จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านดังใจปรารถนา
.....
เมื่อวานที่ผ่านมา , สักราว ๆ บ่ายสองโมงเศษ ๆ ผมถือโอกาสกดโทรศัพท์ไปหาพ่อ พร้อมกับแจ้งพ่อว่าเย็นนี้จะกลับบ้าน, กลับไปสวัสดีปีใหม่ รวมถึงกลับไปอยู่กับลูก ๆ ให้อิ่มใจก่อนการเดินทางไกลอันแสนนานจะเริ่มขึ้น –
พ่อดีใจที่ผมโทรกลับบ้าน,
พ่อบอกว่าแม่สบายดี และกำลังมีความสุขกับการทำสงครามอันแสนรักกับเทวดาตัวน้อยทั้งสองคน แต่ท้ายที่สุดพ่อก็บอกกับผมว่าไม่ต้องกลับบ้านก็ได้ เพราะท่านกลัวว่า เจ้าตัวเล็ก (โดยเฉพาะคนโต) จะงอแง เดี๋ยวมีอันเสียการเสียงานไปเลยก็ได้
ก่อนวางสายโทรศัพท์
พ่อไม่วายบอกให้ผมรักษาสุขภาพ , เดินทางอย่างปลอดภัย และทำหน้าที่ให้เต็มที่โดยไม่ต้องเป็นกังวลกับเจ้าตัวเล็กทั้งสอง -
..................................
เช้าตรู่ของวันนี้
ยังไม่ทันถึงสองโมงเช้า หลังจากสลบอย่างเดียวดายด้วยพิษไข้มาตั้งแต่หัวค่ำของเมื่อวาน ผมก็ถูกปลุกด้วยเสียงเรียกของโทรศัพท์ ผมยกมือขึ้นคลำหาตัวเครื่องอย่างไม่รู้จุดหมาย ภาวะนั้น, ผมไม่มีกำลังพอที่จะลุกขึ้นเบิ่งหาโทรศัพท์อย่างที่ควรจะเป็น แว่วยินเสียงนั้นดังอยู่สักพัก จากนั้นก็เลือนหายไปราวกับรู้ว่าเจ้าของเครื่องอยู่ในภาวะไม่พร้อมที่จะรับสาย ...
เช้าสาย ๆ ของวันเดียวกัน...
ผมไปถึงที่ทำงานในราวสามโมงเช้า พบกล่องของฝากจากน้องนิสิตวางอยู่บนโต๊ะ บนกล่องมีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แปะติดอยู่อย่างน่ารัก ซึ่งเนื้อความของถ้อยคำนั้นบ่งชัดว่าเป็นของฝากและของขวัญเนื่องในวันปีใหม่ ...
ก่อนเที่ยงของวันเดียวกัน
พี่สาวคนเดียวของผมโทรทางไกลมาหาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ เธอบอกว่าเมื่อเช้าโทรมาหาแต่ผมไม่รับสาย เลยยิ่งวิตกกังวลว่า ผมเป็นอะไรไปหรือเปล่า ? ....
ไม่มีอะไรมาก พี่สาวโทรมาถามว่าระยะหลังรู้ว่าผมไม่ค่อยได้กลับบ้าน ทางบ้านบอกว่าทำงานหนัก และเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งผมก็ขานรับว่าชะตาชีวิตเป็นเช่นนั้นจริง แต่ก็ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของการงานทั้งนั้น และการงานนั้นก็ยังไม่เป็นมิตรกับเวลาอันเป็นส่วนตัวของผม ...
พี่สาวบอกกับผมว่า -
ปีใหม่นี้กะจะรวมญาติมาสู่ขวัญผูกข้อต่อแขนให้กับพ่อและแม่ แต่เห็นว่าผมยังไม่ว่างเลยต้องเลื่อนกำหนดการออกไป และขอให้ผมได้ทำงานอย่างเต็มที่ ว่างเมื่อไหร่ให้โทรไปหาได้ทันที .. พี่น้องทุกคนพร้อมเสมอ .... และตอนท้ายยังไม่ลืมย้ำว่า ให้ผมทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรู้สึกผิดใด ๆ ... ขณะที่ห้วงลึกของผมกลับรู้สึกว่าตนเอง ยังคงเป็นภาระของใคร ๆ อยู่อย่างไม่รู้จบ ...
.......................
ครอบครัวของผมเป็นชาวนาขนานแท้ -
เรามีพี่น้องร่วมท้องกันหลายคน บ้างล้มหายตายจากไปนานโข บางคนสาบสูญไร้ร่องรอย คงเหลือแต่เฉพาะพี่สาว,และพี่ชายอีกสองคน ซึ่งทั้งสามออกเรือนไปกันหมดแล้ว และทุกคนก็รับมรดกทางท้องทุ่งจากพ่อและแม่ไปอย่างภาคภูมิ คงมีแต่ผมเท่านั้นที่ท้องทุ่งเลือกที่จะผลักไวให้มาเป็นคนเมือง และว่ายวนอยู่ในสังคมอันหลากล้นไปด้วยมายาชีวิต !
ในทางสังคมผมดูจะได้รับโอกาสอันดีมากกว่าพี่ ๆ ....
พี่สาวคนนี้ไม่มีโอกาสได้เรียนในระดับมัธยมศึกษา เธอเคยเล่าให้ผมฟังอย่างหม่นไหม้ว่า “คงเป็นเพราะความเป็นผู้หญิงนี่แหละที่ทำให้เธอไม่ได้เรียนต่อ” ...เธอร้องไห้อยู่หลายวัน ในแต่ละวันเห็นเพื่อนไปโรงเรียนอย่างน่าตื่นตา ส่วนเธอก็จมจ่อมอยู่กับห้องครัวและท้องนาอย่างไม่ว่างเว้น และเมื่ออายุพ้นแรกสาวได้เพียงไม่กี่ปีก็ออกเรือนตามความเห็นชอบของผู้ใหญ่ ....
จากวันนั้นถึงวันนี้พี่สาวคนเดียวของผมก็ไม่เคยตีโพยตีพายกับชีวิตที่ไม่อาจกำหนดได้ ...
.....................
วันนี้,
ทั้งพี่สาวและพี่ชายอีกสองคนของผมยังคงเป็น “ชาวนา” อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ฝนจะตก แดดจะออก ร้อน, หนาว และแห้งโหยสักปานใด พวกเขาก็ไม่เคยสิ้นหวังกับการฝากชีวิตไว้กับทุ่งนา ..และดูเหมือนว่าจะมีความสุขอย่างไม่รู้เบื่อกับสิ่งที่พ่อและแม่เลือกให้ราวกับ “รู้ใจ” และพยากรณ์ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเหมาะที่จะหยัดยืนอยู่เช่นปัจจุบัน
ตรงกันข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง,
บ่อยครั้งเหลือเกินที่ผมกลับไม่รู้เลยว่าตนเองอยู่จุดใด กำลังไปในเส้นทางใด และเส้นทางนี้มีมิตรที่รู้ใจ – จริงใจสักกี่คน ... แต่มันก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะถึงแม้เช่นนั้นก็เถอะ ผมกลับไม่เคยสูญเสียศรัทธาต่อการที่ดุ่มเดินไปตามวิถีที่ตนเองได้เลือก, หรือแม้แต่พ่อและแม่ได้เลือกให้เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ....
....................
ค่ำคืนของวันนี้..
ผมพาตัวเองออกจากสำนักงานในราวเกือบสามทุ่ม ผมโทรกลับไปยังบ้านอีกครั้ง คราวนี้ได้คุยสายกับลูก ๆ ฟังจากน้ำเสียงเด็กสองคนร่าเริงและมีความสุขกับชีวิตในบ้านนอกมาก แต่ไม่ลืมที่จะย้ำว่าให้ซื้อโน่นซื้อนี้มาฝาก กระนั้น, น้องดินก็ไม่วายที่จะเปรยด้วยเสียงอ่อย ๆ ว่า “อยากมาโรงเรียน...”
ห้องหับอันเงียบงัน
ภารกิจสำคัญกองอยู่ตรงหน้า - เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งยังไม่ถูกเก็บใส่กระเป๋า ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดหาวิธีที่จะนำเอาเสื้อผ้าจำนวนนี้ลงในกระเป๋าได้อย่างไม่ยับยู่ยี่ ....
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรก ๆ ที่ผมกำลังจะต้องจัดการกับเรื่องพรรค์นี้ด้วยตัวเอง เพราะขณะนี้ คุณแม่บ้านผู้ทรงอิทธิพล ก็อยู่ไกลถึงนครศรีธรรมราชโน่นแล้ว !
มันเป็นความเปราะบาง (เสียนิสัย) อันเกิดจากการคุ้นชินกับการมีใครสักคนคอยหนุนส่งในภารกิจเหล่านี้จนเคยตัว ...
..........................
ดึกแล้ว...
พรุ่งนี้สักตอนตี 3 ผมกะจะลุกขึ้นมานึ่งข้าวเหนียวกระติ๊บใหญ่ ๆ ทอดเนื้อแดดเดียวเยอะ ๆ จากนั้นก็จะห่อและหิ้วไปทานบนรถไฟ ซึ่งก็เชื่อว่าน้องนิสิต หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่อีกหลายคนจะอิ่มท้องไปกับผมอย่างไม่ต้องสงสัย
ดึกแล้ว ....
ผมไม่รู้จะทำยังไงถึงจะหลับลงได้ ...
คิดถึงพี่สาวและพี่ชายที่อยู่ไกลโพ้น .... คิดถึงพ่อและแม่ รวมถึงลูกชายที่บ้านนอก
คิดถึงภารกิจที่รออยู่แสนไกล
และคิดถึงอะไร ต่อมิอะไร ... ราวกับคนฟุ้งซ่าน ...
.............................
เดินทางปลอดภัยนะค่ะ .....ขอให้มีความสุขกับการกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว.....
เข้าใจหัวอกคนอยากกลับบ้านใจจะขาดค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะ..เอาใจช่วยให้ได้กลับบ้านไวไว..มีความสุขกับการเดินทาง..บรรยากาศระหว่างทาง..กับความคิดถึงผู้ที่รอคอยอยู่ปลายทาง..ก็ทำให้รู้สึกดี..และมีความสุขอีกแบบนะคะ..
มีความสุขกับครอบครัว..เต็มที่เลยนะคะ..น่าชื่นใจแทนค่ะ..
คุณพนัสคะ..หนังสือได้รับแล้วค่ะ..ขอบคุณมากๆเลย..เพราะได้แถมอีกตั้งเล่ม..กับคำอวยพรที่อิ่มเอมได้ทั้งปีเลย..
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพ..ที่มีให้กันเสมอ..
สวัสดียามสายก่อนสะสางงานในวันนี้ครับ
ขอให้มีความสุขครับ
สวัสดีปีใหม่คะ คุณแผ่นดิน
ช่วงปีใหม่เหล่านักการหลายคนก็ออกเดินทางตามเส้นทางของแต่ละคนเหมือนกัน ซึ่งรถค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ช่วงนี้รถน่าจะเบาบางลงเยอะแล้ว ยิ่งเดินทางโดยรถไฟ คนน่าจะน้อยลงมาก เหล่านักการขอให้คุณแผ่นดินเดินทางปลอดภัยนะคะ
บางครั้งชีวิตเราต้องเลือก ว่าเราจะใช้คำว่า ถูกต้อง หรือ ถูกใจ
เป็นกำลังใจนะคะ
....................เหล่านักการ.....................
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
อดยิ้มไม่ได้กับคำรำพึงที่ดูเปลี่ยวเหงาปนอัดอั้นแต่ก็ยังห่วงใยผู้ร่วมทางด้วยการจะตื่นนึ่งข้าวเหนียวแต่ดึกและทอดเนื้อแดดเดียวเยอะๆ ทั้งๆที่แทบไม่ได้นอนเพราะติดอะไรหลายๆอย่าง ! ^ ^
คุณแผ่นดินทำให้ เบิร์ดคิดถึงคำนี้ค่ะ
บนเส้นทางของความอดทนก็ยังมีความห่วงใยที่แทรกซ้อนอยู่อย่างอบอุ่นด้วยนะคะ..เอาใจช่วยให้ผ่านภาระงานต่างๆไปได้ด้วยดีค่ะ
และมารายงานว่าได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้ว ชอบมากๆค่ะ
^ ^
เมื่อเช้า "หุง" ข้าวเหนียวดำเป็นเสบียงไป มรภ. มหาสารคามค่ะ (ค้นตำราหมดแรงได้ข้าวเหนียวเพิ่มพลัง)
ขอให้มีความสุขกับการเดินทางนะคะ....ฝากความคิดถึง "หนุ่มน้อยทั้งสอง" ด้วยค่ะ
สวัสดีค่ะ
คนเราพอไม่ค่อยสบาย ก็มักจะเหงาๆอย่างนี้ กอรืปกับลูกๆ ไม่อยู่บ้านด้วย เลยยิ่งเหงาใหญ่
คงต้องข่มใจค่ะ ความหดหู่ จะเป็นตัวขัดขวาง การปฎิบัติหน้าที่ของเราค่ะ
สวัสดีครับ ครูเอ...
แวะมาเยี่ยมให้กำลังใจครับ
สวัสดีครับ...
ผมได้รับโปสการ์ดแล้วนะครับ
แต่พักนี้ผมเดินทางอยู่บ่อยครั้งเลยยังค้างภารกิจอันสำคัญ ...
ขอบคุณในกำลังใจที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า โลกไม่เงียบเหงา
ขอบคุณครับ
ครูแอ๊ว ครับ
โลกหมุนวนจนบางครั้งผมก็วุ่นวนหลงทิศหลงทาง ... หัวเราะและยิ้มให้กับจังหวะชีวิตของตนเองอยู่บ่อยครั้ง หลายคนเริ่มทักบ่อยขึ้นว่า ผมเป็นคน หรือเครื่องจักรกันแน่ ...
ผมยิ้มให้ตนเองบ่อยขึ้น และเป็นการยิ้มเพื่อปลอบตัวเองครับ....
การค้นหาเวลาของชีวิตยังเป็นภารกิจที่มืดมัว แต่ก็ชวนต่อการค้นหาเป็นที่สุด
....
ขอบคุณครับ, ครูแอ๊ว