งานด้านเกษตรกับทรัพยากรเป็นสวัสดิการพื้นฐานสำคัญของชาวชนบท มีปัญหาสาหัสสั่งสมมากมาย ส่วนงานสวัสดิการสังคมนั้นเป็น safety net ที่เป็นเหมือนตาข่ายรองรับดูแลคนที่อาจเจอปัญหาจากสถานการณ์ทั่วไปอีกทีหนึ่ง อาจมองว่าเป็นการบรรเทาปัญหาเพื่อให้ชีวิตมั่นคงขึ้นมีภูมิต้านทานมากขึ้น (เป็นเชิงตั้งรับกับปัญหา) ปัจจุบัน ทรัพยากรต่างๆของภาครัฐก็ทุ่มมาด้านสวัสดิการสังคมมากขึ้น คนดูแลก็หลากหลาย ขบวนชาวบ้านก็เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ขบวนชาวบ้านเองยังมีข้อจำกัดในการแก้ปัญหาหลัก คือด้านเกษตรกับทรัพยากรธรรมชาติ เพราะต้องไปสู้กับ วิธีคิด ตลาด และการแย่งชิงทรัพยากรกับรัฐและนายทุน ดูคล้ายๆกับว่ารัฐ(นักการเมือง) เลี่ยงปัญหาที่จะเผชิญหน้าด้านเกษตรกับทรัพยากร ด้วยการอ้อมมาทำงานด้านสังคมซึ่งมีการเผชิญหน้าน้อยกว่าและรัฐ(นักการเมือง)ทำงานได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ดี งานสวัสดิการชุมชนมีความสำคัญมาก นัยสำคัญของเรื่องนี้ มิได้อยู่ที่ตัวสวัสดิการที่ชาวบ้านแต่ละคนได้รับ แต่อยู่ที่การรวมพลัง นั่นคือ สวัสดิการชุมชนเป็นเครื่องมือหรือยุทธศาสตร์ของการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ถ้าชุมชนเข้มแข็งได้ ต่อไปค่อยขยับไปสู่การรวมกันแก้ปัญหาและมีอำนาจต่อรองด้านเกษตรและทรัพยากร หรือแม้แต่การคานอำนาจกับการเมืองระดับท้องถิ่น และการเมืองระดับประเทศ
ชาวบ้านและนักขับเคลื่อนจึงให้ความสำคัญกับ การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด(สู่ฐานวัฒนธรรม) และการรวมพลัง
ในขณะที่นักวิชาการ (นักเทคนิค) ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพ วิธีการบริหารจัดการ และความยั่งยืนของเครื่องมือ เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน (ทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน)
ช่วยกันมองสองด้านนั้นดีแล้ว เพราะหากเกิดขัดข้องทางเทคนิคขึ้นมา ความเชื่อมั่นของชาวบ้านหายไป ก็ย่อมสั่นคลอนโอกาสในการร่วมมือและรวมพลัง...
ความยั่งยืนของเครื่องมือจึงเป็น "เงื่อนไขจำเป็น" ที่มองข้ามเสียมิได้เช่นกัน
ชาวบ้าน นักขับเคลื่อน และนักวิชาการ นักเทคนิค นักคิดเครื่องมือ ไปพร้อมๆกันได้ประเสริฐยิ่งนัก
ขอบคุณบันทึกนี้ครับ
บันทึก(เพิ่มเติม)
ข้อความในบันทึกได้เขียนว่า การจัดสวัสดิการสังคมส่วนใหญ่เป็นการตั้งรับกับปัญหา
อันที่จริง ถ้ามองสวัสดิการที่ชุมชนจัดขึ้น ตัวเองมองว่า สวัสดิการที่ให้เป็นตัวเงินส่วนใหญ่เข้าข่ายเป็นการตั้งรับ เพราะชาวบ้านต้องเอาเงินนั้นไปซื้อบริการจากตลาดหรือจากรัฐอีกทีหนึ่ง การให้เป็นเงินจึงเป็นการบรรเทาปัญหาที่ "เข้าไม่ถึง" สวัสดิการ (เช่น ทุนการศึกษา เงินค่านอนโรงพยาบาล) เพราะขาดแคลนเงินทุน
แต่กิจกรรมที่ชาวบ้านจัดหลายกิจกรรม (ไม่ใช่ให้เป็นเงิน) กลับเป็นสวัสดิการเชิงรุก เช่น ศูนย์เรียนรู้ การเรียนรู้ผ่านการทำแผนแม่บทชุมชน การจัดกิจกรรมครอบครัวสัมพันธ์ วิทยุชุมชน
สวัสดีค่ะอาจารย์ขจิต ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อาจารย์สบายดีนะคะ
สวัสดีค่ะครูนง
องค์กรชุมชนและท้องถิ่นคงจะมีบทบาทสำคัญในการขยับขบวนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ พรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมมีมิติเรื่องการศึกษา คงจะทำงานร่วมกับ พรบ.การศึกษานอกระบบของครูนงได้ดีนะคะ
ครูนงไปญี่ปุ่น ไปโออิตะหรือเปล่าคะ ใครๆคิดถึงโออิตะแต่เรื่อง OTOP แต่ที่ตัวเองเห็นในหลายๆจุด กลับคิดว่า ที่นั่นเป็นตัวอย่างที่ดีของท้องถิ่นที่จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยค่ะ ...OVOP ของโออิตะมีปรัชญาข้อสามเรื่องการพัฒนาคน ....ใช่เลยค่ะ
สวัสดีค่ะคุณยอดดอย
ขอบคุณที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพื้นที่จริงค่ะ ต้วเองก็เป็น "มือค่อนข้างใหม่" และประสบการณ์ในพื้นที่ไม่มากนักเทียบกับอีกหลายๆท่าน อาศัย "ใจรัก"และขยันเขียนเท่านั้นค่ะ
ขบวนชาวบ้านไปเร็วมาก นักวิชาการถ้าไม่ลงไปคลุกคลีจริงๆก็ตามพื้นที่ไม่ค่อยทัน และยิ่งหากเป็นนักวิชาการ"ตามตำราฝรั่ง" ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ตัวเองเป็นนักวิชาการแบบ "ขี่ม้าชมเมือง"มากกว่า เพราะไม่สามารถอยู่ติดพื้นที่ได้
เรื่องสื่อ... ที่ พอช.น่าจะมีวีดิทัศน์เผยแพร่นะคะ หนังสือเผยแพร่ก็มีหลายเล่ม แต่ก็ให้ภาพการทำงานเชิงพื้นที่ของกลุ่มต่างๆแบบหลวมๆ ไม่ใช่หนังสือแบบ How to
การไปศึกษาดูงานจากพื้นที่ที่ก้าวหน้าในเรื่องนี้น่าจะดีที่สุด แต่อย่ายึด "รูปแบบ" แบบพิมพ์เขียว ได้ "แนวคิดและกระบวนการ" จะดีกว่า เพื่อนบอกว่า "จินตนาการ" เป็นเรื่องสำคัญค่ะ
"ศูนย์ข่าวและข้อมูลท้องถิ่นเพื่อการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน" น่าสนใจค่ะ... คงต้องเป็นศูนย์ข่าวและข้อมูลท้องถิ่นที่มีชีวิตชีวา... ใช้หลักของอาจารย์ชัยอนันต์ คือ play and learn แปลว่า เพลิน ค่ะ