วันที่ 18-19 มีนาคม 2551 นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาที่บังกลาเทศที่ผมต้องทิ้งภรรยาอยู่บ้านคนเดียว เนื่องจากต้องเดินทางไปราชการที่เมืองจิตตะกอง แม้จะเป็นการไปเพียงคืนเดียวก็เกรงใจภรรยามาก เนื่องจากช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ภรรยาไม่สบายต้องนอนซมอยู่บ้านนั้น สาเหตุที่ทำให้เธอป่วยหนักก็เนื่องจากไปช่วยงานผมซึ่งคืนก่อนหน้านั้นเธอเริ่มมีไข้และอาการเหมือนเป็นหวัด แต่พอได้รับโทรศัพท์จากผมในวันรุ่งขึ้นว่า ขอให้ช่วยพาคณะแสดงรำไปซื้อของพื้นเมือง เธอก็ไม่ปฏิเสธ รีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว และออกไปต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้า ท่าทางที่ไม่มีใครทราบเลยว่าเมื่อคืนเธอมีไข้สูงและกำลังป่วยอยู่ นอกจากผมคนเดียวเท่านั้น จะว่าไปก็ไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรเลยหากเธอไม่ได้ป่วยอยู่ แต่เนื่องจาก ภรรยามีโรคประจำตัวคือภูมิแพ้ฝุ่น วันที่พาคณะออกไปซื้อของแม้จะได้เตรียมหน้ากากกันฝุ่นและทานยาแก้แพ้แล้ว แต่เมื่อกลับบ้านไข้ก็ขึ้นสูงมาก จนเธอนอนซม พออีกวันเธอก็มาช่วยต้อนรับแขกที่งาน Thai Exhibition 2008 ซึ่งจัดขึ้นที่ร.ร. Sheraton Hotel ตอนช่วงเที่ยงและค่ำของอีกวันก็ต้องมาร่วมงานเลี้ยงรับรองในโอกาสอื่นๆ
ปกติ ภรรยาผมไม่ใช่คนร่างกายอ่อนแอ จะมีก็แต่โรคภูมิแพ้ฝุ่นเท่านั้น แต่คงเพราะเป็นช่วงที่กำลังไม่สบายและพักผ่อนไม่เพียงพอ ทั้งยังได้รับฝุ่นในเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ภรรยาต้องนอนป่วยนานที่สุดตั้งแต่เรามาที่ประเทศนี้ คือประมาณ สองอาทิตย์ ซ้ำร้ายทั้งตลอดสองอาทิตย์นั้นไฟดับบ่อยๆ วันละ 7-8 ครั้งและผมไม่เคยได้อยู่ดูแลเธออย่างเต็มที่เนื่องจากกลับบ้านไม่เคยเร็วกว่า 4-5 ทุ่ม เพราะต้องไปงานเลี้ยงที่ได้รับเชิญจากนักการทูตประเทศต่างๆ งาน Thai Food Festival ซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย งานเลี้ยงรับรองคณะต่างๆ จากเมืองไทย งานเลี้ยงซึ่งจัดโดยสถานเอกอัครราชทูตกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส งานแต่งงานของชาวบังกลาเทศ การเข้าเยี่ยมคารวะบุคคลสำคัญชาวบังกลาเทศ การเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงระหว่างโรงพยาบาลกรุงเทพและโรงพยาบาลหนึ่งของบังกลาเทศ และงานประจำที่ทำงาน ฯลฯ
กำหนดงานต่างๆเหล่านี้ ทำให้ผมไม่ได้มีเวลาอยู่ดูแลภรรยาซึ่งกำลังป่วยหนักเลยแม้แต่วันเดียว ผมเองไม่ได้คาดหวังให้ภรรยาที่ป่วยอยู่ทำอาหารให้ทานตอนกลางวัน แต่เกือบทุกวันในช่วงที่เธอป่วยอยู่ ช่วงเที่ยงพอกลับมาบ้านจะพบว่าอาหารเที่ยงรออยู่บนโต๊ะแล้วเสมอ สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผมเกรงใจและเห็นใจภรรยามาก ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกและไม่ค่อยชอบกับการที่จะเปิดเผยตัวตนกับคนที่ไม่รู้จักมากนัก การเขียนในลักษณะนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เพราะต้องการถ่ายทอดให้ได้รับทราบว่าชีวิตภรรยานักการทูตจริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องสบาย ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางท่าน แต่การต้องอยู่ในประเทศที่มีสภาวะความเป็นอยู่ลำบาก อีกทั้ง ช่วงนี้ลักษณะที่บ่งบอกถึงความเป็นประเทศ Hardship กำลังปรากฎให้เห็นชัดขึ้น ไฟฟ้าจากที่เคยดับเพียงวันละ 1-2 หน ก็กลายเป็นดับวันละ 7-8 หน บางครั้งนานกว่า 3 ชั่วโมง น้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไร อากาศก็เริ่มร้อนอบอ้าวมากๆ ฝุ่น แมลง และยุงก็เยอะ หากผู้ที่เป็นหลังบ้านของนักการทูตที่ต้องมาประจำการในประเทศเช่นนี้ ไม่มีความเข้มแข็งและเสียสละ ตัวนักการทูตนั้นคงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ และจากที่ได้เห็นชีวิตของนักการทูตหลายๆ ท่าน ก็มักจะมีภรรยาเป็นแรงสำคัญอยู่เบื้องหลังเสมอ
คมกฤช จองบุญวัฒนา
19 มีนาคม 2008
แก้ไข นำรูปภาพเพิ่มในบันทึกเมื่อ 24 มี.ค. 2551
สวัสดีค่ะ คุณNan & Ball
ขอบคุณครับ ตอนนี้หายดีแล้วครับ
คุณแณณรักษาสุขภาพด้วยนะคะ เป็นห่วง เอาโปรแกรมย่อรูปกับแต่งรูปมาฝาก แจกฟรี สุดยอดโปรแกรมแต่งรูปแห่งจักรวาล ทำง่ายมาก คนในนี้โหลดไปใช้กันเยอะแล้ว ที่เอามาฝากเพราะสังเกตุเห็นว่าย่อภาพไม่เป็น และที่สำคัญสองอย่างคือ
1.เมื่อใส่รูปไฟล์ใหญ่บันทึกจะโหลดช้า ถึงลงเป็น Thumbnail แต่ต้นไฟล์จริงก็ยังใหญ่อยู่ดี ทำให้คนที่จะเปิดดูบันทึกเราต้องรอนานค่ะ
2. เปลืองพื้นที่ในการเก็บไฟล์ของเรา ถ้าเก็บรูปใหญ่เยอะๆ พื้นที่จะหมดโควต้าเร็ว เพราะที่นี่เขาให้คนละ 50 MB เท่านั้น ถ้าโพสรูปขนาด 300-400 kb ทุกครั้ง บันทึกละ 3 รูป คำนวณรวมดูแค่ 58 บันทึกก็จะหมดโควต้าแล้วค่ะ แต่ถ้าใช้โปรแกรมย่อและจัดวางรูปรวมๆ แบบที่เอามาฝากนี่ บันทึกนึงใส่สามรูปก็ราวๆ แค่ 100-150 kb เป็นอย่างมาก ทำให้มีพื้นที่ใช้ได้อีกนาน ^ ^
สวัสดีคะ แวะมาทักทายคะ
เห็นคุณบอลเป็นห่วงพี่แณณ อย่างนี้ น่ารักจังคะ
สำหรับเรื่องภาพประกอบในบล็อก ปรึกษาพี่ซูซาน Little Jazz \(^o^)/ ได้เลยคะ เธอมาแนะนำโปรแกรมช่วยตกแต่งให้แล้ว ใช้ง่ายคะ ลองดูนะคะ
ขอบคุณความเห็นที่ 3 และ 4 ครับ ผมไม่ค่อยมีเวลา เดี๋ยวค่อยๆ ศึกษาดูนะครับ หากว่างก็จะมาเขียนอีก เห็นภรรยาติดเหลือเกิน สงสัยจะเหงา
สวัสดีครับบอล
เป็นบันทึกที่ทำให้คนท่วไปได้เห็นชีวิตการทำงานของนักการทูตได้ดี
ถือเป็นประสบการของการออกประจำการครั้งแรกของนักการทูต ซึ่งขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีค่ามากและเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็ต้องเปลี่ยนแปลงโยกย้ายไปตามวาระ
เวลาออกประจำการ ฝ่ายในนั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกันกับนักการทูตและถือว่ามีหน้าที่ที่จะต้องทำในฐานะผู้แทนประเทศเหมือนกัน
การได้ไปอยู่ประเทศ hardship นั้นมีข้อดีแน่นอนสำหรับนักการทูต คือการต้องใช้ความสามารถให้อยู่รอดและทำงานให้ได้ผลดีตามที่วางแผนไว้ อินเดียเองในบางเรื่องก็ไม่ได้ต่างจากบังกลาเทศนักโดยเฉพาะปัญหาเรื่องพลังงาน ไฟฟ้ายังคงดับแบบตั้งใจเป็นประจำ จึงต้องเรียนรู้และปรับตัวไปเรื่อยๆ
เคยบอกแณณไว้ว่า การทูตเป็นเรื่องที่ประชาชนควรได้เรียนรู้ การเผยแพร่เรื่องชีวิตนักการทูตเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้ความรู้แก่ประชาชน "การทูตเพื่อประชาชน" ซึ่งขึ้นอยุ่กับตัวนักการทุตเองว่าจะพิจารณานำเสนอสิ่งใดให้สาธารณชนได้ทราบ
เท่าที่แณณได้เล่าเรื่องการไปอยู่ที่บังกลาเทศผ่าน G2K ก็ทำให้ได้รับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจมากทีเดียวโดยเฉพาะชาวพุทธในบังกลาเทศ
ยินดีต้อนรับบล๊อกเกอร์บอลนะครับ
สวัสดีค่ะ
จะเป็นบันทึกที่น่าอ่านทีเดียวค่ะ จะตามอ่านค่ะ
ขอบคุณครับ พี่พลเดช และ คุณ sasinanda ครับ
หากมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ผมจะมาเขียนอีกครับ
คู่ของคุณแณณและคุณบอลเป็นคู่ตัวอย่างของผู้ที่เป็นคู่ชีวิตค่ะ ที่ต่างให้เกียรติกัน ส่งเสริม สนับสนุนและเสียสละให้กันและกัน
ดีใจที่ได้เรียนรู้เรื่องราวเบื้องหน้า เบื้องหลังของนักการทูต สะท้อนให้เห็นความตั้งใจที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปทำหน้าที่ต่างๆมากมาย ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยอีกคนนะคะ
สวัสดีค่ะพี่นุช คุณนายดอกเตอร์