และแล้ววันนั้น (29 ธันวาคม 2550) ...ผมก็ไปไม่ทันการโกนผมนาคตามคำเชิญดังที่กล่าวแล้วในบันทึกก่อนหน้านี้
http://gotoknow.org/blog/pandin/155633
ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย แต่ก็ให้อภัยตนเองในไม่ช้า เพราะเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน คือปัจจัยหลักที่ทำให้เวลาหล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงการไม่อยากให้จิตใจหงุดหงิด ขุ่นมัว เดี๋ยวจะพาลให้การมาร่วมงานในวันนี้เป็นงานสร้างบาปให้กับตัวเองเสียเปล่า ๆ
ผมไปถึงบ้านของน้อง
“อุทร
เปรี้ยวปรี”
ในราวเที่ยงของวันนั้น,
ภาพที่เห็นคือภาพที่เจ้าตัวกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็ก
ๆ โดยมี “ช่างผม”
กำลังทำพิธีโกนผมให้อย่างมีสมาธิ
ขณะที่นาคอุทรก็นั่งพนมมือหลับตาอยู่อย่างอิ่มสุข
และนานมากโขกว่าเขาจะลืมตาขึ้น
และรับรู้ว่าผมได้มาถึงตามคำเชิญของเขา
จากนั้นก็หลับตาอีกครั้งอย่างสงบงาม
ถึงกระนั้นก็เถอะ
ผมเองก็เห็นน้ำตาลูกผู้ชายของเขาหยดไหลลงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
ทำเอาหัวใจของผมสั่นไหวไปกับเขา...
(หยดน้ำตาของลูกผู้ชายที่หยดไหลอย่างเรียบงาม)
ผมได้รับการต้อนรับจากเครือญาติของเจ้าภาพเป็นอย่างดี ก้าวแรกที่ผมพาตนเองเข้าไปยืนอยู่ในตัวบ้าน ผมก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ผมมีตัวตนอย่างชัดเจนในงานนั้น เพราะดูประหนึ่งว่า ทางเจ้าภาพได้ตระเตรียมการต้อนรับขับสู้ไว้ล่วงหน้า ซึ่งนั่นเท่ากับว่าได้มีการชั่งวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “ผมจะมาในงานนี้อย่างแน่นอน”
ในช่วงที่รอให้ “นาคอุทร” โกนผมและกลับเข้าไปแต่งตัวนั้น ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับคุณแม่บุญธรรมของน้องนิสิตท่านนี้อย่างยาวนาน และในการพูดคุยกันนั้น ผมสัมผัสถึงความอิ่มสุขที่ฉายเด่นในดวงตาของผู้เป็นแม่อย่างเห็นได้ชัด ดวงตาทั้งสองดวงของหญิงชาวบ้านผู้กรำงานมาอย่างหนักหน่วง ได้ทอประกายความรักให้เห็นอย่างน่ายกย่อง - จนผมอดที่จะรำพึงรำพันกับตนเองไม่ได้ว่า ถึงแม้นสถานะของเธอจะเป็นเพียงแม่บุญธรรมเท่านั้น แต่จากน้ำเสียง และแววตา รวมถึงเรื่องราวหลากถ้อยคำที่สื่อผ่านมายังผม ก็ล้วนยืนยันอย่างมีชีวิตว่า “หญิงชาวบ้านผู้ทระนงท่านนี้ รักและผูกพันกับเด็กหนุ่มกำพร้าราวกับเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด” ....
ในการพูดคุยกันนั้น, ผู้เป็นแม่บุญธรรมรู้เรื่องราวของผมเป็นอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะความเกี่ยวโยงระหว่างผมกับบุตรบุญธรรม ผมเองจึงขอสารภาพบาปเสียตรงนี้เลยว่า แรกเริ่มเดิมทีนั้น ผมจำไม่ได้ว่า “นาคอุทร” เป็นใคร ? มาจากไหน ? และรู้จักผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เหตุที่ผมจำไม่ได้นั้น ไม่ใช่เพราะผมละเลยต่อสัมพันธภาพ หากแต่ไม่คุ้นชินชื่อเสียงเรียงนามจริงของนิสิต เพราะส่วนใหญ่จะคุ้นเคยแต่กับ “ชื่อเล่น” ยิ่งการดูแลนิสิตอย่างมากมายก่ายกองนั้น ก็ยากไม่น้อยกับการที่จะจดจำชื่อได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ยืนยันว่า สำหรับน้องท่านนี้ ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หากแต่พักหลังในราว ๆ สัก 2 ปีมานี้ ผมและเขาไม่ค่อยได้พบปะเสวนากันเท่านั้นเอง
ย้อนกลับเมื่อ
4
ปีที่แล้ว...
ตอนนั้น
ผมย้ายไปเป็นหัวหน้ากลุ่มงานที่ฝ่ายสวัสดิการนิสิต
ผมใช้เวลาสั้น ๆ
กับการวิเคราะห์สภาพปัญหาขององค์กร
ซึ่งก็เล็งเห็นว่าที่องค์กรยังไม่มีนักจิตวิทยามืออาชีพมาเป็นที่พึ่งพิงของนิสิต
ครั้งนั้นเรายังไม่มีนักจิตวิทยาตัวจริงเสียงจริงเลยก็ว่าได้
....
ช่วงนั้นผมถึงกับออกอาการน็อตหลุด
เปรยบ่นอยู่บ่อยครั้งในทำนองว่า
...
มหาวิทยาลัยที่มีนิสิตทะลักเข้ามาฝากชีวิตและการเรียนรู้มากมายเช่นนี้
แต่กลับดูประหนึ่งว่า
พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้รองรับ หรือสร้าง
“มุมชีวิต”
อันเป็น
“ทางออก”
หรือที่พักพิงที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
!
ครั้งนั้น, ผมไม่ได้จำยอมต่อภาวะเช่นนั้นเสียทั้งหมด ผมและทีมงานปรับแผนกันยกใหญ่ โหมประชาสัมพันธ์ให้นิสิตกล้าเข้ามาพูดคุยกับเรา, พร้อมกับการเข้าหานิสิตอย่างใกล้ชิด รวมถึงการประกาศตนใช้ “ประสบการณ์ชีวิตตนเอง” ที่ผ่านการปฏิบัติจริง (how to) มาเป็นเครื่องมือในการพูดคุยกับนิสิต ตลอดจนการอาศัยบารมีอันน้อยนิดของตนเองที่ติดสอยห้อยตามมาจากการบริหารในกลุ่มงานกิจกรรมนิสิตมาเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ซึ่งก็ได้ผลอย่างน่าภาคภูมิใจ เพราะเริ่มมีนิสิตก้าวเข้ามาพูดคุย, ปรึกษาเรื่องต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในนั้นก็มี “อุทร เปรี้ยวปรี” อยู่ด้วย
ครั้งนั้น, เด็กหนุ่มท่านนี้ได้เล่าให้ผมฟังถึงความเดือดร้อนในทางครอบครัว ตลอดจนการเรียนในสาขาที่ตนเองไม่พึงใจ หากแต่เป็นการเรียนที่ตอบสนองความต้องการของผู้ปกครอง และครั้งนั้น ผมก็ให้กำลังใจ รวมถึงการแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการเรียนไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงท้ายที่สุดก็แนะนำไปสู่การเรียนในสาขาที่ตนเองชื่นชอบและสันทัด ....
ครั้งนั้น, เราพูดคุยกันค่อนข้างถี่ ทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการอย่างไม่เกี่ยงงอน และเมื่อวิถีชีวิตเราเริ่มห่างไปตามจังหวะชีวิต ผมก็ได้แต่ติดตามฟังเรื่องราวของเขาอยู่อย่างห่าง ๆ ...
อุทร เปรี้ยวปรี, ... เป็นเด็กหนุ่มชนบทจากหนองบังลำภู เป็นคนสมถะ พูดน้อย ดูผิวเผินจะเหมือนคนเก็บตัวและครุ่นคิดกับปัญหาชีวิตอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็ต้องเห็นใจเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางบ้านค่อนข้างเดือดร้อน มีพี่น้องรวมเขาแล้วก็ 8 คน มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ขณะที่บิดาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อประมาณ 2 ปีโดยไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของเขา.... (ความสำเร็จในวิถีที่เขาเลือก : แต่ผมก็เชื่อว่า พ่อของเขาจะภูมิใจและเข้าใจในวิถีที่เขาเลือก)
ในงานอุปสมบทครั้งนี้,
...
พี่น้องจากบ้านเกิดของ
“นาคอุทร”
เดินทางไกลกันมาจำนวนร่วม 20
คน
ทั้งสองครอบครัวสนิทแน่นและเป็นกันเองอย่างน่าชื่นชม
ความสำเร็จทางการศึกษา
ไม่เพียงเป็นรางวัลชีวิตของเขาเพียงคนเดียว
แต่กลายเป็นรางวัลชีวิตของสองครอบครัวที่รอคอยร่วมกันมาอย่างแสนนาน
จากคำบอกเล่าของผู้ที่เกี่ยวข้อง, ทำให้ผมพอรับรู้ได้บ้างว่า ทั้งอุทรและแม่บุญธรรมเจอะเจอกันในมหาวิทยาลัย โดยผู้เป็นแม่เป็นแม่ค้าที่ขายส้มตำช่วงเย็นใน “ตลาดน้อย” (ซึ่งรายได้ก็ไม่มาก) และในแต่ละเย็นก็จะเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ไปซื้ออาหารทีละ 5 บาท จนอดที่จะสงสัยและสารไม่ได้ จึงได้เอ่ยปากทักถาม, จากนั้นก็เริ่มที่จะคุ้นเคย ก่อเกิดสายใยสัมพันธภาพ และในที่สุดก็ผูกพันกันอย่างสนิทแน่น ยิ่งรู้ว่าเด็กหนุ่มท่านนี้มีฐานะยากจน ...กำพร้า .. เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนและสู้ชีวิต จึงอดที่จะรับมาเป็นบุตรบุญธรรมไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงตนเองก็มีความลำเค็ญอยู่ไม่ใช่น้อย !
ผมมีความสุขอย่างมหาศาลที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง (อันน้อยนิด) กับเรื่องราวอันดีงามของครอบครัวนี้ ยิ่งมารับรู้ว่าบุคลากรในมหาวิทยาลัยที่เจ้าภาพเชิญตามคำบอกเล่าของลูกชายก็มีเพียงสองคน คือ ผมและอาจารย์อีกท่านหนึ่ง (ที่ไม่ได้มา) เท่านั้น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุด และยิ่งมาเห็นภาพแห่งความรักของคนในครอบครัวอันยากไร้นั้น ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึง “คุณค่าของการสู้ชีวิต” และการ “ศรัทธาต่อการมีชีวิตอยู่” ของผู้คนอย่างมากมายก่ายกอง
ในงานบวชครั้งนี้ ผมสามารถดื่มหรือทานอะไรได้เลย นั่นเพราะมาจากอาการเจ็บป่วยของตนเอง ลำคออันอักเสบทำให้ผมไม่สามารถพูดคุยกับใคร ๆ ได้อย่างใจหวัง แต่ก็โชคดีที่มีโอกาสได้ทำหน้าที่เป็น “ตากล้อง” ให้กับพวกเขาอย่างไม่ขาดเขิน และก่อนที่จะถ่ายภาพแห่งความสุขนั้น ผมเห็นพี่สาวของนาคอุทร ทยอยเดินไปขอหยิบยืมสร้อยคอของญาติมิตรแต่ละคนมาคล้องให้น้องชายสุดที่รัก - ภาพเหล่านั้น ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกวาบไหวไปกับ “ชะตาชีวิต” ของพวกเขาอย่างหลีกหลบไม่ได้
งานบวชในวันนี้, เป็นไปอย่างเรียบง่าย ผู้คนทยอยมาร่วมงานบุญเป็นระยะ ๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าภาพดูจะอัตคัดอยู่มากมิใช่น้อย ดังจะเห็นได้จาก “กองบุญ” (กองบวช) ดูจะไม่ใหญ่โตนัก .... และเมื่อเทียบเคียงกับงานบวชของเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันก็จะยิ่งเห็นได้ชัดว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ! แต่ความแตกต่างที่ว่านั้น ก็หาใช่การเปรียบเปรยในเชิงคุณค่า เพราะทั้งสองงาน ต่างมีคุณค่าในทางจิตใจ และสังคมอยู่ในตัวของมันเอง
...........
ผมไม่รู้จะปิดบันทึกนี้ด้วยกระบวนความใด รู้แต่เพียงว่า ความดีงามที่เกิดขึ้นนั้น ผมไม่สามารถบอกเล่าออกมาได้อย่างที่ใจคิด ทุกอย่างอัดแน่นและมีพลังมากเกินกว่าที่จะสื่อสารด้วยถ้อยคำใด ๆ ...
ผมดีใจที่คนดี ๆ ได้รับการดูแลจากสังคม ดีใจที่เห็นความรักของคนยากไร้ไม่เคยขาดหายไปจากโลกใบนี้....
ขอบคุณพรหมลิขิตที่นำพาเด็กหนุ่มผู้สู้ชีวิตมาพบเจอคนยากไร้ที่ไม่เคยร้างไร้ซึ่งความรัก ความอาทรต่อชีวิตอันดีงามของผู้คน ... !
ขอบคุณ
...
และขอบคุณ
สวัสดีค่ะ อ.แผ่นดิน
สวัสดีค่ะคุณพนัส
ขออนุโมทนาบุญกับการบวชครั้งนี้ ของพระท่านด้วยค่ะ
เคยอ่านคำถาม คำตอบเกี่ยวกับเรื่องการบวชพระมามาก ว่า ใครได้บุญข้อไหนบ้างค่ะ ขอนำข้อสรุปมา เผื่อคุณพนัสนะคะ
ลูกบวชลูกก็ต้องได้บุญ ในฐานะที่ได้ฝึกหัดขัดเกลาตัวเองตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ไปฝึกหัดขัดเกลาตัวเองตามลูก บุญส่วนนี้จึงไม่ได้ แต่จะได้บุญส่วนอื่นคือได้บุญในฐานะที่สนับสนุนให้ลูกบวช และในฐานะที่ลูกบวชแล้ว ก็เลยตามไปตักบาตรให้ด้วยความเป็นห่วงพระลูกชาย ครั้นเมื่อไปตักบาตรแล้ว ก็ไม่ได้ตักให้เฉพาะพระลูกชาย ของตัวเองหรอก ตักบาตรให้พระองค์อื่นๆ ด้วย ท่านก็เลยได้บุญจากการให้ทานเพิ่มขึ้นมาอีกงบหนึ่ง
สวัสดีครับ อ.ขจิต
....
สุข ทุกข์ดำเนินไป พร้อมการเติบใหญ่ของชีวิต
.....
สวัสดีปีใหม่ ... และเชื่อว่าจากนี้ไป เรื่องดี ๆ ก็จะมาแทนที่ครับ
ผมเชื่อว่า อ.ขจิต จะได้พบเจอสิ่งเหล่านั้นในเร็ววัน
....
เป็นกำลังใจให้นะครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ พี่ศศินันท์...
ตลอดปีที่ผ่านมา ผมได้รับข้อคิดอันเป็นแง่งามของชีวิตจากพี่อย่างสม่ำเสมอ ... ได้มองเห็นในสิ่งตนเองมองไม่เห็น และได้เยือกเย็น สงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ...
.....
ผมมีความสุขที่ได้เห็นตนเองได้เข้าเป็นไปส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือผู้อื่น เป็นความสุขที่ยืนยันกับตัวเองว่าเรามีคุณค่าและมีลมหายใจ ....
....
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณแหว๋ว..
ผมดีใจที่คนดี ๆ ได้มาเจอกัน ... ท่ามกลางความยากแค้นก็ไม่ใช่อุปสรรคแห่งการแบ่งปันเสมอไป ...
ภาพชีวิตที่ผมพบเจอในงานบวช จึงทำให้ผมมีพลังใจในการที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และกล้าที่จะยืนอยู่อย่างมีจุดยืนของตนเอง ...
ขอบคุณครับ