- ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากครับ
ชาวพุทธบางท่านบอกว่า ศาสนาพุทธ
มีหลักการใหญ่อยู่ที่การไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง...
สอนให้ดำรงชีวิตอย่างเข้าใจสรรพสิ่งให้ถูกต้องต่อความเป็นจริง...
ไม่ยึดติดกับพิธีกรรมอันไร้สาระ
ไม่คาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ จากอำนาจภายนอกตัวเอง (ซึ่งก็ถูก)
แล้วไปดูถูกชาวพุทธกลุ่มอื่น
ที่ยังยึดติดกับพิธีกรรม
หรือสิ่งงมงายต่าง ๆ
เช่น พวกมุ่งสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา
บ้าจตุคาม กราบจอมปลวก
หรือยังไหว้ขอหวยจากพระพุทธรูปกันอยู่ ฯลฯ
แล้วบอกว่าคนเหล่านั้น
ไม่ใช่ชาวพุทธที่แท้
เป็นแค่ชาวพุทธเทียม ๆ
แต่ในทะเบียนบ้าน!
อันที่จริง...
พิธีกรรมนั้นมีขึ้นภายหลัง คำสอนที่เป็นแนวหลัก
เช่น พระสวดมนต์ให้พรหลังฉันเสร็จ ก็เพื่อเอาใจญาติโยมและเป็นการแสดงธรรมด้วย
แต่ก่อน สมัยต้นพุทธกาลมีที่ไหน
พระฉันเสร็จ ก็ลุกชิ่งเลย พงพรไม่มีให้ (ญาติโยมมองตาปริบๆ ไร..วะ)
ชาวบ้านเขาบ่นมา พระพุทธเจ้าเลยตามใจ เอ้าพระฉันข้าวชาวบ้านเสร็จแล้วแสดงธรรมให้เขาฟังมั่งนะ (ให้พรนั่นแล)
เอาตัวอย่างใกล้ ๆ
เมื่อก่อนพระพุทธศาสนาจะเข้ามาในแถบสุวรรณภูมินี้ชาวบ้านต่างก็นับถือ "ผี" เป็นหลัก
เมื่อแรกพุทธศาสนาเข้ามายังสุวรรณภูมิ
ก็ยังมีพวกที่ยังสองจิตสองใจ รักพี่ เสียดายน้อง ยังกราบไหว้ผีกันอยู่
ท่านก็เลยใช้อุบายต่าง ๆ ล่อคนเหล่านี้ให้เข้ามาติดในศาสนาบ้าง
เช่น การสร้างพระปฏิมาขนาดเล็กให้คนกราบไหว้ ระลึกถึงศาสนาซักนิดก็ยังดี
แต่ผ่านเวลานานเข้า ก็เลยเถิดไปจนถึงขั้นยอมทำแม้กระทั่งการรดน้ำมนต์ บูชานพเคราะห์ สะเดาะเคราะห์ตัดกรรม ปั๊มจตุคาม ลามทำคุณไสย์
พาชาวบ้านเป๋ออกนอกทางพระพุทธเจ้าไปเลยก็มี
แต่ไอ้ครั้นเราจะไปเอาโทษ หรือว่ากล่าวคนเหล่านั้นเสียเลยก็คงไม่ถูกนัก...
เพราะบางครั้งเราก็ต้องแยกให้ออกระหว่าง
ศาสนาที่เป็นหลักตามคัมภีร์ (doctrinal religion)
กับ ศาสนาแบบชาวบ้าน (popular religion)
ถ้า หากไม่มีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเปลือกของศาสนา ที่ไม่ใช่แก่นของศาสนา ที่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้แล้ว ศาสนาในฐานะที่เป็นสถาบัน จะดำรงอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อศาสนาไม่สามารถตอบสนองสิ่งที่ชาวบ้านเขาต้องการได้แล้ว
บางครั้งการสังสรรค์ทางวัฒนธรรม การผสมผสานของศาสนา (religious syncretism) เพื่อให้พุทธศาสนา ที่เป็นวัฒนธรรมใหม่
สามารถเข้ามาอยู่ในจิตใจของคนสุวรรณภูมิในสมัยโบราณ
โดย การปรับเอา พราหมณ์-ผี-พุทธ มารวมกันก็อาจจะทำให้ชาวบ้านแถบนี้รับกับศาสนาใหม่ได้ดีขึ้น
ลองสังเกตดูครับ ว่าพุทธในไทย พม่า ศรีลังกา พม่า ลาว เขมร เหมือนกันหรือปล่าว ทั้ง ๆ ที่เป็นเถรวาทเหมือนกัน
บางครั้ง
หาก เรารู้จักแยกแยะ รู้จักที่จะเข้าใจผู้อื่น รู้จักพิจารณาทุกสิ่งได้อย่างไม่มีอคติ เราก็อาจจะมองเห็นสภาพที่แท้จริงของสิ่งทั้งปวงได้ชัดเจนขึ้น
แล้วเราจะเข้าใจว่า
ต้นไม้จะยืนยงอยู่ได้ ต้องอาศัยองคาพยพทั้งหมดของมันช่วยพยุงกันไว้
ต้นไม้ใดแม้มีแก่นดี แต่ไร้เปลือกไซร้ ย่อมตาย...
ทุกสิ่งจึงมีความสำคัญของมัน ไม่ว่าในระดับใดระดับหนึ่ง
การดูถูกหรือว่ากล่าวอาจจะช่วยอะไรไม่ได้
แถมจะทำให้หมองใจกันอย่างปล่าวประโยชน์
การให้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่างหาก จึงสำคัญที่สุดในการรักษาศาสนาไว้
ทิ้งท้ายไว้ว่า ...ต้นไม้มีแต่เปลือก ก็อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน....
จบ.
ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่าน(จนจบ)ครับ ^^
ท้ายอาสน์สงฆ์
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
บางทีศาสนากับพิธีกรรมก็แยกกันไม่ออกหรอกค่ะ เพราะว่าคนเราเชื่อเรื่องพิธีกรรมนี่กันเยอะเลยนะ
oi
ใช่ครับ บางคนก็แยกไม่ออกเสียเลยว่าอะไรคือตัวศาสนาหรือพิธีกรรมอันเป็นเปลือกหุ้ม
ตย.เราไปไหว้หลวงพ่อโสธรเพื่ออะไร
-ขอบนบานโชคลาภจากหลวงพ่อ
-หรือเพื่อรำลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ค้นพบสัจภาวะและนำมาเปิดเผย
ต้องแยกให้ออกครับ ว่าอะไรแก่น หรืออะไรเปลือก
อันที่จริงแล้วทุกศาสนามีคนอยู่ ๓ ระดับ ลดหลั่นตามจำนวนไปอย่างรูปปิรามิด
| พุทธิปัญญา
/๑\ <- คนที่สนใจและเข้าถึงพุทธิปัญญา
/ ๒ \ <- คนที่สนใจศีลธรรมจริยธรรมทางศาสนา
/ ๓ \ <- คนที่ติดอยู่กับเปลือกกระพี้ของศาสนา
อย่างว่าแหละครับ คนที่ติดกับเปลือกกับพิธีกรรมย่อมมีมากกว่าและเยอะเสียด้วย และที่สำคัญ บางคนกลับหลงผิดคิดเอาว่าเปลือกกระพี้เป็นแก่นของศาสนา ซึ่งอันตรายมาก
อันที่จริงคำสอนของพระพุทธเจ้า สุดท้ายแล้วก็เพื่อ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
แต่ทำไมพระพุทธองค์ถึงสอนเรื่องการระลึกถึงพระรัตนตรัย (ซึ่งเป็นการยึดติดถือมั่น) หรือเรื่องการที่ผู้หญิงทำตัวยังไงจะให้ผู้ชายหลงรัก หรือแม้กระืทั่งเรื่องการจะเข้าห้องน้ำต้องเคาะประตูเสียก่อน...
พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าคนเราไม่เหมือนกัน และไม่มีวันจะเหมือนกัน
คำสอนของพระองค์จึงมีหลายระดับ
ลาดไปตามลำดับลุ่มลึกไปตามลำดับ สำหรับคนที่แตกต่างกัน
พระองค์จึงไม่บังคับใครให้เชื่ออะไร
เพียงแค่ทรงนำความจริงของสรรพสิ่งมาวางไว้ให้ดู ถ้าใครสงสัยก็ค้านได้ เถียงได้ ไม่เชื่อได้นอกนั้นก็สุดแท้แต่ปัญญาของใครจะเห็นและนำไปปฏิบัติหรือไม่
ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาแห่งเสรีภาพทางปัญญาอย่างแท้จริง
แต่ต้องเลาะเอาเปลือกออกก่อนนะ!
นมัสการคะ ท่านอาจารย์ ตามจริงแล้วศาสนาพุทธ คือศาสนาประจำชาติ และแท้ที่จริงแล้ว ศาสนาทุกศาสนาต่างก็สอนให้เป็นคนดีกันทั้งนั้น และศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คนในประเทศไทยนับถือมากที่สุด และในความของการเป็นศาสนาที่คนเคารพนับถือมาก แต่บางครั้ง คนก็แยกไม่ออกว่า แท้ที่จริงแล้ว ศาสนาพุทธไปทำเสน่ห์ หรือให้หวย เป็นคนมาอาศัยศาสนาที่มีคนนับถือมากๆ หาผลประโยชน์ใส่ตนเองไม่ใช่คนที่มีศาสนาในหัวใจ คนนอกรีดคะ ซึ่งปัจจุบันนี้จะมีมาก และออกข่าวเกี่ยวกับพระในทางที่ไม่ดีต่างๆ ดิฉันว่า ก่อนที่ใครจะตัดสินใจมาบวช มาให้คนกราบไหว้ ควรจะเป็นบุคคลที่สมควรจะบวชจริงๆ ต้องให้คนมีความศรัทธรา แล้วศาสนาพุทธ จะไม่มีคนนอกรีดมาทำลายทำร้ายศาสนาได้คะ สาธุคะ
ถูกต้องครับ
ต้นตอของปัญหาก็คือ ประเพณีประเทศไทยนั้น ใครอยากจะบวชพระ ก็บวชกันได้ง่ายเหลือเกิน ทั้งอุปัชฌาย์ก็เป็นเป็ดกันเสียมาก (เป็ดออกลูกแล้วปล่อย ไม่อบรมสั่งสอน)
หรือความเชื่อที่ว่าลูกคนไหนหัวแย่ ๆ ดื้อ ๆ จับบวชดัดนิสัย หรือพวกไหนไม่มีที่ไปก็จับบวชซะ
เป็น อย่างนี้แหละครับ ถึงแม้จะมีแปลงนาชั้นเลิศ แต่ดันเอาเมล็ดพืชคุณภาพไม่ดีมาหว่าน ก็อย่าหวังเลยครับว่าแปลงชั้นหนึ่งจะให้ผลที่ดีได้ทั้งหมด นี่ก็ปัญหาหนึ่ง
ที่ สำคัญคือประเทศเราบวชง่ายสึกง่าย ใครจะบวชแล้วสึกก็ไม่มีใครว่าอะไร ซึ่งต่างจากประเทศเถรวาทอื่น เช่น ศรีลังกา หรือ พม่า ซึ่งประเทศเหล่านั้นเขาถือกันว่า ถ้าใครบวชแล้วสึกออกมาถือว่าเป็นคนที่ "ใช้ไม่ได้" ดังนั้นคนที่จะบวชพระต้องตัดใจละทิ้งทางโลกมุ่งทางธรรมะหักกิเลสเอานิพพานกันทีเดียว จึงเป็นการปรามคนไม่ดีไม่ให้เข้ามาบวชหากินกับศาสนา และคัดกรองคนที่มีศรัทธาจริง ๆ เข้ามาบวชได้ดีมาก
แต่ก็เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์แหละครับ คนเราย่อมมีดีบ้างเลวบ้างสลับกันไป ไม่มีอะไรดีไปหมดเสียทุกอย่าง ย่อมต้องมีผิดพลาดพลั้งเผลอบ้าง ไม่ว่าใครทั้งนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวไม่ดีเกี่ยวกับพระที่ออกมาบ่อย ๆ ก็บอกได้ในระดับหนึ่งว่า...
การกระทำผิดธรรมวินัยของพระสงฆ์ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมไทย
ย่อมดีกว่า
การคอรัปชั่นของนักการเมืองเป็นเรื่องปรกติและยอมรับกันได้ในสังคมไทย
นะ ผมว่า....