปในอก จดจำไม่มีวันลืม เจ็บปวด สะอื้น แต่ไม่มีน้ำตา สามีพังประตูบ้านเข้าไป ฉันอยากกอดลูกแต่ลูกไม่ยอมให้แม่โอบกอด ลูกชายร้องไห้จนตัวโยนแล้วก็หลับไปด้วยความเหนื่อย ทุกข์เอย…ทุกข์ใจ…ในโลกหล้า…ไม่เทียมเท่าเห็นน้ำตาของลูกไหล มันเป็นแรงให้ฉันได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง ฉันไม่ได้เตรียมจิตใจลูกก่อนแม่ไปผ่าตัด ความรู้สึกของเด็กละเอียดอ่อนนัก แต่ฉันมองข้ามไป ฉันทุ่มพลังทุกอย่างยาใจให้กับลูก เปลี่ยนความสูญเสียของลูกเป็นความเอื้ออาทร เป็นยารักษาแม่ ให้พี่สาวคนโตเตรียมน้ำ น้องชายคนเล็กเตรียมยาให้แม่ ทุกคนในครอบครัว ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ให้โอกาสเป็นกำลังใจให้ฉันต่อสู้กับเนื้อร้าย เมื่อฉันกลับมาทำงานที่โรงพยาบาล ฉันคิดจะนำประสบการณ์ของตนเองมาช่วยเหลือเพื่อนหญิงที่ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับฉัน ทุกครั้งที่ทราบข่าวของเพื่อนหญิงที่เผชิญกับเนื้อร้าย ฉันจะไปเยี่ยมให้กำลังใจบอกเขาเสมอ มีเพื่อนหญิงรายหนึ่งอาศัยอยู่ที่หลังเขา ซึ่งฉันได้ไปเยี่ยม “คุณมีลูกไหมค่ะ” ประโยคแรกที่ฉันเอ่ยถามเขา “ฉันมีลูกเล็ก ๆ อยู่ อายุพึ่ง ๓ ขวบ” เธอบอก เรานั่งพูดคุยกัน ฉันจะยกอุทาหรณ์จากชีวิตของตัวเองให้เธอฟังเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมลูกและครอบครัวของเธอในการรักษาโรคร้าย เธอจะแวะมาหาฉันที่โรงพยาบาล บางครั้งฉันก็จะไปเยี่ยมเธอที่บ้านและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันในเรื่องการปรับเปลี่ยนชีวิต เธอบอกว่าตอนเช้าจะออกวิ่งอยู่หลังเขาทุกวัน ดูแลตนเองเรื่องอาหาร หลีกเลี่ยงสารพิษที่จะเข้าร่างกาย ที่สำคัญพยายามฝึกสมาธิให้ตนเองมีสติ เพื่อนหญิงก็ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ทิ้งลูกชายอายุ ๓ ขวบให้อยู่กับพ่อตามลำพัง ป้าสร้อย อายุ 46 ปี แวะมาหาที่โรงพยาบาล ป้าได้รับคำแนะนำจาก อสม.ประจำคุ้มว่าฉันเคยเป็นเนื้อร้าย มีประสบการณ์การดูแลตนเอง สามารถให้คำปรึกษาได้ ป้ามีก้อนที่เต้านมด้านซ้าย จากการตรวจเบื้องต้นโดยการคลำประกอบกับคำบอกเล่าอาการ คิดว่าน่าจะใช่ เลยแนะนำให้ไปพบแพทย์และแพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อตรวจ พบว่าเป็นเนื้อร้ายจริงๆ แรกๆ ป้าว้าวุ่น สับสน ต้องให้กำลังใจ ให้ข้อมูลว่าเราควรปฏิบัติตัวอย่างไร ปรับเปลี่ยนชีวิตอย่างไร แนะนำให้ใช้หลักธรรมและฝึกสมาธิให้มีสติ เยี่ยมบ้านให้กำลังใจเป็นระยะๆ ป้าเป็นคนมีความตั้งใจและมีพลังใจที่เข้มแข็ง จากเป็นคนที่ใจร้อน โกรธง่าย ไม่เคยเข้าวัด ฟังธรรม เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น เข้าวัดฝึกสมาธิ และดูแลสุขภาพทั้งกายและจิตได้เป็นอย่างดี สามารถผ่านช่วงวิกฤตของชีวิต รับการผ่าตัดเต้านมและรับเคมีบำบัดได้อย่างราบรื่น ปัจจุบันป้ามีสุขภาพดี ทำงานบ้านและทำนาได้ตามปกติ เป็นเครือข่ายผู้ให้คำปรึกษาโรคมะเร็งเต้านมโดยใช้ประสบการณ์ของตนเอง ตรวจและให้ข้อมูลเบื้องต้นได้ หากเกินกำลังจะโทรปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมหรือให้ผู้ป่วยมาขอคำปรึกษาจากฉันเพิ่มเติม มีผู้ป่วยรายหนึ่ง พบเขาตอนที่เขานั่งรอรับบริการที่งานผู้ป่วยนอก สังเกตว่าน่าจะเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ได้เดินไปพูดคุยด้วย เขาเปิดเผยว่าเป็นโรคนี้มาปีกว่าๆ และตอนนี้ได้ตัดเนื้อร้ายออกแล้ว ได้ชวนพูดคุย สอบถาม แลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลสุขภาพและให้กำลังใจ ก่อนกลับได้ให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวเผื่อจะได้โทรศัพท์มาพูดคุยเมื่อต้องการเพื่อน ซึ่งผู้ป่วยรายนี้จะโทรศัพท์มาพูดคุยเป็นระยะๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนอีกรายไม่เคยเห็นหน้าแต่ได้พูดคุยให้กำลังใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันทางโทรศัพท์ เขารู้จักฉันจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเขาวงซึ่งเป็นเพื่อนกับเขา ได้เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง และได้ขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของฉันเพื่อให้เขาได้โทรศัพท์มาพูดคุยด้วย ทุกคนที่เผชิญกับโรคร้ายจะเริ่มต้นคล้ายๆ กัน คือ ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เขาอยากทราบว่าเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เขาควรพิจารณาทางเลือกอย่างไร พลังใจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ฉันได้ให้ข้อมูลและต่อเติมพลังใจให้เขาทุกครั้งที่เขาโทรศัพท์มาหา จะทราบและสัมผัสความรู้สึกของเขาจากการบอกเล่าทุกขั้นตอนที่เขาเข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจก่อนผ่าตัด ความรู้สึกหลังผ่าตัด ความทุกข์ทรมานขณะอยู่ในช่วงเคมีบำบัด แม้ไม่เคยเห็นหน้า แต่คำพูดปลอบโยนให้กำลังใจก็สามารถช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มีพลังเผชิญกับโรคร้ายและอยู่กับโรคร้ายได้อย่างมีกำลังใจ ฉันทำงานพร้อมกับดูแลรักษาตนเอง ให้กำลังใจเพื่อนหญิงที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน และยาใจลูกโดยที่วันคืนอันหนาวเหน็บเหล่านี้ได้ผ่านชีวิตครอบครัวของเราไป ย่างเข้าปีที่ ๓ แล้ว ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เพื่อนหญิงทุกคนในโลกนี้อย่าได้มีคืนวันที่หนาวเหน็บผ่านเข้ามาในครอบครัวเหมือนเช่นฉันเลย
ดิฉันอ่านบทความนี้แล้วน้ำตาซึมสงสารเด็กน้อยและคุณแม่
แต่ Everything happens for a reason ค่ะ และในความร้ายกาจของบางสิ่งบางอย่างที่ชีวิตได้เจอะเจอ ย่อมจะมีสิ่งที่ดีงามอยู่ด้วยค่ะ
ขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าของเรื่องเล่านี้ค่ะ