"การโยงสัมพันธ์" หรือ Association เป็นชื่อของ "หลัก" ซึ่งมีใจความสำคัญว่า
"ถ้าเหตุการณ์สองเหตุการณ์หรือมากกว่าเกิดขึ้นพร้อมกันในที่เดียวกัน และถ้าต่อมา เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามมาด้วย แล้ว เหตุการณ์ทั้งสองนั้น โยงสัมพันธ์กัน" ดังตัวอย่างแสดงด้วยรูปต่อไปนี้
ในรูปนี้ A, B, C, D, แทน วงจรนิวโรน ที่ได้เคยอธิบายแล้วในบันทึกครั้งก่อน เส้นสีดำแทน "การโยงสัมพันธ์" พื้นสีเขียวแทนสมอง หรือ Cerebral Cortex ทั้งหมด เป็นประเภทวัตถุ พื้นที่สีเหลืองเขียว แทน "การรู้สึกตัว" และ a, b, c, d, แทน "การรู้สึกรับรู้" ที่สัมพันธ์กับ A, B, C, D, ตามลำดับ และเป็นประเภท อวัตถุ
สมมุติว่าในขณะนี้ A,B,C,D "เกิดขึ้นพร้อมกัน" หรือ Contiguity และ ถ้าต่อมา "เกิด A" ขึ้นอีก แล้ว"เกิด" B (หรือ C,D) ขึ้นด้วย ก็เรียกว่า A - B, หรือ A - C, หรือ A - D นั้นๆ "โยงสัมพันธ์กัน" แล้ว เหตุการณ์ที่กล่าวนี้เป็น "เหตุการณ์ทางวัตถุ" คือที่ บริเวณเซเรบรัล คอร์เท็กซ์
ในขณะเดียวกันกับการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์ a, b, c, d, ในทะเลของ "การรู้สึกตัว" ก็เกิดขึ้นด้วย(บริเวณพื้นสีเหลืองเขียว) ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วในบันทึกก่อนหน้านี้ และ "ความรู้สึกเฉพาะ" เหล่านี้ก็จะ"มีคุณสมบัติการโยงสัมพันธ์" ด้วยเหมือนกัน
ข้อสังเกตุ
(๑) ในช่วงประมาณ ค.ศ. 1913 เป็นต้นมา นักจิตวิทยากลุม "พฤติกรรมนิยม" (Behaviorism) ไม่สนใจส่วนที่เป็นสีเหลืองเขียว และที่เป็นสีเขียวเข้ม โยเรียกส่วนนั้นว่า Black box
(๒) นักจิตวิทยากลุ่ม "ปัญญานิยม"(Cognitivism) สนใจ "บริเวณสีเหลืองเขียว" แต่ศึกษาเป็นส่วนเฉพาะๆ เช่น Memory Structure Models, Conceptual Models, Problem Solving Models, Verbal Learning Models, Structure of Intellect Model ฯลฯ นักจิตวิทยาเหล่านี้ไม่เรียกว่า Mind โดยตรง เพราะเขาศึกษาเป็นบางส่วนของ "จิต" ไม่ใช่จิตทั้งหมด เพียงแต่มีกล่าวถึงโดยรวมๆไว้บ้าง แต่ โดยเนื้อแท้แล้ว เบื้องหลังของ Models เหล่านี้ ก็คือ ส่วนที่เป็นสีเขียวเข้มทั้งสิ้น (คือ "ถอดมาจากส่วนสีเขียวเข้ม" มาเป็น Model)
(๓) กลุ่มแพทย์สนใจในบริเวณสีเขียวเข้มเหมือนกัน แต่มุ่งเพื่อดูแลรักษาป้องกันเป็นสำคัญ
ไม่มีความเห็น