หลายคนวิพากษ์กันอย่างน่าทึ่ง ..ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล ..แต่บางคนกลับดูเหมือนจะร่ายมนต์ยกเมฆและดำน้ำมาอย่างเห็นได้ชัด
ผมคุยกับเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่อึดใจก็เปรยออกมาอย่างหนักแน่นว่า “เรามาเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรกันดีกว่า !” ซึ่งนั่นคือที่มาของโครงการ “การจัดการความรู้ด้านกิจกรรมสู่ผู้นำนิสิต ครั้งที่ 3 : ภาคค่ายฤดูร้อน” ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 -24 กุมภาพันธ์ 2551 ณ บ้านเม็กดำ ต.เม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
โดยปกติเรามักจะจัดอบรมในมหาวิทยาลัย ภายใต้ห้องหับที่มีเครื่องปรับอากาศคำรามอยู่อย่างสุภาพ มีจอฉายโปรเจคเตอร์ มีกาแฟและอาหารที่ดูดีให้บริการอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญคือ มีการกล่าวเปิดอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็นั่งฟังบรรยายจากวิทยากรที่คุ้นบ้าง ไม่คุ้นบ้าง ... รวมไปถึงการแยกกลุ่มไปคุยกันในห้องเล็ก ๆ ที่เราจัดเตรียมไว้ให้ตามอัตภาพ เสร็จแล้วก็กลับมานำเสนอผลพวงแห่งการพูดคุยตาม “ขนบนิยม” ที่ปฏิบัติสืบมาอย่างคุ้นชิน !
และทุกครั้ง เราก็มีวัตถุประสงค์หลักคือการสร้างองค์ความรู้ในเรื่องการออกค่ายให้แก่นิสิต โดยเน้นให้นิสิตและละชมรมต่าง ๆ ได้ทำการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันตามกรอบแนวคิดทำนองว่า “เปิดใจ – ไขความรู้ – สู่ประตูแห่งปัญญา” อันได้แก่ ใคร (เปิดใจ) มีอะไรดีก็สกัด (ไขความรู้) ออกมาแบ่งปันอย่างไม่บิดเบือน โดยมีจุดหมายร่วมกันคือการนำไปสู่เทคนิคที่ดีของการสร้างค่ายให้สัมฤทธิ์ผล (ประตูแห่งปัญญา) และกระบวนการเช่นนี้อาจช่วยให้ค่ายแต่ละค่ายได้เรียนรู้ชีวิตในมิติของชุมชนได้ครบถ้วน หรือหลากหลายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ... มิใช่พุ่งไปด้านใดด้านหนึ่งจนแห้งผากเสียทั้งหมด
นั่นคือ ... กระบวนการที่เราสร้างเวทีขึ้นมาโดยอาศัย KM เป็นเครื่องมือแห่งการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนิสิต และสร้างเวทีให้นิสิตกับนิสิตได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกันตามสไตล์ของพวกเขาเอง
อย่างไรก็ดีเวทีอย่างเป็นทางการเหล่านั้น ผมและทีมงานขับเคลื่อนต่อเนื่องมาถึงสองครั้งสองคราแล้วก็ว่าได้ แต่จากการประเมินก็ยังพบว่า เรายังไม่สามารถกระตุ้น หรือจุดประกายความคิดอันหลากหลายให้เกิดขึ้นกับนิสิตได้ เพราะเท่าที่พบ ค่ายหลายค่ายยังคงมุ่งไปสู่การ “สร้าง” และเราเองก็ยอมรับโดยดุษฎีว่า “ค่ายสร้างคือจุดแข็งที่แตะต้องและสัมผัสได้ง่าย” แต่เราก็อดที่จะตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่า ในมิติการเรียนรู้ชุมชน ซึ่งหมายถึงวิถีการเรียนรู้ในทางวัฒนธรรมชุมชนกับกลายเป็นจุดที่หลายค่ายมองข้าม และที่สำคัญคือ ค่ายหลายค่ายเริ่มจะให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้น้อยลงอย่างน่าใจหาย ...
ด้วยเหตุนี้ ผมและทีมงานจึงตัดสินใจที่จะนำเขาไปเรียนรู้และสัมผัสจริงกับ “ความจริง” ที่แตะต้องและสัมผัสได้ และความจริงที่ว่านั้นก็คือ “ห้องเรียนอันมีชีวิต” ที่อยู่ใน “บ้านเม็กดำ” นั่นเอง
“ลำพังชู” คือห้องเรียนอันมีชีวิตห้องเรียนแรกที่ผมนำมาให้บรรดาผู้นำค่ายได้สัมผัสเรียนรู้ โดยแบ่งกลุ่มให้เรียนรู้วิถีชีวิตของผู้คนและสายน้ำแห่งนี้ว่าเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง ?
ผมและทีมงานร้องขอให้ชาวบ้านช่วยจัดเตรียมอุปกรณ์จับปลาไว้ส่วนหนึ่ง รวมถึงเครื่องครัวอื่น ๆ เท่าที่จำเป็น ตลอดจนรบกวนให้ชาวบ้านได้นึ่งข้าวเหนียวและจับปลาจำนวนหนึ่งมารอไว้... ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะหากนิสิตจับปลาไม่ได้ซักตัว ก็คงหนีไม่พ้นการหิวข้าวจนตาลาย, และในที่สุดก็คงต้องเรียงแถวเป็นลมล้มพับกันไปตามระเบียบเป็นแน่ ซึ่งจากการพยากรณ์ของชาวบ้านก็ยืนยันชัดเจนว่า ... ภูมิอากาศเช่นนี้ คงยากยิ่งต่อการที่จะจับปลาขึ้นมาได้ !
ผมและทีมงานกำหนดให้นิสิต 3 กลุ่มออกศึกษาเรื่องราวของห้วยลำพังชู โดยมีชาวบ้านเป็นวิทยากรนำไปสู่การเรียนรู้ บางกลุ่มตะลอนทัวร์ไปดูการเพาะปลูกพืชผลที่อยู่สองฝั่งห้วย บางกลุ่ม หรือบางคนก็เที่ยวตะเวนงมหอย หรือไม่ก็ลงเรือไปจับปลาโดยมีชาวบ้านผู้ชำนาญการคอยเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนั้นให้ปักหลักเป็นพ่อครัวและแม่ครัวคอยจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร ทั้งตำส้มตำ ปิ้งปลา ย่างปลา ..
อาหารมื้อเที่ยงถูกจัดวางอย่างเรียบง่าย .. ทุกคนดูจะมีความสุขกับการได้กินข้าวในบรรยากาศเช่นนี้ ส้มตำถูกลำเลียงจากครัวบนเถียงนาหลังน้อยอย่างต่อเนื่อง ปลาปิ้ง จากเตาร้อน ๆ อวดกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยได้อย่างมหาศาล นิสิตและชาวบ้านนั่งกินข้าวร่วมวงอย่างเป็นกันเอง หลายเรื่องถูกยกมาสนทนาในวงข้าวอย่างออกรสออกชาติ ...
ทันทีที่มื้อเที่ยงสิ้นสุดลง แต่ละกลุ่มสัญจรไปหามุมสงบพูดคุยและสรุปบทเรียนกันตามอัธยาศัย บ้างเลือกเถียงนา หรือไม่ก็ร่มไม้กลางทุ่งโล่งเป็น “วงเล่า” มีเพียงกลุ่มพ่อครัวและแม่ครัวเท่านั้นที่ยังปักหลักยึดที่อาณาบริเวณใกล้ ๆ เถียงนาอันเป็นโรงครัวของตัวเองเป็นฐานที่มั่นเพื่อตั้ง “วงเล่า” ในแบบสบาย ๆ .. จากนั้นก็กลับมานำเสนอเรื่องเล่าอันเกิดจากการศึกษาร่วมกันอย่างสนุกสนาน หลายคนวิพากษ์กันอย่างน่าทึ่ง ..ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล ..แต่บางคนกลับดูเหมือนจะร่ายมนต์ยกเมฆและดำน้ำมาอย่างเห็นได้ชัด จนปราชญ์ผู้ช่ำชองพื้นที่อย่าง “พ่อใหญ่ดา” อดรนทนไม่ไหว เลยต้องลุกขึ้นมาบอกกล่าวเล่าแจ้งในเรื่องต่าง ๆ ทำเอานิสิตตกอยู่ในอาการ “งึด” (ทึ่งในภูมิรู้) ไปตาม ๆ กัน
นั่นคือบรรยากาศการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากสภาพจริงอันเป็นหนึ่งในวิถีวัฒนธรรมของผู้คนที่พึ่งพิงอย่างสมถะกับธรรมชาติ ซึ่งผมก็เชื่อเหลือเกินว่า นิสิตเกือบทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่น่าจะยังไม่คุ้นเคยกับการได้สัมผัสในวิถีการกินอยู่แบบนี้เท่าใดนัก !
ภายหลังการนำเสนอผลแห่งการตั้ง “วงเล่า” ยุติลง ผมและทีมงานก็ร่วมกันสรุปภาพรวมคนละนิดคนละน้อย ซึ่งผมได้ทิ้งประเด็นถึงเรื่องราวแห่งการเรียนรู้ ณ ลำพังชูนี้ไว้ 3 ประการ คือ
1. มุ่งให้นิสิตได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม ฝึกทักษะการรับรู้และรับฟังเพื่อนร่วมงานอย่างมีเหตุและผล (เปิดใจ)
2. มุ่งให้นิสิตได้เกิดกระบวนการเรียนรู้วิธีในการหาข้อมูล ทั้งในแง่ของการสัมภาษณ์ พูดคุยกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะการเรียนรู้จากชาวบ้านที่เต็มไปด้วยภูมิปัญญา หรือแม้แต่การทดลองที่จะปฏิบัติจริงด้วยตัวเอง (ไขความรู้) ไม่ใช่นอนเอามือก่ายหน้าผากรอให้ความรู้หล่นลงมาจากท้องฟ้า ..
3. มุ่งให้นิสิตตระหนักว่าในทุกพื้นที่ย่อมมีขุมทรัพย์ความรู้อยู่อย่างหลากหลาย ทั้งในภูมิศาสตร์ ตัวบุคคล (ประตูแห่งปัญญา) และเมื่อออกค่ายในแต่ละครั้ง ก็ควรต้องไม่ละเลยที่จะเรียนรู้เรื่องราวเหล่านั้นบ้าง อันเป็นแนวคิดและความเชื่อที่ว่า “ทุก ๆ ที่มีเรื่องตำนานของมันเอง”
และนั่นคือ การจัดค่าย KM ในแบบ "กินกลางดิน" และเป็นไปตามสไลต์ งู ๆ ปลา ๆ ของผมและทีมงาน ที่เปลี่ยนภาพจากการบรรยายและเน้นพูดคุยกันในห้องประชุมออกมาสู่การเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ซึ่งเน้นให้เขาได้ "ปฏิบัติ" ด้วยตัวเอง แต่ก็แทบไม่น่าเชื่อว่านิสิตหลายองค์กรชื่นชอบ, ประทับใจ และยืนยันว่า จะนำกระบวนการและวิธีคิดเหล่านี้ไปใช้ที่ค่ายของตนเองอย่างแน่นอน
ที่เหลือก็คงต้องตามติดประเมินกันต่อไปว่า ... จะเป็นจริงตามที่เขาพูดกับเรา กี่มากน้อย, กันแน่