การจัดการบุคลากร (Personnel Management) - การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management) - การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) มีความแตกต่างและเหมือนกันหรือไม่ อย่างไร?
Talent Management (การบริหารคนเก่ง)
สมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาวกชกร พงษ์ศิริ 4950504301
2.นางสาวดารินทร์ ผาดไธสง 4950504310
3.นางสาวพัชรินทร์ ฝองสูงเนิน 4950504319
4.นางสาวเลิศนภา ซองกิ่ง 4950504328
5.นางสาวสุพัสสร กางขอนนอก 4950504345
6.นางสาวสุภัทสรา เจียมจิต 4950504347
7.นางสาวอรุณฉาย หลวงอินทร์ 4950504356
8.นางสาวมณีพร กองกิจ 4950504363
การจัดการงานบุคคลเชิงระบบ จากกระบวนการกำหนดความต้องการ การสรรหา จนถึงออกจากงาน
2. การบริหารทรัยากรมนุษย์ (Human Resource Management)“Personnel Management การจัดการงานบุคคลเชิงระบบ จากกระบวนการกำหนดความต้องการ การสรรหา จนถึงออกจากงาน”
“การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำงาน (Human resource management at work) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องกระทำเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในองค์การสามารถทำงานได้อย่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล”
“ การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)” เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จาก “ คน ” ให้มีคุณค่าสูงสุดแก่องค์กรภัครธรณ์ เทียนไชย
ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่
Human Capital Management การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลเพื่อสร้าง มูลค่าเพิ่มให้แก่ผลสำเร็จขององค์กร |
|||
Human Resource Management การบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของ ทรัพยากรบุคคลเพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้เต็มที่ |
|||
Personnel Management การจัดการงานบุคคลเชิงระบบ จากกระบวนการกำหนดความต้องการ การสรรหา จนถึงออกจากราชการ | |||
Personnel Administration การดำเนินกิจกรรม ขั้นพื้นฐานด้านบุคคลตามระเบียบปฏิบัติ |
มิติที่ ๑ ความสอดคล้องเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic HR Alignment) |
มิติที่ ๒ ประสิทธิภาพของการบริหารทรัพยากรบุคคล (HR Operational Efficiency) |
มิติที่ ๓ ประสิทธิผลของการบริหารทรัพยากรบุคคล (HRM Program Effectiveness) |
ความฉลาดทางอารมณ์ กับการบริหารจัดการงานบุคคล (ตอนแรก) คอลัมน์ human corner โดย ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล [email protected] ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 09 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3686 (2886)ภาษิตจีนโบราณบอกว่า "นกไร้ขน คนไร้เพื่อน ยากจะขึ้นสู่ที่สูงได้" ความหมายตรงตัวอยู่แล้วครับ คนเราถ้าจะเก่งเพียงคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีหัวหน้าคอยสนับสนุนย่อมยากที่จะเจริญก้าว หน้าในการงานได้โดยง่าย แต่คงไม่ใช่ถึงกับเป็นบุคคลประเภท "เยี่ยมเลยพี่ ดีครับท่าน" นะครับ ด้วยเหตุนี้คนเก่งต้องเก่งทั้งในการบริหารจัดการตนเอง และการบริหารจัดการผู้อื่นให้สามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุดนอกเหนือจากความฉลาดทางปัญญา (IQ-intelligence quotient) ที่เรารู้จักกันมานานแล้ว ปัจจุบัน ผู้บริหารขององค์กรชั้นนำ ต้องหันมาสนใจในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ (emotional quotient - EQ / emotional intelligence - EI) มีผลการวิจัยในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสำเร็จในชีวิต โดยติดตามเก็บข้อมูลจากเด็กจำนวน 450 คนนานถึง 40 ปี พบว่า IQ มีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อย กับความสามารถในการทำงาน หรือกับการดำเนินชีวิต และยังพบว่ามีปัจจัยอื่นที่สามารถทำนายถึงความสำเร็จใน ด้านต่างๆ ของชีวิตได้ดีกว่ากลับกลายเป็นความสามารถด้านต่างๆ ในวัยเด็กที่ไม่เกี่ยวกับ IQ เช่น ความสามารถในการจัดการความผิดหวัง การควบคุมอารมณ์ และการเข้ากับบุคคลอื่น ผลการวิจัยที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งระบุว่า ภายหลังการติดตามเก็บข้อมูลจากผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์จำนวน 80 คน ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่จนถึงบั้นปลายชีวิตวัย 70 ปี พบว่าความสามารถทางด้านอารมณ์และสังคม มีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ และมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (IQ) ถึง 4 เท่า (อ้างอิงจาก http://www.dmh.go.th/ebook/dl. asp?id=10)Salovey และ Mayer ผู้ให้คำนิยามความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) เป็นครั้งแรกว่า "ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ในการรับรู้ความรู้สึก และอารมณ์ทั้งของตนเอง และผู้อื่น เพื่อแยก แยะความแตกต่างระหว่างอารมณ์และความรู้สึกนั้น และเพื่อใช้เป็นข้อมูลข่าวสารในการชักนำความคิด และการกระทำของผู้อื่น"EI ต่างจาก EQ อย่างไร ? ผู้อ่านหลายท่านคงเริ่มสงสัยแล้วว่า EI (emotional intelligence) ต่างจาก EQ (emotional quotient) อย่างไร มีผู้รู้บางท่านบอกว่า EI จะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างต่างๆ ของความฉลาด ทางอารมณ์ ส่วน EQ จะเกี่ยวข้องกับการวัดผลหรือประเมิน EI ว่ามีระดับความฉลาดทางอารมณ์เท่าไร คล้ายกับการวัดผลระดับความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา (IQ) แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ให้ทั้งสองคำมีความหมายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในระยะหลัง เราจะเริ่มคุ้นหูกับคำว่า EI ในแวดวงการบริหารจัดการมากขึ้นจะพัฒนา EI ได้อย่างไร ?ต้องยอมรับว่า EI สามารถพัฒนาได้ เรียนรู้ได้ การที่จะพัฒนา EI ได้อย่างไร เราจะต้องรู้ก่อนว่าเรามีระดับ EI ในระดับใดก่อน และมีส่วนใดที่เป็นองค์ประกอบของ EI ที่ยังขาดอยู่ หากใช้แนวทางของกรมสุขภาพจิต จะใช้องค์ประกอบของ EI 3 ประการ คือ ดี-เก่ง-สุขดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความต้องการของตนเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเก่ง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาและแสดง ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่นสุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข มีความภูมิใจในตนเอง พอใจในชีวิตและมีความสงบทางใจ(อ้างอิงจากคู่มือความฉลาดทางอารมณ์, กรมสุขภาพจิต, 2545)ส่วนของ Goleman ได้พัฒนากรอบการทำงานของ EI ออกเป็น 4 ปัจจัยสำคัญ คือ1.การรับรู้ตนเอง (self-awareness)2.การจัดการอารมณ์ตนเอง (self-management)3.การรับรู้ทางสังคม (social-awareness)4.การจัดการสัมพันธภาพ (relationship management)จากโมเดลดังกล่าว Goleman แตกกรอบของ EI ออกเป็นความสามารถทางอารมณ์ (emotional competence) รวมแล้วได้ถึง 20 competencies ด้วยการให้คำนิยามของ competence ว่า เป็นความสามารถในการเรียนรู้ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้มีผลงานที่โดดเด่น และจากแนวทางที่ใช้ความสามารถ (competence-based approach) นี้เองเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัด การงานบุคคลอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้โมเดลของ Goleman ได้รับการนิยมจากผู้นำองค์กรอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมามีผลการวิจัยแสดงว่า CEO ของบริษัทประกันในอเมริกาที่มี EI สูงจะมีผลงานที่ดีกว่า ที่วัดผลได้จากกำไรและอัตราการเติบโต (Williams, 1994) ผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจาก McClelland (1999) ที่ศึกษาจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง พบว่า แต่เดิมที่เคยจ้างหัวหน้าแผนกด้วยวิธีการที่ใช้กันมา จะมีอัตราการออกจากงานถึง 50% ภายใน 2 ปี เพราะผลงานแย่ แต่เมื่อเริ่มต้นคัดเลือกใหม่ด้วยการใช้ความสามารถทาง EI เป็นเกณฑ์ เช่น การคิดริเริ่ม, ความเชื่อมั่นในตนเอง และความเป็นผู้นำ เป็นต้น พบว่า ภายใน 2 ปี มีการลาออกเพียง 6% เท่านั้นผู้เขียนพบเห็นผลการวิจัยและกรณีศึกษามาก มายที่สนับสนุนความสำเร็จของผู้นำองค์กรที่มี EI สูงและการประยุกต์ใช้ EI ในการบริหารจัดการองค์กร หากท่านเป็นผู้นำหรือเป็นผู้บริหารขององค์กร ไม่คิดจะพัฒนา EI บ้างหรือครับ อย่างน้อย ควรเริ่มต้นที่ตัวของท่านก่อน จะทำให้ท่านกลายเป็นที่รักของหลายๆ คนได้นะครับ ทด สอบง่ายๆ ครับ หากท่านเดินเข้าไปในกลุ่มลูกน้อง แล้ววงแตกกระเจิง หรือ แต่ละวัน ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้าพบท่านเลย สมมุติฐานเบื้องต้นคือ ท่านอาจจะมี EI ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้นะครับ จะแก้ไขอย่างไร ตอนหน้า ผู้เขียนจะพูดถึงแนวทางการพัฒนา EI อย่างง่ายๆ ครับ |
อย่างไรก็ตามการจะวางแผนหรือการจะกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการฝึกอบรมขององค์การโทรศัพท์ฯ. ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบในภาพรวมของแผนและงบประมาณจากสภาพัฒน์ฯ. และ / หรือจากสำนักงบประมาณเช่นเดียวกับข้าราชการ
การฝึกอบรบ (Training) : คือความพยายามที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของพนักงานให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน 4 ด้านคือ 1. knowledge : คือความรู้ที่จะทำให้พนักงานสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงความรู้เดิม ให้ได้หลากหลาย ให้มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ อยู่เสมอ2. Skill : คือทักษะที่จะทำให้พนักงาน มีทักษะที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะให้พนักงานอยู่ตลอดเวลา เป็น Multi Skill คือให้รู้งานหลายอย่างภายในองค์การ3. Attitude : คือทัศนคติที่พยายามจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์การ โดยเฉพาะกับลูกค้า เปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่ลูกค้าต้องมาหาเราเป็นให้เราวิ่งไปหาลูกค้าเอง4. Behavior : คือพฤติกรรมที่จะพยายามทำให้พนักงานเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เช่นทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เปลี่ยนเป็นต้องตื่นตัวและทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อองค์การหรือพร้อมให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา-2- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) : คือการพัฒนาพนักงาน เพื่อพร้อมกับแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการ โดยเฉพาะในปี ค ศ. 2000 ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ องค์การโทรศัพท์ฯ ก็จะจัดการวางแผนเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การโทรศัพท์ฯเอง หลักสูตรสำหรับการอบรม จะมีหลักสูตรมากมายยกตัวอย่างเช่น 1. Supervisor Grid 2. Managerial Grid3. Management By Objective (MBO)4. Mini MBA.หลักการบริหารงานบุคคลสำหรับหัวหน้างาน
1. การคัดเลือกพนักงานต้องกระทำโดยรอบคอบ พนักงานจะเต็มใจทำงานที่ตนมีความสามารถทำได้ ฉะนั้น การคัดเลือกคนให้ เหมาะสมกับงานที่เขาถนัด มีความรู้ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่มอบหมาย จะทำให้ผลการปฏิบัติงานดีตามมา
การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมีอยู่หลายประเภท หลายระดับ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน หรือนำเทคโนโลยีและไอเดียใหม่ๆ มาใช้ในองค์กร แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดและยากที่สุด คือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการเปลี่ยนทัศนคติ และค่านิยมของคนในองค์กร
เหตุที่การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องยากที่สุด เพราะผู้บริหารส่วนใหญ่มักมองภาพวัฒนธรรมองค์กรของตนเองผิดพลาด มองตามความคาดหวัง มากกว่ามองตามความเป็นจริง
หากต้องการทำความเข้าใจกับวัฒนธรรมองค์กรให้ถ่องแท้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ให้ลองสมมติว่าตนเองเป็น "คนนอก" แล้วลองตอบคำถามต่อไปนี้
เช่น หาคำสั้นๆ ที่จะใช้อธิบายบริษัทของคุณคือคำใด? อะไรคือสิ่งที่สำคัญขององค์กร? ใครที่ได้รับการเลื่อนขั้นในองค์กร? และองค์กรจะให้รางวัลแก่พฤติกรรมแบบใด? คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจภาพของวัฒนธรรมองค์กรชัดขึ้น
"วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องของคน ซึ่งมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ระดับทีม และระดับองค์กร" ดร.ธีระชัย เชมนะสิริ นักบริหาร นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มืออาชีพ และอดีตนายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสถาบันการบริหารการพัฒนาองค์การ หรือ Grid Thailand ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการสร้างวัฒนธรรมองค์กร กล่าว
ดร.ธีระชัย เปรียบองค์กรเสมือน "ภูเขาน้ำแข็ง" ส่วนที่พ้นน้ำซึ่งเรามองเห็นเป็นเพียง 10% ของภูเขาน้ำแข็งทั้งลูกเท่านั้น ซึ่งก็เปรียบเหมือนผลประกอบการขององค์กร ตลอดจนทรัพย์สินและตัวเลขต่างๆ ตลอดจนแผนการและระบบที่คนภายนอกสามารถรับรู้ได้
"แต่อีก 90% ที่เหลือ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ขององค์กร คือ สิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น ความกลัว ทัศนคติ อารมณ์ บรรทัดฐาน ตลอดจนวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ"
แล้วเมื่อคิดจะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงมักตั้งคำถามกันบ่อยๆ คือ เราจะเปลี่ยนอะไร และจะเปลี่ยนอย่างไร
ดร.ธีระชัย กล่าวว่า มีกลยุทธ์ที่ผู้บริหารควรทราบก่อนทำการเปลี่ยนแปลงก็คือ สูตรจำง่ายๆ ว่า "P+I=C"
หรือ Participation + Involvement = Commitment
P (Participation) การมีส่วนร่วม ,
I (Involvement) คือ การเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และ
C (Commitment) คือ ความมุ่งมั่น
"ในการเปลี่ยนแปลงองค์กร มีการตอบสนองหลายแบบ ซึ่งคนจะไม่ทำตามหากไม่เห็นความสำคัญ คนจะไม่ทำตามหากไม่เข้าใจ และคนจะไม่ทำตามหากไม่ได้มีส่วนร่วม ดังนั้นเราจึงมีสูตรแก้ที่ใช้ได้ผล นั่นก็คือ P+I=C คือ เมื่อพนักงานได้เข้าใจและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลง เขาก็จะมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยน
สมมติว่า บริษัทประกาศว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการติดต่อสื่อสารในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการใช้อีเมล เมมโม แฟกซ์ หรือวิธีใหม่ๆ ก็จะทำให้อีก 90% ตกใจ เกิดเป็น emotional reaction ไม่ว่าจะเป็นความสงสัย ความผิดหวัง ความโกรธ ความไม่พอใจ"
สามารถแบ่งการตอบสนองจากพนักงานได้เป็น 4 กลุ่มด้วยกัน นั่นคือ กลุ่มที่มี emotional reaction ที่ยังคงมีความสงสัยและข้องใจ, กลุ่มที่เต็มใจจะลองทำการเปลี่ยนแปลง, กลุ่มที่เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงจะได้ผล และกลุ่มที่มุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า
"หากจะแก้ เราต้องแก้ที่ทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อ พฤติกรรม เป็นเรื่องของการเปลี่ยน mindset หรือความเชื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ดังนั้นเมื่อจะประกาศการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารระดับสูงควรมีการวางแผนการสื่อสารดีๆ มีการทำ dialog, discussion และการรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย"
เขายกตัวอย่างบริษัทที่สถาบันการบริหารการพัฒนาองค์การ หรือ Grid Thailand เข้าไปเป็นที่ปรึกษาในการปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ขององค์กร ได้แก่ บมจ.บ้านปู (BANPU) ผู้ดำเนินธุรกิจถ่านหิน และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสาขาอยู่ในประเทศอินโดนีเซียและจีน
วิธีการที่ Grid Thailand เข้าไปดำเนินการ คือ การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารและพนักงานบ้านปูจำนวน 17 คน ในโครงการ "ปลูกฝังและติดตามค่านิยมร่วมบ้านปู" ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547
"เดิม Core Values ที่บ้านปูยึดมั่น ก็คือ Integrity, Team Spirit, Dedication, Dicipline และ Open to Criticsm ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะสะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ต้องการสื่อให้คนนอกรับรู้ ก็คือ นวัตกรรม (Innovation) และความเป็นมืออาชีพ (Professional) แต่พอหลังจากที่เราได้พูดคุยสัมภาษณ์กับผู้บริหารและพนักงาน ผ่านการทำ focus group ก็ได้ BANPU SPIRIT ออกมา ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่พนักงานทุกคนต้องการ อันสะท้อนมาจากวัฒนธรรมองค์กรของบ้านปูเอง อันได้แก่ Innovation, Integrity, Care และ Synergy และในที่สุดบ้านปูก็ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนค่านิยมร่วม"
ดร.ธีระชัย ทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ต้องดีลกับ "คน" ต้องปรับทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อ หากสามารถปรับเปลี่ยนตรงนี้ได้ ผลลัพธ์ซึ่งเป็น "ผลงาน" ที่ดี จะตามมา
"อุปสรรคของการเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร คือ กรอบความคิด เราต้องให้พนักงานฝึกคิดนอกกรอบ เพื่อที่จะรับกับความเปลี่ยนแปลงได้"
HR & Personnel เหมือนหรือต่างกัน…?
เขียน : 22 กรกฎาคม 2550
ถ้าคุณอ่านในสองบทแรกแล้ว ก็คงพอทราบคำตอบของคำถามข้อนี้ได้ดีในระดับหนึ่ง HR & Personnel หมายถึง ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์กับฝ่ายบุคคลนั่นเอง ถ้ามองย้อนไปถึงยุคของการบริหารองค์กรในอดีต ใครที่เคยเรียนวิชานี้ ก็คงคุ้นเคยกับคำว่า 4M เป็นอย่างดี ซึ่ง 4M นี้ เป็นองค์ประกอบหลักที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานต่างๆ ประกอบไปด้วย Man (บุคลากร) Money (เงิน) Method (วิธีการ) และ Material / Machine (วัสดุอุปกรณ์ / เครื่องมือ) จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า Man หรือบุคลากรนั้น เป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับแรกของการดำเนินงานทุกอย่างในโลก หากไม่มีคนเป็นตัวตั้ง เงิน (Money) ก็ไม่สามารถสำเนาตัวเองและเพิ่มปริมาณเองได้ วิธีการ (Method) ต่างๆ ในการผลิตหรือในการทำงานก็คงไม่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เครื่องจักร (Material / Machine) ก็คงไม่สามารถผลิตสินค้าออกมาเองได้เช่นกัน ดังนั้น...กระบวนการทุกอย่างจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยหากไม่เริ่มต้นที่ “คน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีกระบวนการผลิต กระบวนการทำงาน หรือแม้แต่กระบวนการคิดค้นและพัฒนา จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่า...คน คือ องค์ประกอบและปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนให้กระบวนการต่างๆ สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้องค์กรอาจมอง “คน” แค่เพียงว่าเป็น “คน” เป็นหนึ่งในสี่ขององค์ประกอบในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น ไม่ได้ให้น้ำหนักหรือจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรควรให้ความสำคัญมากหรือน้อยกว่ากัน รู้เพียงว่าแค่ใส่ไปให้ครบทั้ง 4 อย่าง ก็ทำให้เครื่องจักรผลิตสินค้าออกมาขายให้กับลูกค้าได้ก็ดีพอแล้ว ซึ่งถ้าเป็นการดำเนินธุรกิจในอดีต ที่ลูกค้าไม่มีตัวเลือกมากนัก การผลิตไม่ได้เน้นที่คุณภาพแต่เน้นที่ปริมาณเป็นหลัก การเลียนแบบหรือการแข่งขันในตลาดมีไม่มาก หรือแม้แต่ความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ใช่เรื่องสำคัญที่องค์กรต้องตระหนัก ในสถานการณ์เช่นนั้น ความคิดขององค์กรข้างต้นก็คงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่ในสภาวการณ์ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้น ตลาดมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด การลอกเลียนแบบสินค้าทำได้ง่ายแค่เพียงเสี้ยววินาที ด้วยความสามารถอันทรงพลังของเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น ลูกค้าให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการมากกว่าปริมาณ และที่สำคัญการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของลูกค้า ไม่ได้มองแค่ตัวสินค้าและบริการเท่านั้น แต่ลูกค้ายังมองถึงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร รวมถึงคุณธรรมของผู้บริหารอีกด้วย ความยากในการดำเนินธุรกิจจึงมีมากขึ้น ซับซ้อนมากขึ้น ถ้าอยากจะเป็นผู้นำในธุรกิจ รักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ให้แน่น พร้อมกับสร้างลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง อยากทำกำไรให้ได้มากกว่าคู่แข่ง และต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าและสังคมภายนอก การให้ความสำคัญกับทั้ง 4M อย่างเท่าเทียมกันเหมือนเมื่อก่อนคงไม่เพียงพออีกแล้ว เงิน วิธีการ และวัสดุอุปกรณ์...ต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดีที่สุด เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันที่สุด และที่สำคัญต้องพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดด้วย สิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตามที่ต้องการก็คือ “คน” ดังนั้น คน...จึงถูกยกขึ้นมาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจ เงิน วิธีการ และวัสดุอุปกรณ์จะพัฒนาหรือหยุดพัฒนาก็ด้วยความสามารถของคนในองค์กร หากองค์กรใดหาคนหรือสร้างคนที่เก่ง ฉลาด และดีได้มากกว่าองค์กรอื่น องค์กรนั้นย่อมมีสิทธิ์เป็นผู้ชนะในตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงในปัจจุบันได้ไม่ยาก ที่กล่าวมาทั้งหมด...เป็นที่มาของคำว่า “ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์” องค์กรที่เรียกฝ่ายที่ดูแลเกี่ยวกับบุคลากรของตนเองว่า “ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์” แสดงว่า...องค์กรนั้นมองมนุษย์ (บุคลากร) เป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงสุดขององค์กร เมื่อองค์กรมองเช่นนี้ นอกจากการให้เงินเดือน การให้วันลา ให้เครื่องมืออุปกรณ์การทำงานเท่าที่จำเป็นแก่พนักงาน รวมถึงสิทธิประโยชน์ขั้นต่ำต่างๆ เท่าที่กฎหมายกำหนดแล้ว องค์กรยังมอบสิ่งอื่นให้กับพนักงานอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมพัฒนา กิจกรรมสันทนาการต่างๆ สวัสดิการและผลประโยชน์ที่นอกเหนือจากกฎหมายกำหนด เช่น โบนัส วันหยุดพิเศษ เงินรางวัลพิเศษ เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่องค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงานพึงทำ ซึ่งส่วนใหญ่เส้นที่แบ่งระหว่างคำว่า “ฝ่ายบุคคล” และ “ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์” จะอยู่ที่เรื่องของการฝึกอบรมและพัฒนาเป็นหลัก ในปัจจุบันองค์กรใดที่ยังไม่มีการฝึกอบรมพัฒนาพนักงานอย่างจริงจัง ก็จะเรียกว่า “ฝ่ายบุคคล” แต่ถ้าองค์กรใดมีก็จะเรียกว่า “ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์” ส่วนสวัสดิการ ผลประโยชน์หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามานั้นเป็นสิ่งที่ตามมาทีหลัง ในปัจจุบัน องค์กรใหญ่หลายๆ องค์กรที่ให้ความสำคัญกับพนักงานของตนเองมาก ด้วยการเพิ่มของแถมต่างๆ มากมายให้กับพนักงาน เพื่อดึงดูด จูงใจ และรักษาพนักงานให้เข้ามาอยู่และอยู่กับองค์กรนานๆ นั้น มักจะคิดและสรรหาชื่อฝ่ายที่ดูแลเกี่ยวกับพนักงานใหม่ ให้คลอบคลุมกับสิ่งที่องค์กรได้ทำและจัดให้กับพนักงานมากขึ้น บางองค์กรใช้คำว่า People Group ซึ่งหมายถึงกลุ่มงานที่รับผิดชอบเรื่องของคนทั้งหมด การเรียกแบบนี้ทำให้ชื่อนี้สามารถรองรับงานใหม่ๆ เกี่ยวกับคนที่จะพัฒนาและกลายพันธุ์ได้อีกหลายๆ งานในอนาคต นอกจากนี้คำว่า People ยังสื่อให้เห็นอีกว่า...องค์กรมองว่าพนักงานคือคนในครอบครัว นั่นเพราะ อีกความหมายของคำว่า People ก็คือ คนในครอบครัวนั่นเอง แล้วอย่างนี้พนักงานจะไม่รู้สึกดีและรักองค์กรได้อย่างไร และในอนาคตวิวัฒนาการของการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ก็จะให้ความสำคัญกับ “บุคลากร” เพิ่มมากขึ้นไปอีก ซึ่งจะพัฒนาจาก Human Resources ไปเป็น Human Capital Management หรือที่หลายคนในวงการ HR คุ้นเคยกันดีในชื่อย่อว่า HC ทำไมถึงต้องพัฒนาไปเป็น HC ก็เพราะว่า “บุคลากรขององค์กร” ไม่ใช่เป็นแค่เพียง “ทรัพยากร” อย่างหนึ่งในกระบวนการดำเนินงานซะแล้วสิ แต่ HC จะมองไปถึงขั้นที่ว่า “บุคลากรขององค์กร” เป็น “ต้นทุน” ของกระบวนการเชียวล่ะ โดยคำจำกัดความของคำว่า “ทุนมนุษย์” หรือ (Human Capital - HC) ก็คือ เทคโนโลยี ความรู้ ทักษะ และความสามารถซึ่งติดตัวคนในองค์กร และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน เช่น ทักษะเชิงเทคนิค นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และสมรรถนะการเป็นผู้นำ เป็นต้น HC จะมองว่า “บุคลากร” เป็นทรัพย์สิน (Asset) ขององค์กรที่มีสภาพเป็น “ทุน” (Human Capital) ซึ่งสำคัญยิ่งต่อการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร หากองค์กรใดมีทุนมนุษย์ที่เหนือกว่า ก็จะสามารถยืนอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าองค์กรคู่แข่งได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น ในอนาคตการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็จะให้ความสำคัญกับ “บุคลากร” มากยิ่งขึ้นไปอีก พนักงานทุกคนขององค์กรจะได้รับการดูแล รักษา และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครื่องมือการบริหารต่างๆ มากยิ่งขึ้น เพราะ “บุคลากร” เป็นถึง “ต้นทุน” ไม่ใช่เพียงแค่เป็น “ทรัพยากร” ในกระบวนการดำเนินงานขององค์กรอีกต่อไปแล้ว ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างกันของคำว่า HC ในอนาคต HR ในปัจจุบัน และ Personnel ในอดีต...“แค่ชื่อฝ่ายที่ต่างกันไม่สามารถทำให้พนักงานมีความรู้สึกต่อองค์กรเปลี่ยนไปได้แน่นอน...หากเนื้องานในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในวันนี้ยังเป็นเหมือนฝ่ายบุคคลในอดีต”งานของผู้บริหารที่เกี่ยวกับคนมีขอบเขตตั้งแต่การวางแผนรับคนเข้าทำงานจนถึงการให้พ้นจากงาน ขอบข่ายของการจัดการงานบุคคลที่สำคัญมีเพียง 4 ลักษณะ คือ การให้ได้มา การบำรุงรักษา การพัฒนา และการให้พ้นจากงาน แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลงไป กระบวนการจัดการงานบุคคลอาจแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้
(1) การวางแผนกำลังคนและตำแหน่ง
(2) การแสวงหาบุคคล ได้แก่ การสรรหา การเลือกสรร การบรรจุ
(3) การบำรุงรักษาและการจัดสวัสดิการ
(4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน
(5) การพัฒนาบุคคล
(6) การให้พ้นจากงา 1. การวางแผนกำลังคนการวางแผนกำลังคนคือการคาดคะเนไว้ล่วงหน้าว่าหน่วยงานนั้น ต้องการคนจำนวนเท่าใดจึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ธุรกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นก็ศึกษาวิเคราะห์ว่าคนที่ต้องการเพิ่มขึ้นนั้นเป็นคนประเภทใด มีความรู้ความชำนาญทางใด สามารถได้จากแหล่งไหน สามารถได้จากแหล่งใด ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคล
การวางแผนกำลังคนประกอบด้วยการวิเคราะห์งาน การพรรณาลักษณะของงาน การระบุคุณสมบัติของคนงาน การประเมินค่าของงาน และการกำหนดอัตราค่าจ้าง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดกำลังคนและตำแหน่ง
2. การกำหนดตำแหน่งการวางแผนว่าจะรับคนเข้ามาจะต้องกำหนดตำแหน่งว่าจะให้มาทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรับผิดชอบอย่างไร ได้รับค่าจ้างแรงงานเท่าใดตำแหน่งคือกลุ่มของหน้าที่ความรับผิดชอบที่สัมพันธ์และคล้ายคลึงกันเปรียบได้กับสามเหลี่ยมด้านเท่า 3 ด้าน ด้านหนึ่งคือ หน้าที่ความรับผิดชอบ ด้านที่สองคือ คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง ส่วนด้านที่สามคือ ค่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ต้องได้สัดส่วนสัมพันธ์กัน เช่น ตำแหน่งนักการภารโรง เรากำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบคือ การเดินรับส่งหนังสือ ช่วยยกของ ทำความสะอาด เพื่อให้สัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบ คุณสมบัติควรเป็นแค่อ่านออกเขียนได้ และต้องการคนที่มีร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี ค่าตอบแทนก็ต้องสัมพันธ์กันพอเหมาะกับหน้าที่และคุณสมบัติ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับคนที่ทำงานอื่นด้วยว่าความรับผิดชอบของแต่ละงานมากน้อยกว่ากันเท่าใด อยู่ที่เทคนิคการประเมินค่าของงานด้วยวัตถุประสงค์ในการกำหนดตำแหน่งมีอยู่ 2 ประการใหญ่ๆ ได้แก่ การสามารถใช้คนให้ตรงกับงาน (Put the right man on the right job) และการให้ได้ความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้างแรงงาน นั่นคือ ทำงานมากได้ค่าจ้างมาก ทำงานน้อยได้ค่าจ้างน้อยตามสัดส่วน
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (THE HUMAN RESOURCES MANAGEMENT |
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
การออกแบบงาน (Job designs)
1. การจัดให้งานเป็นสิ่งที่มีลักษณะง่าย(Work simplification) เป็นการแบ่งงานต่างๆ ให้เป็นงานย่อยหลายๆ ชิ้น ที่ใช้ความชำนาญเฉพาะแต่เป็นงานง่ายๆ
2. การหมุนเวียนงาน(Job rotation) พนักงานจะสับเปลี่ยนงานที่มีลักษณะง่ายๆ หรืองานที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง เป็นการลดความเบื่อหน่ายในการทำงานชิ้นหนึ่ง เพื่อไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
3. การขยายขอบเขตงาน(Job enlargement) เป็นวิธีตรงกันข้าม วิธีที่1 กล่าวคือ ถ้างานๆหนึ่ง สามารถแบ่งเป็นวิธีการจัดการอย่างง่ายๆได้ 3 อย่างแล้ว ในแง่ของการขยายขอบเขตงาน จะให้คนทำงาน ทั้ง 3 อย่างนั้นพร้อมกัน เพื่อลดเป้าหมายในการทำงานอย่างเดียวมีความหมายยิ่งสำหรับคนทำงาน
4. การเพิ่มเนื้อหาของงาน(Job enrichment) เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับพนักงานให้ความเป็นอิสระในการทำงานและให้ควบคุมคนเอง เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความหมายและคุณค่าในตัวงานสำหรับพนักงาน
การวิเคราะห์งาน(Job Analysis)
การวิเคราะห์งาน คือ กระบวนการพิจารณา จำแนกแยกแยะ ประเมินผลและจัดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ งานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล
กระบวนการในการวิเคราะห์มีดังนี้
1. การระบุขอบเขตงาน(Job identification)ต้องทำก่อนที่จะรวบรวมสารสนเทศของการวิเคราะห์งาน การระบุขอบเขตงานนี้จะทำได้ง่ายสำหรับองค์การขนาดเล็ก เพราะมีงานไม่มากนัก แต่จะประสบความยุ่งยากมากสำหรับองค์การขนาดใหญ่
2. การสร้างแบบสอบถาม(Questionnaire development)ในการศึกษางาน จะต้องดำเนินการจัดทำรายการ หรือแบบสอบถามซึ่งเรียกกันว่า ตารางการวิเคราะห์งาน (job analysis schedules) ในแบบสอบถามนี้จะใช้ศึกษารวบรวมสารสนเทศของานที่มีมาตรฐานเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสามารถของบุคคล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้แบบสอบถามชนิดเดียวกันศึกษางานประเภทเดียวกัน
3. การรวบรวมสารสนเทศจากการวิเคราะห์งาน(Colect job analysis information)
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ อาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ การพิจารณาบันทึกประจำวันในการปฏิบัติงานของคนงานและการสังเกต
ขั้นต่างๆ ของการวิเคราะห์งาน(The Steps in Job Analysis)
ขั้นที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ต้องทำการทบทวนทำความเข้าใช้กับข้อมูลพื้นฐาน ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่มีอยู่
ขั้นที่ 2 การพิจารณาเลือกตำแหน่งตัวอย่างที่จะใช้วิเคราะห์ วิธีการที่ง่ายก็คือ การเลือกวิเคราะห์ เฉพาะตำแหน่งตำงานที่เป็น "ตัวแทน" ของแต่ละกลุ่มตำแหน่ง ซึ่งก็จะให้ผลนำมาใช้การได้และรวดเร็วขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์จนทั่วทุกตำแหน่ง
ขั้นที่ 3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์งาน ในขั้น นี้การใช้เทคนิคในการวิเคราะห์อาจเป็นวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีการาต่างๆ ต่อไปนี้ เช่น โดยวิธีการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การจัดทำเป็น "คำบรรยายลักษณะงาน" (Job Description) หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาแล้ว จะต้องนำมาจัดระเบียบเรียบเรียงขึ้นมาเป็นคำบรรยายลักษณะงาน (Job Description)
ขั้นที่ 5 การแปลงความเป็นรายละเอียดคุณสมบัติของคุณ (Job Specification) เป็นข้อความสำคัญที่บอกถึงคุณสมบัติของบุคคลลักษณะท่าทาง ความชำนาญ ตลอดจนคุณสมบัติพื้นฐานอื่นที่จำเป็น เพื่อที่จะทำให้งานนั้นๆ เสร็จสิ้นลง
คำอธิบายลักษณะงาน(Job description)
ประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ส่วน คือ
1. ข้อความที่เกี่ยวกับชื่อของงาน (Job identification) ซึ่งหมายถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับชื่อของงาน และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการระบุลักษณะซึ่งจะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างจากงานอื่นๆ ในองค์การ
2. สรุปงาน (Job Summary) หมายถึงการสรุปเกี่ยวกับงานด้วยข้อความที่ย่นย่อ แต่มีข้อความที่พอเพียงในการช่วยให้ทราบและชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของหน้าที่งาน (duties) ที่ต้องทำของงานนั้นๆที่ต่างจากหน้าที่งานของงานอื่นๆ
3. หน้าที่งาน (Job duties) หมายถึงส่วนของหน้าที่งานสำคัญและความรับผิดชอบเกี่ยวกับงาน
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning)
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ คือ กระบวนการคาดการณ์ความต้องการของทรพัยากรมนุษย์ขององค์การเป็นการล่วงหน้า ว่าต้องการบุคคลประเภทใด ระดับใด จำนวนเท่าใด และต้องการเมื่อใด (the right people the right place, at the right time) และกำหนดวิธีการที่จะได้มาซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องการ ว่าจะได้มาจากไหน อย่างไร ตลอดจนการกำหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อที่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในอนาคต
2. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมั่นคงท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
3. ทำให้องค์การมีแผนดำเนินการอย่างละเอียด ที่จะปฏิบัติงานด้านบุคคลอย่างมีขั้นตอน เช่น การ สรรหาการคัดเลือก การโอนย้าย การเลื่อนตำแหน่ง
ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้องค์การสามารถวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
2. ช่วยในกิจกรรด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
3. ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. เป็นการเตรียมการให้ได้พนักงานใหม่เป็นไปตามความต้องการของแผนหรือฝ่ายต่างๆ
5. ส่งเสริมและพัฒนาโอกาลความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
6. เป็นแนวทางสำหรับองค์การที่มีหน้าที่ผลิตจะได้ผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน
กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
ได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. การพิจารณาเป้าหมาย และแผนขององค์การ(Goals and Plans of Organization) คือ การศึกษาและพิจารณาแผนกลยุทธ์ที่องค์การได้กำหนดไว้ศึกษานโยบายทางด้านต่างๆเพื่อที่จะนำผลของการศึกษาเหล่านี้มาจัดวางข้อมูลด้านบุคคลที่ควรจะเป็นในอนาคตได้อย่างเหมาะสม
2. การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน(Current Human Resource Situation)
3. การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์( Human Resource Forecast) จะได้ทราบจำนวนและประเภทของพนักงานที่มีอยู่จริงๆ ว่ามีจำนวนเท่าไร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนที่องค์การทั้งหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงานใหม่ในกลุ่มใดบ้าง และในระยะเวลาใด
4. การกำหนดแผนปฏิบัติการ(Implementtion Programes)
5. การตรวจสอบและการปรับปรุง(Audit and Adjustment)
การสรรหา(Recruitment)
การสรรหา(Recruitment) คือ กระบวนการในการแสวงหาและจูงใจผู้สมัครงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ เริ่มต้นตั้งแต่การแสวงหาคนเข้าทำงานและสิ้นสุดเมื่อบุคคลได้มาสมัครงานในองค์การ
กระบวนการที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา คือ
1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning)
2. ความต้องการหรือการร้องขอของผู้จัดการ(Specific requests of managers)
3. การระบุตำแหน่งงานที่จะรับบุคลากรใหม่(Job opening identified)
4. รวบรวมสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน (Job analysis information)
5. ข้อคิดเห็นของผู้จัดการ(Manager's comments) ข้อคิดเห็นของผู้จัดการจะเป็นตัวตรวจสอบให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำด้วยความรอบคอบและลึกซึ้งมากขี้น
6. กำหนดคุณสมบัติบุคลากรตรงกับงาน(Job requirement)
7. กำหนดวิธีการสรรหา(Methods of recruitment) ผู้สรรหาจะศึกษาแนวทางและแหล่งที่จะดำเนินการสรรหาพนักงาน
8. ความพึงพอใจที่ได้ผู้สมัคร(Satisfactory pool of recruits)
กระบวนการสรรหา (werther and davis. 1986)
ข้อกำหนดที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา
1.นโยบายขององค์การ (Organization policies) โดยทั่วไปมุ่งแสวงหาความสำเร็จ
1.1 นโยบายการส่งเสริมบุคคลภายในให้บรรจุในตำแหน่งงานที่ว่างลง(Promote from- within policies) องค์การต้องการที่จะสนับสนุนให้โอกาสแก่บุคคลที่ทำงานอยู่ในองค์การของตนได้มีโอกาสเลื่อนหรือเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งที่ว่างลง โดยเชื่อว่าจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่พนักงานที่ทำงานอยู่
1.2 นโยบายรับบุคคลภายนอกมาบรรจุในตำแหน่งที่ว่างลง(Promote from outside policies) องค์การต้องการบุคคลที่มีแนวความคิดใหม่ๆ เข้ามาในองค์การแทนที่จะวนเวียนเฉพาะคนในองค์การของตน
1.3 นโยบายค่าตอบแทน(Compensation policies) คือ บริษัทที่กำหนดราคาเงินเดือนต่ำกว่าราคาที่ตลาดกำหนดจะไดรับบุคคลที่หมดโอกาสจากที่อื่นๆ แล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในองค์การ
1.4 นโยบายด้านสถานภาพการจ้างงาน(Employment status policies) บางองค์การได้กำหนดนโยบายที่จะรับบุคคลเข้าทำงานนอกเวลา(Part- time) และทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว
1.5 นโยบายการจ้างคนต่างชาติ(International hiring policies) ผู้สรรหาจะต้องทำการศึกษาหาความรู้ต่างๆ ด้านกฎหมายเพื่อให้การจ้างงานประเภทนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง
2.แผนด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resources Plans) จะทำให้ผู้สรรหาได้รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพนักงาน และการเลื่อนขั้นของพนักงาน รู้ว่างานที่กำหนดในแผนนั้นควรหาบุคคลจากแหล่งภายในองค์การเองหรือจากแหล่งภายนอก
3. สภาพแวดล้อมทั่วๆไป(Environments Conditions) ผู้สรรหาควรได้มีการตรวจสอบกับมาตรการ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
3.1 ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐบาลได้สรุปให้เห็นทิศทางของสภาพเศรษฐกิจนับว่าเป็นสิ่งที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
3.2 การพิจารณาข้อเปรียบเทียบระหว่างการดำเนินการจริงและที่คาดการณ์ไว้ เพื่อจะได้เห็นความแปรผันในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะได้รู้แน่ชัดว่าบุคลากรที่มีอยู่นั้นมีลักษณะเช่นไร ต้องการบุคลากรลักษณะใดมาเพิ่มเติม
3.3 การพิจารณาข้อมูลจากการประกาศการหางานทำในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงการแข่งขันกันด้านแรงงาน เพื่อผู้ทำหน้าที่สรรหาจะได้ดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ช่วงชิงให้คนที่มีความสามารถสนใจงานในบริษัทของเราก่อนบริษัทคู่แข่ง
4. การกำหนดคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงาน(Job Requirements) ผู้สรรหาจะต้องศึกษาและเรียนรู้ความต้องการต่างๆ จากสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน และคำร้องขอของผู้จัดการฝ่ายต่างๆ ความรู้ด้านคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงานจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และสิ่งที่ควรคิดบางประการ คือ "สำหรับคนบางคนในงานบางประเภท การมีประสบการณ์ 10 ปี แต่ทำงาน อย่างเดียวกันทุกปีซ้ำกันถึง 10 ปี อาจจะไม่มีคุณค่าทางประสบการณ์ดีกว่าผู้ที่มีประสบการณ์ 1 ปี ก็ได้"
5. คุณสมบัติของผู้สรรหา(Recruiter qualification) นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระบวนการสรรหาเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ผู้สรรหาจะทำหน้าที่ได้ดีเพียงไรขึ้นอยู่กับเขามีคุณสมบัติตามที่กำหนดหรือไม่
วิธีการสรรหา (Channels of Recruitment)
1. การมาสมัครงานด้วยตนเอง (Walk- in)
2. การเขียนจดหมายมาสมัครงาน (Write- in)
3. การแนะนำของพนักงานในองค์การ (Employee referrals)
4. การโฆษณา (Advertising)
5. กรมแรงงาน (Department of Labour)
6. หน่วยงานจัดหางานของเอกชน (Private Placement Agencies)
7. สถาบันการศึกษา ( Educational Institutions)
การคัดเลือก(Selection)
การคัดเลือก คือ กระบวนการที่องค์การใช้เครื่องมือต่างๆ มาดำเนินการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครจำนวนมากให้เหลือตามจำนวนที่องค์การต้องการ ฉะนั้นการคัดเลือกจำเป็นที่จะต้องมีเกณฑ์กำหนดขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการพิจารณาให้ได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับงานที่เปิดรับ
การคัดเลือกจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนั้น จะต้องมีตัวป้อนเข้า (input ) ที่ดีด้วย ตัวป้อนเข้าที่จะไปสู่การคัดเลือกนั้น มี 3 ประเภท ด้วยกัน คือ
1. การวิเคราะห์งาน ( Job analysis)
2. แผนทรัพยากรมนุษย์ (Human resource plans)
3. การสรรหา (Recruitment)
กระบวนการคัดเลือกมีลำดับขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1. การต้อนรับผู้สมัคร(Preliminary reception of application)
การคัดเลือกเป็นโอกาสแรกที่ผู้สมัครจะเริ่มรับรู้เกี่ยวกับลักษณะขององค์การ ขณะเดียวกันฝ่ายบุคคลเองก็มีโอกาสสังเกตกิริยาท่าทาง เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของผู้สมัคร ซึ่งจะเป็นข้อมูลอย่างดีในการพิจารณาต่อไป
ขั้นที่ 2 การทดสอบ(Employment tests)
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ที่นำไปเร้าให้บุคคลแสดงความสามารถและพฤติกรรมออกมา
ประเภทของแบบทดสอบ
1. แบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.1. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์(Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะ ที่บุคคลได้รับการเรียนรู้มาในอดีต
1.2. แบบทดสอบความถนัด(Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดสมรรถภาพทางสมองเกี่ยวกับความสามารถในการปฎิบัติกิจกรรม การทำงานให้บรรลุผลสำเร็จด้วยความถูกต้องแม่นยำ ชำนาญและคล่องแคล้ว
1.3. แบบทดสอบบุคคล-สังคม(Personal-Social Test) หรือแบบทดสอบการปรับตัว(Adjustment) หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพ (Personality) และการปรับตัวให้เข้ากับสังคม
2. แบ่งตามลักษณะของการกระทำหรือการตอบ แบ่งได้ดังนี้
2.1 แบบให้ลงมือกระทำ(Performance Test) แบบทดสอบภาคปฏิบัติทั้งหลาย
2.2 แบบให้เขียนตอบ(Paper-Pencil Test) แบบทดสอบข้อเขียน
2.3 การสอบปากเปล่า(Oral Test) การสอบสัมภาษณ์นั่นเอง
3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายการสร้าง แบ่งเป็น
3.1 แบบอัตนัย (Subjective test) มุ่งการบรรยาย พรรณนา
3.2 แบบปรนัย (Objective test) มุ่งการถามให้ครอบคลุมเนื้อหา
4. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ
4.1 แบบใช้ความรวดเร็ว(Speed test) ต้องการดูความไว
4.2แบบที่ให้เวลามาก(Power test)ต้องการการแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์
5. แบ่งตามประโยชน์
5.1 เพื่อการวินิจฉัย
5.2 เพื่อการทำนาย คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขั้นที่ 3 การสัมภาษณ์(Selection interview) แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured interview) การสัมภาษณ์แบบนี้ให้อิสระแก่ผู้สัมภาษณ์
2. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง(Structured or directive interview) คำถามแต่ละคำถามจะถูกเตรียมก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์
3. การสัมภาษณ์แบบผสม(Mixed interview) การสัมภาษณ์ที่ผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
4. การสัมภาษณ์แบบแก้ปัญหา(Problem-solving interviews) เป็นการสัมภาษณ์ที่เน้นแนวคิดความคิดและวิธีการที่ผู้สมัครใช้แก้ปัญหาต่อสถานการณ์ต่างๆ
5.การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น(Stress interviews) เป็นการสัมภาษณ์เน้นสถานการณ์ในด้านความเครียดและความกดดันต่างๆ เพื่อพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์
กระบวนการสัมภาษณ์แบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. การเตรียมการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรมีการเตรียมคำถามต่างๆ เอาไว้ก่อน
2. การสร้างสายสัมพันธ์(Creation of rapport) จะทำให้สัมพันธภาพ ระหว่างผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์มีความไว้ใจ
3. การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ(Information exchange) เพื่อสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์บางครั้งผู้สัมภาษณ์ต้องการให้การสัมภาษณ์เป็นการสื่อสารสองทาง (two-way communication)
4. การยุติการสัมภาษณ์(Termination) ผู้สัมภาษณ์จะเป็นฝ่ายยุติการสัมภาษณ์อาจบอกว่า เราคุยกันมาพอสมควร ผมขอถามคำถามสุดท้าย
5. การประเมินผล(Evaluation) หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ผู้สัมภาษณ์ต้องบันทึกผลทันที
ขั้นที่ 4 การตรวจสอบภูมิหลัง(References and background check)
ในขั้นนี้จะพิจารณาตรวจสอบภูมิหลังจากบริษัทเดิมหรือผู้ที่อ้างถึงในใบสมัคร ข้อมูลการตรวจสอบภูมิหลังช่วยยืนยันความแน่ใจในการตัดสินใจของคณะกรรมการได้ดีขึ้น
ขั้นที่ 5 การตรวจสุขภาพ(Medical Evaluation)
ให้ผู้สมัครตรวจสุขภาพในหน่วยงานต่างๆ ที่ทางองค์การกำหนดให้ การตรวจสุขภาพนี้ช่วยไม่ให้องค์การมีปัญหาภายหลังจากการรับพนักงานเข้ามาทำงานแล้วเกิดภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากสุขภาพเบื้องต้น
ขั้นที่ 6 การประชุมปรึกษาพิจารณา(Conference)
คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงาน ผู้คัดเลือกเละกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งพิจารณาตัดสินครั้งสุดท้าย คณะกรรมการชุดนี้จะร่วมกันอภิปรายความเหมาะสมในการตัดสินใจคัดเลือกให้บุคคลใดเข้าทำงานในองค์การ
ขั้นที่ 7 ทดลองการปฏิบัติงาน(Realistic Job Preview)
ในขั้นนี้จะได้ประโยชน์แก่ผู้ถูกคัดเลือกโดยตรงเพราะจะได้สำรวจตนเองว่ามีความเหมาะสมในงานนั้นจริงหรือไม่ สามารถปรับตัวต่อสภาพการณ์ต่างได้หรือไม่
ขั้นที่ 8 การตัดสินใจจ้าง(Hiring Decision)
ดำเนินการบรรจุเป็นพนักงานขององค์การ ผู้ทำงานด้านนี้ต้องทำการติดตามผลงานของตนเองในทุกครั้งจากผู้นำผลงานของเราไปใช้
การประเมินผลพนักงาน (Employee Appraisal)
การประเมินผลพนักงาน คือระบบประเมินผลบุคคล อันเกี่ยวเนื่องมาจากผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ อย่างปราศจากอคติใดๆ ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตัดสินใจ วินิจฉัย ปรับปรุง ส่งเสริม และพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจ และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเห็นช่องทางความก้าวหน้าของเขา จะส่งผลให้องค์การเจริญเติบโตความสำเร็จของการประเมินผลพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินผลพนักงานมีดังนี้
1. ปรับปรุงการปฏิบัติงาน การประเมินผลจะช่วยสร้างและรักษาไว้ซึ่งระดับของการทำงานให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจจากการปฏิบัติงานของพนักงานนั้นๆ
2. ช่วยพัฒนาตัวพนักงาน ทำให้ผู้ประเมินทราบว่า พนักงานผู้นั้นต้องการอะไร มีโอกาสที่จะก้าวหน้าและพัฒนาตัวเองอย่างไร
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. เป็นช่องทางขยับขยายเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน ช่วยในการพิจารณา เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย เลิกจ้าง และปลดออกจากงาน
5. เป็นมาตรการนำมาใช้พิจารณาค่าจ้างเงินเดือน
6. ช่วยฝ่ายบุคคลด้านว่าจ้างพนักงาน
การฝึกอบรม (Training)
การปฐมนิเทศ (Orientation)
ปฐมนิเทศ คือ การแนะนำให้พนักงานได้รู้จักกฎระเบียบการปฏิบัติตนตลอดจนหัวหน้างานในองค์การที่พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าปฏิบัติ
ความมุ่งหมายการจัดปฐมนิเทศ
1. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักประวัติและความเป็นมาขององค์การ
2. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆในองค์การ
3. เพื่อให้พนักงานใหม่ได้รู้จักการแบ่งสายงานในองค์การ
4. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักกฎ ระเบียบต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติขณะที่อยู่ในองค์การ
5. เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ คลายความกังวล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม
1. ผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการฝึกอบรม
1.1 ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน
1.2 พนักงานสามารถรู้ถึงมาตรฐานการทำงานและนโยบายต่างๆของหน่วยงาน
1.3 ทำให้พนักงานมีอนาคตก้าวหน้าต่อไปให้ตำแหน่งและหน้าที่ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังขวัญในการทำงาน
2. ผลประโยชน์ต่อผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้างาน
2.1 ประหยัดเวลาในการที่จะใช้สอนหรือแนะนำงานต่างๆ ให้กับพนักงาน
2.2 ประหยัดเวลาที่จะใช้ควบคุมดูแล สามารถเอาเวลาไปใช้ในการวางแผนงานและบริหารด้านอื่นได้
2.3 ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลประโยชน์ต่อองค์การ
3.1 ช่วยทำให้ผลผลิต มีคุณภาพได้มาตรฐาน
3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักร
3.3 ช่วยลดอุบัติ การสิ้นเปลืองและการเสียหายต่างๆ
ค่าตอบแทน(Compensation)
"ค่าจ้าง"(Wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทน โดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงานของคนงาน เพราะค่าจ้างส่วนใหญ่กำหนดไว้สำหรับจ่ายคนงานเป็นรายชั่วโมง ที่เรียกกันว่า Nonsupervisor or Blue-collar
"เงินเดือน"(Salary) หมายถึงจำนวนเงินที่บุคคลได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานถือเป็นเกณฑ์ การจ่ายเหมาเป็นรายเดือนและถือเป็นรายได้ประจำ เราเรียกกันว่า White-collar or Professional
ส่วนประกอบของค่าจ้างตามแนวความคิดใหม่
การบริหารค่าจ้างสมัยใหม่ก็จะเขียนได้เป็นสมการ ดังต่อไปนี้
การบริหารค่าจ้าง = เงินเดือน + ผลประโยชน์และบริการ + ค่าตอบแทนทางสังคม
ส่วนประกอบของการบริการค่าจ้างสมัยใหม่ ประกอบไปด้วยค่าจ้างดังต่อไปนี้
1. ค่าจ้างที่เป็นรูปเงิน(Money pay) นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน
2. ค่าจ้างที่เป็นรูปความสำคัญของงาน(Power pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ สินจ้างรางวัลที่จ่ายตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่
3. ค่าจ้างที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น(Authority pay)
4. ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง(Status pay)
5. ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี(Meta - goals pay)
5.1 หลักความพอเพียง(Adequacy) คือ การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆไป
5.2 หลักความยุติธรรม(Equity)
5.3 หลักดุลยภาพ(Balance) หมายถึงความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม
5.4 หลักควบคุม(Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน
5.5 หลักความมั่นคง(Security) ความมั่นคงของพนักงานทั่วไป หมายถึง การจัดให้มีการประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน การว่างงาน ส่วนความมั่นคงของพนักงานระดับสูงและฝ่ายจัดการก็อยู่ที่ การทีหลักทรัพย์ที่ดินและบ้าน
5.6 หลักล่อใจในการทำงาน(Incentives)
5.7 หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย(Pay - and - Effort Bargain)
5.8 หลักการยอมรับ(Acceptability)
สุขภาพ และความปลอดภัย(Health and Safety)
ความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัย หมายถึง การหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บไข้ก็ตาม ซึ่งอาจจะจัดเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและปราศจากอันตรายต่างๆ
การส่งเสริมความปลอดภัย
การส่งเสริมความปลอดภัย หมายถึง การดำเนินงานให้คนทำงานเกิดความปลอดภัย โดยการ อบรมให้มีความรู้ สร้างความสนใจให้เกิดขึ้น
1. ผู้บริหาร ต้องตระหนักและเห็นชอบในการส่งเสริมความปลอดภัยด้วยความเต็มใจ
2. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
3. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความป
จาก | สู่ |
1.มุ่งเน้นใช้คนเพื่อกระบวนการผลิตและใช้เครื่องจักรเป็นหลัก2. การผลิตมุ่งความเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงไม่ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันมาก 3. การสร้าง Brand ทำเมื่อ Product เสร็จ 4. เป็นการผลิตขนาดใหญ่ เพื่อความคุ้มทุน 5. การบริหารมีชั้นการบังคับบัญชามาก 6. สนใจควบคุมต้นทุนทางตรงเป็นหลัก7. การจ้างงานระยะยาว อัตราการลาออกต่ำ | 1. ใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้เป็นศูนย์กลาง2. การผลิตที่มุ่งให้ตรงความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายกลุ่มจึงต้องใช้ทักษะที่หลากหลายด้วย3. สร้าง Brand อยู่ใน Product เพราะเป็น Product ที่สนองเฉพาะกลุ่มและเป็น Knowledge Product4. การผลิตไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่แต่ เน้นที่ความคล่องตัว5. โครงสร้างองค์การมีสายบังคับบัญชาน้อย (Flatter Organization) 6. สนใจต้นทุนเป็นหน่วยของการผลิต7. การจ้างแบบมีสัญญาจ้างเฉพาะ มีการปรับขนาดองค์การให้เหมาะสมอยู่เสมอ |
จะบริหารคนหรือทุนมนุษย์ สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักๆ ทำให้การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจาก ธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ เช่น การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) การคิดเชิงกลยุทธ์ (StrategicThinking) การนำเครื่องมือใหม่ๆ ทางวัดผลกลยุทธเข้ามาใช้ อาทิ The Balanced Scorecard Version 3.0 Step-by-Step หรือการวัดผลสำเร็จและความสามารถโดยรวม (TPCS : Total Performance and Competency Scorecard)ปัจจัยในภาพรวมนี้ ทำให้การบริหารคนหรือที่เรียกว่า การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลง > ปัจจัยที่มาจากที่ปรึกษาธุรกิจหรือผู้นำด้าน HR ได้นำเสนอโมเดล HR แนวใหม่ เช่นกรณีของผู้เขียนได้นำเสนอโมเดลการบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Human Capital Management) หรือสิ่งที่ใหม่มาก ในทฤษฎีทุน-ทางปัญญาและทุนมนุษย์ โดยผู้เขียนได้ประมวลไว้ในเรื่องการพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ (Developing Human Capital Value) ทำให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยแรกต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจัยหลักโดยเฉพาะในการบริหาร HR ปัจจัยด้าน “วิธีวิทยาการบริหารคน” หรือพูดง่ายๆ คือ วิทยาการ (Methodology) ด้านบริหาร HRมีการปรับเปลี่ยนในตัวของ HR เองโดยอิทธิพลจากที่ปรึกษาธุรกิจและผู้นำด้าน HR (HR Leader) การขับเคลื่อนดังกล่าวจะเกิดมาจากส่วนหลักๆ คือ (1) การพลิกโฉมการบริหาร HR ไปสู่การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีวิทยาการและองค์ความรู้ของการบริหารทุนมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงจะทำได้ (2) การปรับหรือออกแบบงาน HR ใหม่ซึ่งเรียกว่า “HR Platform” (แพลตฟอร์มด้าน HR)ที่อยู่บนพื้นฐานของการจัดการความสามารถ (CBM : Competency Based Management) ดังนั้นเรื่องความสามารถของคน (Human Competence) ที่ใส่เข้าไปที่แพลตฟอร์มด้าน HR ผลที่เกิดขึ้นจะได้ทุนมนุษย์ (Human Capital) ดังนั้นสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือ การวัดผลสำเร็จด้านทุนมนุษย์ (Human Capital Scorecard : HC Scorecard) > การปรับเปลี่ยนโดยผู้บริหารฝ่าย HR จากองค์กรธุรกิจชั้นนำ ซึ่งในทางปฏิบัติเกิดได้ไม่ นานนัก แต่ที่มีเห็นเป็นข่าวคราวก็โดยการว่าจ้างที่ปรึกษาให้เข้าไปปรับเปลี่ยน ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวพอๆ กัน หากจะพูดถึงองค์กรระดับกลางและธุรกิจ SMEs ผู้บริหาร HR ก็ยังคงเป็นรูปแบบการบริหาร HRที่เน้นตามหน้าที่ซึ่งเราท่านรู้จักกันโดยทั่วๆ ไปอยู่แล้ว ใครๆ ก็ต้องพูดเรื่องการบริหารคนในชีวิตประจำวันถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันรายสัปดาห์ หรือนิตยสารรายเดือน จะมีคอลัมน์ที่พูดถึงเรื่องการบริหารคนบ้างไม่มากก็น้อย แต่เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจเพราะถ้าอ่านเอาจริงเอาจังอาจจะได้แค่เพียงกรอบแนวคิด หรือกระแสการบริหาร HR จากซีกตำราในสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นผู้นำด้าน HR หรือที่ปรึกษาธุรกิจในองค์ความรู้ใหม่จะไม่พูดถึง การบริหาร HR แบบเดิม แต่ถ้าพูดถึงก็จะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์การบริหาร HR โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เขียนสอนวิชาการบริหาร HR ในสำนัก MBA ด้วยแล้ว จะสอนในสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ของการบริหารคนที่เรียกว่า การบริหารทุนมนุษย์ องค์กรที่ปรับกลยุทธธุรกิจและการตลาดใหม่เมื่อธุรกิจแข่งขันในกระแสโลกาภิวัตน์ เราจะพบว่า 1.ภูมิภาคในเอเชีย-แปซิฟิกมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการจัดองค์กรธุรกิจใหม่ เช่น ความสำคัญ ของเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นธุร กิจระดับ World Class อาจจะแบ่งภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิคใหม่โดยเอาประเทศในจีน ไต้หวันฮ่องกง เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถือเป็นเอเชียเหนือเพื่อกำหนดพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการแข่งขันใหม่ ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะรวมออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เข้ามา และมีกลุ่มเอเชียใต้อีกกลุ่ม เช่น อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ แสดงให้เห็นว่า ความสำคัญในระดับการแข่งขันของโซนเอเชีย-แปซิฟิกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ 2.เมื่อกำหนดพื้นที่กลยุทธ์ (Strategic Areas) ใหม่แล้ว การจัดวางแนวคิดธุรกิจ (B-Concept) กับขอบเขตความเป็นเลิศ (Areas of Excellence) หรือที่เรียกใหม่ว่า “Core Competencies” หรือที่ใหม่กว่าคือ สมรรถภาพขององค์กร (Organizational Capability) ที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อนการแบ่งพื้นที่กลยุทธ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญและจะทำได้ดีก็ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) แล้วจึงนำไปสู่การสร้างแผนที่กลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง 3.เมื่อธุรกิจเหลียวมามองด้าน “กำลังรบ” (People ware) และระบบส่งกำลังบำรุงด้านคน (HR Systems) จะพบว่าไม่สามารถสนองตอบกับการจัดกลยุทธใหม่ของธุรกิจ ดังนั้นความจำเป็นที่จะสลัดโฉมฝ่าย HR หรือการบริหาร HR แบบเดิมที่พูดถึง การวางแผนกำลังคน การสรรหาและคัดเลือก การออกแบบและจัดระบบงาน การบริหารค่าจ้าง-สวัสดิการ การประเมินผลการปฏิบัติงานและการฝึกอบรมและพัฒนา เป็นต้น (ต้อง) นำไปสู่ “การบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์” (Strategic Human Capital Manage+ ment) เช่น การเชื่อมโยงกลยุทธ์ด้านคนหรือทุนมนุษย์กับกลยุทธ์ธุรกิจ ระบบการจัดการคนเก่ง (TMS : Talent Management System) การพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ การจัดการผลลัพธ์เชิงกลยุทธที่เป็นระบบ “Total Performance and Competency Scorecard” การบริหาร ERs (พนักงานสัมพันธ์แบบใหม่) เป็นต้น การบริหารคนหรือทุนมนุษย์ในชื่ออาจไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแนวคิด วิธีการ โมเดลหรือการนำไปสู่การปฏิบัติแตกต่างจากการ บริหาร HR แบบเดิมโดยสิ้นเชิง |
|
การประเมินผลแบบ 360
สมาชิกในกลุ่มทั้งหมด
1.กัลย์สิรี กรุงขุนทด 4950504303
2.จุฬาลักษณ์ เข็มมา 4950504307
3.พัชราภรณ์ อินทร์สูงเนิน 4950504318
4.วรรณา ทุมพงษ์ 4950504332
5.สกุลสิน พรมทองดี 4950504340
6.อรพิน หวังประสพกลาง 4950504353
7.สมจิน พลยุทธภูมิ 4950504341
8.อรอนงค์ โนนคำ 4950504354
การให้พ้นจากงาน |
การวางแผนกำลังคน |
การแสวงหาบุคคล |
งาน (JOB) |
การวิเคราะห์งาน |
การพรรณนางาน |
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การประเมินค่าของงาน |
การกำหนดอัตราค่าจ้าง |
เรื่อง competency
สมาชิกในกลุ่ม
1. นางสาวนิวิท เพียรเกษม 4950504312
2. นางสาวบังอร ดวงเข็ม 4950504313
3. นางสาวประพริม ครุฑขุนทด 4950504315
4. นางสาวพัชรี ศรีนอก 4950504320
5. นางรจนา ภักดิโพธิ์ 4950504323
6. นางสาววีรดา อาบสุวรรณ์ 4950504335
7. นางสาวสุนันทา หุ่นกระโทก 4950504344
ในอดีตเรียกกันว่างาน Personal Management หรือฝ่ายบุคคล ซึ่งถูกมองว่าเป็นงานที่รับผิดชอบแค่การจ่ายเงินเดือน ทำฐานข้อมูลพนักงานและรับคนเข้าทำงาน การเปลี่ยนชื่อมาเป็น HR นี่ยังไม่ถึง 20 ปี
เพราะเหตุผลทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้งาน HR แสดงถึงเรื่องของการวางแผนและขยายขอบเขตออกไป จึงเห็นได้ว่างานนี้ค่อยๆ มีพัฒนาการที่สอดรับกับการพัฒนาแนวคิดด้านการสื่อสารองค์กร ที่เลิกมองคนเป็นเพียงหน่วยของการผลิตในทางอุตสาหกรรม แต่มองคนเป็นทรัพยากรที่มีชีวิต
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน
ตอนเริ่มงาน HR ใหม่ๆ คำถามหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามหาคำตอบให้ตัวเองก็คืองานด้านแรงงานสัมพันธ์มีขอบเขตแค่ไหน ซึ่งหลายครั้งผู้เขียนก็พยายามค้นคว้าจากหนังสือต่างๆ แต่ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของกฏหมายแรงงานสัมพันธ์ และ สหภาพแรงงาน ซึ่งก็มีเนื้อหาหนักไปในทางการอธิบายข้อกฏหมายดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ใช่คำตอบที่เราในฐานะนักบริหารทรัพยากรบุคคลพยายามค้นหาอยู่ หลังจากนั้นเมื่อทำงานมาระยะหนึ่งก็พบว่างานด้านการบริหารแรงงานสัมพันธ์หรือที่ปัจจุบันพยายามเรียกว่าพนักงานสัมพันธ์นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มงานใหญ่ๆ สองด้านคืองานระเบียบวินัย กฏหมายแรงงานและงานด้านการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานกับพนักงานและบริษัทนั่นเอง ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างงานในแต่ละด้านดังนี้
1. งานระเบียบวินัยและกฏหมายแรงงาน เป็นงานที่เน้นในเรื่องการควบคุมให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามกฏกติกามารยาทของบริษัทโดยมีกฏหมายคุ้มครองแรงงานเป็นกรอบกติกาขั้นต้น ทั้งนี้โดยธรรมชาติของสังคมไม่ว่าจะเป็นสังคมในระดับครอบครัว บริษัทหรือระดับประเทศ การอยู่ร่วมกันก็อาจจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ทำให้ต้องมีการกำหนดกฏระเบียบไว้เป็นแนวทางนั่นเอง ทั้งนี้รวมถึงบทบาทในการให้คำแนะนำแก่บริษัทให้ปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ตัวอย่างงานที่ HR ต้องเข้าไปมีบทบาทในเรื่องดังกล่าวเช่น
- การจัดทำระเบียบข้อบังคับพนักงาน
- การสื่อสารให้พนักงานเข้าใจถึงระเบียบข้อบังคับของบริษัท
- การสอบสวนการกระทำความผิดและลงโทษพนักงาน
- การเจรจาต่อรองกับสหภาพแรงงาน
- การรับและตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของพนักงาน
- การปฏิบัติตามกฏหมายแรงงานอื่นๆ เช่นกฏหมายประกันสังคม กฏหมายกองทุนเงินทดแทน กฏหมายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฏหมายเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น
2. งานด้านการส่งเสิรมความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานกับพนักงานและพนักงานกับบริษัท เป็นงานอีกด้านหนึ่งที่ HR จะต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างบุคคลากรภายในบริษัท ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ของ HR ในปัจจุบัน ในขณะที่บทบาทเดิมคือการควบคุมระเบียบวินัยตามที่ได้กล่าวถึงแล้วข้างต้น สำหรับภาระกิจของ HR ในส่วนนี้ที่มีการปฏิบัติกันอยู่ทั่วไปเช่น
- การส่งเสริมกิจกรรมชมรมพนักงาน
- การส่งเสริมกีฬาภายในบริษัท
- การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เนื่องในโอกาศพิเศษต่างๆ
- การจัดทำวารสาร บอร์ดประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่างๆ ภายในบริษัท
- การจัดกิจกรรมร่วมกันภายนอกบริษัทเช่นการบริจาดสิ่งของช่วยเหลือเด็ก คนพิการ
- การจัดให้มีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์เช่น Walk Rally , ค่ายเยาวชน
- การจัดกิจกรรมวันครอบครัว เป็นต้น ทั้งในในปัจจุบันกำลังมีเทคนิคใหม่ที่มีการประยุกต์จากแนวคิดทางการตลาดเพื่อนำมาใช้ส่งเสริมความสัมพันธ์กับพนักงาน นั่นคือเรื่อง CRM ( Customer Relation Management ) โดยมองว่าพนักงานก็คือลูกค้าภายในบริษัทที่องค์กรจะต้องจัดการบริหารความสัมพันธ์เหมือนกับลูกค้าภายนอกบริษัท ซึ่งเป็นเทคนิคที่น่าสนใจและผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาศต่อไป
โดยสรุปจะเห็นได้ว่างานด้านแรงงานสัมพันธ์จะแบ่งออกเป็นสองด้านใหญ่ๆ คืองานการควบคุมพนักงานและงานด้านส่งเสริมพนักงาน ซึ่ง HR จะต้องแสดงบทบาทดังกล่าวให้ครบทั้งสองด้านเพื่อให้บริษัทของท่านมีทั้งความสงบสุขและความรักสามัคคีซึ่งกันและกันอย่างสมดุล
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นคำที่มีความหมายครอบคลุมทั่วโลก ปัจจุบันนิยมเรียกการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพียงสั้นๆ ว่า HR แทนที่จะใช้คำย่อว่า HRM เพราะ HR จะรวมถึง HRM (Human Resource Management) และ HRD (Human Resource Development) เข้าด้วยกัน ความแตกต่างเกิดขึ้นเมื่อแนวความคิดของการบริหารทรัพยากรบุคคลเปลี่ยนแปลงโดยขยายขอบข่ายของงานออกไปมาก
ที่ผ่านมา การบริหารทรัพยากรบุคคล จะมีลักษณะเป็นการจัดการงานบุคคล ในลักษณะเน้นถึงงานในหน้าที่ (Function) เกี่ยวกับคน หากแต่ปัจจุบันการบริหารทรัพยากรบุคคลจะนับรวมถึงเรื่องที่เป็นกลยุทธ์ของการปฏิบัติงานในทางธุรกิจด้วย ไม่อาจจะแยกจากกันโดยเด็ดขาด
การบริหารทรัพยากรบุคคลจะต้องรู้ถึงแผนงานทางธุรกิจ รู้เป้าหมายของธุรกิจ รู้เรื่องการตลาด การเงิน บัญชีในขั้นวิเคราะห์งบการเงินได้
HR จะต้องเปลี่ยนทุนมนุษย์ (Human Capital) ให้เกิดคุณค่า (From cost to value) จึงมีบทบาทในการเพิ่มคุณค่าของคน (Value Creation) เป็นงานในหน้าที่มากขึ้น จึงต้องนำงานเกี่ยวกับคนไปเชื่อมความสัมพันธ์กับกลยุทธ์การจัดการธุรกิจ ถึงขั้นผู้บริหารทรัพยากรบุคคล
เทคนิคการสร้างจิตสำนึกในงานบริการ ( Service Mind) ตอน 6 Ps เพื่อบริหารงานบริการ |
|
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมากระบบการจัดการงานบุคคลการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้ระบบคุณธรรมระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้1.หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้
2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน 3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ระบบอุปถัมระบบอุปถัมภ์มีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน บางคนเรียกระบบพรรคพวกระบบเล่นพวก ระบบเน่าหนอนชอนไช ระบบศักดินา เป็นต้น เป็นระบบที่มีพฤติกรรมในการบริหารงานบุคคลตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรมการพยากรณ์ความต้องการบุคคลการคาดคะเนความต้องการบุคคลของหน่วยงานต่างๆ ในองค์การจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกองค์การด้วยปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับความต้องการบุคคล ได้แก่ ตลาดแรงงาน การพิจารณาถึงความซับซ้อนของการบริหารงาน การแข่งขัน มาตรการของรัฐบาล สหภาพแรงงาน สภาพของเศรษฐกิจ และการขยายตัวทางอุตสาหกรรมเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ความต้องการเปลี่ยนไป
ปัจจัยภายในองค์การเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ การขยายขนาดขององค์การ การกระจายอำนาจการบริหารองค์การ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนนโยบายใหม่ นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกิดจากบุคคลเอง ได้แก่ อัตราการเข้าออกของคนงาน การตาย การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ เป็นต้นการประเมินสภาพการณ์ปัจจุบันด้านบุคคล ในการวางแผนบุคคลจะต้องวิเคราะห์สภาพปัจจุบันขององค์การด้านบุคคลก่อนเพื่อเป็นพื้นฐานในการคาดคะเนจำนวนบุคคลที่ต้องการ ได้แก่ การประเมินสภาพปัจจุบันและปัญหาในด้านต่างๆ ดังนี้1. วัตถุประสงค์และนโยบายด้านบุคคล2. จำนวนและคุณสมบัติของบุคคล3. โครงการต่างๆขององค์การ4. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคคลนอกจากนี้แล้ว ควรมีการประเมินปัญหาในการบริหารบุคคลด้วยได้แก่ การปฏิบัติงานของบุคคลมีปัญหาอะไรหรือไม่ ระบบบริหารบุคคลที่ใช้อยู่ตลอดจนงบประมาณเพื่อบริหารบุคคลด้วยกระบวนการของการจัดการงานบุคคลงานของผู้บริหารที่เกี่ยวกับคนมีขอบเขตตั้งแต่การวางแผนรับคนเข้าทำงานจนถึงการให้พ้นจากงาน ขอบข่ายของการจัดการงานบุคคลที่สำคัญมีเพียง 4 ลักษณะ คือ การให้ได้มา การบำรุงรักษา การพัฒนา และการให้พ้นจากงาน แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลงไป กระบวนการจัดการงานบุคคลอาจแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ (1) การวางแผนกำลังคนและตำแหน่ง (2) การแสวงหาบุคคล ได้แก่ การสรรหา การเลือกสรร การบรรจุ (3) การบำรุงรักษาและการจัดสวัสดิการ (4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (5) การพัฒนาบุคคล (6) การให้พ้นจากงาน 1. การวางแผนกำลังคน การวางแผนกำลังคนคือการคาดคะเนไว้ล่วงหน้าว่าหน่วยงานนั้น ต้องการคนจำนวนเท่าใดจึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การกำหนดตำแหน่งการวางแผนว่าจะรับคนเข้ามาจะต้องกำหนดตำแหน่งว่าจะให้มาทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรับผิดชอบอย่างไร ได้รับค่าจ้างแรงงานเท่าใด ประกาศรับสมัคร รับสมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติ สอบวัดความรู้ความสามารถ สัมภาษณ์ ตรวจสุขภาพ สอบประวัติ ตัดสินใจว่าจะจ้างหรือไม่ ทดลองปฏิบัติงานรายชื่อสมาชิกกลุ่มรายงาน Knowledge Management
1. น.ส.จิตวราพร ชูคำ รหัส 4950504305
2. น.ส.ดาวชญา วรวุฒิปัญญาคม รหัส 4950504306
3. น.ส.มัชฌิมา รัตนเพิ่ม รหัส 4950504322
4. น.ส.วณิชญา คงศิลา รหัส 4950504329
5. นางวัลภา โชคชัยลีพากร รหัส 4950504334
6. น.ส.สุชารัตน์ ชมดอน รหัส 4950504351
7. นางอุไรทิพย์ สัมมาชิต รหัส 4950504357
การให้พ้นจากงาน |
งาน (JOB) |
การวิเคราะห์งาน |
การพรรณนางาน |
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การประเมินค่าของงาน |
การกำหนดอัตราค่าจ้าง |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(THE HUMAN RESOURCES MANAGEMENT)
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
การออกแบบงาน (Job designs)
1. การจัดให้งานเป็นสิ่งที่มีลักษณะง่าย(Work simplification) เป็นการแบ่งงานต่างๆ ให้เป็นงานย่อยหลายๆ ชิ้น ที่ใช้ความชำนาญเฉพาะแต่เป็นงานง่ายๆ
2. การหมุนเวียนงาน(Job rotation) พนักงานจะสับเปลี่ยนงานที่มีลักษณะง่ายๆ หรืองานที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง เป็นการลดความเบื่อหน่ายในการทำงานชิ้นหนึ่ง เพื่อไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
3. การขยายขอบเขตงาน(Job enlargement) เป็นวิธีตรงกันข้าม วิธีที่1 กล่าวคือ ถ้างานๆหนึ่ง สามารถแบ่งเป็นวิธีการจัดการอย่างง่ายๆได้ 3 อย่างแล้ว ในแง่ของการขยายขอบเขตงาน จะให้คนทำงาน ทั้ง 3 อย่างนั้นพร้อมกัน เพื่อลดเป้าหมายในการทำงานอย่างเดียวมีความหมายยิ่งสำหรับคนทำงาน
4. การเพิ่มเนื้อหาของงาน(Job enrichment) เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับพนักงานให้ความเป็นอิสระในการทำงานและให้ควบคุมคนเอง เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความหมายและคุณค่าในตัวงานสำหรับพนักงาน
การวิเคราะห์งาน(Job Analysis)
การวิเคราะห์งาน คือ กระบวนการพิจารณา จำแนกแยกแยะ ประเมินผลและจัดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ งานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล
กระบวนการในการวิเคราะห์มีดังนี้
1. การระบุขอบเขตงาน(Job identification)ต้องทำก่อนที่จะรวบรวมสารสนเทศของการวิเคราะห์งาน การระบุขอบเขตงานนี้จะทำได้ง่ายสำหรับองค์การขนาดเล็ก เพราะมีงานไม่มากนัก แต่จะประสบความยุ่งยากมากสำหรับองค์การขนาดใหญ่
2. การสร้างแบบสอบถาม(Questionnaire development)ในการศึกษางาน จะต้องดำเนินการจัดทำรายการ หรือแบบสอบถามซึ่งเรียกกันว่า ตารางการวิเคราะห์งาน (job analysis schedules) ในแบบสอบถามนี้จะใช้ศึกษารวบรวมสารสนเทศของานที่มีมาตรฐานเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสามารถของบุคคล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้แบบสอบถามชนิดเดียวกันศึกษางานประเภทเดียวกัน
3. การรวบรวมสารสนเทศจากการวิเคราะห์งาน(Colect job analysis information)
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ อาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ การพิจารณาบันทึกประจำวันในการปฏิบัติงานของคนงานและการสังเกต
การจัดการงานบุคคล
การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะได้กำหนดคุณสมบัติของงาน หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติเมื่อองค์การธุรกิจจะรับคนเข้าทำงานหรือวางแผนรับคนงานนั้นจะต้องกำหนดชื่องาน (ตำแหน่ง) ภาระหน้าที่ และคุณสมบัติของผลฏิบัติงานเอาไว้ด้วย การพรรณนางาน การพรรณนางาน (Job description) หรือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย1. ชื่อของงาน2. สถานที่ทำงาน3. สรุปลักษณะงาน4. หน้าที่5. เครื่องมือทำงาน6. สภาพการทำงาน
การกำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน1. เพศและวัย2. การศึกษา3. ประสบการณ์4. การฝึกอบรม5. สุขภาพทางกายและจิต6. ความคิดริเริ่ม7. ความสามารถพิเศษอื่นๆ ตัวอย่างตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลการพรรณนางาน1. วิเคราะห์งานตำแหน่งต่างๆ2. ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ3. จัดโครงการผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ4. บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคลคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง1. เพศชาย อายุ 35-40 ปี2. สำเร็จปริญญาโททางการบริหารบุคคล3. มีประสบการณ์ในงานบริหารบุคคลอย่างน้อย 3 ปี4. มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างอื่น5. อ่าน พูด เขียน ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีการประเมินค่าของงานการประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้างข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ4. การประเมินต้องมีความยุติธรรมวิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลักการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงานเงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้นการจัดการงานบุคคล
หลักการแสวงหาบุคคลเข้ามาทำงานคือหาคนดีมีความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Find the best man available) ทั้งนี้ โดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเสมอภาค การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องกระทำอย่างมีมาตรฐาน เช่น สอบตำแหน่งเดียวกันควรจะยากง่ายเท่าๆกัน เป็นต้นกระบวนการในการรับคนเข้าทำงานนี้เรามักเรียกรวมกันไปว่า การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน แต่ที่จริงแล้วแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การสรรหา การเลือก และการบรรจุการสรรหาการสรรหา (recruitment) เริ่มจากการปิดประกาศชักชวนให้ผู้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการมาสมัครให้มากที่สุด สำหรับประเทศไทย ไม่มีปัญหาในเรื่องชักชวนให้คนมาสมัครเข้ารับราชการ แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ คนไม่นิยมเข้ารับราชการแม้ว่าจะมีเงินเดือนดี มีความก้าวหน้า และมีความมั่งคง ดังนั้นจึงต้องมีการโฆษณาชักจูงโดยวิธีการต่างๆ คือส่งคนไปตามโรงเรียนและวิทยาลัยต่างๆ ชี้แจงให้เห็นว่างานราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร การสรรหามักทำเป็นกระบวนการดังนี้1. เสาะแสวงหาแหล่งผู้มีความรู้ เช่น ในสถานศึกษาต่างๆ ในบริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนในกระทรวงทบวงกรมอื่นแล้วรวบรวมทำบัญชีชื่อไว้2. ชักจูงให้มาสมัครโดยวิธีต่างๆ เช่น ส่งคนไปชักชวน ปิดประกาศรับสมัครไว้ในที่ชุมนุมชน ที่สถานศึกษา โฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จดหมาย ส่งประกาศรับสมัครไปยังผู้มีความรู้ตาที่รวบรวมชื่อไว้ในขั้นที่ 1โดยวิธีสรรหาดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปิดวงเลือกให้กว้าง อันเป็นหลักสำคัญของการสรรหา จะทำให้ได้คนที่ดีมีความรู้ความสามารถมาสมัครมากๆ เพื่อจะได้พิจารณาเลือกเอาคนดีที่สุดเหมาะสมที่สุดในขั้นต่อไป การเลือกการเลือก (selection) เป็นกระบวนการขั้นต่อเนื่องจากการสรรหา มีวัตถุประสงค์ในการคัดเอาคนดีและเหมาะสมที่สุดมาทำงาน คนอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ดีและเหมาะสมที่สุดนั้นมีอยู่ 2 แนวความคิดดังนี้แนวความคิดฝ่ายที่หนึ่ง มีทัศนะว่าคนที่มีหัวดี มีแววดี ฝึกให้ทำอะไรก็จะทำได้ดีทั้งนั้น ถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่ตัวตน จึงสรรหาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา มีหัวมี มีแววดี มีความรู้ทั่วไปกว้างขวาง รอบรู้เฉลียวฉลาดมาทำงานตั้งแต่ขั้นต้นๆ แล้วจัดการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไปในอนาคต การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น เจเนอรัลลิสต์ (generalist) โดยสรรหาคนที่ยังไม่ต้องเป็นงานมาฝึกเพื่อใช้งานในอนาคต เป็นการสรรหาคนก่อนมีประสบการณ์เข้ามาหาประสบการณ์ในองค์การแนวความคิดดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์และมีระบบขุนนาง จึงสรรหาคนมาเป็นลูกหม้อตั้งแต่ขั้นต้นๆ และพัฒนาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดียวตลอดชีวิตเป็นอาชีพในทางนั้นๆ ไปเลยแนวความคิดฝ่ายที่สอง มีทัศนะว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างไม่ได้แต่ละคนจะถนัดแต่ละอย่าง และถ้าฝึกคนให้ทำได้หลายอย่างก็จะไม่เก่ง จึงต้องสรรหาคนมาให้เหมาะสมกับงานโดยถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่งาน จึงกำหนดคุณวุฒิที่ต้องการสำหรับแต่ละงานไว้แล้วสรรหาคนที่มีคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้นั้นมาทำงานเฉพาะอย่าง การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น สเปเชียลลิสต์ (specialist) โดยสรรหาคนที่เป็นงานแล้วมีประสบการณ์มาทำงานแนวความคิดหลังนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีความเจริญทางธุรกิจ จึงสรรหาคนที่เป็นงานและมาทำงานเฉพาะกิจ สรรหาคนมาจากนอกองค์การเข้ามาทุกระดับไม่จำกัดอายุ การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้ต้องทำกันบ่อยมาก เพราะจะมีคนย้ายงานโดยถูกดึงตัวกันไปมาอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครแล้ว จากนั้นก็ดำเนินการเลือกให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้1. การตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติการศึกษาตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น เคยต้องโทษ เป็นโรคติดต่อต้องห้าม เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เป็นต้น2. วัดความรู้ความสามารถ มีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือการสอบ ซึ่งแยกเป็นสอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ บางองค์การอาจพิจารณาจากประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานเดิม นอกจากนี้ ก็อาจวัดความรู้ความสามารถโดยการคัดเลือกเพื่อประเมินคุณภาพบุคคลว่าเหมาะสมที่จะรับเข้าทำงานหรือไม่ การคัดเลือกอาจพิจารณาเฉพาะบุคคลเดียวหรือคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลก็ได้มีข้อสังเกตว่าวิธีการคัดเลือกนั้นเป็นวิธีที่อาจนำไปสู่ระบบอุปถัมภ์หรือเล่นพวกได้ง่าย จึงไม่นิยมใช้ เว้นแต่กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสูงและสำคัญ โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้วิธีการสอบซึ่งเป็นวิธีวัดคนได้ดีที่สุดสะดวกที่สุด และเป็นธรรมที่สุดในขณะนี้3. การสัมภาษณ์ เป็นการเรียกผู้สมัครมาพบพูดคุยเพื่อดูบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทาง การพูดจา ตลอดจนดูไหวพริบและเชาวน์ปัญญา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทัศนคติ บางตำแหน่งอาจไม่ต้องวัดความรู้ความสามารถเพียงแต่เชิญมาสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะผู้ผ่านงานมามากหรือผู้ที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน4. การตรวจสอบคุณภาพ เพื่อกลั่นกรองเอาแต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยให้แพทย์เป็นผู้ตรวจโดยตรง เช่น ตรวจเลือด ตรวจโรคเอดส์ ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องการผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้คัดเลือกได้คนที่เหมาะสม5. การให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรร กล่าวคือ เมื่อเลือกได้คนมาแล้วก็ให้ทดลองทำงานจริงๆ สักชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าพิสูจน์ตนเองว่าทำงานได้ ความประพฤติดี จึงจะรับไว้เป็นการถาวรการบรรจุตามปกติการบรรจุ (placement) จะเรียงตามลำดับที่สอบได้ (rule of one) แต่บางกรณีอาจยืดหยุ่นได้ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีให้เลือก 2 หรือ 3 คนแรก เมื่อเรียกบรรจุแล้วให้ทดลองปฏิบัติงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและทำงานให้ได้ตามที่ต้องการจึงบรรจุเป็นการถาวรต่อไป
การจัดการงานบุคคล
การประเมินผลการปฏิบัติงาน
1. สิ่งที่ต้องการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ(1) การประเมินผลงานที่ปฏิบัติ ทั้งในแง่ของประมาณและคุณภาพ ได้แก่ งานที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทำงานได้มาก ผลงานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้(2) ประเมินคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ความร่วมมือในการทำงาน ความสามัคคี มนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความอดทน และการรักษาวินัย ฯลฯโดยปกติจะประเมินควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ยังอาจกำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่จะใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากงานอื่นๆ เช่น การรักษาความลับ ความแข็งแรงอดทนต่อความยากลำบาก ความสามารถในการพูดจาเสนอรายงาน เป็นต้น 2. วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ละเอียดถี่ถ้วนและเที่ยงตรงจะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(1) การเลื่อนตำแหน่ง ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(2) การเลื่อนเงินเดือน ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะบ่งชี้ว่าผู้ปฏิบัติคนหนึ่งๆ มีผลงานที่ปฏิบัติได้จริงถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะทำได้ ต่ำกว่า หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากน้อยเพียงใด(3) การแต่งตั้งโยกย้าย สับเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงาน ผลการประเมินจะชี้ว่าผู้ใดมีความรู้ความสามารถ ความชำนาญเหมาะสมที่จะทำงานใด ถ้าปรากฏว่าไม่เหมาะสมกับงานใดเลยก็อาจให้พ้นจากงานไป(4) การพัฒนาบุคคล ผลการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความสามารถของบุคคล ถ้าพบว่ามีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องในด้านใดก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเสริมทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นต่องาน(5) การปรับปรุงระบบวิธีวิธีทำงานและอุปกรณ์การทำงาน ในการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจพบกรณีผลงานต่ำซึ่งมิได้มีสาเหตุจากตัวบุคคลผู้ปฏิบัติงานแต่เป็นเพราะระบบวิธีการทำงานยังไม่รัดกุมหรืออุปกรณ์เครื่องช่วยไม่ดี ซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันการ(6) การปรับปรุงวิธีการเลือกสรรบุคคลเข้าทำงาน หากพบว่าผลงานตกต่ำเนื่องจากได้ผู้ปฏิบัติงานที่อาจมีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับงาน ก็จะได้แก้ไขโดยย้อนกลับไปพิจารณาปรับปรุงการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน เช่น ปรับปรุงข้อสอบ และวิธีการให้ได้คนที่เหมาะสมยิ่งขึ้นนอกจากนี้ การประเมินผลการปฏิบัติยังมีประโยชน์ในแง่อื่นๆ อีก เช่น (1) แสดงผลงานดีเด่น การบันทึกผลงานจะช่วยให้รู้ว่าบุคคลใดทำงานได้ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจมีการพิจารณาให้รางวัลและจูงใจด้วยวิธีการต่างๆ นอกเหนือไปจากการขึ้นเงินเดือนที่เรียกว่ารางวัลจูงใจ (incentive award) เช่น ประกาศเกียรติคุณ ให้แหวนเพชร ให้โล่ เป็นต้น (2) ปรับปรุงผู้ที่มีผลงานต่ำ ผลการประเมินจะบอกให้ทราบว่าผู้ใดควรจะได้รับการปรับปรุงในการทำงาน หรือควรจะโยกย้ายไปทำงานอื่นที่เหมาะสมกว่า หรือควรตักเตือนลงโทษตลอดจนให้พ้นออกจากงาน (3) พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนที่จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงาน จะต้องมีการตกลงกันในเรื่องผลงานเพื่อให้การประเมินเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ผู้บริหารและผู้ใต้บังคับชามีโอกาสได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย3. การจัดระบบการประเมินการประเมินผลการปฏิบัติงานถ้าจะทำให้เป็นระบบจะต้องมีขั้นตอนดังนี้(1) การกำหนดแบบฟอร์ม จะต้องพิจารณาว่าจะใช้องค์ประกอบอะไรในการประเมิน และองค์ประกอบไหนจะประเมินอย่างไร ทั้งนี้ จะต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการที่จะประเมินด้วยจึงจะกำหนดแบบฟอร์มได้ถูกต้อง(2) การกำหนดมาตรฐานในการทำงาน เป็นการกำหนดว่างานที่ผู้ดำรงตำแหน่งหนึ่งๆ จะต้องปฏิบัติในช่วงเวลาหนึ่งควรมีปริมาณและคุณภาพอย่างไร โดยปกติการจัดทำมาตรฐานการทำงานมักเป็นการระบุปริมาณของงานที่ควรจะทำได้แต่สำหรับงานบางลักษณะซึ่งระบุเป็นปริมาณได้ยากก็จำเป็นต้องระบุคุณภาพของงานนั้นแทน(3) การกำหนดระยะเวลาในการประเมิน ในการประเมินการปฏิบัติงานจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน เช่น ถ้าจะประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็จะประเมินกันปีละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง เป็นต้น แต่ในหน่วยงานบางหน่วยงานอาจพิจารณาจัดให้มีการประเมินมากกว่าปีละ 2 ครั้งก็ได้ตามที่เห็นสมควร(4) คู่มือในการประเมิน ควรจะมีคู่มือที่จะอธิบายคุณลักษณะของหัวข้อในการประเมินให้ชัดเจนเพื่อมิให้ผู้ประเมินตีความหมายเอาเอง ซึ่งอาจทำให้ผลการประเมินที่ออกมาผิดไปจากความเป็นจริง1. วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานวิธีการปฏิบัติในการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีอยู่มากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่จะพิจารณาเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะงานแลผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้น แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อบกพร่องต่างๆ กัน สรุปวิธีการหลักๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันๆได้ดังนี้(1) วิธีจดบันทึกปริมาณงาน ใช้กับงานประจำที่ทำตามแบบแผน ทำซ้ำกัน เช่น การพิมพ์ งานเก็บเอกสาร เป็นต้น โดยผู้ปฏิบัตินับจำนวนงานของตนที่ทำได้ต่อวัน สัปดาห์ หรือเดือน เมื่อถึงเวลาประเมินก็นำผลที่ได้เปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว(2) วิธีพิจารณาตามเครื่องวัด (graphic rating scale) คือการกำหนดรายการคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงานที่จะประเมินเอาไว้ แล้วจำแนกแต่ละคุณลักษณะออกเป็นระดับตามความมากน้อย อาจจะได้คะแนนสำหรับแต่ละระดับก็ได้ วิธีนี้นิยมใช้มากที่สุด(3) วิธีพิจารณาโดยตรวจรายการ (check list) วิธีนี้ผู้ประเมินพิจารณาตอบคำถามเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน โดยกาเครื่องหมายลงในช่องคำตอบที่เตรียมไว้แล้ว วิธีนี้นิยมใช้ในโรงงานสำหรับหัวหน้างานประเมินลูกน้อง(4) วิธีเปรียบเทียบบุคคล (paired comparison method) ผู้ประเมินเปรียบเทียบคนทำงานทีละคู่โดยพิจารณาคุณลักษณะหรือผลงาน และตัดสินทีละคู่ว่าใครดีกว่า ทำเช่นนี้ไปจนครบทุกคู่แล้วรวมคะแนนจัดลำดับปัจจุบันมีการคิดค้นทดลองวิธีประเมินผลงานแบบใหม่ๆ หลายวิธี วิธีการใหม่ๆเหล่านี้มักจะเหมาะกับการประเมินคนงานประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อนำมาใช้กับคนประเภทอื่นๆที่ไม่ตรงกับเจตนาของการคิดค้นวิธีการนั้นขึ้นมาก็มักใช้ไม่ได้ผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน
การจัดการงานบุคคล
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง โยกย้าย โอนเมื่อบรรจุบุคคลเข้าทำงานแล้วระยะหนึ่ง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือโยกย้าย หรือโอนไปรับหน้าที่การงานใหม่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมีความหมายรวมไปถึงการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น การลดขั้น การโยกย้าย โอน และการงดจ้างชั่วคราววัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมีหลายประการ เช่น เพื่อปรับปรุงโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อปรับปรุงคนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อปรับปรุงให้มีการปฏิบัติงานตามนโยบายและข้อบังคับขององค์การ หรือเพื่อลดต้นทุนของบริษัท เป็นต้นการเลื่อนตำแหน่ง (Promotion) เป็นการให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานดี มีความสามารถ เป็นการแสดงถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของการทำงานของผู้ที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทำให้สถานภาพสูงขึ้นและรายได้สูงขึ้นด้วยการโยกย้ายหรือการโอน (transfer) เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งบุคคลคนหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง อาจเกิดขึ้นในแผนกงานเดียวกันหรือระหว่างแผนกงานก็ได้ โดยที่ค่าจ้างหน้าที่การงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับเดียวกัน สาเหตุของการโยกย้ายอาจจะเกิดจากความต้องการขององค์การหรือจากความต้องการของตัวพนักงานเองการลดขั้น (demotion) เป็นการลงโทษพนักงานวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้ต่ำลง ซึ่งเป็นการลดสถานภาพและรายได้ลงจากเดิมการงดจ้างชั่วคราว (lay-off) เมื่อบริษัทเกิดภาวะขาดทุนอยู่เป็นเวลานานทำให้จำเป็นต้องยุบแผนกงานบางแผนก หรือจำเป็นต้องงดจ้างคนงานชั่วคราว การงดจ้างชั่วคราวอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นการงดจ้างถาวรก็ได้
การพัฒนาบุคคล
หมายถึง กรรมวิธีต่างๆที่มุ่งจะเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนในหน่วยงานหนึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปในทาางที่ดี ให้มีกำลังใจ รักงาน และให้มีความคิดที่จะหาทางปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้น1. ความจำเป็นของการพัฒนาบุคคลการคัดเลือกสรรหาบุคคลเข้าทำงานนั้นได้มีการกำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการเป็นอย่างดี แต่ก็มิได้เป็นหลักประกันว่าปบุคคลผุ้นั้นจะปฏิบัติงานใหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ เพราะวิทยาการต่างๆ ได้เจริญก้าวหน้าอยู่เสมอ การแข่งขันในตลาดมีเพิ่มขึ้นทุกวัน ฉะนั้นหน่วยงานจึงควรพัฒนาบุคคลให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ทำได้รับมอบหมายในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเต็มความสามารถ ในขณะเดียวกัน บุคคลที่ทำงานอยู่แล้วก็ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อเตรียมสำหรับความก้าวหน้าในตำแหน่งสูงขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยบุคคลทุกประเภทขององค์การแม้จะมีความสามารถดีเด่นเพียงไรก็ตาม ถ้าเวลาผ่านไปนานๆ บรรดาความรู้ความชำนาญก็ย่อมอ่อนลงเป็นธรรมดา หรือบางทีการทำงานจำเจออยู่เสมอๆ งานที่ทำก็จะกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่ายได้ การพัฒนาบุคคลจึงมีความจำเป็น2.วิธีพัฒนาบุคคลการพัฒนาบุคคลอาจจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา และการพัฒนาตนเอง2.1 การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาเป็ฯหน้าที่อันจำเป็นประการหนึ่งของผู้บังคับบัญชาทหรือหัวหน้างาน ดังนั้นการเลือกวิธีพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้เหมาะสมและถูกต้องจึงมีความสำคัญอยู่เป็นอันมาก วิธีพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาที่นิยมกันมีหลายวิธีดังนี้(1) ปฐมนิเทศสำหรับคนงานใหม่(2) การสอนงานเมื่อได้รับมอบหมายงานใหม่(3) มอบอำนาจในการปฏิบัติงาน เพื่อ- ให้รู้จักรับผิดชอบ- ให้หัวหน้างานมีเวลาปรับปรุงงานและริเริ่มงานใหม่(4) สับเปลี่ยนโยกย้ายหน้าที่(5) หาพี่เลี้ยงให้(6) ให้ทำหน้าที่ผู้ช่วย(7) ให้รักษาการแทน(8) พาไปสังเกตการณ์ด้วยในบางโอกาส(9) ส่งไปศึกษาดูงาน(10) ส่งไปประชุม สัมมนา และฝึกอบรม(11) ใช้การประชุมเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานให้มาก(12) ส่งเสริมให้มีบทบาทในองค์การทางวิชาการ(13) ส่งเข้าประชุมเรื่องที่เกี่ยวกับงาน(14) จัดหาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวกับงานไว้ให้มีใช้เพียงพอ(15) จัดให้มีคู่มือและการปฏิบัติงานให้มีพอใช้ทั่วถึง(16) สนับสนุนกิจกรรมพัฒนาบุคคลอย่างจริงใจ 2.2 การพัฒนาตัวผู้บริหารเอง การพัฒนาตัวเองเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาบุคคล เพราะถ้าผู้บริหารไม่พัฒนาตนเองเสียก่อนแล้ว การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาก็น่าจะไม่ได้ผลวิธีการพัฒนาตนเองที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในการปฏิบัติงานมีดังนี้(1) มีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองให้ทันต่อเหตุการณ์(2) แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดแบบกันเอง(3) ศึกษาหาความรู้จากเอกสารวิชาการต่างๆ(4) ติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของงานท้งที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงและที่เกี่ยวข้อง(5) ติดตามความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์ภายในและภายนอกประเทศ โดยอาศัยหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชนอื่นๆ (6) เข้าร่วมประชุมสัมมนาสัมมนาเมื่อมีโอกาส(7) เป็นผู้นำอภิปรายและผู้บรรยายในบางโอกาส(8) เป็นสมาชิกขององค์การทางวิชาการหรือองค์การที่น่าสนใจอื่นๆ (9) หาโอกาสไปศึกษาและดูงานทั้งในและนอกประเทศเป็นครั้งคราว(10) เข้าศึกษาในบางวิชาในสถาบันการศึกษา(11) คบหาสมาคมกับผู้รู้บางท่าน
นอกจากนี้หัวข้อต่างๆ นี้แล้ว การสร้างบรรยากาศอันเหมาะสมแก่การเสนอแนะก็เป็นสิ่งสำคัญอยู่ไม่น้อยที่ควรจะได้รับการพิจารณา เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา และระหว่างเพื่อร่วมงาน เป็นต้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
ขั้นที่ 3 การสัมภาษณ์(Selection interview) แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured interview) การสัมภาษณ์แบบนี้ให้อิสระแก่ผู้สัมภาษณ์
2. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง(Structured or directive interview) คำถามแต่ละคำถามจะถูกเตรียมก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์
3. การสัมภาษณ์แบบผสม(Mixed interview) การสัมภาษณ์ที่ผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
4. การสัมภาษณ์แบบแก้ปัญหา(Problem-solving interviews) เป็นการสัมภาษณ์ที่เน้นแนวคิดความคิดและวิธีการที่ผู้สมัครใช้แก้ปัญหาต่อสถานการณ์ต่างๆ
5.การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น(Stress interviews) เป็นการสัมภาษณ์เน้นสถานการณ์ในด้านความเครียดและความกดดันต่างๆ เพื่อพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์
กระบวนการสัมภาษณ์แบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. การเตรียมการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรมีการเตรียมคำถามต่างๆ เอาไว้ก่อน
2. การสร้างสายสัมพันธ์(Creation of rapport) จะทำให้สัมพันธภาพ ระหว่างผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์มีความไว้ใจ
3. การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ(Information exchange) เพื่อสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์บางครั้งผู้สัมภาษณ์ต้องการให้การสัมภาษณ์เป็นการสื่อสารสองทาง (two-way communication)
4. การยุติการสัมภาษณ์(Termination) ผู้สัมภาษณ์จะเป็นฝ่ายยุติการสัมภาษณ์อาจบอกว่า เราคุยกันมาพอสมควร ผมขอถามคำถามสุดท้าย
5. การประเมินผล(Evaluation) หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ผู้สัมภาษณ์ต้องบันทึกผลทันที
ขั้นที่ 4 การตรวจสอบภูมิหลัง(References and background check)
ในขั้นนี้จะพิจารณาตรวจสอบภูมิหลังจากบริษัทเดิมหรือผู้ที่อ้างถึงในใบสมัคร ข้อมูลการตรวจสอบภูมิหลังช่วยยืนยันความแน่ใจในการตัดสินใจของคณะกรรมการได้ดีขึ้น
ขั้นที่ 5 การตรวจสุขภาพ(Medical Evaluation)
ให้ผู้สมัครตรวจสุขภาพในหน่วยงานต่างๆ ที่ทางองค์การกำหนดให้ การตรวจสุขภาพนี้ช่วยไม่ให้องค์การมีปัญหาภายหลังจากการรับพนักงานเข้ามาทำงานแล้วเกิดภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากสุขภาพเบื้องต้น
ขั้นที่ 6 การประชุมปรึกษาพิจารณา(Conference)
คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงาน ผู้คัดเลือกเละกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งพิจารณาตัดสินครั้งสุดท้าย คณะกรรมการชุดนี้จะร่วมกันอภิปรายความเหมาะสมในการตัดสินใจคัดเลือกให้บุคคลใดเข้าทำงานในองค์การ
ขั้นที่ 7 ทดลองการปฏิบัติงาน(Realistic Job Preview)
ในขั้นนี้จะได้ประโยชน์แก่ผู้ถูกคัดเลือกโดยตรงเพราะจะได้สำรวจตนเองว่ามีความเหมาะสมในงานนั้นจริงหรือไม่ สามารถปรับตัวต่อสภาพการณ์ต่างได้หรือไม่
ขั้นที่ 8 การตัดสินใจจ้าง(Hiring Decision)
ดำเนินการบรรจุเป็นพนักงานขององค์การ ผู้ทำงานด้านนี้ต้องทำการติดตามผลงานของตนเองในทุกครั้งจากผู้นำผลงานของเราไปใช้
การประเมินผลพนักงาน (Employee Appraisal)
การประเมินผลพนักงาน คือระบบประเมินผลบุคคล อันเกี่ยวเนื่องมาจากผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ อย่างปราศจากอคติใดๆ ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตัดสินใจ วินิจฉัย ปรับปรุง ส่งเสริม และพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจ และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเห็นช่องทางความก้าวหน้าของเขา จะส่งผลให้องค์การเจริญเติบโตความสำเร็จของการประเมินผลพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินผลพนักงานมีดังนี้
1. ปรับปรุงการปฏิบัติงาน การประเมินผลจะช่วยสร้างและรักษาไว้ซึ่งระดับของการทำงานให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจจากการปฏิบัติงานของพนักงานนั้นๆ
2. ช่วยพัฒนาตัวพนักงาน ทำให้ผู้ประเมินทราบว่า พนักงานผู้นั้นต้องการอะไร มีโอกาสที่จะก้าวหน้าและพัฒนาตัวเองอย่างไร
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. เป็นช่องทางขยับขยายเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน ช่วยในการพิจารณา เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย เลิกจ้าง และปลดออกจากงาน
5. เป็นมาตรการนำมาใช้พิจารณาค่าจ้างเงินเดือน
6. ช่วยฝ่ายบุคคลด้านว่าจ้างพนักงาน
การฝึกอบรม (Training)
การปฐมนิเทศ (Orientation)
ปฐมนิเทศ คือ การแนะนำให้พนักงานได้รู้จักกฎระเบียบการปฏิบัติตนตลอดจนหัวหน้างานในองค์การที่พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าปฏิบัติ
ความมุ่งหมายการจัดปฐมนิเทศ
1. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักประวัติและความเป็นมาขององค์การ
2. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆในองค์การ
3. เพื่อให้พนักงานใหม่ได้รู้จักการแบ่งสายงานในองค์การ
4. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักกฎ ระเบียบต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติขณะที่อยู่ในองค์การ
5. เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ คลายความกังวล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม
1. ผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการฝึกอบรม
1.1 ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน
1.2 พนักงานสามารถรู้ถึงมาตรฐานการทำงานและนโยบายต่างๆของหน่วยงาน
1.3 ทำให้พนักงานมีอนาคตก้าวหน้าต่อไปให้ตำแหน่งและหน้าที่ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังขวัญในการทำงาน
2. ผลประโยชน์ต่อผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้างาน
2.1 ประหยัดเวลาในการที่จะใช้สอนหรือแนะนำงานต่างๆ ให้กับพนักงาน
2.2 ประหยัดเวลาที่จะใช้ควบคุมดูแล สามารถเอาเวลาไปใช้ในการวางแผนงานและบริหารด้านอื่นได้
2.3 ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลประโยชน์ต่อองค์การ
3.1 ช่วยทำให้ผลผลิต มีคุณภาพได้มาตรฐาน
3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักร
3.3 ช่วยลดอุบัติ การสิ้นเปลืองและการเสียหายต่างๆ
ค่าตอบแทน(Compensation)
"ค่าจ้าง"(Wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทน โดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงานของคนงาน เพราะค่าจ้างส่วนใหญ่กำหนดไว้สำหรับจ่ายคนงานเป็นรายชั่วโมง ที่เรียกกันว่า Nonsupervisor or Blue-collar
"เงินเดือน"(Salary) หมายถึงจำนวนเงินที่บุคคลได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานถือเป็นเกณฑ์ การจ่ายเหมาเป็นรายเดือนและถือเป็นรายได้ประจำ เราเรียกกันว่า White-collar or Professional
ส่วนประกอบของค่าจ้างตามแนวความคิดใหม่
การบริหารค่าจ้างสมัยใหม่ก็จะเขียนได้เป็นสมการ ดังต่อไปนี้
การบริหารค่าจ้าง = เงินเดือน + ผลประโยชน์และบริการ + ค่าตอบแทนทางสังคม
ส่วนประกอบของการบริการค่าจ้างสมัยใหม่ ประกอบไปด้วยค่าจ้างดังต่อไปนี้
1. ค่าจ้างที่เป็นรูปเงิน(Money pay) นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน
2. ค่าจ้างที่เป็นรูปความสำคัญของงาน(Power pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ สินจ้างรางวัลที่จ่ายตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่
3. ค่าจ้างที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น(Authority pay)
4. ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง(Status pay)
5. ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี(Meta - goals pay)
5.1 หลักความพอเพียง(Adequacy) คือ การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆไป
5.2 หลักความยุติธรรม(Equity)
5.3 หลักดุลยภาพ(Balance) หมายถึงความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม
5.4 หลักควบคุม(Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน
5.5 หลักความมั่นคง(Security) ความมั่นคงของพนักงานทั่วไป หมายถึง การจัดให้มีการประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน การว่างงาน ส่วนความมั่นคงของพนักงานระดับสูงและฝ่ายจัดการก็อยู่ที่ การทีหลักทรัพย์ที่ดินและบ้าน
5.6 หลักล่อใจในการทำงาน(Incentives)
5.7 หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย(Pay - and - Effort Bargain)
5.8 หลักการยอมรับ(Acceptability)
สุขภาพ และความปลอดภัย(Health and Safety)
ความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัย หมายถึง การหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บไข้ก็ตาม ซึ่งอาจจะจัดเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและปราศจากอันตรายต่างๆ
การส่งเสริมความปลอดภัย
การส่งเสริมความปลอดภัย หมายถึง การดำเนินงานให้คนทำงานเกิดความปลอดภัย โดยการ อบรมให้มีความรู้ สร้างความสนใจให้เกิดขึ้น
1. ผู้บริหาร ต้องตระหนักและเห็นชอบในการส่งเสริมความปลอดภัยด้วยความเต็มใจ
2. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
3. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
4. สร้างความสนใจในงานด้านความปลอดภัย เช่น การจัดทำโปสเตอร์
เพื่อให้ส่วนราชการทราบถึงสมรรถนะในการบริหารทรัพยากรบุคคลของตน สำนักงาน ก.พ. จึงได้ริเริ่มนำการประเมินการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบสมดุล (Human Resource Scorecard) ซึ่งมีความแพร่หลายทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ในราชการพลเรือน โดยได้ดำเนินการศึกษาและได้กำหนดกรอบมาตรฐานความสำเร็จด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ไว้ 5 มิติ และได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ส่วนราชการจัดทำแผน
กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลตามกรอบมาตรฐานความสำเร็จดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปปฏิบัติ
ที่มุ่งเน้นให้เกิดผลต่อความสำเร็จตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ของส่วนราชการ และเป็นกรอบในการติดตามประเมินผลต่อไป
3. มีการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างฝ่ายบริหารของส่วนราชการกับข้าราชการและบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน และในระหว่างข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานด้วยกันเอง
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(การจัดการงานบุคคล) คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel managementวัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก
ระบบการจัดการงานบุคคล
การจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้
ระบบคุณธรรมระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้1. หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้ และเมื่อเข้ามาเป็นคนงานหรือพนักงานแล้วก็ต้องมีความเสมอภาคในการเลื่อนตำแหน่ง เช่น บางตำแหน่งทำงานในระดับ 3 มา 2 ปีแล้ว มีสิทธิเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 4 ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นสำคัญ สิทธินี้ต้องเสมอภาคกันทุกคน หรือในการทำงานหากทำงานที่อยู่ในระดับความรับผิดชอบที่เทียบกันได้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน
2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน
3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ถ้าให้ฝ่ายการเมืองมามีอิทธิพล คนดีมีความสามารถก็จะหนีหายไม่อยู่รับราชการ ในทางหลักการจึงมีข้อกำหนดไว้ว่าข้าราชการประจำจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าราชการ การเมืองได้แก่ไหน อย่างไร หลักข้อนี้นั้นด้านราชการมากกว่าธุรกิจจะเห็นได้ว่าแนวความคิดของระบบคุณธรรมสอดคล้องกับแนวความคิดตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย การบริหารงานบุคคลก็ยึดระบบคุณธรรมด้วย แต่เนื่องจากพฤติกรรมต่างๆ ปล่อยปละละเลยเป็นระบบอุปถัมภ์กันมานานจึงต้องค่อยๆ เปลี่ยน มิใช่เปลี่ยนอย่างทันทีทันใด ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของคนไทยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม เช่น ค่านิยมการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนที่รู้จักคุ้นเคยก็อาจส่งเสริมให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกได้ เป็นต้น
ระบบอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์มีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน บางคนเรียกระบบพรรคพวกระบบเล่นพวก ระบบเน่าหนอนชอนไช ระบบศักดินา ภาษาอังกฤษมีหลายคำ เช่น spoils system , patronage system , favoritism , nepotism เป็นต้น เป็นระบบที่มีพฤติกรรมในการบริหารงานบุคคลตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรมระบบอุปถัมภ์นี้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยยุโรป มีระบบศักดินา มีเจ้าขุนมูลนาย (feudel lord) ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระเจ้าแผ่นดินให้ดูแลกิจการต่างๆ มีข้าทาสบริวารที่เลี้ยงไว้ เมื่อจะตั้งคนให้ทำงานก็ตั้งจากบริวาร เป็นดังนี้สืบเนื่องกันมาเรื่อยๆ ในสหรัฐอเมริการะบบนี้แพร่หลายมากในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ๊กสัน (Andrew Jackson) เมื่อได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก็ปลดคนเก่าๆ ที่ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ตั้งไว้ออก แล้วเอาพวกของตนเข้าแทน ระบบนี้อยู่ได้ที่การเลี้ยงคน การแต่งตั้งคนให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เป็นสินน้ำใจ ระบบนี้มีประโยชน์ในการควบคุมนโยบายระดับประเทศ จึงเหมาะที่จะใช้ได้กับข้าราชการการเมืองเท่านั้นเพราะการเมืองนั้นต้องอาศัยความสนับสนุนจากพรรคพวกเป็นสำคัญเมื่อวางนโยบายไว้อย่างไรก็สั่งคนของตนให้ช่วยทำตามนั้น ในระบบธุรกิจควรควรหลีกเลี่ยงให้ไกล มิฉะนั้นจะประสบความล้มเหลวเพราะธุรกิจมีการแข่งขันกันมากการให้พ้นจากงาน |
การวางแผนกำลังคน |
การแสวงหาบุคคล |
งาน (JOB) |
การวิเคราะห์งาน |
การพรรณนางาน |
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การประเมินค่าของงาน |
การกำหนดอัตราค่าจ้าง |
ภาพที่ 7.3 องค์ประกอบของตัวอย่าง
การวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะได้กำหนดคุณสมบัติของงาน หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติเมื่อองค์การธุรกิจจะรับคนเข้าทำงานหรือวางแผนรับคนงานนั้นจะต้องกำหนดชื่องาน (ตำแหน่ง) ภาระหน้าที่ และคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานเอาไว้ด้วย การพรรณนางาน การพรรณนางาน (Job description) หรือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย1. ชื่อของงาน2. สถานที่ทำงาน3. สรุปลักษณะงาน4. หน้าที่5. เครื่องมือทำงาน6. สภาพการทำงาน การกำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน1. เพศและวัย2. การศึกษา3. ประสบการณ์4. การฝึกอบรม5. สุขภาพทางกายและจิต6. ความคิดริเริ่ม7. ความสามารถพิเศษอื่นๆตัวอย่างตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลการพรรณนางาน1. วิเคราะห์งานตำแหน่งต่างๆ2. ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ3. จัดโครงการผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ4. บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคลคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง1. เพศชาย อายุ 35-40 ปี2. สำเร็จปริญญาโททางการบริหารบุคคล3. มีประสบการณ์ในงานบริหารบุคคลอย่างน้อย 3 ปี4. มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างอื่น5. อ่าน พูด เขียน ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดี การประเมินค่าของงานการประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้างข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ4. การประเมินต้องมีความยุติธรรมวิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลักการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงานเงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป 3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้น
|
|
|
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การวางแผน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับการจัดการองค์การ การบริหารงาน ทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการผลิตสินค้า การตลาด เป็นต้น การตัดสินใจ สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการตัดสินใจเพื่อเลือกแนวทางหรือทางเลือกที่มีปัญหาน้อยที่สุดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การมีสารสนเทศที่สมบูรณ์ ทันสมัย และครบถ้วนจะช่วยให้การตัดสินใจถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การดำเนินงาน สามารถนำสารสนเทศไปใช้ในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ใช้เพื่อควบคุมหรือติดตามผลการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ วัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ |
การให้พ้นจากงาน |
การวางแผนกำลังคน |
การแสวงหาบุคคล |
งาน (JOB) |
การวิเคราะห์งาน |
การพรรณนางาน |
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การประเมินค่าของงาน |
การกำหนดอัตราค่าจ้าง |
การให้พ้นจากงาน |
การวางแผนกำลังคน |
การแสวงหาบุคคล |
งาน (JOB) |
การวิเคราะห์งาน |
การพรรณนางาน |
การกำหนดคุณสมบัติคนงาน |
การประเมินค่าของงาน |
การกำหนดอัตราค่าจ้าง |
(1).เป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(2).เป็นนโยบายและการปฏิบัติในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ (3).เป็นกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อจัดหาความร่วมมือกับทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ (4).เป็นหน้าที่หนึ่งขององค์การซึ่งทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจากการใช้พนักงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การและเป้าหมายเฉพาะบุคคล การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำงาน (Human resource management at work) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องกระทำเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในองค์การสามารถทำงานได้อย่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนเพื่อความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าขององค์การ ผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ควรจะศึกษาในประเด็นต่างๆดังนี้ 1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์คืออะไร (What is human resource management) 2. ทำไมการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อผู้บริหารทุกคน (Why is human resource management important to all managers)3. ลักษณะขอสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษาของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Line and staff aspects of human resource management)4. อำนาจหน้าที่ของสายงานหลักเทียบกับสายงานที่ปรึกษา (Line versus staff authority)5. หน้าที่ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารตามสายงานหลัก(Line manager’s human resource management responsibilities)6. ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของแผนกทรัพยากรมนุษย์ (Human resource department’s human resource management responsibilities)7. ความร่วมมือของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษา(Cooperative line and staff human resource management) ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดดังนี้ (Dessler. 1997 : 1) วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM) objective]มีดังนี้ 1. เพื่อจัดหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน 2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถของกำลังแรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 4. เพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่ให้นานที่สุด 5. เพื่อสื่อสารนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้กับพนักงานทุกคนได้ทราบการจัดการแบบอิงผลสัมฤทธิ์ |
การให้คุณค่าแก่บุคลากร
|
การให้บุคลากรมีส่วนร่วม
|
การพัฒนาบุคลากร |
การจ่ายค่าตอบแทน |
HR for non-HR Manager – ทักษะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับ Non-HR Manager |
หลักสูตร 2 วันเต็มกับหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ผู้จัดการทุกฝ่ายควรทราบ เนื่องจากบทบาทในการบริหารทรัพยากรมนุษย์มิใช่หน้าที่ของฝ่าย HR เพียงอย่างเดียว หากแต่ในหลักการบริหารยุคใหม่นั้นผู้บริหารในทุกๆ ฝ่ายควรจะมีส่วนร่วมอย่างยิ่งในการบริหารคนและมีความรู้ความเข้าใจในหลักการของ HR เพื่อทำงานร่วมกับฝ่าย HR ได้อย่างมีประสิทธิภาพและพูดคุยกันอย่างเข้าใจในภาษาเดียวกัน อาทิ การต้องเข้าร่วมกับฝ่าย HR ตั้งแต่การคัดสรรบุคลากร จัดทำ Job Description พัฒนาบุคลากร จนถึงการประเมินผลพนักงาน ซึ่งในปัจจุบันแทบทุกองค์กรจะพบว่า ผู้จัดการฝ่ายต่างๆ อาทิ การตลาด การขาย ฝ่ายผลิต การเงินการบัญชี หรือ IT ฯลฯ ล้วนจะต้องทำหน้าที่ดังกล่าวร่วมกับฝ่าย HR เสมอ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องขยายองค์ความรู้ในหลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้แก่ผู้บริหารในทุกๆ ฝ่ายด้วย ซึ่งหลักสูตรนี้จึงได้คัดเฉพาะหลักสำคัญๆ ของ HRM (Human Resource Management) ที่ควรรู้สำหรับผู้บริหารที่เป็น non-HR Manager โดยเฉพาะ |
การจัดการงานบุคคล
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง โยกย้าย โอนเมื่อบรรจุบุคคลเข้าทำงานแล้วระยะหนึ่ง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหรือโยกย้าย หรือโอนไปรับหน้าที่การงานใหม่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมีความหมายรวมไปถึงการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น การลดขั้น การโยกย้าย โอน และการงดจ้างชั่วคราววัตถุประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมีหลายประการ เช่น เพื่อปรับปรุงโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อปรับปรุงคนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อปรับปรุงให้มีการปฏิบัติงานตามนโยบายและข้อบังคับขององค์การ หรือเพื่อลดต้นทุนของบริษัท เป็นต้นการเลื่อนตำแหน่ง (Promotion) เป็นการให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิบัติงานดี มีความสามารถ เป็นการแสดงถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของการทำงานของผู้ที่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทำให้สถานภาพสูงขึ้นและรายได้สูงขึ้นด้วยการโยกย้ายหรือการโอน (transfer) เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งบุคคลคนหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่ง อาจเกิดขึ้นในแผนกงานเดียวกันหรือระหว่างแผนกงานก็ได้ โดยที่ค่าจ้างหน้าที่การงานและความรับผิดชอบอยู่ในระดับเดียวกัน สาเหตุของการโยกย้ายอาจจะเกิดจากความต้องการขององค์การหรือจากความต้องการของตัวพนักงานเองการลดขั้น (demotion) เป็นการลงโทษพนักงานวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงตำแหน่งให้ต่ำลง ซึ่งเป็นการลดสถานภาพและรายได้ลงจากเดิมการงดจ้างชั่วคราว (lay-off) เมื่อบริษัทเกิดภาวะขาดทุนอยู่เป็นเวลานานทำให้จำเป็นต้องยุบแผนกงานบางแผนก หรือจำเป็นต้องงดจ้างคนงานชั่วคราว การงดจ้างชั่วคราวอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นการงดจ้างถาวรก็ได้
ปัญหาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
ความหมายของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
การบริหารทุนมนุษย์ และ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เหมือนกันก็คือ
การบริหารทุนมนุษย์ ก็คือการบริหารบุคคลให้มีความสามารถมีประสิทธิภาพ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการบริหารคนให้มีคุณภาพ เพื่อเป็นประโยชน์แก่องค์กรของแต่ละองค์กร
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การบริหารคน ควบคุมคน ให้มีประสิทธิภาพ ให้มีศักยภาพที่ดี และทำงานได้อย่างประสิทธิผล สามารถเป็นไปตามนโยบายขององค์กรได้
การจัดการบุคลากร(Personnel Management) การจัดการงานบุคคลเชิงระบบ จากกระบวนการกำหนดความต้องการ การสรรหา จนถึงออกจากงาน
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management)
เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทุนมนุษย์(Human Capital Management)
กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กรHR Scorecard กับ Balanced Scorecard ต่างกันอย่างไร?
ทั้ง HR Scorecard (การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล) กับ Balanced Scorecard (การบริหารงานแบบสมดุล) ต่างก็เป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Tools) ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการประเมินและพัฒนาผลงานขององค์กรด้วยกันทั้งคู่ แต่มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน คือ
Balanced Scorecard เป็นการวัด (Measure) ผลงานขององค์กรโดยรวม โดยเน้นการวัดที่มีความสมดุล (Balance) ใน 4 มิติ 1 ใน 4 มิติ คือเรื่องการพัฒนาองค์กร ซึ่งรวมถึงเรื่องการบริหารทุนมนุษย์อยู่ด้วย
HR Scorecard เน้นการวัด (Measure) ผลงานขององค์กรด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยรวม เพื่อให้ทราบว่าองค์กรมีสมรรถนะและขีดความสามารถใน “การบริหารคน” สูงต่ำเพียงใด และมีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างใดบ้าง เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การวัดและประเมินด้านการบริหารทุนมนุษย์ใน Balance Scorecard มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
บทความ โดย ปิยวัฒน์ แก้วกัณฑรัตน์ [email protected] บริษัทไทย เอชอาร์เอ็ม เอาท์ซอสซิ่ง จำกัด ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2548 ปีที่ 29 ฉบับที่ 3723 (2923)
ในช่วงเวลานี้คงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินศัพท์คำว่า outsourcing โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการคอมพิวเตอร์ เช่น ธนาคารขนาดใหญ่ของไทยได้โอนงานด้านคอมพิวเตอร์ทั้งหมดไปให้บริษัทไอบีเอ็มเป็นผู้ดำเนินการแทน ซึ่งหมายถึงการที่ธนาคารไม่มีฝ่ายคอมพิวเตอร์ภายในธนาคาร แต่ใช้บริการจากบริษัทไอบีเอ็มที่เข้ามาให้บริการ เรื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดแก่ธนาคารนั่นเอง
การ outsourcing เป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากในปัจจุบันองค์กรต่างๆ ได้เริ่มมุ่งเน้นและทุ่มเททรัพยากรที่ภารกิจหลักของตนเอง ดังนั้นงานต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องบริหารเองจึงถูกส่งมอบให้หน่วยงานภายนอกเข้ามาทำแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านสนับ สนุนต่างๆ ภายในองค์กร เช่น การทำความสะอาด การขนส่ง การจัดทำบัญชี การดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ในส่วนของงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคล สิ่งที่พวกเราคุ้นเคยกันดีในเรื่องการ outsourcing คือการรับจัดทำ payroll, การรับสรรหาผู้สมัคร (recruitment agency) ซึ่งหลายองค์กรก็ได้ใช้บริการอยู่เป็นประจำ แต่ถ้าเราได้ติดตามแนวโน้มดังกล่าวมาเรื่อยๆ เราจะพบว่าในต่างประเทศได้มีการ
ดังนั้นคำถามที่ท้าทายต่ออนาคตของนักวิชาชีพ HR คือ วันนี้ท่านเตรียมตัวพร้อมที่จะรับผิดชอบ ในบทบาทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือยัง
.....การบริหารทรัพยากรมนุษย์.....
การประเมินผลพนักงาน (Employee Appraisal)
การประเมินผลพนักงาน คือระบบประเมินผลบุคคล อันเกี่ยวเนื่องมาจากผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ อย่างปราศจากอคติใดๆ ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตัดสินใจ วินิจฉัย ปรับปรุง ส่งเสริม และพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจ และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเห็นช่องทางความก้าวหน้าของเขา จะส่งผลให้องค์การเจริญเติบโตความสำเร็จของการประเมินผลพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินผลพนักงานมีดังนี้
1. ปรับปรุงการปฏิบัติงาน การประเมินผลจะช่วยสร้างและรักษาไว้ซึ่งระดับของการทำงานให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจจากการปฏิบัติงานของพนักงานนั้นๆ
2. ช่วยพัฒนาตัวพนักงาน ทำให้ผู้ประเมินทราบว่า พนักงานผู้นั้นต้องการอะไร มีโอกาสที่จะก้าวหน้าและพัฒนาตัวเองอย่างไร
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. เป็นช่องทางขยับขยายเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน ช่วยในการพิจารณา เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย เลิกจ้าง และปลดออกจากงาน
5. เป็นมาตรการนำมาใช้พิจารณาค่าจ้างเงินเดือน
6. ช่วยฝ่ายบุคคลด้านว่าจ้างพนักงาน
การฝึกอบรม (Training)
การปฐมนิเทศ (Orientation)
ปฐมนิเทศ คือ การแนะนำให้พนักงานได้รู้จักกฎระเบียบการปฏิบัติตนตลอดจนหัวหน้างานในองค์การที่พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าปฏิบัติ
ความมุ่งหมายการจัดปฐมนิเทศ
1. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักประวัติและความเป็นมาขององค์การ
2. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆในองค์การ
3. เพื่อให้พนักงานใหม่ได้รู้จักการแบ่งสายงานในองค์การ
4. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักกฎ ระเบียบต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติขณะที่อยู่ในองค์การ
5. เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ คลายความกังวล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม
1. ผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการฝึกอบรม
1.1 ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน
1.2 พนักงานสามารถรู้ถึงมาตรฐานการทำงานและนโยบายต่างๆของหน่วยงาน
1.3 ทำให้พนักงานมีอนาคตก้าวหน้าต่อไปให้ตำแหน่งและหน้าที่ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังขวัญในการทำงาน
2. ผลประโยชน์ต่อผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้างาน
2.1 ประหยัดเวลาในการที่จะใช้สอนหรือแนะนำงานต่างๆ ให้กับพนักงาน
2.2 ประหยัดเวลาที่จะใช้ควบคุมดูแล สามารถเอาเวลาไปใช้ในการวางแผนงานและบริหารด้านอื่นได้
2.3 ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลประโยชน์ต่อองค์การ
3.1 ช่วยทำให้ผลผลิต มีคุณภาพได้มาตรฐาน
3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักร
3.3 ช่วยลดอุบัติ การสิ้นเปลืองและการเสียหายต่างๆ
ค่าตอบแทน(Compensation)
"ค่าจ้าง"(Wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทน โดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงานของคนงาน เพราะค่าจ้างส่วนใหญ่กำหนดไว้สำหรับจ่ายคนงานเป็นรายชั่วโมง ที่เรียกกันว่า Nonsupervisor or Blue-collar
"เงินเดือน"(Salary) หมายถึงจำนวนเงินที่บุคคลได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานถือเป็นเกณฑ์ การจ่ายเหมาเป็นรายเดือนและถือเป็นรายได้ประจำ เราเรียกกันว่า White-collar or Professional
ส่วนประกอบของค่าจ้างตามแนวความคิดใหม่
การบริหารค่าจ้างสมัยใหม่ก็จะเขียนได้เป็นสมการ ดังต่อไปนี้
การบริหารค่าจ้าง = เงินเดือน + ผลประโยชน์และบริการ + ค่าตอบแทนทางสังคม
ส่วนประกอบของการบริการค่าจ้างสมัยใหม่ ประกอบไปด้วยค่าจ้างดังต่อไปนี้
1. ค่าจ้างที่เป็นรูปเงิน(Money pay) นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน
2. ค่าจ้างที่เป็นรูปความสำคัญของงาน(Power pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ สินจ้างรางวัลที่จ่ายตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่
3. ค่าจ้างที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น(Authority pay)
4. ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง(Status pay)
5. ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี(Meta - goals pay)
5.1 หลักความพอเพียง(Adequacy) คือ การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆไป
5.2 หลักความยุติธรรม(Equity)
5.3 หลักดุลยภาพ(Balance) หมายถึงความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม
5.4 หลักควบคุม(Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน
5.5 หลักความมั่นคง(Security) ความมั่นคงของพนักงานทั่วไป หมายถึง การจัดให้มีการประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน การว่างงาน ส่วนความมั่นคงของพนักงานระดับสูงและฝ่ายจัดการก็อยู่ที่ การทีหลักทรัพย์ที่ดินและบ้าน
5.6 หลักล่อใจในการทำงาน(Incentives)
5.7 หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย(Pay - and - Effort Bargain)
5.8 หลักการยอมรับ(Acceptability)
สุขภาพ และความปลอดภัย(Health and Safety)
ความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัย หมายถึง การหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บไข้ก็ตาม ซึ่งอาจจะจัดเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและปราศจากอันตรายต่างๆ
การส่งเสริมความปลอดภัย
การส่งเสริมความปลอดภัย หมายถึง การดำเนินงานให้คนทำงานเกิดความปลอดภัย โดยการ อบรมให้มีความรู้ สร้างความสนใจให้เกิดขึ้น
1. ผู้บริหาร ต้องตระหนักและเห็นชอบในการส่งเสริมความปลอดภัยด้วยความเต็มใจ
2. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
3. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
4. สร้างความสนใจในงานด้านความปลอดภัย เช่น การจัดทำโปสเตอร์
Human Capital Management
ผมนึกขึ้นได้ว่า การบริหารทุนมนุษย์ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่นยแนวคิดไปจากเดิมพอสมควร จึงนำบทสัมภาษณ์ ที่ นิตยสาร "นักบริหาร" ม.กรุงเทพ ได้สัมภาษณ์ผมไว้มาเผยแพร่อีกครั้ง
อาจารย์ดนัย เทียนพุฒ
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี เอ็น ที คอนซัลแตนท์ จำกัด ให้ทัศนะในเรื่อง Human Capital Management ไว้ดังต่อไปนี้
ในปัจจุบันนี้หลายองค์กรต่างหันมาให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้องค์กรมีความเจริญก้าวหน้า ดังนั้น องค์กรต่างๆ จึงสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของตนมีศักยภาพเพิ่มขึ้น คอลัมน์นานาทัศนะฉบับนี้ได้สัมภาษณ์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล การฝึกอบรม การพัฒนาโมเดลและความสามารถ Braodbanding ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจด้านการจัดทำวิสัยทัศน์ กลยุทธ ด้วย BSC & KPIs หรือ Strategy Maps ให้กับองค์กรต่างๆ มากมาย รวมถึงโครงการใหม่ในการพัฒนาตัวแบบเชิงยุทธศาสตร์ของทุนทางปัญญา บุคคลท่านนั้น คือ อาจารย์ดนัย เทียนพุฒ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี เอ็น ที คอนซัลแตนท์ จำกัด
อาจารย์ดนัย กล่าวว่า “เรื่องของทุนมนุษย์นั้นสามารถมองได้ในหลายมิติ"
มิติที่หนึ่ง ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource: HR) ก็จะมองทุนมนุษย์ เป็นเรื่องของการพัฒนาคน ซึ่งต้องมีการลงทุนในเรื่องของคน
มิติที่สอง ทางด้านธุรกิจ ก็จะมองว่า สิ่งที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ คือ สิ่งที่อยู่ในตัวคน นั่นก็คือ ความรู้ (Knowledge) หรือเรียกว่า ทุนทางปัญญา (Intellectual Capital : IC) ซึ่งสามารถทำให้เกิดการสร้างความรู้ สร้างการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ให้กับธุรกิจได้
มิติที่สาม เป็นเรื่องระดับโลก ซึ่งองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development: OECD) ได้ทำการศึกษาและวิจัย
สรุปได้ว่ามิติที่มองในเรื่องของทุนมนุษย์ จะมองใน 3 มิติ คือ Customer Capital หมายความว่า ธุรกิจนั้นจะแข่งขันกันในเชิงของการตลาดหรือเชิงของลูกค้า และมิติต่อมามองในเชิงทุนทางสังคม Social Capital หมายความว่า สังคม ประชากร เศรษฐกิจ การเมือง ความยากจน จะเป็นอย่างไรในสังคมนั้นๆ และ Human Capital คือ เรื่องคนของประเทศนั้นๆ ซึ่งตรงนี้ก็อธิบายด้วยทฤษฎี HR ได้ แต่หากจะมองในกรอบของทุนทางปัญญา (IC)
ผมคิดว่าน่าจะมีอีกมิติหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา ซึ่งมีความสำคัญมากและน่าสนใจ นั่นก็คือ Innovation Capital ทุนทางนวัตกรรม เพราะนวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการพัฒนา ได้เปรียบทางการแข่งขันกับอีกหลายประเทศ”
อาจารย์ดนัย กล่าวต่อไปว่า “ถ้าหากภาคธุรกิจหรือภาคอุตสาหกรรม ต้องการจะพัฒนาคนของตนเองนั้น เทคนิคเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคนสามารถพิจารณาได้จากโมเดลต่างๆ ดังนี้
โมเดล World Class Scorecard หมายความว่า บริษัทในโลกนี้เขามีอะไรเป็นตัววัดความสำเร็จ มี Benchmark อะไรที่บอกความสำเร็จขององค์กร แล้วนำธุรกิจของไทยไปเทียบกับตรงนั้น และพิจารณาว่าอะไรที่เป็นช่องว่าง เราจะได้พัฒนา ต่อมาพิจารณาจากโมเดล Business Result Analysis คือ ดูผลลัพธ์ของธุรกิจที่คาดหวัง ซึ่งอาจจะวัดด้วยดัชนีชี้วัดผลสำเร็จธุรกิจ (Key Performance Indicators: KPIs ) แล้วพิจารณากับสิ่งที่องค์กรมีอยู่ว่ามีช่องว่างอะไร ขาดส่วนไหนก็พัฒนาในส่วนนั้น ส่วนโมเดลที่ 3 พิจารณาความจำเป็นในการฝึกอบรม (Training Needs) คือ หาช่องว่างว่าพนักงานขาดอะไร และต้องพัฒนาอะไร และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะส่งคนไปฝึกอบรม
ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมองให้ไกลกว่านั้นอีก คือ องค์กรอาจจะต้องกำหนดการพัฒนาโมเดลความสามารถ (Competence Model) ขึ้นมา แล้วประเมินคนในองค์กรดูว่ามีหรือไม่มี แทนที่จะหาความต้องการแบบเดิม แจกแบบสอบถาม หรือส่งคนอบรมซึ่งล้าสมัยแล้ว โดยวิธีการนี้ต้องกำหนดโมเดลขึ้นมาแล้วทำเป็นโรดแมป (Road Map) หรือแผนประจำปี จะกี่ปีก็แล้วแต่ว่าจะพัฒนา Generic Competency Model หรือ Functional Competency Model หา Competence ของแต่ละคน แล้วก็พัฒนาอย่างนั้น ผมคิดว่าวิธีการที่องค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะที่ฝ่ายฝึกอบรมหรือฝ่ายทรัพยากรบุคคลใช้อยู่ ได้ผลแต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเคยเป็นหัวหน้าศูนย์ฝึกอบรมมาก่อน ก็เคยทำแบบตำราเหมือนกัน คือ Training Needs Survey แจกแบบสอบถาม แล้วนำข้อมูลมาสรุป เพื่อวางแผนการดำเนินงานประจำปีหน้า ก็พบว่า เมื่อทำไปหลักสูตรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น คนต้องการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น ในฐานะคนทำงานก็ดีใจ แต่สภาพในปัจจุบันผมว่าไม่ใช่ คนที่ทำทางด้านพัฒนาคนควรมองเรื่องของ Innovative Changing คือ คนต้องมีความคิดริเริ่ม ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ใช่จะไปหาว่าคนขาดอะไรเพียงอย่างเดียว แล้วจะอบรมในสิ่งที่ขาด
“ในช่วง 10-20 ปี ที่ผ่านมาที่ผมทำงานทางด้านการพัฒนาคน การฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาคนในองค์กรนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ทำให้องค์กรสามารถแข่งขันได้ดี เนื่องจากเมื่อฝึกอบรมเสร็จแล้วไม่มีโปรแกรมที่จะมาพัฒนาคนของตนเองอย่างต่อเนื่อง ผมได้เป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยการอบรมครั้งแรก ผมเปิดแนวคิดของผู้เข้าอบรมเลยว่า เรื่องยุทธศาสตร์เป็นอย่างไร เรื่องการประเมินองค์กรแบบสมดุล (Balanced Scorecard: BSC) เป็นอย่างไร เรื่องดัชนีวัดผลสำเร็จธุรกิจ (Key Performance Indicators: KPIs) เป็นอย่างไร หลังจากนั้นแล้วก็มาอบรมให้อีกรอบหนึ่ง ให้กับทีมที่เป็น Key Person ของ สปสช. ที่ทำเรื่องยุทธศาสตร์องค์กรมาทบทวนเรื่องวิสัยทัศน์ในการทำงาน ทบทวนแผนที่ยุทธศาสตร์และเครื่องมือวัดทั้งหมด และปรับใหม่หมด หลังจากนั้นก็มีรอบที่ 3 ไปทำเรื่องของ KPI Scoring คือ หลังจากมี BSC และ KPIs แล้ว การ Scoring หรือการแปลคะแนนกำหนดวิธีการให้รางวัลคน เป็นอย่างไร ซึ่งในองค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะไปถึงตรงจุดนี้ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าจะอบรมกัน 1-2 ชั่วโมง หรือ 1-3 วัน แล้วจะสามารถพัฒนาคนให้เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนเก่งได้ในทันที ผมคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนองค์กร หรือทำให้องค์กรสามารถแข่งขันได้”
ในแง่การลงทุนเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ อาจารย์ดนัย กล่าวว่า “การจัดการพัฒนาคนจะคุ้มหรือไม่กับการที่องค์กรลงทุนไปนั้น ในมุมของคนที่ทำเรื่องการพัฒนาคน การที่จะบอกว่าคุ้มหรือไม่นั้นต้องมองในระยะยาวจึงจะเห็นผลที่เป็นรูปธรรม ซึ่งผมเองมองว่าเรื่องของการลงทุนในสิ่งที่เป็นปัญญาของชาติ ลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของคนอย่างไรเสียก็คุ้ม ถึงจะเห็นผลในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม เพราะอย่างน้อยถ้าทำให้เขามีความรู้มีทักษะเพิ่มขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานจนเกิดผลสำเร็จ ผมคิดว่าทำอะไรก็คุ้มหมด เพียงแต่ว่าจะคุ้ม 1 เปอร์เซ็นต์ หรือคุ้ม 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับผู้ลงทุนหรือเจ้าของกิจการที่ต้องการเห็นผลทันที”
อาจารย์ดนัย กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบทำให้การพัฒนาทุนมนุษย์ไม่ประสบผลสำเร็จว่า“
สิ่งแรกผมมองที่ธุรกิจก่อน เนื่องจากธุรกิจมีหลายระดับ หากจับธุรกิจขนาดเล็ก ก็ไม่ได้เน้นเรื่องการพัฒนาคนเท่าไหร่ มักจะเน้นในเรื่องของการขาย ซึ่งหากมองลักษณะนี้ ผมก็สามารถจ้างคนที่เก่งด้านขายเข้ามาได้เลยโดยไม่ต้องพัฒนาคน พอมาเป็นธุรกิจขนาดกลางที่ขนาดขององค์กร ตลอดจนโครงสร้างและเนื้องานมีความซับซ้อนขึ้น องค์กรจึงต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถในการทำงาน ต้องมีการพัฒนาคน องค์กรจึงจะไปรอด ตรงนี้จึงเป็นความยากของผู้บริหารเนื่องจากต้องขออนุมัติงบประมาณจากเจ้าของบริษัทเพื่อให้ได้งบมาพัฒนาคน เพราะเจ้าของบริษัทก็ยังคำนึงถึงเรื่องผลกำไรทางธุรกิจเป็นพื้นฐาน คือ ขายและได้กำไร ซึ่งจะมองว่าจะเสียงบไปลงทุนเรื่องพัฒนาคนทำไม สู้ไปจ้างคนที่ขายได้และทำกำไรมาให้ไม่ดีกว่าหรือ แต่องค์กรที่อยู่ในระดับกลางถ้าไม่พัฒนาคนก็ไม่ได้ เพราะถ้าไม่พัฒนาคนก็ไม่สามารถไปแข่งขันกับคู่แข่งได้ และต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อคนขององค์กรจะได้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง จุดนี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาคนไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาองค์กรระดับใหญ่ แต่ยังไม่เป็นลักษณะข้ามชาติ เขาเข้าใจมิติในเรื่องการพัฒนาคน คือ เขายอมทุ่มงบเพื่อพัฒนาคน ยิ่งถ้าเป็นบริษัทข้ามชาติ ผมเชื่อว่าจะเหมือนองค์กรใหญ่ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาคน มีนโยบายการพัฒนาคนที่ชัดเจน สิ่งที่เป็นปัญหาต่อมา ก็คือ คนที่ทำเรื่องการพัฒนาคนในทั้ง 4 สเกล โดยเฉพาะองค์กรขนาดเล็ก คนที่ทำเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งหลายอาจจะเข้าใจระบบธุรกิจไม่ดีพอ จึงไม่สามารถใช้การพัฒนาคนมาเปลี่ยนองค์กรได้
ฉะนั้น คนที่ทำเรื่องการพัฒนาคน อาจจะต้องมีความสามารถในเรื่องของการเป็นนักกลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนองค์กรและเปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กรได้ และสิ่งที่ยากที่สุดในการพัฒนาคน คือ เราเข้าใจผิดคิดว่าการพัฒนาคน คือ การฝึกอบรมที่มีโปรแกรมอะไรก็ใส่เข้าไปทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เปลี่ยนวัฒนธรรมเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ ฉะนั้น ผมจึงมองว่าเราไม่ต้องใช้เครื่องมือหรือโปรแกรมอะไรมากมายเข้ามาใช้ในการฝึกอบรม แต่หาเครื่องมือที่เหมาะสมและดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผล”
ในตอนท้าย อาจารย์ดนัย ได้ฝากข้อคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทุนมนุษย์ให้ประสบผลสำเร็จว่า” การพัฒนาทุนมนุษย์ จริงๆ แล้ว
- ปัจจัยแรกอยู่ที่ความตั้งใจ หมายความว่า องค์กรนั้นมีความตั้งใจที่จะทำจริงๆ ซึ่งเป็นปัจจัยหลัก ส่วนเรื่องข้อจำกัดด้านงบประมาณ ด้านเครื่องมือ ผู้ดำเนินการ ผมคิดว่าสามารถคุยกันได้หรือหามาได้
-ปัจจัยที่ 2 คือ คนที่ทำเรื่องพัฒนาคน ต้องคิดว่าเรากำลังจะก้าวไปเป็นบริษัทชั้นนำ เราต้องการสร้างคนเก่ง เราจะทำอย่างไร ผมว่าต้องคิดและให้ความสำคัญในมิตินี้ ถ้าเราจะปั้นคนในองค์กรให้เป็นคนเก่ง
-ปัจจัยที่ 3 คือ วิธีวัดความสำเร็จ แบบประเมินที่ทำกันอยู่นั้นเป็นเพียงพื้นฐาน ผมคิดว่าอาจจะต้องมีระบบอะไรก็แล้วแต่ที่ไปวัดความสำเร็จที่ดีกว่านี้ เช่น มีดัชนีหรือเครื่องบ่งชี้วัดความสำเร็จ และข้อคิดสุดท้าย ก็คือ เราไม่ได้เน้นว่าจะต้องมีโปรแกรมต่างๆ มากมายเข้ามาใช้ในการอบรม แต่เราจะเน้นโปรแกรมที่ไม่มาก แต่มี Impact ต่อประสิทธิภาพที่สามารถทำให้คนมีความคิดริเริ่ม และทำให้คนเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน เพื่อพัฒนาองค์กรให้สามารถแข่งขันได้ดีและดีกว่าที่เป็นอยู่”
ดร.ดนัย เทียนพุฒ
Dr.Danai Thieanphut
Managing Director
DNT Consultants
เพราะในยุคปัจจุบันไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องค้ำประกันว่าองค์การที่มีประวัติศาสตร์และมีอายุอยู่มายืนยาวในอดีตจะสามารถแข่งขันและประสบความสำเร็จได้โดยไม่มีวันล่มสลายหากองค์การนั้นยังมีเพียงแค่ความภูมิใจในประวัติศาสตร์ในอดีตเพียงอย่างเดียวโดยไม่คิดที่จะปรับเปลี่ยนคนในองค์การให้มุ่งไปสู่ การสร้างคุณค่าเพิ่ม (Value Added) ของบุคลากรในองค์การเพื่อให้มีความพร้อมในการแข่งขัน !! ดังนั้นในแนวคิดของการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคใหม่จะมอง “คน” เป็น “ทุน” หรือเรียกกันว่า “Human Capital” และจะหาวิธีการในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value added) จากทุนมนุษย์ในองค์การโดยการบริหารแบบมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตในทุกหน่วยงานผ่านทรัพยากรบุคคล โดยกิจกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคลจะต้องสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ขององค์การ และมีผู้บริหารทุกระดับพร้อมทั้งฝ่ายทรัพยากรบุคคลร่วมกันรับผิดชอบในการบริหารงานดังกล่าว
Jeffrey Berk (2004, Talent Management : Valuing Human Capital) กล่าวว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ เปรียบเช่นเดียวกับการลงทุนในทรัพยากรอื่น เช่น การ upgrade คอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่าย 500 บาท ก็หวังว่าองค์กรจะได้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 500 บาทที่จ่ายไป หากองค์กรต้องลงทุนค่าฝึกอบรมแก่พนักงาน ก็หวังว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเป็นค่าฝึกอบรมนั้น บางองค์กรจึงวัดประสิทธิภาพจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าว ด้วยดัชนี ROI (Return On Investment) องค์กรจ่ายเงินไปเท่าไร เมื่อวัดผลการดำเนินงาน (Performance) ต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าเงินที่จ่ายไป ผู้เขียนขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าองค์กรต้องจ่ายค่าฝึกอบรมให้พนักงานขาย ไปอบรมเรื่องการขายและการตลาดไปเท่าไร อย่างน้อยต้องมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินที่จ่ายไป เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทย เรื่อง Talent Management ถือเป็นเครื่องมือทางการบริหารอย่างหนึ่ง ที่เริ่มศึกษาและพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แทนเรื่อง “การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning)” ที่บางองค์กรเริ่มนำระบบการบริหารนี้ไปใช้อย่างจริงจัง เพราะเกรงว่าหากผู้นำองค์กร หรือผู้บริหารขององค์กรต้องจากองค์กรไปด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งถูกคู่แข่งซื้อตัวไป จะต้องมีผู้อื่นที่สามารถบริหารงานแทนได้ทันที และมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน
“การทำองค์กรให้สมาร์ทอันหนึ่งคือ Succession Planning หมายความว่า ตรงจุดต่างๆ หากเกิดมีคนออกไป จะมีคนใหม่เข้าไปทำแทน เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวสำคัญๆ ที่วางตัวไว้ในองค์กร พอไปถามว่าใครจะเป็นตัวแทนให้กับคนนี้ ส่วนใหญ่จะไม่มีคำตอบกลับมา เลยทำให้ Succession Planning เกิดขึ้นด้วยความยากลำบาก แค่คนที่เป็นหัวเพียงคนเดียวก็หายากเต็มทีแล้ว มีตัวคน แต่ฝีมือคนละรุ่นกัน พอถามว่าใครเป็นตัวแทน ให้พูดชื่อพูดได้ แต่ถามว่าใครกล้าบ้าง โดยทั่วไปไม่แน่ใจว่าคนที่เป็นเบอร์ 2 ตรงนั้นทำได้ คนมีเยอะ แต่คนที่เข้าสเป็กหาไม่ได้ แต่ว่าองค์กรที่แข็งแกร่งต้องมีตัวตายตัวแทน เพราะถ้าตัวเก่งๆ ไป องค์กรจะสะดุดทุกองค์กร”
4 กลยุทธ์คนกับองค์กร
จรรจรีย์ บุรณเวช อดีตผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคล ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ลักใหญ่ในการทำงาน HR ให้ประสบสำเร็จและตรงเป้าหมายองค์กร HR ต้องรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า องค์กรทุกแห่งไม่ว่าเล็ก กลาง หรือใหญ่ หรือจัดอยู่ในธุรกิจประเภทใดก็ตาม การทำงานระหว่างคนในองค์กรและคนกับองค์กรต้องสอดประสานกัน ภายใต้กุญแจสอดประสาน 4 ตัวคือ
1. พนักงานทุกคนเข้าใจยุทธศาสตร์และเป้าหมายองค์กร ตลอดจนความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้า
2. ในโครงสร้างองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ HR จะต้องปรับโครงสร้างให้เอื้อต่อการทำงานของคนด้วย ซึ่งต้องเข้ากับสภาวการณ์ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง
3. กระบวนการทำงาน เมื่อเข้าสู่ยุคนวัตกรรมแล้ว การทำงานต้องเร็ว เพราะคนบริโภคสินค้าและบริการเร็ว ตลาดถูกซอยย่อยเป็นส่วนต่างๆ ตามความชอบและรสนิยม Nich Market จะมากขึ้น การออกแบบการทำงานก็ต้องสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและ
4. ระบบ HR ในชีวิตจริงขององค์กร ต้องเริ่มจากการหาคนเก่ง และดี แต่นอกจากหามาได้แล้ว ระบบการตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเงินหรือรางวัลทั้งตัวบุคคลหรือทีมต้องอยู่ในสายตาของ HR ทั้งสิ้น
คำว่าธุรกิจ กับความต้องการของลูกค้าคือคำเดียวกัน คนที่ทำธุรกิจต้องเฉียบเนี้ยบแหลมคม ต้องอ่านให้ออกว่าต่อไปทิศทางขององค์กรจะเป็นอย่างไร เนื้อแท้ของธุรกิจคืออะไร และจะทำให้ลูกค้าพอใจได้อย่างไร เมื่อรู้ต้นเรื่องแล้ว HR ที่เข้าระบบธุรกิจจึงต้องถอยกลับเพื่อตั้งคำถามเหล่านี้กับพนักงานว่า “รู้เรื่องพวกนี้มั้ย” ถ้าไม่
ภารกิจของ HR นับจากนี้คือ 1. ทำให้พนักงานรู้ให้ได้ว่าจุดเด่นขององค์กรคืออะไร และสะท้อนผ่านพฤติกรรมคนในองค์กรต่อสาธารณชน 2. ให้พนักงานเข้าในสถานะของบริษัทในตลาด สร้างบรรยากาศการแข่งขันให้สนุกสนาน โดยทำงานแบบให้พนักงานมีส่วนร่วม คนในสายงานที่ต่างกันต้องเข้าใจธุรกิจและรู้ว่าจะเชื่อมต่องานเหล่านั้นได้อย่างไรM
"งาน HR ทำให้องค์กรรู้ระดับทักษะของคนและองค์กรว่าสามารถพัฒนาในจุดใดที่ด้อย และจะทำได้อย่างไร ต้องวัดค่าและประเมินผลอย่างไร และเมื่อพนักงานทุกคนเข้าใจในสิ่งเดียวกันว่าเราเป็นอะไร องค์กรและคนก็เดินต่อไปด้วยกันได้"
สิ่งสุดท้ายที่คน HR ต้องมีก็คือความเพียรและความมุ่งมั่น อาจจะยากแต่ก็ต้องมีตัวช่วย ซึ่งผู้นำจะต้องเป็นกำลังรบหลักเพื่อพัฒนาบุคคล มิใช่เป็นผู้นำเพียงถ่ายเดียว ต้องสนับสนุนการทำงาน สร้างแรงบันดาลใจ มีความจริงใจ จะส่งให้การทำงานประสานกันได้อย่างดี
"ผู้บริหารต้องเตรียมหาตัวตายตัวแทนในทุกสายงาน เพื่อหาทายาททำงาน มิใช่ไม่มีก็ซื้อตัวจากองค์กรอื่น แต่ก็อย่าลืมว่าเมื่อซื้อมาได้ ย่อมถูกซื้อได้เช่นกัน การสร้างทายาทธุรกิจจะทำให้พนักงานมีความภักดีต่อองค์กรมากขึ้น"
ดูเหมือนจะเป็นแฟชั่นไปเสียแล้วที่องค์กรธุรกิจจะต้องพูดถึง "ทุนมนุษย์" ว่าเป็นสินทรัพย์สำคัญที่สุดในปัจจุบัน แต่สิ่งที่ต้องขบคิดกันให้ตกก็คือ จะหาวิธีชั่งตวงวัดคุณค่าต่างๆ ที่จัดได้ว่าเป็นทุนมนุษย์ได้อย่างไร นี่คือคำถามหลักที่ แจ๊ค ฟิตซ์-เอนซ์ ผู้เขียน The ROI of Human Capital ตั้งไว้ และเสริมด้วยว่า ถ้าเราไม่รู้ว่าจะวัดสินทรัพย์อย่างไรแล้ว เราก็ไม่อาจจะบริหารจัดการใดๆ ได้เลย
ฟิตซ์-เอนซ์ เสนอระบบการวัดคุณค่าของทุนมนุษย์ โดยเป็นระบบการวัดในเชิงปริมาณ และกำหนดขึ้นจากการวัดในสามด้านด้วยกันคือ การบริหารทุนมนุษย์ การบริหารองค์กร และการบริหารเชิงหน้าที่
การบริหารองค์กร เป็นการเริ่มต้นจากทฤษฎีองค์กรที่ว่าด้วยการไหลเวียนภายในองค์กรโดยมีจุดเริ่มต้นที่เป้าหมายขององค์กร ผู้เขียนมุ่งเน้นที่มาตรวัด ที่เป็นเชิงปริมาณแล้วสร้างเป็นโมเดลการวัด และกำหนดสิ่งบ่งชี้การเปลี่ยนแปลง ห้าประการคือ ต้นทุน, เวลา, ยอดขาย, ข้อผิดพลาด และปฏิกิริยาของพนักงาน
การบริหารเชิงหน้าที่ ผู้เขียนชี้ว่ากระบวนการทางธุรกิจเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ขององค์กร เขาจึงเสนอมาตรวัดสำหรับ หน่วยทางด้านหน้าที่ คุณภาพและการผลิตที่ควบคู่ไปกับดัชนีการเปลี่ยนแปลง 5 ประการข้างต้น แล้วจึงเชื่อมโยงต่อขึ้นไปทั่วทั้งองค์กรและเชื่อมกลับลงมาที่ทุนมนุษย์
การบริหารทุนมนุษย์ ผู้เขียนอธิบายว่ามีกิจกรรมพื้นฐาน 5 อย่างในการบริหารจัดการทุนมนุษย์ได้แก่ การวางแผนด้านบุคลากร การสรรหาบุคลากร การรักษาบุคลากร การพัฒนาบุคลากร และการรักษาบุคลากรที่เป็นสินทรัพย์ขององค์กร จากนั้นจึงกำหนดมาตรวัดกิจกรรมเหล่านี้คู่กับดัชนีการเปลี่ยนแปลงทั้งห้าประการ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นวิธีที่จะทำให้สามารถประเมินและระบุถึงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพ, บริการและผลิตภาพขององค์กรได้
หลังจากนั้นผู้เขียนได้เสนอวิธีการประสมประสานหลักการทั้งสามหลักเข้าด้วยกัน และเสริมท้ายด้วยบทที่ว่าด้วยทิศทางแนวโน้มในอนาคต และประเมินศักยภาพในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้าง การผนวกกิจการ และการซื้อกิจการ เป็นต้น
ถึงแม้จะเป็นงานที่สลับซับซ้อนอยู่บ้าง แต่มีค่าควรแก่การอ่าน และเป็น คู่มือดีเยี่ยมสำหรับมือโปรด้านทรัพยากรมนุษย์และผู้บริหารที่ตระหนักถึง ความจำเป็นที่จะต้องมีระบบการวัดคุณค่าของพนักงานในองค์กรที่วัดได้ในเชิงปริมาณ
HR - SCORECARD กับบทบาทใหม่ในการบริหารคน
เมื่อกระแสอันเชี่ยวกรากของเครื่องมือการจัดการยุคใหม่ที่เรียกกันว่า Balanced Scorecard เริ่มโถมกระหน่ำเข้ามาในวงการธุรกิจในบ้านเรา ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าสัญญาณการเปิดทางไฟเขียวให้กับเครื่องมือการจัดการตัวเล็กตัวน้อยเข้ามาได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น ถ้าเปรียบ Balanced Scorecard เป็นรถยนต์แล้ว HR-Scorecard ก็คงหนีไม่พ้นอะไหล่รถยนต์ หรือน้ำมันหล่อลื่นที่ต้องใช้กับรถยนต์รุ่นนั้นๆนั่นเอง เราในฐานะผู้บริโภคซึ่งได้ลองลิ้มชิมรสของสินค้าหลักไปแล้ว ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องแสวงหาสินค้าพ่วงเข้ามาบริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นผู้บริโภคที่รสนิยมสูงอย่างแท้จริง......
นักบริโภค(ทฤษฎี)นิยมอย่างเราๆก็คงจะต้องติดตามเครื่องมือตัวนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมิฉะนั้นอาจจะตกขบวนรถไฟฟ้าได้ ถึงแม้จะเป็นของนอกที่มีประสิทธิภาพสูงก็ตาม แต่มันคงไม่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดกับบริบทของการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์ในบ้านเรา เพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ถ้าได้ลองศึกษาไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์สำหรับการกำหนดเส้นทางเดินที่เราต้องการจะไปถึงได้นะครับ การเดินตามคนอื่นก็ดีตรงที่ได้เรียนรู้ว่าเส้นทางข้างหน้านั้นมีหลุมมีบ่อมากน้อยเพียงใด อยู่ตรงไหนบ้าง ถ้าเขาเคยเดินตกหลุมนั้นมาแล้ว เราในฐานะผู้เดินตามหลังจะได้ไม่ตกหลุมเดียวกันกับเขาอีก แต่…อาจจะตกหลุมใหม่ก็ได้นะครับ ดังนั้น ก่อนนำมาใช้ควรศึกษาให้ละเอียด อย่าประมาท
HR-Scorecard หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบโครงสร้างตัวชี้วัดผลงานในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีผลกระทบต่อคุณค่าขององค์กร และโครงสร้างนี้จะเป็นตัวนำไปสู่ตัวชี้วัดย่อยๆ ในการบริหารงานด้าน HR การจัดทำ HR-Scorecard จะช่วยให้คนทำงานด้าน HR สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่างานในแต่ละงานที่จะต้องทำนั้นทำไปทำไม เกิดผลกระทบอะไรต่อเป้าหมายขององค์กร
สำหรับการออกแบบ HR-Scorecard จะต้องคำนึงถึง 3 ส่วนที่สำคัญดังนี้
ระบบงานภายในของ HR ระบบย่อยๆ ในงาน HR จะต้องมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นระบบการสรรหา ระบบการพัฒนาฝึกอบรม ระบบค่าจ้างค่าตอบแทน ฯลฯ การทำให้ระบบงานภายในหน่วยงาน HR มีประสิทธิภาพนั้น สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจัดทำมาตรฐานระบบงาน การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ หรือการใช้บริการหน่วยงานภายนอก (Out-sources)
การปรับแต่งกลยุทธ์ของ HR ระบบงานของ HR เปรียบเสมือนฐานรากของอาคารที่จะต้องรองรับโครงสร้างส่วนอื่นๆได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น การออกแบบฐานรากที่ดีจะต้องทำความเข้าใจกับส่วนอื่นๆของอาคารด้วย เช่น จำนวนชั้น ลักษณะของอาคาร ฯลฯ อย่างถ่องแท้เสียก่อน การที่จะทำให้ระบบงานย่อยของ HR มีคุณค่าต่อองค์กรก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องเชื่อมโยงระบบต่างๆ ไปสู่เป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจน ดังนั้น การวางแผนกลยุทธ์ของ HR จะต้องสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแผนกลยุทธ์ขององค์กร
ประสิทธิภาพของงานด้าน HR ที่มีต่อผลงานขององค์กร กิจกรรมทางด้าน HR จะต้องสามารถวัดได้ และสามารถแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ชัดเจน ตัวชี้วัดประสิทธิภาพของ HR สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้านคือ
ตัวชี้วัดด้านต้นทุน (Cost) ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าการดำเนินงานด้าน HR อยู่บนพื้นฐานของจิตสำนึกในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้จ่าย
ตัวชี้วัดด้านการสร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กร (Corporate Value Added) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดผลกระทบของกิจกรรมทางด้าน HR ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรโดยผ่านกระบวนการในด้านต่างๆ เช่น การสรรหาคนที่เก่งๆทางด้านการตลาด และคนเก่งๆที่ได้มานั้นเข้ามาช่วยสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้องค์กรเป็นผู้นำทางด้านการตลาดได้
จะเห็นว่าการออกแบบ HR-Scorecard ไม่ใช่เพียงการออกแบบตัวชี้วัดผลงานทางด้าน HR เท่านั้น แต่เป็นการออกแบบโครงสร้างการพัฒนาคนที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร โดยเป็นส่วนขยายที่จะทำให้เราเห็นภาพของ Learning and Growth Perspective ในระบบ Balanced Scorecard ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุป HR-Scorecard ถือเป็นเครื่องมือทางการจัดการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คนที่ทำงาน HR สามารถมองเห็นภาพความสัมพันธ์แผนผังกลยุทธ์ (Strategy Map) ในการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ HR-Scorecard ยังสามารถกำหนดตัวชี้วัดในระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถตอบได้ว่าตัวชี้วัดใดเป็นเพียงตัวชี้วัดผลของการดำเนินกิจกรรมทางด้าน HR ตัวชี้วัดใดเป็นตัวชี้วัดผลกระทบจากกิจกรรมของ HRที่มีต่อเป้าหมายขององค์กร
การนำเอาหลักการและแนวคิดของ HR-Scorecard มาใช้ในวงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบ้านเรา อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดความเหมาะกับสภาพแวดล้อม ใครที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนเองได้ก็สามารถทำได้เลย ใครไม่มั่นใจอาจจะต้องอาศัยตัวแทนจำหน่ายซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือที่เรียกกันว่า Consultants ก็ไม่ว่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความหนาแน่นของเงินทุนของแต่ละกิจการที่จะต้องไปพิจารณากันเอาเองนะครับว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการนำเอารถยนต์ชั้นดีมาวิ่งบนถนนลูกรัง
น.ส. ลดาวัลย์ เกิดโมลี รหัส 4950504327 กศ.ปช. รุ่น 10 หมู่ 3
หลักการบริหารงานบุคคลสำหรับหัวหน้างาน
1. การคัดเลือกพนักงานต้องกระทำโดยรอบคอบ พนักงานจะเต็มใจทำงานที่ตนมีความสามารถทำได้ ฉะนั้น การคัดเลือกคนให้ เหมาะสมกับงานที่เขาถนัด มีความรู้ความสามารถ เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ที่มอบหมาย จะทำให้ผลการปฏิบัติงานดีตามมา
"นวัตกรรม" การบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
"คน" ต้องออกแบบพัฒนาจริงหรือ? เป็นคำถามที่หาคำตอบได้มากมายหลากหลาย ตามแต่ประสบการณ์ความเชื่อ การกระทำ การค้นหาแนวทางใหม่ๆ มาดำเนินการ แต่คนเรานั้นออกแบบไม่ได้ ต้องอยู่ในกรอบ ในที่จำกัดที่ขีดเส้นให้เดิน แต่เชื่อกันว่าเมื่อได้พัฒนาเขาเหล่านั้นแล้ว เขาจะมีความคิดอิสระในการตัดสินใจดำเนินการใดๆ ให้เป็นไปในทิศทางที่องค์กรต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ฉะนั้น การออกแบบพัฒนาคนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่องค์กรต้องทำ ในความเชื่อของการบริหารจัดการทรัพยากรคนนั้น การออกแบบพัฒนาต้องคิดและทำอย่างมีนวัตกรรม หรือ Innovation นวัตกรรม แปลว่า การทำใหม่ หรือสิ่งใหม่ที่ทำขึ้นมา คนเรานั้นจะมีนวัตกรรม ต้องรู้จักสร้างสรรค์ ต้องมีความพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นอยู่ หรือความพึงพอใจ ความสุขสบายของตัวเอง ไม่ใช่คอยปรับตัวเองจนรู้สึกอึดอัด คนเรานั้นต้องพัฒนาให้สามารถแก้ปัญหาด้วยความคิดที่ลื่นไหล เป็นระบบระเบียบ พอทางหนึ่งตันต้องหาทางใหม่อยู่เสมอ ช่วยกันหาทางฝ่าทางตันให้ได้ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ควบคู่กันไปกับการพัฒนาคนขององค์กร ความสัมพันธ์ของนวัตกรรมกับเทคโนโลยีจึงมีความใกล้ชิดกัน เนื่องจากนวัตกรรมเป็นการนำความคิดไปพัฒนาจนได้มาซึ่งสิ่งใหม่ๆ นวัตกรรมสามารถนำไปใช้ได้ไม่เลือกว่าจะเป็นองค์การใดก็ตาม ดังนั้น ในแง่การบริหารทรัพยากรมนุษย์แล้ว การพิจารณาถึงหลักการด้านนวัตกรรมจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ชัดเจน แม้ต้องเปลี่ยนอะไรๆ หลายอย่างก็ตาม เพราะจะเป็นนวัตกรรมไปไม่ได้ถ้าไม่รักการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี นวัตกรรมจะสำเร็ตได้ต้องอาศัยภาวะผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยนแปลง บวกกับการบริหารจัดการ ภาวะผู้นำจะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เราหวังไว้ได้ ทำให้เราเกิดพลังในการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ พร้อมที่จะเดินก้าวไปอย่างเร็วๆ แต่มั่นคง เพื่อให้บรรลุจินตทัศน์ที่วางไว้ การบริหารจัดการที่ดี ต้องมีการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างประหยัด การดำเนินงานต่างๆ ก็จะราบรื่นไปด้วย เช่น ถ้าเรากำหนดจินตทัศน์ในการพัฒนาคนไว้ว่า 1. เราต้องการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ความเข้าใจ มีทัศนคติ และมีทักษะที่ดี โดยผสมผสานศาสตร์แขนงต่างๆ เข้าด้วยกัน 2. เน้นการพัฒนาคนควบคู่ไปกับการวิจัย พัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม 3. ต้องส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาออกมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ 4. ต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและโปร่งใส เป็นธรรม องค์ประกอบที่สำคัญ 6 ประการในการบริหารจัดการที่น่าสนใจ ได้แก่ การกำหนดทิศทาง (Sense of Direction) การวางยุทธศาสตร์ (Strategy) การจัดเรื่องระบบงาน (System) บุคลากร (Staff) โครงสร้าง (Structure) เพื่อการเตรียมงบประมาณ และการประเมินตนเองเพื่อพัฒนา (Self-Assesssment) |
1. จะมีประโยชน์อย่างมากในการที่จะพิจารณาถึงคอนเซ็ปต์ของ Strategic HRM ที่อยู่ใน HRM Strategy เหมือนกับที่เป็นการคำนึงถึงการคิดค้นกลยุทธ์ (Strategic Thinking) และการมุ่งสู่กลยุทธ์ (Strategic Orientation) มากกว่าการมองแค่ว่า กลยุทธ์เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแล้ว เสมือนแก่นแท้ทางกายภาพเท่านั้น
2. ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ทางธุรกิจ และกลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์ มีหลากหลายแนวทาง
3. ทัศนคติของกลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ทฤษฎี คือ
1. การเป็นผู้มีความรู้อย่างกว้างขวาง หรือการทำงานให้ดีที่สุด
2. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หรือขึ้นกับความเหมาะสม และ
3. ทรัพยากรพื้นฐาน หรือการมองในแง่ของทุนมนุษย์ (Human Capital)
4. ขอบเขตลักษณะเฉพาะของ HR ถูกรวบรวมอยู่ภายใน HR Strategy ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์การ ทัศนวิสัยของผู้บริหารสูงสุด คุณภาพของบอร์ด HR ลักษณะและความสัมพันธ์ในการทำงานของผู้อาวุโสเฉพาะด้าน HRทำความเข้าใจเรื่องคน โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นเรื่องที่ควรทำ โดยปกติองค์กร SME มีบุคลากรเป็นคนท้องถิ่น ดังนั้น ในการบริหารบุคคลและพัฒนาบุคคลก็ควรใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นองค์ประกอบหลัก ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่แพง และเหมาะกับองค์การของตนเอง ดังเช่น ในสังคมพุทธศาสนา จะนำสาระสำคัญในพระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน เล่ม 11 สุตตันฯทีฑฯปา เรื่อง สัปปุริสธรรม 7 ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนว่า “ดู กรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระวินัยนี้
1. เป็นผู้รู้จักเหตุ
2. เป็นผู้รู้จักผล
3. เป็นผู้รู้จักตน
4. เป็นผู้รู้จักประมาณ
5. เป็นผู้รู้จักการ
6. เป็นผู้รู้จักบริษัท
7. เป็นผู้รู้จักบุคคล”
จะเห็นว่า สัปปุริสธรรม 7 เหล่านี้ สอนเรื่องคนและการบริหารคน โดยเฉพาะการเป็นผู้บริหารทั้งสิ้น เช่น ข้อ 1-2 การรู้จักเหตุ-รู้จักผล เป็นกระบวนการของการแก้ปัญหาแบบเดียวกับการใช้ผังก้างปลาแบบญี่ปุ่น การวิจัยเพื่อการพัฒนา ข้อ 4 คือ หลักการ Optimization ข้อ 6 คือ การมีระบบข้อมูลข่าวสารภายในองค์การของตนเองการปรับเปลี่ยนและแนวโน้มของการบริหารทรัพยากรบุคคล
การปรับตัวทางธุรกิจได้ส่งผลให้การบริหารทรัพยากรบุคคล มีการปรับรูปแบบอย่างน่าสนใจ สรุปได้ดังตารางนี้จาก | สู่ |
1.มุ่งเน้นใช้คนเพื่อกระบวนการผลิตและใช้เครื่องจักรเป็นหลัก2. การผลิตมุ่งความเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงไม่ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันมาก 3. การสร้าง Brand ทำเมื่อ Product เสร็จ 4. เป็นการผลิตขนาดใหญ่ เพื่อความคุ้มทุน 5. การบริหารมีชั้นการบังคับบัญชามาก 6. สนใจควบคุมต้นทุนทางตรงเป็นหลัก7. การจ้างงานระยะยาว อัตราการลาออกต่ำ | 1. ใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้เป็นศูนย์กลาง2. การผลิตที่มุ่งให้ตรงความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายกลุ่มจึงต้องใช้ทักษะที่หลากหลายด้วย3. สร้าง Brand อยู่ใน Product เพราะเป็น Product ที่สนองเฉพาะกลุ่มและเป็น Knowledge Product4. การผลิตไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่แต่ เน้นที่ความคล่องตัว5. โครงสร้างองค์การมีสายบังคับบัญชาน้อย (Flatter Organization) 6. สนใจต้นทุนเป็นหน่วยของการผลิต7. การจ้างแบบมีสัญญาจ้างเฉพาะ มีการปรับขนาดองค์การให้เหมาะสมอยู่เสมอ |
ช่วยทำให้ทราบถึงสภาพปัญหาของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการของตนเอง และสามารถบริหารกำลังคนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนราชการได้ | |
สร้างสมรรถนะและความเข้มแข็งด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการอันจะนำไปสู่สมรรถนะที่ปฏิบัติงานในฐานะเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ในการบริหารราชการของส่วนราชการ | |
ช่วยกำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการและจังหวัดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง | |
เป็นกลไกที่เชื่อมโยงให้การบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งในระดับนโยบาย ระดับยุทธศาสตร์ และระดับปฏิบัติการให้มีความประสานสอดคล้องกัน |
ช่วยทำให้ทราบถึงสภาพปัญหาของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในส่วนราชการของตนเอง และสามารถบริหารกำลังคนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนราชการได้ | |
สร้างสมรรถนะและความเข้มแข็งด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการอันจะนำไปสู่สมรรถนะที่ปฏิบัติงานในฐานะเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ในการบริหารราชการของส่วนราชการ | |
ช่วยกำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางการบริหารทรัพยากรบุคคลของส่วนราชการและจังหวัดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง | |
เป็นกลไกที่เชื่อมโยงให้การบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งในระดับนโยบาย ระดับยุทธศาสตร์ และระดับปฏิบัติการให้มีความประสานสอดคล้องกัน |
ทหารอเมริกันเคยวิจัยไว้ว่า การรบชนะอยู่ที่ฝีมือและอยู่ที่การตัดสินใจของทหารระดับล่าง ไม่ใช่ของนายพล แต่ผู้วางแผนรบคือ นายพล และการบริหารองค์กรก็เช่นเดียวกับการรบ |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
sssssssssssddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddddd
กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กร
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
การประเมินผลพนักงาน (Employee Appraisal)
การประเมินผลพนักงาน คือระบบประเมินผลบุคคล อันเกี่ยวเนื่องมาจากผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ อย่างปราศจากอคติใดๆ ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตัดสินใจ วินิจฉัย ปรับปรุง ส่งเสริม และพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจ และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเห็นช่องทางความก้าวหน้าของเขา จะส่งผลให้องค์การเจริญเติบโตความสำเร็จของการประเมินผลพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินผลพนักงานมีดังนี้
1. ปรับปรุงการปฏิบัติงาน การประเมินผลจะช่วยสร้างและรักษาไว้ซึ่งระดับของการทำงานให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจจากการปฏิบัติงานของพนักงานนั้นๆ
2. ช่วยพัฒนาตัวพนักงาน ทำให้ผู้ประเมินทราบว่า พนักงานผู้นั้นต้องการอะไร มีโอกาสที่จะก้าวหน้าและพัฒนาตัวเองอย่างไร
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. เป็นช่องทางขยับขยายเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน ช่วยในการพิจารณา เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย เลิกจ้าง และปลดออกจากงาน
5. เป็นมาตรการนำมาใช้พิจารณาค่าจ้างเงินเดือน
6. ช่วยฝ่ายบุคคลด้านว่าจ้างพนักงาน
การฝึกอบรม (Training)
การปฐมนิเทศ (Orientation)
ปฐมนิเทศ คือ การแนะนำให้พนักงานได้รู้จักกฎระเบียบการปฏิบัติตนตลอดจนหัวหน้างานในองค์การที่พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าปฏิบัติ
ความมุ่งหมายการจัดปฐมนิเทศ
1. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักประวัติและความเป็นมาขององค์การ
2. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆในองค์การ
3. เพื่อให้พนักงานใหม่ได้รู้จักการแบ่งสายงานในองค์การ
4. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักกฎ ระเบียบต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติขณะที่อยู่ในองค์การ
5. เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ คลายความกังวล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม
1. ผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการฝึกอบรม
1.1 ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน
1.2 พนักงานสามารถรู้ถึงมาตรฐานการทำงานและนโยบายต่างๆของหน่วยงาน
1.3 ทำให้พนักงานมีอนาคตก้าวหน้าต่อไปให้ตำแหน่งและหน้าที่ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังขวัญในการทำงาน
2. ผลประโยชน์ต่อผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้างาน
2.1 ประหยัดเวลาในการที่จะใช้สอนหรือแนะนำงานต่างๆ ให้กับพนักงาน
2.2 ประหยัดเวลาที่จะใช้ควบคุมดูแล สามารถเอาเวลาไปใช้ในการวางแผนงานและบริหารด้านอื่นได้
2.3 ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลประโยชน์ต่อองค์การ
3.1 ช่วยทำให้ผลผลิต มีคุณภาพได้มาตรฐาน
3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักร
3.3 ช่วยลดอุบัติ การสิ้นเปลืองและการเสียหายต่างๆ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
การประเมินค่าของงานการประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้างข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ4. การประเมินต้องมีความยุติธรรม
วิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลัก
HR Scorecard กับ Balanced Scorecard ต่างกันอย่างไร
ทั้ง HR Scorecard (การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล) กับ Balanced Scorecard (การบริหารงานแบบสมดุล) ต่างก็เป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Tools) ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการประเมินและพัฒนาผลงานขององค์กรด้วยกันทั้งคู่ แต่มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน คือการบริหารทรัพยากรมนุษย์
เป็นคำศัพย์ใหม่ที่ได้นำมาใช้ทดแทนคำศัพท์เดิม คืก การบริหารงานบุคคล ซึ่งมีบทบาทและความรับผิดชอบกว้างขวางมากขึ้น และเป็นที่ทราบกันดีอย่แล้วว่าทรัพยากรมนุษย์นั้นมีความสำคัญที่สุดในองค์การ ซึ่งผู้บริหารทุกคนทุกระดับ คือ ทึ้งระดับต้น ระดับกลาง และรัดับสูงจะต้องให้ความสำคัญ และควรจะมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีคุณภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ สอดคล้องกับบริบทของการปฏิบัติงานรูปแบบใหม่ ฟ ในอนาคตที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์นั้น พบว่ามีผลโดยตรงต่อความอยู่รอดแลบะเจริญเติบโตขององค์การ ถ้าหากองค์การนั้น ๆ มีบุลากรที่มีคุณภาพในปริมาษมากพอเพื่อปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนวัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็เพื่อสนองความต้องการทางสังคม เพื่อตระหนักถึงความคาดหวังขององค์การและเพื่อการสนองความต้องการของบุคลาการเป็นสำคัญ ในส่วนของการกำหนดนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์การนั้น จะต้องคำนึงถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าจ้างที่ยุติธรรม สภาพการทำงานที่ดีการมีส่วนร่วมในการคบริหาร ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้า ต้องการให้ตนเองมีความสำคัญ ความสำคัญของกลุ่ม มีความครอบคลุมและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และควรมีการเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
การปรับเปลี่ยนและแนวโน้มของการบริหารทรัพยากรบุคคล การปรับตัวทางธุรกิจได้ส่งผลให้การบริหารทรัพยากรบุคคล มีการปรับรูปแบบอย่างน่าสนใจ สรุปได้ดังตารางนี้
จาก |
สู่ |
1.มุ่งเน้นใช้คนเพื่อกระบวนการผลิตและใช้เครื่องจักรเป็นหลัก 2. การผลิตมุ่งความเป็นมาตรฐานเดียวกัน จึงไม่ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันมาก 3. การสร้าง Brand ทำเมื่อ Product เสร็จ 4. เป็นการผลิตขนาดใหญ่ เพื่อความคุ้มทุน 5. การบริหารมีชั้นการบังคับบัญชามาก 6. สนใจควบคุมต้นทุนทางตรงเป็นหลัก 7. การจ้างงานระยะยาว อัตราการลาออกต่ำ |
1. ใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้เป็นศูนย์กลาง 2. การผลิตที่มุ่งให้ตรงความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายกลุ่มจึงต้องใช้ทักษะที่หลากหลายด้วย 3. สร้าง Brand อยู่ใน Product เพราะเป็น Product ที่สนองเฉพาะกลุ่มและเป็น Knowledge Product 4. การผลิตไม่จำเป็นต้องขนาดใหญ่แต่ เน้นที่ความคล่องตัว 5. โครงสร้างองค์การมีสายบังคับบัญชาน้อย (Flatter Organization) 6. สนใจต้นทุนเป็นหน่วยของการผลิต 7. การจ้างแบบมีสัญญาจ้างเฉพาะ มีการปรับขนาดองค์การให้เหมาะสมอยู่เสมอ |
การบริหารทุนมนุษย์ Human Capital Management |
ภาษาไทย |
ความสำคัญของการบริหารทุนมนุษย์ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กร |
และ การกำหนด Competency ของแต่ละงานควรประกอบไปด้วยอะไรบ้างนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายว่าควรกำหนดพฤติกรรมของ Competency ในตำแหน่งงานใดบ้าง และ Competency ที่กำหนดขึ้นนั้นมีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด อีกทั้งสิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติในการนำ Competency ไปใช้และประสพผลสำเร็จ ได้แก่
• การได้รับแรงสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารตามสายงานต่าง ๆ
• การสื่อสารให้กับพนักงานเข้าใจถึงแนวคิด ประโยชน์ และบทบาทของพนักงานที่มีต่อการนำ Competency ไปใช้
• ความพร้อมของทรัพยากรที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณ บุคลากร และระยะเวลา
• ความรู้ ประสบการณ์ และความชำนาญของผู้รับผิดชอบในการถ่ายทอดเพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานถึง Competency ที่กำหนดขึ้น
• การมีส่วนร่วมจากหน่วยงานต่าง ๆ ในการกำหนด Competency ของแต่ละตำแหน่งงาน ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ไม่ควรกำหนด Competency เพียงหน่วยงานเดียว
การจัดการบุคลล(Personnel Management) การจัดการงานบุคคลเชิงระบบ จากกระบวนการกำหนดความต้องการ การสรรหา จนถึงออกจากงานการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management)เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์การบริหารทุนมนุษย์(Human Capital Management)
กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กร
ดรอบความคิดแบบเดิม | กรอบความคิดแบบใหม่ |
ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นต้นทุน (Cost) ที่เกิดขึ้น | ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า (Value) ในตัวคนให้เกิดขึ้น |
ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่าเป็นงานสนับสนุน (Support Function) | ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่าเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ขององค์กร (Strategic Partner) |
งบประมาณด้านทรัพยากรมนุษย์จะถูกกำหนดขึ้นจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลเท่านั้น | ผู้บริหารระดับสูงจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดงบประมาณด้านทรัพยากรมนุษย์ |
ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลในองค์กร | ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยผู้บริหารระดับสูงในองค์กร |
มีความพยายามที่จะทำความเข้าใจถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (ROI : Return on Investment) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น | ROI ถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญโดยจะต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุแลผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (Cause - and - Effect Relationships) |
ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้น | ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่จำเป็นจะต้องเก็บรวบรวมให้มีขึ้น |
โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร | โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะขององค์กร ก่อนที่โปรแกรมนั้นจะถูกนำไปประยุกต์ใช้ทั่วทั้งองค์กร |
โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยนำเข้า (Input) มากกว่า | โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากผลผลิตที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยด้านผลลัพธ์ (Output) มากกว่า |
พบว่ากรอบแนวคิดเกี่ยวกับทุนมนุษย์ในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในตัวบุคลากรในองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเรื่องการบริหารจัดการความรู้ในทรัพยากรมนุษย์ ยุคของทุนมนุษย์ถือว่าเป็นยุคของความรู้ (Knowledge Era) ที่เปลี่ยนจากยุคด้านการเกษตรกรรมและยุดด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้การบริหารจัดการความรู้ในทรัพยากรบุคคลนั้นจะมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) มากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Assets) ที่จะนำองค์กรไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันกับธุรกิจภายนอก
การจัดการงานบุคคลหลักการแสวงหาบุคคลเข้ามาทำงานคือหาคนดีมีความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Find the best man available) ทั้งนี้ โดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเสมอภาค การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องกระทำอย่างมีมาตรฐาน เช่น สอบตำแหน่งเดียวกันควรจะยากง่ายเท่าๆกัน เป็นต้นกระบวนการในการรับคนเข้าทำงานนี้เรามักเรียกรวมกันไปว่า การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน แต่ที่จริงแล้วแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การสรรหา การเลือก และการบรรจุการสรรหาการสรรหา (recruitment) เริ่มจากการปิดประกาศชักชวนให้ผู้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการมาสมัครให้มากที่สุด สำหรับประเทศไทย ไม่มีปัญหาในเรื่องชักชวนให้คนมาสมัครเข้ารับราชการ แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ คนไม่นิยมเข้ารับราชการแม้ว่าจะมีเงินเดือนดี มีความก้าวหน้า และมีความมั่งคง ดังนั้นจึงต้องมีการโฆษณาชักจูงโดยวิธีการต่างๆ คือส่งคนไปตามโรงเรียนและวิทยาลัยต่างๆ ชี้แจงให้เห็นว่างานราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร การสรรหามักทำเป็นกระบวนการดังนี้1. เสาะแสวงหาแหล่งผู้มีความรู้ เช่น ในสถานศึกษาต่างๆ ในบริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนในกระทรวงทบวงกรมอื่นแล้วรวบรวมทำบัญชีชื่อไว้2. ชักจูงให้มาสมัครโดยวิธีต่างๆ เช่น ส่งคนไปชักชวน ปิดประกาศรับสมัครไว้ในที่ชุมนุมชน ที่สถานศึกษา โฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จดหมาย ส่งประกาศรับสมัครไปยังผู้มีความรู้ตาที่รวบรวมชื่อไว้ในขั้นที่ 1โดยวิธีสรรหาดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปิดวงเลือกให้กว้าง อันเป็นหลักสำคัญของการสรรหา จะทำให้ได้คนที่ดีมีความรู้ความสามารถมาสมัครมากๆ เพื่อจะได้พิจารณาเลือกเอาคนดีที่สุดเหมาะสมที่สุดในขั้นต่อไป การเลือกการเลือก (selection) เป็นกระบวนการขั้นต่อเนื่องจากการสรรหา มีวัตถุประสงค์ในการคัดเอาคนดีและเหมาะสมที่สุดมาทำงาน คนอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ดีและเหมาะสมที่สุดนั้นมีอยู่ 2 แนวความคิดดังนี้แนวความคิดฝ่ายที่หนึ่ง มีทัศนะว่าคนที่มีหัวดี มีแววดี ฝึกให้ทำอะไรก็จะทำได้ดีทั้งนั้น ถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่ตัวตน จึงสรรหาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา มีหัวมี มีแววดี มีความรู้ทั่วไปกว้างขวาง รอบรู้เฉลียวฉลาดมาทำงานตั้งแต่ขั้นต้นๆ แล้วจัดการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไปในอนาคต การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น เจเนอรัลลิสต์ (generalist) โดยสรรหาคนที่ยังไม่ต้องเป็นงานมาฝึกเพื่อใช้งานในอนาคต เป็นการสรรหาคนก่อนมีประสบการณ์เข้ามาหาประสบการณ์ในองค์การแนวความคิดดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์และมีระบบขุนนาง จึงสรรหาคนมาเป็นลูกหม้อตั้งแต่ขั้นต้นๆ และพัฒนาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดียวตลอดชีวิตเป็นอาชีพในทางนั้นๆ ไปเลยแนวความคิดฝ่ายที่สอง มีทัศนะว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างไม่ได้แต่ละคนจะถนัดแต่ละอย่าง และถ้าฝึกคนให้ทำได้หลายอย่างก็จะไม่เก่ง จึงต้องสรรหาคนมาให้เหมาะสมกับงานโดยถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่งาน จึงกำหนดคุณวุฒิที่ต้องการสำหรับแต่ละงานไว้แล้วสรรหาคนที่มีคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้นั้นมาทำงานเฉพาะอย่าง การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น สเปเชียลลิสต์ (specialist) โดยสรรหาคนที่เป็นงานแล้วมีประสบการณ์มาทำงานแนวความคิดหลังนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีความเจริญทางธุรกิจ จึงสรรหาคนที่เป็นงานและมาทำงานเฉพาะกิจ สรรหาคนมาจากนอกองค์การเข้ามาทุกระดับไม่จำกัดอายุ การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้ต้องทำกันบ่อยมาก เพราะจะมีคนย้ายงานโดยถูกดึงตัวกันไปมาอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครแล้ว จากนั้นก็ดำเนินการเลือกให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้1. การตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติการศึกษาตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น เคยต้องโทษ เป็นโรคติดต่อต้องห้าม เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เป็นต้น2. วัดความรู้ความสามารถ มีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือการสอบ ซึ่งแยกเป็นสอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ บางองค์การอาจพิจารณาจากประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานเดิม นอกจากนี้ ก็อาจวัดความรู้ความสามารถโดยการคัดเลือกเพื่อประเมินคุณภาพบุคคลว่าเหมาะสมที่จะรับเข้าทำงานหรือไม่ การคัดเลือกอาจพิจารณาเฉพาะบุคคลเดียวหรือคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลก็ได้มีข้อสังเกตว่าวิธีการคัดเลือกนั้นเป็นวิธีที่อาจนำไปสู่ระบบอุปถัมภ์หรือเล่นพวกได้ง่าย จึงไม่นิยมใช้ เว้นแต่กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสูงและสำคัญ โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้วิธีการสอบซึ่งเป็นวิธีวัดคนได้ดีที่สุดสะดวกที่สุด และเป็นธรรมที่สุดในขณะนี้3. การสัมภาษณ์ เป็นการเรียกผู้สมัครมาพบพูดคุยเพื่อดูบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทาง การพูดจา ตลอดจนดูไหวพริบและเชาวน์ปัญญา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทัศนคติ บางตำแหน่งอาจไม่ต้องวัดความรู้ความสามารถเพียงแต่เชิญมาสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะผู้ผ่านงานมามากหรือผู้ที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน4. การตรวจสอบคุณภาพ เพื่อกลั่นกรองเอาแต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยให้แพทย์เป็นผู้ตรวจโดยตรง เช่น ตรวจเลือด ตรวจโรคเอดส์ ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องการผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้คัดเลือกได้คนที่เหมาะสม5. การให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรร กล่าวคือ เมื่อเลือกได้คนมาแล้วก็ให้ทดลองทำงานจริงๆ สักชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าพิสูจน์ตนเองว่าทำงานได้ ความประพฤติดี จึงจะรับไว้เป็นการถาวรการบรรจุตามปกติการบรรจุ (placement) จะเรียงตามลำดับที่สอบได้ (rule of one) แต่บางกรณีอาจยืดหยุ่นได้ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีให้เลือก 2 หรือ 3 คนแรก เมื่อเรียกบรรจุแล้วให้ทดลองปฏิบัติงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและทำงานให้ได้ตามที่ต้องการจึงบรรจุเป็นการถาวรต่อไปการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล Management เราวัดคนได้ 2 มิติ คือ ผลงาน (Performance) และทักษะการทำงาน (Skill Set) หรือความรู้ความสามารถ (Competency)
การจัดการบุคคลากร คือ กระบวนการที่ผู้นำ (ผู้บริหาร) ใช้ศิลปะ และวิธีการต่าง ๆ สรรหาบุคคลเพื่อเข้าทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การโดยการใช้ทรัพยากรการบริหารให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การที่ผู้บริหารใช้ศิลปะและวิธีการในการสรรหา คัดเลือกและบรรจุบุคลากรที่มีความเหมาะสมมาปฏิบัติงานในองค์การ พร้อมทั้งรักษาให้อยู่กับองค์การอย่างมีความสุข
การจัดการบุคลลากร เหมือนกัน กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือ ต้องการสรรหาบบุคคลเข้าทำงานที่มีความรู้ความสามารถเพื่อให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์HR scorecard : เครื่องมือการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ / จิระจิตต์ บุนนาค.
1.ในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) จากงานศึกษาต่างๆ พบว่า มูลค่าขององค์การกว่าร้อยละ 85 มาจากสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) โดยเฉพาะทุนมนุษย์ (Human Capital).
2. เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นพื้นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับ กิจการ แม้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญยิ่งขององค์การ แต่ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้น้อยที่สุด.
3. วัดผลได้ยาก อย่างไรก็ตามเมื่อทุนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญแล้ว จำเป็นที่จะต้องพยายามหามาตรการวัดผลให้ได้ เนื่องจากสิ่งใดที่ เราไม่สามารถวัดได้ เราก็ไม่สามารถที่จะบริหารและพัฒนาสิ่งนั้น ได้.
4. ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องหาเครื่องมือที่จะวัด/ประเมินผลทุนมนุษย์ที่จับต้องไม่ได้ นี้ให้ได้ และเชื่อมโยงให้เห็นว่า.
5. ปัจจัยด้านทุนมนุษย์ส่งผลให้องค์การประสบผลสำเร็จได้อย่างไร HR scorecard เป็นแนวคิดเครื่องมือสำคัญในการบริหารทรัพยากร บุคคลเชิงกลยุทธ์ HR scorecard.
6. มิใช่การวัดผล รายงานผลงานของฝ่ายบริหารงานบุคคลแบบเดิมๆ เช่น รายงานผลงานในเรื่องอัตราการป่วย สาย ลา ขาด ของพนักงาน จำนวนชั่วโมงหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงาน.
7. แต่ HR scorecard เป็นการนำเสนอเครื่องมือสำคัญในการ เชื่อมโยงการบริหารทุนมนุษย์ขององค์การกับกลยุทธ์ขององค์การ บทความนี้จึงนำเสนอแนวคิดของ HR scorecard.
8. และขั้นตอนในการสร้าง HR scorecard เพื่อเป็นพื้นฐานการ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือในการวัดผลและบริหาร ทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ และเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ ในการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์.
Human Capital ก.พ.ยกระดับปั้น "คน" |
โดย บิสิเนสไทย [18-9-2007] |
สำนักงาน ก.พ. เตรียมยกระดับปั้น "คนไทย" สู่การแข่งขันระดับชาติ หลังจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 10 ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพ"คน" เป็นอันดับแรก เล็งสร้างเครือข่าย "ความรู้คู่คุณธรรม" จับมือกับภาคเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ของประเทศ ก่อนที่จะขยายต่อไปยังส่วนอื่น ขณะที่ยักษ์ใหญ่ "ไอบีเอ็ม" ชี้ การพัฒนาคนอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ มุมมอง ต่อสิ่งใหม่ๆ ส่วน "เคทีซี" แนะ "นวัตกรรม" บวกกับ "การสร้างสรรค์" จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้คน "ตกงาน" |
เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มาจาก "ทั่วโลก"
การตั้งรับ "ทุนข้ามชาติ" พร้อมกับเปิด "เกมรุก" โดยอาศัย "คน" เป็นตัวขับเคลื่อน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด !!!
นั่นเพราะ การที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะอยู่รอด เติบโต มีขีดความสามารถในการแข่งขันต่อสู้กับ "คู่แข่ง" เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ชัยชนะ" ตอกย้ำความเป็น "ผู้นำ" ได้อย่างยั่งยืน จะต้องมี "ทรัพยากรบุคคล" หรือ "คน" ที่มีคุณภาพ
"เราจะต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากรมนุษย์ เพราะนี่คือกุญแจและปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดต่อสู่ภายใต้กระแสของการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน" นั่นคือคำกล่าวของ "นายปรีชา ชราภัย" เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่กล่าวกลางงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง "การพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะ ด้านการจัดการทุนมนุษย์ : เตรียมคนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นเดือนกันยายน 2550 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมจินดา ณ สงขลา สำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี โดยมีผู้บริหารจาก บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมอภิปราย โดยมีผู้แทนส่วนราชการ รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชนเข้าร่วมการสัมมนากว่า 400 คน
"นายปรีชา" บอกว่า ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ทิศทางพัฒนาประเทศได้มุ่งสู่แนวทางของการยึด "คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา" ต่อมาแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 ก็ได้อัญเชิญ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" มาเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้คนรู้เท่าทันกระแสโลกาภิวัฒน์
ขณะที่แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ก็มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมของคนไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศจะต้องเผชิญ โดยกำหนดให้คนไทยทุกคนได้รับการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ ความรู้ ความสามารถ ทักษะการประกอบอาชีพ และมีความมั่นคงในการดำรงชีวิต ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้กับตนเองที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็งของครอบครัว ชุมชน และสังคมไทย
"การพัฒนาทรัพยากรบุคคลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญในระดับชาติ เพราะทรัพยากรบุคลที่มีขีดความสามารถจะช่วยพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวไกลไปได้ดียิ่งขึ้น" นายปรีชา กล่าว พร้อมกับชี้ว่า ถ้าเราสามารถสร้างให้ "คน" เป็นผู้ที่มีความพร้อมทางด้านสติปัญญา ความรู้ คุณธรรม และจริยธรรม เขาก็จะสามารถนำพาให้องค์กรนั้นๆไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ถ้าหากคนไม่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้งานสัมฤทธิ์ผลได้
ที่สำคัญ ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องสร้างสังคมที่มี "ความรู้คู่คุณธรรม" เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ภายใต้กระแสของการแข่งขันในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต
"เราจะสร้างสังคมฐานความรู้คู่คุณธรรม โดยมิได้หวังแต่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น และจะทำให้กระบวนการร่วมกันจัดการทุนมนุษย์ให้มีความรู้ ที่เหมาะสมกับทิศทางกาารพัฒนาประเทศ" นายปรีชา กล่าว
ปัจจุบันสำนักงาน ก.พ.เป็นองค์กรกลางที่รับผิดชอบการเตรียม การบริหารและการพัฒนากำลัง "คน" ในภาครัฐ ซึ่ง "นายปรีชา" บอกว่า เป้าหมายสูงสุดของการบริหารและพัฒนาคนในราชการ คือ "การทำให้คนของเรามีทุน คือมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ ประสบการณ์และค่านิยมที่เหมาะสมในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ"
ดังนั้นในร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.... ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติ จึงกำหนดว่า "การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนต้องเป็นไปเพื่อผลสัมฤกธิ์ต่อภารกิจของภาครัฐ ความมีประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า โดยให้ข้าราชการปฏิบัติราชการอย่างมีคุณภาพ มีคุณธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี" ซึ่งสะท้อนว่า ก.พ.จะเน้นการพัฒนากำลังคนแบบ "องค์รวม" หรือเรียกว่า Holistic Approach
ล่าสุด สำนักงาน ก.พ. ได้เริ่มดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์เครือข่ายองค์ความรู้การจัดการทุนมนุษย์ โดยที่สำนักงาน ก.พ.จะเป็นศูนย์กลางด้านเครือข่ายด้านการจัดการทุนมนุษย์ของประเทศไทย เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการสร้างองค์ความรู้ต่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดต่อไปในอนาคต โดยผ่านกิจกรรมการบริหารจัดการองค์ความรู้และนวัตกรรม ด้านการบริหารจัดการทุนมนุษย์ เพื่อเชื่อมโยงและพัฒนาเครือข่ายทั้งภายในและต่างประเทศ
"โครงการที่เราจัดทำขึ้น เพราะต้องการสร้างและพัฒนาเครือข่ายระหว่างหน่วยงานในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรต่าง ๆ ร่วมกันสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้านการจัดกสนทุนมนุษย์ให้มีความก้าวหน้า" นายปรีชา กล่าว
นอกจากนี้ สิ่งที่สำนักงาน ก.พ. ต้องการจากโครงการที่ทำขึ้นก็คือ ต้องการเห็นการพัฒนาระบบและช่องทางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ ระหว่างเครือข่าย อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดและเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
โดยสำนักงาน ก.พ.ได้มีการร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการรวบรวมและประมวลองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณชนรับทราบ ที่สำคัญจะต้องสร้างเครือข่ายให้เข้าทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ โดยขณะนี้สำนักงาน ก.พ.กำลังพัฒนาเว็บไซต์ www.thaiHRhub.com ซึ่งจะเป็นเว็บไซต์ที่รวมแหล่งองค์ความรู้ใหม่ ๆ ด้านการจัดการทุนมนุษย์ รวมทั้งการจัดสัมมนาเครือข่ายตั้งแต่ปีนี้จนถึงเดือนมีนาคม 2551 ทั้งในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล โดยมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านรายการโทรทัศน์อีกด้วย
"สิ่งที่สำนักงาน ก.พ.ทำในวันนี้ ก็เพราะป้าหมายสำคัญของการสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ ที่จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อต่อยอดความรู้ในด้านการพัฒนาและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ของแต่ละองค์กร เพื่อนำเอาความรู้เหล่านั้นไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบุคลากรของตนเอง" นายปรีชา กล่าว
รู้จัก HCC (Thailand) | ||||||||||||||
สมาคมส่งเสริมและพัฒนาทุนมนุษย์ (ประเทศไทย) หรือ Human Capital Club (Thailand) เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะเสริมสร้างศักยภาพงานบริหารและจัดการทุนมนุษย์ของประเทศไทยโดยรวมให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับสากล ภายใต้การสนับสนุนของ American Management Association ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาองค์กรในสหรัฐอเมริกา สมาคมมีจุดมุ่งหมายหลักในการเป็นตัวกลางถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางการปฏิบัติทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลหรือทุนมนุษย์ ที่ได้ผลสูงสุดและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทย ไปยังกลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการที่มิได้จำกัดเพียงแต่ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการด้านทรัพยากรมนุษย์เท่านั้น แต่มุ่งสู่เป้าหมายในกลุ่มผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการในทุกสายอาชีพให้มีความสนใจ เข้าใจ และสามารถบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรและของประเทศไทยในที่สุด | ||||||||||||||
ทิศทางของ HCC (Thailand) | ||||||||||||||
คณะกรรมการของสมาคมส่งเสริมและพัฒนาทุนมนุษย์ (ประเทศไทย) เป็นกลุ่มผู้บริหารจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมั่นร่วมกันว่า การบริหารทุนมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพต้องมาจากความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กร ผู้บริหารระดับสายงาน ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติการด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HR) ด้วยความเชื่อดังกล่าว คณะกรรมการจึงได้กำหนดทิศทางของสมาคมไปในแนวทางที่จะผลักดันเชิงกลยุทธ์ในทุกมิติ โดยมุ่งมั่นที่จะ | ||||||||||||||
|
ทุนมนุษย์ : ไม่ใช่แค่ผูกพันต้องเป็นผู้ร่วมลงทุน
ถ้าพูดกันถึงเรื่อง การบริหารคนน่าจะเป็นหัวข้อที่มองได้ 2 อย่างด้วยกัน อย่างแรกเป็นความน่าสนใจเพราะปัจจุบันนี้ คนหรือพฤติกรรมของคนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในโลกยุคไฮเทค บางครั้งมองกันว่าเป็นเศรษฐกิจแห่งความรู้ กับอีกอย่างมองว่าคนเป็นเรื่องน่าปวดหัวโดยเฉพาะในธุรกิจดูประหนึ่งว่า การบริหารจัดการคนทำได้ยากยิ่งขึ้น มีประเด็นให้ต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามผู้เขียนเชื่อว่าในปัจจุบัน การจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital Management) กลายเป็นสิ่งที่มีพูดกันมากและมีอัตราความถี่ที่สูงมากกว่าแต่ก่อน แต่ในระดับขององค์ความรู้หรือวิธีวิทยาการกับมีไม่มากนัก หรือเป็นเนื้อหาแบบการบริหารพนักงาน หรือการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ไม่หนีบริบทเดิมไปมากเท่าไหร่
ในขณะที่บางธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนเรียกชื่อ การบริหารทรัพยากรบุคคลไปในชื่อต่างๆ เช่น ฝ่ายพัฒนาความรู้ ฝ่ายบริหารทุนมนุษย์ หรือแม้กระทั่ง CKO (Chief Knowledge Officer) หรือ Chief Intellectual Capital ในหลายๆ ประเทศก็มีใช้กัน
คงต้องยอมรับว่า แนวคิดและเครื่องมือทางการบริหารธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามส่วนใหญ่เรานำเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งธุรกิจเองที่สามารถนำเข้ามาจากสถาบันการศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนตามแนวคิด ทฤษฎีและตำราจากต่างประเทศ ทำให้เกิดปัญหาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หนักเบาตามสถานการณ์
(1) นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ที่ทุกประเทศทั่วโลกมัวแต่สาละวนกับ Y2K ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเกิดปัญหาอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ทุกคนที่ทำธุรกิจได้สูญเสียเงินนับร้อยพันล้านดอลลาร์ไปกับการเปลี่ยนระบบใหม่ สิ่งที่ผู้เขียนพบกับระบบงานด้านคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่โดยไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงหรือลงทุนอะไรกับ Y2K ปรากฏว่ายังใช้งานได้ปกติ แต่สิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือ เทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทำให้ต้องมีการอัพเกรดเพื่อให้การทำงานได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้นจริงๆ
(2) บริษัทหรือธุรกิจจากประเทศในสหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มทางยุโรป หรือบริษัทชั้นนำระดับโลกทั้งหลายได้คิด และใช้กลยุทธเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินกิจการโดยเฉพาะที่เรียกว่า การบริการจากภายนอก หรือ Outsourcing ก็ด้วยเหตุผลที่ว่า
- เป็นการทำให้บริษัทใหญ่ๆ มีขนาดเล็กลงๆ และสามารถแข่งขันได้ดีกับบริษัทเกิดใหม่ที่มีขนาดเล็กๆ และสร้างนวัตกรรมทางสินค้า/บริการเข้ามาแข่งขันได้อย่างรวดเร็วจนสร้างความเสียหายทางการตลาดให้บริษัทขนาดใหญ่ซึ่งปรับตัวเองได้ช้าหรือไม่รวดเร็วนัก
- เป็นการลดต้นทุนโดยเฉพาะต้นทุนด้านคน หรือทุนมนุษย์ที่เป็นคนทำงานเป็นจำนวนมากๆ เพื่อให้ธุรกิจ Outsourcing เข้ามาเป็นผู้ดำเนินการให้
- ขณะเดียวกันคนทำงานที่เป็นคนซึ่งมีภูมิความรู้ หรือKnowledge Worker ในประเทศตะวันตกปัจจุบันมีแนวโน้มที่อยากรับงานเป็น Job มากกว่าที่จะอยากทำงานแบบเต็มเวลา
ด้วยสาเหตุ 2-3 ประการข้างต้นได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารคนในบริษัทกลุ่มประเทศตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกาและในยุโรป แนวคิดของการบริหารคนจึงเป็นรูปแบบของการมีผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) หรือผู้จัดการตามสัญญา (Contract Manager) ทำให้คิดหาวิธีที่จะทำให้คนผูกพัน (Engagement) กับองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของการจ้างงานแบบ Outsourcing ตามที่บริษัทในสหรัฐอเมริกากับทางยุโรปได้ว่าจ้างบริษัท Outsourcing จากอินเดียหรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ให้เป็นผู้ดำเนินการ
สำหรับองค์กรหรือธุรกิจแบบไทยหรือบริษัทธุรกิจที่ไม่ได้ใช้แนวคิดทางการบริหารหรือจัดการแบบ Outsourcing ซึ่งไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปหาวิธีให้คนผูกพันกับองค์กร เพราะ ถ้าธุรกิจท่านบริหารทุนมนุษย์ในความหมายของผู้ร่วมลงทุนจะถือว่าเป็นการบริหารคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
บริหารคนแบบทุนมนุษย์ที่เรียกว่า ผู้ร่วมลงทุน หรือผู้เข้ามาลงทุนเถอะครับ เพราะไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้แล้วจริงๆ
27 กันยายน 2550
เพราะประเทศชาติยังต้องการองค์ความรู้สาธารณะอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแนวคิดด้าน “จิตสาธารณะ” ที่มีอยู่ในบุคคลต้นแบบของคนไทย จึงเป็นส่วนสำคัญในองค์ความรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ ที่เกิดจากการนำเอาความรู้ที่แต่ละคนมีมาถ่ายทอดให้กับสังคม อันจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและกัน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านการจัดการทุนมนุษย์ของประเทศไทยขึ้นมา
"...คนดีกับคนเก่งไม่เหมือนกัน คนดีบางทีก็เก่ง บางคนก็ไม่เก่ง แต่ก็ดีกว่าคนเก่งที่ไม่ดี..."
วาทะของรัฐบุรุษและประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ออกมาท่ามกลางกระแสข่าวอันสับสนในการสรรหาตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ แทนที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
ก่อนที่จะมาเน้นย้ำอีกครั้งให้หลังเพียง 1 อาทิตย์ว่า…
ว่าที่ ผบ.ทบ.คนใหม่จะต้อง “เป็นคนทำงานและต้องเป็นคนดีมากๆ”
คำพูดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด และทฤษฏีการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในโลกยุคใหม่ที่มองว่า “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” ซึ่งในแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ก็ได้เน้นที่...
การเตรียมความพร้อมของคนไทย เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต
แต่คนไทยจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องใดบ้าง?
ซึ่งในเรื่องนี้ สำนักงาน ก.พ. ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาคนในชาติว่ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพราะ องค์กร สังคม และประเทศชาติ จะสามารถอยู่รอด เติบโต และประสบความสำเร็จ ในโลกยุค “สังคมฐานความรู้” ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้นั้น
“มนุษย์” หรือ “คน” ในประเทศ จะต้องมี “ทุน” ที่เหมาะสม
“ทุน” ในที่นี้หมายถึง “ความรู้ ทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ และค่านิยม ที่คนในองค์กรมี และนำมาใช้ในการทำงานให้บรรลุผล”
เรียกสั้นๆว่า “ทุนมนุษย์” หรือ Human Capital
สิ่งนี้คือภาระหน้าที่ของ สำนักงาน ก.พ. ที่จะต้องเร่งพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบุคลากรของชาติ จึงได้ริเริ่ม “โครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะ ด้านการจัดการทุนมนุษย์” ขึ้นมาเพื่อสร้างเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน ร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารทุนมนุษย์ ให้แต่ละหน่วยงานนำกลับไปพัฒนาบุคลากรของตน
เพราะทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเท่านั้นจึงจะสามารถพัฒนาประเทศชาติให้สามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้กระแสของการแข่งขันในโลกยุคปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมั่นคง
นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาคนในชาติว่า…ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องเร่งสร้างสังคมที่มี “ความรู้คู่คุณธรรม” ซึ่งหมายถึงการสร้างคนในชาติให้มี...สติปัญญา ความรู้ คุณธรรม และจริยธรรม
สำนักงาน ก.พ. จึงรับอาสาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวม แลกเปลี่ยน เรียนรู้ และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ “ทุนมนุษย์” ออกไปให้แพร่หลายสู่สาธารณชน
โดยหนึ่งในนั้นก็คือการผลิตรายการ “คนดลใจ” ออกอากาศทางช่อง 11 ทุกวันเสาร์เวลา10.00 น. ที่นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการทุนมนุษย์ผ่าน คนดี คนเก่ง ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย
นอกจากนี้ยังนำเสนอข่าวสารและความรู้ด้านการบริหารจัดการบุคคลผ่านรายการวิทยุ FM 105 ทุกวันเสาร์เวลา 10.00 น. และ AM ทุกวันอาทิตย์เวลา 18.00น. รวมไปถึงการจัดสัมมนาทั่วประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะ
บุคคลที่ได้คัดเลือกมาถ่ายทอดแนวคิดนี้ ดร.สุรพงษ์ มาลี หัวหน้ากลุ่มงานนวัตกรรมและการจัดการความรู้ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล สำนักงาน ก.พ. กล่าวว่า จะต้องเป็นคนที่มีบุคลิกและลักษณะ รวมทั้งมีผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ จนเป็น “ต้นแบบของคนไทย” ได้
บุคคลที่เป็นต้นแบบของคนไทยเช่น คุณพารณ อิสรเสนา นักธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน, คุณวนิษา เรซ เจ้าของแนวคิดอัจฉริยะสร้างได้, คุณสังคม ทองมี ครูผู้ทุ่มเทสร้างจิตรกรตัวน้อย, ว.วชิระเมธี พระนักเขียนที่นำธรรมะมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน และศาสตราจารย์ระพี สาคริก บิดากล้วยไม้ไทย ฯลฯ
กลุ่มคนเหล่านี้มีคุณสมบัติสำคัญที่เรียกว่า...
“จิตสาธารณะ”
ที่มาจากกรอบแนวคิดของ ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ผ่านงานเขียนที่ได้รับการยอมรับจากนักบริหารทั่วโลกที่มีชื่อว่า “Five Minds for the Future”
มีชื่อเรียกสั้นๆ แต่จำได้ง่ายๆ ว่า....
5 จิต คิดเพื่ออนาคต!
ประกอบไปด้วย 1) จิตแห่งวินัย เป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นขัดเกลาในทักษะวิชาชีพของตนอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
2) จิตแห่งการสังเคราะห์ เป็นผู้ที่มีความสามารถรอบตัวและนำไปประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและเหมาะสมกับสถานการณ์
3) จิตแห่งการสร้างสรรค์ เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการคิดค้นสิ่งใหม่ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศ
4) จิตแห่งความเคารพ เป็นผู้ที่เคารพคุณค่าของบุคคลอื่นในสังคม และ
5) จิตแห่งคุณธรรม เป็นผู้ที่มีบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคม เสริมสร้างให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและความสงบสุขของสังคม
โดยแนวคิดทั้ง 5 จะเชื่อมโยงต่อการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ของคนไทยให้พร้อมที่จะก้าวสู่โลกในยุคใหม่ อันเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ
เพราะประเทศชาติยังต้องการองค์ความรู้สาธารณะอีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นแนวคิดด้าน “จิตสาธารณะ” ที่มีอยู่ในบุคคลต้นแบบของคนไทย จึงเป็นส่วนสำคัญในองค์ความรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ ที่เกิดจากการนำเอาความรู้ที่แต่ละคนมีมาถ่ายทอดให้กับสังคม อันจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและกัน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านการจัดการทุนมนุษย์ของประเทศไทยขึ้นมา
ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมไทย ที่พอจะสรุปสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า....
วันนี้ประเทศชาติต้องการ “คนเก่งและดี”
แต่การที่จะเป็นคนเก่งและคนดี เพียงอย่างเดียวนั้น ยังไม่มากพอที่จะนำพาองค์กร สังคม ประเทศชาติ ให้ก้าวไปยืนหยัดได้อย่างมั่นคงในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูงได้
คนที่เก่งและดียังจะต้องมี “ทักษะ” ที่หลากหลายและมีคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น “ทุน” ที่องค์กร สังคม ประเทศชาติ จะต้องสั่งสม และสร้างให้กับคนในชาติ เพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จต่อไป
1. สิ่งที่ต้องการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ(1) การประเมินผลงานที่ปฏิบัติ ทั้งในแง่ของประมาณและคุณภาพ ได้แก่ งานที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทำงานได้มาก ผลงานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้(2) ประเมินคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ความร่วมมือในการทำงาน ความสามัคคี มนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความอดทน และการรักษาวินัย ฯลฯโดยปกติจะประเมินควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ยังอาจกำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่จะใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากงานอื่นๆ เช่น การรักษาความลับ ความแข็งแรงอดทนต่อความยากลำบาก ความสามารถในการพูดจาเสนอรายงาน เป็นต้น 2. วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ละเอียดถี่ถ้วนและเที่ยงตรงจะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(1) การเลื่อนตำแหน่ง ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(2) การเลื่อนเงินเดือน ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะบ่งชี้ว่าผู้ปฏิบัติคนหนึ่งๆ มีผลงานที่ปฏิบัติได้จริงถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะทำได้ ต่ำกว่า หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากน้อยเพียงใด(3) การแต่งตั้งโยกย้าย สับเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงาน ผลการประเมินจะชี้ว่าผู้ใดมีความรู้ความสามารถ ความชำนาญเหมาะสมที่จะทำงานใด ถ้าปรากฏว่าไม่เหมาะสมกับงานใดเลยก็อาจให้พ้นจากงานไป(4) การพัฒนาบุคคล ผลการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความสามารถของบุคคล ถ้าพบว่ามีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องในด้านใดก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเสริมทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นต่องาน(5) การปรับปรุงระบบวิธีวิธีทำงานและอุปกรณ์การทำงาน ในการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจพบกรณีผลงานต่ำซึ่งมิได้มีสาเหตุจากตัวบุคคลผู้ปฏิบัติงานแต่เป็นเพราะระบบวิธีการทำงานยังไม่รัดกุมหรืออุปกรณ์เครื่องช่วยไม่ดี ซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันการ(6) การปรับปรุงวิธีการเลือกสรรบุคคลเข้าทำงาน หากพบว่าผลงานตกต่ำเนื่องจากได้ผู้ปฏิบัติงานที่อาจมีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับงาน ก็จะได้แก้ไขโดยย้อนกลับไปพิจารณาปรับปรุงการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน เช่น ปรับปรุงข้อสอบ และวิธีการให้ได้คนที่เหมาะสมยิ่งขึ้นนอกจากนี้ การประเมินผลการปฏิบัติยังมีประโยชน์ในแง่อื่นๆ อีก เช่น (1) แสดงผลงานดีเด่น การบันทึกผลงานจะช่วยให้รู้ว่าบุคคลใดทำงานได้ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจมีการพิจารณาให้รางวัลและจูงใจด้วยวิธีการต่างๆ นอกเหนือไปจากการขึ้นเงินเดือนที่เรียกว่ารางวัลจูงใจ (incentive award) เช่น ประกาศเกียรติคุณ ให้แหวนเพชร ให้โล่ เป็นต้น (2) ปรับปรุงผู้ที่มีผลงานต่ำ ผลการประเมินจะบอกให้ทราบว่าผู้ใดควรจะได้รับการปรับปรุงในการทำงาน หรือควรจะโยกย้ายไปทำงานอื่นที่เหมาะสมกว่า หรือควรตักเตือนลงโทษตลอดจนให้พ้นออกจากงาน (3) พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนที่จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงาน จะต้องมีการตกลงกันในเรื่องผลงานเพื่อให้การประเมินเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ผู้บริหารและผู้ใต้บังคับชามีโอกาสได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย3. การจัดระบบการประเมินการประเมินผลการปฏิบัติงานถ้าจะทำให้เป็นระบบจะต้องมีขั้นตอนดังนี้(1) การกำหนดแบบฟอร์ม จะต้องพิจารณาว่าจะใช้องค์ประกอบอะไรในการประเมิน และองค์ประกอบไหนจะประเมินอย่างไร ทั้งนี้ จะต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการที่จะประเมินด้วยจึงจะกำหนดแบบฟอร์มได้ถูกต้อง(2) การกำหนดมาตรฐานในการทำงาน เป็นการกำหนดว่างานที่ผู้ดำรงตำแหน่งหนึ่งๆ จะต้องปฏิบัติในช่วงเวลาหนึ่งควรมีปริมาณและคุณภาพอย่างไร โดยปกติการจัดทำมาตรฐานการทำงานมักเป็นการระบุปริมาณของงานที่ควรจะทำได้แต่สำหรับงานบางลักษณะซึ่งระบุเป็นปริมาณได้ยากก็จำเป็นต้องระบุคุณภาพของงานนั้นแทน(3) การกำหนดระยะเวลาในการประเมิน ในการประเมินการปฏิบัติงานจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน เช่น ถ้าจะประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็จะประเมินกันปีละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง เป็นต้น แต่ในหน่วยงานบางหน่วยงานอาจพิจารณาจัดให้มีการประเมินมากกว่าปีละ 2 ครั้งก็ได้ตามที่เห็นสมควร(4) คู่มือในการประเมิน ควรจะมีคู่มือที่จะอธิบายคุณลักษณะของหัวข้อในการประเมินให้ชัดเจนเพื่อมิให้ผู้ประเมินตีความหมายเอาเอง ซึ่งอาจทำให้ผลการประเมินที่ออกมาผิดไปจากความเป็นจริง1. วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานวิธีการปฏิบัติในการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีอยู่มากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่จะพิจารณาเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะงานแลผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้น แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อบกพร่องต่างๆ กัน สรุปวิธีการหลักๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันๆได้ดังนี้(1) วิธีจดบันทึกปริมาณงาน ใช้กับงานประจำที่ทำตามแบบแผน ทำซ้ำกัน เช่น การพิมพ์ งานเก็บเอกสาร เป็นต้น โดยผู้ปฏิบัตินับจำนวนงานของตนที่ทำได้ต่อวัน สัปดาห์ หรือเดือน เมื่อถึงเวลาประเมินก็นำผลที่ได้เปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว(2) วิธีพิจารณาตามเครื่องวัด (graphic rating scale) คือการกำหนดรายการคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงานที่จะประเมินเอาไว้ แล้วจำแนกแต่ละคุณลักษณะออกเป็นระดับตามความมากน้อย อาจจะได้คะแนนสำหรับแต่ละระดับก็ได้ วิธีนี้นิยมใช้มากที่สุด(3) วิธีพิจารณาโดยตรวจรายการ (check list) วิธีนี้ผู้ประเมินพิจารณาตอบคำถามเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน โดยกาเครื่องหมายลงในช่องคำตอบที่เตรียมไว้แล้ว วิธีนี้นิยมใช้ในโรงงานสำหรับหัวหน้างานประเมินลูกน้อง(4) วิธีเปรียบเทียบบุคคล (paired comparison method) ผู้ประเมินเปรียบเทียบคนทำงานทีละคู่โดยพิจารณาคุณลักษณะหรือผลงาน และตัดสินทีละคู่ว่าใครดีกว่า ทำเช่นนี้ไปจนครบทุกคู่แล้วรวมคะแนนจัดลำดับปัจจุบันมีการคิดค้นทดลองวิธีประเมินผลงานแบบใหม่ๆ หลายวิธี วิธีการใหม่ๆเหล่านี้มักจะเหมาะกับการประเมินคนงานประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้กับคนประเภทอื่นๆที่ไม่ตรงกับเจตนาของการคิดค้นวิธีการนั้นขึ้นมาก็มักใช้ไม่ได้ผล
2. Skill : คือทักษะที่จะทำให้พนักงาน มีทักษะที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะให้พนักงานอยู่ตลอดเวลา เป็น Multi Skill คือให้รู้งานหลายอย่างภายในองค์การ
3. Attitude : คือทัศนคติที่พยายามจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์การ โดยเฉพาะกับลูกค้า เปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่ลูกค้าต้องมาหาเราเป็นให้เราวิ่งไปหาลูกค้าเอง
4. Behavior : คือพฤติกรรมที่จะพยายามทำให้พนักงานเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เช่นทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เปลี่ยนเป็นต้องตื่นตัวและทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อองค์การหรือพร้อมให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลาในปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจของกลุ่มต่างๆ มีมากยิ่งขึ้น “คน” ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้องค์กรสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ แต่คนเก่ง ดี มีความสามารถ มักจะหามาได้ยาก ( Rarity ) กล่าวคือ แม้ว่าในตลาดแรงงานมีผู้จบการศึกษาแต่ละปีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ มักจะหามาได้ยาก
องค์กรต่างๆ จึงต้องแข่งขันกันที่จะนำคนเก่งและมีศักยภาพระดับที่เรียกว่า “ดาวเด่น หรือ Top Talent” เหล่านั้น มาทำงานในองค์กรของตน ซึ่งมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่พนักงานมีหน้าที่เขียน Resume อันสวยหรูเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ได้รับความสนใจจากนายจ้าง แต่ทุกวันนี้การแข่งขันการดึงดูดคนเก่งมีสูง องค์กรจึงต้องหันมาให้ความสนใจกับการสร้าง “ยี่ห้อ” หรือ “Brand” ให้กับองค์กรเอง เพื่อให้คนเก่ง มีศักยภาพมาทำงานในองค์กรของตน โดยวิธีดังกล่าวนี้ เรียกว่า การสร้าง “Employer Branding”
จากความหมายต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น จึงพอที่จะให้ความหมายของ “Employer Branding” ว่า เป็นการสร้าง “ชื่อ” หรือ “ยี่ห้อ” ให้กับองค์กร โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง การมีทัศนคติที่ถูกต้อง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำที่ดี ซึ่งมีการโฆษณาองค์กรของตนเองควบคู่กับแบรนด์ของสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดการมักใจลูกน้อง ครองใจลูกค้านั่นเอง
ในอดีตเรียกกันว่างาน Personal Management หรือฝ่ายบุคคล ซึ่งถูกมองว่าเป็นงานที่รับผิดชอบแค่การจ่ายเงินเดือน ทำฐานข้อมูลพนักงานและรับคนเข้าทำงาน การเปลี่ยนชื่อมาเป็น HR นี่ยังไม่ถึง 20 ปี
เพราะเหตุผลทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้งาน HR แสดงถึงเรื่องของการวางแผนและขยายขอบเขตออกไป จึงเห็นได้ว่างานนี้ค่อยๆ มีพัฒนาการที่สอดรับกับการพัฒนาแนวคิดด้านการสื่อสารองค์กร ที่เลิกมองคนเป็นเพียงหน่วยของการผลิตในทางอุตสาหกรรม แต่มองคนเป็นทรัพยากรที่มีชีวิต
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงานในอดีตเรียกกันว่างาน Personal Management หรือฝ่ายบุคคล ซึ่งถูกมองว่าเป็นงานที่รับผิดชอบแค่การจ่ายเงินเดือน ทำฐานข้อมูลพนักงานและรับคนเข้าทำงาน การเปลี่ยนชื่อมาเป็น HR นี่ยังไม่ถึง 20 ปี
เพราะเหตุผลทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้งาน HR แสดงถึงเรื่องของการวางแผนและขยายขอบเขตออกไป จึงเห็นได้ว่างานนี้ค่อยๆ มีพัฒนาการที่สอดรับกับการพัฒนาแนวคิดด้านการสื่อสารองค์กร ที่เลิกมองคนเป็นเพียงหน่วยของการผลิตในทางอุตสาหกรรม แต่มองคนเป็นทรัพยากรที่มีชีวิต
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงานการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(การจัดการงานบุคคล)
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management
วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก
การจัดการงานบุคคลหรือการบริหารบุคคล เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของการจัดการ เพราะบุคคลเป็นปัจจัยที่ทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย หากการจัดการงานบุคคลไม่มีประสิทธิภาพแล้ว การดำเนินงานขององค์การจะพบอุปสรรคนานาประการ ระบบการจัดการงานบุคคลที่ดีคือระบบคุณธรรม ซึ่งมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ หลักความเสมอภาค หลักความสามารถ หลักความมั่งคง และหลักความเป็นกลางทางการเมือง ปัจจุบันการบริหารบุคคลในประเทศของก้ายหน้าไปมากทั้งในระบบรายการองค์การเอกชนขนาดใหญ่ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจต่างๆ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มมากขึ้นที่การเมืองจะเข้าไปก้าวก่ายการบริหารบุคคลในภาคของรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐมนตรีต้องสามารถควบคุมข้าราชการได้เพื่อบริหารราชการให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ นอกจากนี้ ในภาคเอกชนบริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็ก การบริหารบุคคลกลับไม่ยึดหลักการหรือความเป็นธรรมเท่าที่ควร นายจ้างยังบริหารงานตามใจตนเอง เอารัดเอาเปรียบคนงาน กดค่าจ้าง ไม่ให้สวัสดิการเท่าที่ควร ดังนั้นขวัญและกำลังใจของพนักงานจึงมีน้อย ความจงรักภักดีต่อหน่วยงานยิ่งมีน้อยมากยิ่งขึ้น การวางแผนกำลังคนไม่สู้จะสนใจมากนัก เมื่อคนงานลาออกก็หาใหม่เรื่อยไปและไม่สนใจข้อเรียกร้องต่างๆ ดังนั้นจึงมีปัญหาเรื่องแรงงานตลอดมาและส่งผลกระทบไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานและต้นทุนการผลิตอีกด้วย
การบริหารบุคคลตามหลักเกณฑ์และทฤษฎีควรประยุกต์ให้เหมาะกับบริษัทของตน แม้จะต้องลงทุนในระยะแรกมากขึ้นแต่ผลตอบแทนในระยะยาวจะเกิดขึ้นอย่างคุ้มค่า
- อนาคต 'HR professional' จะไปทางไหน?
- ขยับ 4 องศาความคิดของขุนพลแถวหน้าหลากวงการ
- ครึ่งทางแห่งการเรียนรู้ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง HR ต้องถึงพร้อมด้วยสปีด และเดินหน้าไม่มีถอย
- คลี่กลยุทธ์บริหาร "อารมณ์คน อารมณ์องค์กร" สไตล์ชินคอร์ป ถ้าทำได้จะนำพนักงานไปหนึ่งก้าว
เปิดเส้นทางเครือข่ายความเร็วสูงที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของชาว HR ระยะ 5-10 ปีจากนี้ อนาคตของขุนพลแถวหน้า HR professional จะเป็นเช่นไร?
หลากความคิดมากคำตอบจากโครงการ "เสวนาโต๊ะกลม HR สัญจร" ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง "ผู้จัดการรายสัปดาห์" กับ "สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT)"
คงจะมีหลายข้อที่คน HR สามารถไปต่อยอดความคิด เพื่อให้พลังองค์กรกล้าแกร่งและพุ่งไปข้างหน้าแบบ non stop !!!
ฉัตรพงษ์ วงษ์สุข
HR มาครึ่งทางของการเรียนรู้
ฉัตรพงษ์ วงษ์สุข นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) และผู้จัดการฝ่ายวางแผนและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
บทบาท HR ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ก้าวไกลมาพอสมควร ที่ผ่านมาเป็นการเรียนรู้แนวคิดหลายอย่าง เชิงกลยุทธ์ เพื่อทำให้หลักการบริหารคนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้องค์กรมี performance สูงขึ้น เป็นการกระจายกลยุทธ์องค์กรมาสู่งาน HR
"การเปลี่ยนยุคแต่ละครั้ง เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้า เปลี่ยนวิธีคิด ไม่ใช่ว่าแค่เรียนรู้ ฟัง แล้วจะเปลี่ยนได้ทันที แต่เป็นเหมือนกระบวนการเรียนรู้คนต้องเข้าใจ สังเคราะห์และประยุกต์ใช้ได้ เป็นช่วงเวลาที่ยาวพอสมควร อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลง ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง อย่างน้อย 5 ปีก็ยังเดินอยู่ตรงนี้ เรียกได้ว่า HR เดินมาครึ่งทาง ต้องเดินทางต่อ ต้องคิดพิจารณา ประเมินว่าสิ่งที่เราประยุกต์ให้เข้ากับสังคมไทยๆ องค์กรไทยๆ เข้ากันไหม? มีเกลียวไหนที่เขย่งกันบ้าง? เราต้องมาขัดเกลาอย่างไรให้ localize มากขึ้น"
ที่ผ่านมาฉัตรพงษ์พยายามหลีกเลี่ยงแนวคิดของ strategic partner มาใช้คำว่า strategic HR แทน โดยยืนอยู่บนความคิดที่ว่า ก่อนที่จะให้คนอื่นยอมรับความเป็นพันธมิตร เราต้องทำตัวให้เห็นว่าเป็นพวกเดียวกับเขาก่อน ด้วยการบริหารธุรกิจได้ พูดภาษาธุรกิจได้ ทำ HR ให้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ จากการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน
ก่อนหน้านี้ HR ถูกเรียกร้องให้เปลี่ยนบทบาท หันมาทำความเข้าใจในเนื้องาน HR มากขึ้น และเจอข้อเรียกร้องว่าต้องไปพูดภาษาธุรกิจทุกทักษะ ได้แก่ ภาษาคนผลิต คนทำการตลาด งานขาย การเงิน บัญชี เหล่านี้เขามองว่า เป็นแรงผลักดันยิ่งใหญ่ สาหัสสากรรจ์เกินไปสำหรับคน HR หรือไม่? ซึ่งเป้าหมายจากนี้ไปก็ถือเป็นภารกิจที่คน HR ต้องร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันสถานการณ์เหล่านี้ไปให้ได้ เพื่อให้ช่องว่างระหว่าง HR กับ line manager ลดลง
การบ่ายโฉมหน้าสู่ความเป็น HR professional เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้ งาน HR เป็นการพูดถึงกฎกติกา จึงเป็นการใช้บางวิชามาบริหารงานบุคคล พอผ่านไปช่วงหนึ่งความรู้เดิมเริ่มไม่พอ ต้องเอาความรู้ความเข้าใจในเรื่องคนมาช่วย ดังนั้นพฤติกรรมองค์กรจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ และปัจจุบัน HR มือโปรต้องขับเคลื่อนกันที่ตัวระบบ เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องได้อธิบายได้
ธีระ วีรธรรมสาธิต
บริหารอารมณ์คนให้ได้
ธีระ วีรธรรมสาธิต รองประธานฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า วันนี้งาน HR ต้อง interactive มากขึ้น และบทบาท HR ในระดับที่เป็นทูเวย์ก็ไม่ใช่ไปมารอบเดียว แต่ต้องไปมาไปมาหลายรอบ ดังนั้นการมีส่วนร่วมจากฝ่ายบริหารและฝ่ายพนักงานก็จะมีมากขึ้น HR ต้องเน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย
"HR ที่จะอยู่ได้ในสังคมวันนี้ต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความรวดเร็ว เพราะโลกเราไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงด้วย speed เป็นสองเด้ง สามเด้ง สี่เด้ง HR ต้องมีความเป็น dynamic มากขึ้น เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกฝ่าย แค่ฝ่ายเดียวไม่ครบองค์
เราต้องลดงาน DIY ลง ให้น้อยสุด เพราะวันนี้เรามีงาน employee self service เพื่อให้มีระบบงานที่ดี สามารถทำได้ดี ระบบ outsourcing ก็โอนงานไป และมาโฟกัสองค์กรจริงๆ งานเชิงกลยุทธ์ กระทบยอดขายบริษัทจริงๆ จะได้ผลมากกว่าไป DIY ทุกอย่าง ผมว่า skill set ต่างกัน ระหว่างคนที่ทำงานบุคคลกับทำงานกลยุทธ์ HR รุ่นใหม่ต้องเลือกที่จะโฟกัสอะไรแล้วหละ"
สิ่งหนึ่งที่ต้องมองให้ชัดคือ HR ยังขาดความรู้เรื่องกาละและเทศะ HR ต้องอ่านภาษาคนให้ออก รู้อารมณ์คนในองค์กร บริหารอารมณ์คนแต่ละคน ซึ่งจะกลายเป็นพฤติกรรมกลุ่ม และเป็นอารมณ์องค์กร "เราต้องรู้ภาษาอารมณ์คนในฐานะปัจเจกบุคคล รู้ภาษาทั้งกลุ่ม และภาษาองค์กร เราต้องมีจังหวะรู้อารมณ์และบริหารให้ได้"
เขามองว่า HR ที่เก่งคือ จับอารมณ์คนในองค์กรได้ และ create change ได้ทัน เพราะถ้าเราทำไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลง อารมณ์คนมันไปแล้ว ต้องนั่งตามเก็บ แต่ถ้าสามารถนำทางได้ create change ได้ HR ก็จะนำพนักงานไปแล้วหนึ่งก้าว งานยากก็จะกลายเป็นงานง่ายมากขึ้น
อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ HR ต้องเก่งเรื่อง communication "เราสร้างอะไรได้ตั้งหลายอย่างแต่พอลงมือทำปั๊ป เราสอบตกเรื่องการสื่อสาร เพราะเราขาดการสื่อสารที่ดี แม้แต่ตัว CEO เองก็ยังลืม"
จำเนียร จวงตระกูล
ยุคที่ 4 integrative linkage
จำเนียร จวงตระกูล President & CEO บริษัท Business Law Center International จำกัด ที่ปรึกษาทางด้านบริหารจัดการองค์กร กล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงในงาน HR เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ไทยเราเปลี่ยนแผนพัฒนาประเทศมุ่งสู่อุตสาหกรรม เกิดการจ้างงาน เริ่มมีการบริหารจัดการคน จากโมเดล 4 ระดับ เริ่มตั้งแต่ไม่มีการเชื่อมโยงธุรกิจเลย มาเป็นงานธุรการ งานตอกบัตร ค่อยพัฒนามามีความรู้เพิ่มขึ้น มีการเชื่อมโยงแบบวันเวย์ ระดับ 3 เริ่มเป็นทูเวย์คนเริ่มเรียนรู้ ทำงานมีระบบมากขึ้น ระดับ 4 ยุคปัจจุบันเป็น integrative linkage
"งานบุคคลถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจ ฝ่ายบุคคลมีบทบาทมากขึ้น จากผู้ตามมาเป็นผู้นำ งานที่ทำก็ยังอยู่ทั้ง 4 ระดับ แต่มองว่าจะอยุ่ระดับไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง"
เขากล่าวต่อว่า เป้าหมายใหญ่จากนี้คือต้องสร้าง HR professional มากขึ้น ต้องช่วยกันสร้างแต่ละระดับให้ไล่ขึ้นไป เพราะปัจจุบันคนที่ก้าวไปเป็น integrative linkage มีอยู่น้อยราย ส่วนใหญ่ HR จะติดอยู่ที่ทูเวย์ ซึ่งก็น่าที่จะมีปริมาณมากพอที่จะพัฒนาไปสู่ integrative linkage
"การจัดการมีพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากการบังคับบัญชามาเรื่อยๆ จาก I think you do ไม่ได้แล้วคนมีความรู้มากขึ้นกลายเป็นว่า we think we do ทำด้วยคิดด้วย ตอนนี้เรากำลังก้าวไปถึง empowerment เป็น you think you think พนักงานคิด พนักงานทำ พนักงานตัดสินใจ ซึ่งคิดว่า ideal มากในปัจจุบันนี้ ถ้าองค์กรเปิดให้มีการคิดเองทำเอง ตัดสินใจเอง องค์กรนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างมองไม่เห็นภาพเลย เป็นเรื่องน่าคิด"
ดร.กังวาน ยอดวิศิษฎ์ศักดิ์
รู้ให้กว้างเหมือนเป็ด
ดร.กังวาน ยอดวิศิษฎ์ศักดิ์ Associate Director - Administration คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาของ HR จริงๆ จากการที่ทำการศึกษา สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ HR อยากสวมบทบาทมือโปร แต่บางครั้งเป็นไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่มาจากหลายเหตุผล เช่นว่า มีการยอมรับจาก line manager มากน้อยแค่ไหน? HR หลายคนมีความรู้ในสายงาน function ดี แต่ไม่ได้มีความรู้ในสายงานธุรกิจเลย เวลาเข้าการประชุมก็มองไม่เห็นภาพของสายงานอื่น การยอมรับของ line manager จึงมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
"ถึงแม้ว่า HR จะมีความรู้ แต่ HR คนไทยงานหนักก็ยังเป็นเรื่องของงาน admin อยู่ เราก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของการเป็นพันธมิตรที่ดี ไม่สามารถไปคิดอะไรใหม่ๆ ให้กับองค์กรได้ ขณะที่ HR บริษัทต่างชาติ แทบไม่ได้แตะเลยเพราะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี มีการใช้โปรแกรมต่างๆ เข้ามาช่วย"
เขามองว่าข้อเรียกร้องจากผู้บริหารระดับสูงวันนี้คือ ต้องการให้ผู้จัดการแต่ละแผนกมีความสามารถหลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่ HR ต้องปรับบทบาท แต่คนที่เป็นการตลาดเอง ก็ต้องโดนบีบให้เข้าใจบัญชีด้วย ทุกคนต้องรู้กว้าง ถือเป็น requirement ของคนที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารในปัจจุบัน ถึงแม้จะถูกโยกย้ายไปในตำแหน่งใดก็ตาม แต่ก็ต้องรู้ทั้งหมดให้กว้างมากขึ้น เรียกได้ว่าคนรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างเหมือนเป็ด
การจัดการทรัพยากรมนุษย์หมายถึง การที่นายจ้างจัดการเรื่องการเรียนรู้ ให้บุคลากรของตนภายในในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการทำงาน และเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของบุคลากร
การฝึกอบรบ (Training) : คือความพยายามที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของพนักงานให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน 4 ด้านคือ 1. knowledge : คือความรู้ที่จะทำให้พนักงานสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงความรู้เดิม ให้ได้หลากหลาย ให้มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ อยู่เสมอ2. Skill : คือทักษะที่จะทำให้พนักงาน มีทักษะที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะให้พนักงานอยู่ตลอดเวลา เป็น Multi Skill คือให้รู้งานหลายอย่างภายในองค์การ3. Attitude : คือทัศนคติที่พยายามจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์การ โดยเฉพาะกับลูกค้า เปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่ลูกค้าต้องมาหาเราเป็นให้เราวิ่งไปหาลูกค้าเอง4. Behavior : คือพฤติกรรมที่จะพยายามทำให้พนักงานเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เช่นทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เปลี่ยนเป็นต้องตื่นตัวและทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อองค์การหรือพร้อมให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) : คือการพัฒนาพนักงาน เพื่อพร้อมกับแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการ โดยเฉพาะในปี ค ศ. 2000 ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ องค์การโทรศัพท์ฯ ก็จะจัดการวางแผนเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การโทรศัพท์ฯเอง หลักสูตรสำหรับการอบรม จะมีหลักสูตรมากมายยกตัวอย่างเช่น 1. Supervisor Grid 2. Managerial Grid3. Management By Objective (MBO)4. Mini MBA.
"การพัฒนา ...ประเมิน....ติดตามผล" ความรู้
ความรู้ไม่ควรหยุดนิ่ง ความรู้ย่อมต้องมีพัฒนาการและความต่อเนื่อง เนื่องจากโลกปัจจุบันมีความเคลื่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากคุณหยุดที่จะเรียนรู้จะทำให้คุณไม่รับรู้กระแสของการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคุณควรสำรวจเพื่อประเมินตัวเองว่าองค์ความรู้ของคุณมีได้พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน และเรื่องไหนบ้างที่คุณยังไม่รู้ แต่ควรที่จะรู้ รวมทั้งมีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้คุณได้ความรู้เพิ่มขึ้น โดยการจัดทำตารางการประเมินเพื่อพัฒนาความรู้ของคุณ ดังนี้ ความรู้ที่มี ความรู้ที่ไม่มี วิธีการหาความรู้
เวลาที่จะเรียนรู้ กระบวนการหรือวิธีการ เทคนิคการเจรจาต่อรอง - อ่านหนังสือ - ทุกเช้าก่อนเริ่มงาน 30 นาที
จัดซื้อ / จัดหา กับ Supplier
- เข้าฟังสัมมนา/อบรม
การสื่อสารทั้งในภาวะสถานการณ์ปกติซึ่งต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หรือในช่วงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจหรือเกิดปัญหาการประท้วงก่อความวุ่นวาย เป็นประเด็นที่นักบริหารทรัพยากรบุคคลหรือนักแรงงานสัมพันธ์ต้องหันกลับมา ตรวจสอบทบทวนความคิดหรือเทคนิควิธีการขององค์การตนเอง ว่าเรามีการเตรียมการ มีเทคนิคในการดำเนินการเหล่านี้เพื่อรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้วหรือยัง เพราะมิฉะนั้นอาจจะปัญหาอาจจะรุนแรงเกินกว่าที่คิดและยากที่จะแก้ไข และเป้าหมายขององค์การที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อฝ่าฟันวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอดขององค์การก็จะไม่ประสบความสำเร็จเลย
• “ทรัพยากรมนุษย์”
• ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง – คนที่มีความพร้อม– มีความตั้งใจ– มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า) ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์• “ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ• คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้นHuman Resource
Organizati |
Waste เช่นสิ่งเหลือ
Human Resource
คน ที่มีประสบการณ์มากขึ้นมีคุณ
และมีความมั่นใจมากขึ้นการบริหารทุนมนุษย์
- การบริหารทุนมนุษย์ หรือ (Human Capital) หมายถึง เทคโนโลยี ความรู้ทักษะ และสมรรถนะซึ่งติดตัวคนในองค์กรและมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน เช่น ทักษะเชิงเทคนิค นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และสมรรถนะการเป็นผู้นำ
- ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพย์สิน (Asset)ขององค์กรที่มีสภาพเป็น “ทุน(Human Capital)”
ซึ่งสำคัญยิ่งต่อการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร
- องค์กรใดมีทุนมนุษย์ที่เหนือกว่า ก็จะสามารถยืน
อยู่ได้ในสถานะที่เหนือกว่าองค์กรคู่แข่งได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคตดรอบความคิดแบบเดิม | กรอบความคิดแบบใหม่ |
ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นต้นทุน (Cost) ที่เกิดขึ้น | ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า (Value) ในตัวคนให้เกิดขึ้น |
ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่าเป็นงานสนับสนุน (Support Function) | ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่าเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ขององค์กร (Strategic Partner) |
งบประมาณด้านทรัพยากรมนุษย์จะถูกกำหนดขึ้นจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลเท่านั้น | ผู้บริหารระดับสูงจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดงบประมาณด้านทรัพยากรมนุษย์ |
ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลในองค์กร | ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยผู้บริหารระดับสูงในองค์กร |
มีความพยายามที่จะทำความเข้าใจถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (ROI : Return on Investment) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น | ROI ถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญโดยจะต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุแลผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (Cause - and - Effect Relationships) |
ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้น | ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่จำเป็นจะต้องเก็บรวบรวมให้มีขึ้น |
โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร | โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะขององค์กร ก่อนที่โปรแกรมนั้นจะถูกนำไปประยุกต์ใช้ทั่วทั้งองค์กร |
โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากสิ่งที่ได้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยนำเข้า (Input) มากกว่า | โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากผลผลิตที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยด้านผลลัพธ์ (Output) มากกว่า |
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการจัดการงานบุคคลวัตถุประสงค์การเรียน1.เพื่อให้ทราบความหมายของการจัดการงานบุคคล
2.เพื่อให้ทราบหน้าที่ของหน่วยงานทรัพยากรบุคคล
3.เพื่อให้ทราบทฤษฎีการจัดการงานบุคคล
4.เพื่อให้ทราบระบบการจัดการงานบุคคล และสามารถบอกข้อดี ข้อเสียของแต่ละระบบได้ ความหมายของการจัดการงานบุคคล
•การจัดการงานบุคคล หมายถึง ภารกิจของผู้บริหารในกิจกรรมทั้งปวงเกี่ยวกับงานบุคลากร เพื่อมุ่งให้บุคคลขององค์กรเป็นทรัพยากรที่มี ประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา การบริหารทรัพยากรมนุษย์(การจัดการงานบุคคล) คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก ในปัจจุบัน องค์กรหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ “ คนเก่ง ” ภายในองค์กร เนื่องจากการเจริญเติบโตทางธุรกิจขององค์กรส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้ “ คนเก่ง ” ในการเข้าจัดการกับปัญหาและกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขัน “ การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)” เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จาก “ คน ” ให้มีคุณค่าสูงสุดแก่องค์กร Jeffrey Berk (2004, Talent Management : Valuing Human Capital) กล่าวว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เปรียบเช่นเดียวกับการลงทุนในทรัพยากรอื่น เช่น การ upgrade คอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่าย 500 บาท ก็หวังว่าองค์กรจะได้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 500 บาทที่จ่ายไป หากองค์กรต้องลงทุนค่าฝึกอบรมแก่พนักงาน ก็หวังว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเป็นค่าฝึกอบรมนั้น บางองค์กรจึงวัดประสิทธิภาพจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าวด้วยดัชนี ROI (Return On Investment) องค์กรจ่ายเงินไปเท่าไร เมื่อวัดผลการดำเนินงาน (Performance) ต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าเงินที่จ่ายไป ผู้เขียนขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าองค์กรต้องจ่ายค่าฝึกอบรมให้พนักงานขายไปอบรมเรื่องการขายและการตลาดไปเท่าไร อย่างน้อยต้องมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินที่จ่ายไป เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย เรื่อง Talent Management ถือเป็นเครื่องมือทางการบริหารอย่างหนึ่งที่เริ่มศึกษาและพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แทนเรื่อง “ การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning)” ที่บางองค์กรเริ่มนำระบบการบริหารนี้ไปใช้อย่างจริงจัง เพราะเกรงว่าหากผู้นำองค์กร หรือผู้บริหารขององค์กรต้องจากองค์กรไปด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งถูกคู่แข่งซื้อตัวไป จะต้องมีผู้อื่นที่สามารถบริหารงานแทนได้ทันทีและมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวบรรยายในหัวข้อ "การบริหารทรัพยากรมนุษย์พันธุ์ใหม่" ในงานสัมมนา " DNA for SMART HR" ซึ่งจัดโดยโครงการบัณฑิตศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ ( นิด้า) ร่วมกับหนังสือพิมพ์มติชนและประชาชาติธุรกิจ เมื่อต้นเดือนสิงหาคม,2547 มีความตอนหนึ่งที่น่าสนใจว่า “" การทำองค์กรให้สมาร์ทอันหนึ่งคือ Succession Planning หมายความว่าตรงจุดต่างๆ หากเกิดมีคนออกไป จะมีคนใหม่เข้าไปทำแทน เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวสำคัญๆ ที่วางตัวไว้ในองค์กร พอไปถามว่าใครจะเป็นตัวแทนให้กับคนนี้ ส่วนใหญ่จะไม่มีคำตอบกลับมา เลยทำให้ Succession Planning เกิดขึ้นด้วยความยากลำบาก แค่คนที่เป็นหัวเพียงคนเดียวก็หายากเต็มทีแล้ว มีตัวคน แต่ฝีมือคนละรุ่นกัน ผมก็ทำอยู่ในจุดสำคัญๆ ในองค์กร พอถามว่าใครเป็นตัวแทน ให้พูดชื่อพูดได้ แต่ถามว่าใครกล้าบ้าง โดยทั่วไปไม่แน่ใจว่าคนที่เป็นเบอร์ 2 ตรงนั้นทำได้ คนมีเยอะแต่คนที่เข้าสเป็กหาไม่ได้ แต่ว่าองค์กรที่แข็งแกร่งต้องมีตัวตายตัวแทน เพราะถ้าตัวเก่งๆ ไป องค์กรจะสะดุดทุกองค์กร"
ในการทำ งานพัฒนาบุคลากร HR สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคืออะไร
การพัฒนาบุคลากรให้กับองค์การมีสิ่งที่ต้องคำ นึงถึง 3 ประการคือ หนึ่ง Corporate Need ความต้องการ ขององค์การ ดูวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมายขององค์การ เป็นสิ่งที่คนทำ งานด้าน Training and Development จะ ต้องตีความให้ชัดเจน และเอามาตอบสนองให้ได้ สอง ระดับย่อยลงไปก็คือ Department Need ในเฉพาะสายงาน ซึ่ง ก็จะตอบสนองกับ Corporate Need อยู่แล้ว เช่น ถ้าเป็นฝ่ายการตลาดจะตอบสนองอย่างไร ผู้บริหารในฝ่ายต้อง มองให้ออกว่าจะต้องเตรียมคนยังไง แล้วก็มาถึง ข้อสาม Individual Need พนักงานต้องรู้เหมือนกันว่าเรามีจุดด้อย ตรงไหน ต้องการจะเพิ่มอะไร เพื่อจะให้ทำ งานให้ดี แต่ก็ไม่ใช่พนักงานไปคิดเอาเอง หัวหน้างานต้องเป็นคนแนะนำ ให้ ด้วยว่าเขาจะต้องพัฒนาอะไร การตอบสนอง Corporate Need เป็นการมองภาพรวม HR ต้องทำ โดยตรง แต่ในส่วน Department Need กับ Individual Need ต้องทำ ร่วมกับ Line Manager แน่นอนว่าทั้งสามข้อต้องไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้าองค์การมีนโยบายว่าต้องสร้างองค์การให้เป็นองค์ การแห่งการเรียนรู้ ชอบพูดกันจังเลย โก้ดี แต่ทำ อย่างไรล่ะ มันก็ต้องปลูกจิตสำ นึกให้คนอยากเรียนรู้ ให้รู้จักว่าจะ แสวงหาความรู้ได้ที่ไหน องค์การก็ต้องจัดหามาให้ ไม่ว่าจะเป็นการบริการห้องสมุดหรือ Internet
ปัจจุบันองค์การส่วนใหญ่ต้องการบุคลากรแบบใด
หลักการทั่วไปคนที่องค์การอยากได้ต้องมี 5 H คือ Head มีความรู้ความสามารถ Hand มีความร่วมมือในการทำ งาน Heart ทำ งานด้วยใจรัก ถ้ามีความคิดว่าเราทำ งานเพราะเรารักงานนี้ มีความรู้สึกเป็นเจ้าของงานจะออกมาดี
Habit มีวินัย มีอัธยาศัยดี Harmonic สามารถทำ งานร่วมกับผู้อื่นได้ ปัจจุบันองค์การทั้งหลายอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันคือต้องการใช้คนให้น้อยที่สุด แต่ทำ งานได้มาก ทำ งานเก่ง เพราะฉะนั้น หนึ่ง ต้องเป็นคนที่รู้จักการใช้
เครื่องมือ อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามาช่วยในการทำ งานได้ สอง ทำ งานได้หลายอย่าง เป็น Multi Skilled มีความเป็น Specialist และ Generalist อยู่ในตัวเอง ซึ่งเมื่อองค์การต้องการ Rotate มันจะทำ ได้ง่าย แต่ทัศนคติของคนไทยยอมรับไม่ค่อยได้ในเรื่องนี้ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวความไม่มั่นคง ในระบบ
Career Development จะประสบความสำ เร็จต้องมีเรื่อง Rotation แต่คนไทยยังไม่ค่อยเข้าใจ
หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
1. หลักความเป็นธรรมในเรื่องอัตราค่าจ้าง หมายถึง ชั่วโมงการให้ความเป็นธรรมในการทำงานและสภาพในที่ทำงาน เรื่องของความเป็นธรรมนั้นเป็นความต้องการของทุกๆคน แม้ว่าเราไม่ทราบแน่ชัดว่าความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน หรือยังไม่เข้าใจกันอย่างแท้จริงว่าความยุติธรรมคืออะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยเลยทีเดียว
2. หลักการติดต่อสื่อสาร หมาถึงการแจ้งให้พนักงานได้ทราบข่าวคราวความเป็นไปต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนไดัส่วนเสียทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง การเปิดเผยข่าวให้คนงานที่มีความรู้เห็นนั้นก่อให้เกิดผลดีและสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกัน คนงานจะได้รู้ความคลี่คลายต่างๆที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ก็เท่ากับเป็นการสร้างความไว้วางใจให้แก่พนักงาน
3.หลักความมีคุณค่า ทำให้คนงานมีความรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นส่วนหนึ่งขององค์
การ ความรู้สึกในความสำเร็จของความภูมิใจในอาชีพและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นความต้องการของพนักงานทุกระดับ และเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ
4.หลักความเป็นกันเองกับพนักงาน ในการติดต่อกับพนักงานในเรื่องงานถึงแม้ว่าจะเกิด
ขึ้นโดยมีระเบียบแบบแผนกำหนดไว้อย่างเป็นทางการ ก็ไม่ควรถือว่าต้องกระทำตามพิธีเสมอไป เพราะการทำให้ความร่วมมือของพนักงานทุกคนเกิดขึ้นจากอิทธิพลของความรู้สึกส่วนตัว ทัศนคติทางสังคม ทางวัฒนธรรมและทางจรรยามารยาทของแต่ละคน
5. หลักความรู้ความสามารถ ผู้บริหารไม่ควรคิดว่าค่าจ้างเป็นการ”ให้” แต่เกิดจากการ“ใช้ความรู้และความสามารถ” ของลูกจ้างเอง เพราะการดำเนิธุรกิจถือหลักความสามารถเป็นเกณฑ์ไม่ใช่การกุศลที่มัวจะคำนึงถึงเมตตาจิตของผู้บริหาร โดยคิดว่าการจ่ายค่าจ้างเป็นบุญคุณของเจ้าของกิจการ
6. หลักความสามารถ ต้องถือว่าพนักงานมีความสามารถด้วยกันทุกคน อย่าดูถูกเหยียดหยามพนักงาน เราจะเห็นได้ว่าคนบางคนไม่กระตือรือร้น ไม่มีผลงาน เพราะเขาอาจไม่มีโอกาสและช่องทางที่แสดงความสามารถของตนให้ปรากฏ แต่ในความจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ผู้บริหารเพียงแต่ดูคนให้เป็น ใช้คนให้ถูกก็จะสามารถดึงเอาความรู้ความถนัดของแต่ละคนมาใช้เป็นประโยชน์ต่องานได้
ความสำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
เนื่องจากทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดในบรรดาทรัพยากรทั้งมวลในองค์การซึ่งสามารถสรุปความสำคัญไว้ ดังนี้
1. ช่วยให้พนักงานในองค์กรได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง และพัฒนาตนเองให้มีความสามารถเชิงสมรรถนะในการปฏิบัติงานได้อย่าวงเต็มที่ มีความผาสุขและพึงพอใจในการทำงาน เกิดความก้าวหน้า สามรถทำงานที่ให้ผลการดำเนินการที่ดีมีประสิทธิภาพ
2. ช่วยพัฒนาองค์กร พนักงานทีมคุณภาพก็จะดำเนินการตามแผนปฏิบัติการตามแนวทางที่ผู้นำระดับสูงวางไว้อย่างมีประสิทธิผล ทำให้เกิดผลงานที่เป็นเลิศทั้งทางด้านบริการและการผลิตสินค้า องค์การย่อมมีความเจริญก้าวหน้า มีความมั่นคงและขยายงานออกไปได้ด้วยดี
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ เมื่อองค์การซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมมีความเจริญก้าวหน้าและมั่นคงดี ก็ย่อมจะส่งผลไปถึงสังคมโดยรวมด้วย
4. ช่วยในการพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เนื่องจากการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะเป็นงานที่ต้องประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อแสวงหาแนวทางให้บุคคลที่มีความเหมาะสมเข้ามาปฏิบัติงานในองค์กรซึงจะส่งผลให้องค์กรเกิดความเติบโต
5. ช่วยให้กิจกรรมด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ และมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เพื่อป้องกันการขาดแคลนบุคลากรในงานประเภทต่างๆ และสอดคล้องกับการวางแผน
2.2 ปรัชญาของการจัดการที่มองเห็นว่าบุคลากรเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญขององค์กร และมองเห็นว่าบุคลากรมีความตั้งใจและมีความสามารถที่จะพัฒนาได้
2.3 การนำแนวคิด HRM บูรณาการเข้ากับการจัดการกลยุทธ์ขององค์การ คือ HRM เป็นกลยุทธ์หนึ่งในกลยุทธ์ขององค์การเพื่อให้องค์การสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
การบริหารคน | HRM | ทุนมนุษย์ |
1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะสั้น2. เน้นการทำให้พนักงานยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งตามสายบังคับบัญชา3. ใช้ปัจจัยภายนอกบุคคลควบคุม เช่น วินัย เป็นต้น4. องค์การประกอบด้วยหลายฝ่าย5. โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการ6. พัฒนาพนักงานให้รอบรู้เฉพาะด้าน7. เน้นการลดต้นทุนด้านบุคคลให้ต่ำที่สุด | 1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะยาว2. เน้นการสร้างความผูกผันและการมีส่วนร่วมของพนักงานในการทำงาน3. ให้พนักงานควบคุมตนเอง4. องค์การเน้นความเป็นหนึ่งเดียว5. โครงสร้างองค์การแบบหมู่คณะ6. พัฒนาพนักงานให้เรียนรู้รอบด้านในภารกิจขององค์การ7. เน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด | เน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร |
ความสำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
สร้างภาวะผู้นำที่กระทรวงวัฒนธรรม
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันที่ วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550
ผมมาจัดโครงการพัฒนาผู้นำและผู้บริหารมืออาชีพของกระทรวงวัฒนธรรมรุ่นที่ 4 จำนวน 43 คน รวมทั้งหมด 8 วัน อยู่ที่ไดมอนด์พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องแล้ว 3 รุ่น
ผมโชคดีที่รู้จักคุณหญิงที่เก่ง เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและมีคุณธรรม 2 ท่านที่กระทรวง ท่านแรกคือคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม อีกท่านคือรัฐมนตรีคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ ต้องยอมรับว่า งานในการพัฒนาผู้นำระดับ C7 และ C8 ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากคุณหญิงเหล็กทั้งสองท่าน คุณหญิงทิพาวดี ริเริ่ม และคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ มาทำอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ผู้นำในกระทรวงอื่นๆ ให้ความสนใจเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ความสำเร็จที่ได้รับในการพัฒนารุ่น 1-3 มีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญอันหนึ่ง ผมและคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ได้เขียนหนังสือ "2 พลังความคิด ชีวิตและงาน" ได้พัฒนาแนวคิด8 H และนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ - Heritage มรดก คือ รากเหง้า
ผมยังได้เล่าให้ท่านรัฐมนตรีฟังเกี่ยวกับ โรงเรียนเทพศิรินทร์ ปทุมธานี ซึ่งท่านจะไปเยี่ยมโรงเรียนเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นความหวังที่วันหนึ่งจะดึงเอา 3 จังหวัดภาคใต้กลับมาเหมือนเดิม ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งที่เป็นห่วงอย่างมาก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เห็นปัญหาความรุนแรงมากขึ้น และเข้าขั้นวิกฤติ การพัฒนาข้าราชการ เป็นเรื่องที่สำคัญ ควรทำให้เกิดผล วัดผลได้ ท่านคงเห็นบรรยากาศในการเรียนของรุ่นที่ 4 โดยใช้ 4 L's เน้นให้ผู้เข้าร่วมสนุกกับการเรียนที่นำเอาไปใช้ ซึ่งยุคใหม่คือ เกี่ยวข้อง (Relate) กับงานที่เขาทำอยู่และปรับพฤติกรรมตัวเอง สำหรับโครงการรุ่นที่ 4 จะมีการสรุปที่จะรายงานปลัดกระทรวงในวันที่ 3 มีนาคม และน่าจะได้โครงการดีๆ ที่จะนำไปใช้สร้างมูลค่าต่อไปให้เป็นรูปธรรม และจะเน้นแนวทางแบบ Innovation ผมได้อยู่กับบรรดา C8 , C7 อย่างเป็นกันเอง และคิดว่าลูกศิษย์รุ่น 1-5 จำนวน 200 คน คงจะเป็นกลุ่มใหญ่ที่ช่วยสร้างมูลค่าต่อไป คำถามคือ จะประเมินผลและสร้างสังคมการเรียนรู้ และสร้างบรรยากาศในการเรียนให้ต่อเนื่อง และสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร |
การบริหารงานบุคคล (PM) | การบริหารทรัพยากรมนุษย์(HRM) |
1. มีลักษณะค่อนข้างเป็นยุทธวิธี มองเป็นจุดๆ 2. มองระยะสั้น 3. การติดต่อสื่อสารเป็นแบบดั้งเดิม 4. การแก้ปัญหามีลักษณะเป็นส่วนๆ ไม่สัมพันธ์กัน 5. วิธีการทำงานเป็นแบบดั้งเดิม การตัดสิน ใจมักมาจากเบื้องบน การมีส่วนร่วมมีน้อย 6. มีลักษณะของสหภาพแรงงานแบบดั้งเดิม 7. การจ่ายค่าตอบแทนแบบดั้งเดิม (เน้นตัวเงิน) 8. พนักงานต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเน้นความมั่นคงในการทำงาน 9. ยอมรับความแตกต่างของคนในองค์การ 10. เงื่อนไขการทำงานสำหรับกลุ่มจะคล้าย คลึงกัน 11. ผู้บริหารมักจะเข้าไปช่วยผู้ใต้บังคับ บัญชาในการแก้ไขปัญหา 12. เน้นให้ความยุติธรรมกับทุกคนภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับขององค์การ 13. เป็นกิจกรรมพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะ 14. ผู้ชำนาญงานเฉพาะด้านเข้ามาบริหารจัดการ |
1. เป็นกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์มองภาพรวมทั้งหมด 2. มองระยะยาว 3. ใช้หลายช่องทางในการติดต่อสื่อสาร 4. มีกรอบในการบูรณาการกิจกรรมต่างๆเข้าด้วยกัน 5. เน้นให้ความสำคัญกับการเข้ามามีส่วนร่วมของพนักงานทุกคน6. พยายามลดบทบาทของสหภาพแรงงาน เน้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง 7. มีการจ่ายค่าตอบแทนหลายรูปแบบ(ไม่เน้นตัวเงิน)8. เน้นการเปลี่ยนแปลง พยายามเพิ่มวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น 9. เน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 10. ให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล นอก เหนือจากกลุ่ม 11. ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบของคนในองค์การในการตัดสินใจด้วยตนเอง 12. ถ้าเป็นความยุติธรรมมองที่สิทธิที่จะได้ จากการปฏิบัติจากผู้บังคับบัญชาด้วยความเหมาะสม เกิดขึ้นภายใต้การจัดการที่มีประสิทธิภาพ 13. เหมือนการจัดการทรัพยากรด้านอื่นๆ 14. ฝ่ายปฏิบัติตามสายงานบริหารงานร่วมกับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นหุ้นส่วนเชิงกลุยทธ์ |
ความแตกต่างด้านบทบาทและหน้าที่ 1. ฝ่ายบริหารงานบุคคล มีบทบาทและหน้าที่ดังนี้
1.1 หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับองค์การ
- การกำหนดนโยบายทางด้านงานบุคคล
- การให้คำแนะนำ
- การควบคุมและการสั่งการตามสายการบังคับบัญชา
2. หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคน ได้แก่ การสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การโยกย้าย การเลื่อนขึ้น การฝึกอบรม การแรงงานสัมพันธ์ การเกษียณอายุ ฯลฯ
2.2 ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ มีบทบาท ดังนี้
1. บทบาทภาคธุรกิจ : ศึกษาทิศทางขององค์การ มีการเตรียมวางแผนกำลังคน ดังนี้
- ระดับฝ่ายปฏิบัติการ มีกิจกรรมด้านการสรรหาคน การคัดเลือก การพัฒนา ในเวลาสั้นๆ
- ระดับฝ่ายบริหาร เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ แผนพัฒนาบุคลากร แผนค่าจ้าง เงินเดือน แผนการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น
- ระดับกลยุทธ์ เข้าไปช่วยฝ่ายบริหารระยะยาวในการตัดสินใจ
2. บทบาทในการสร้างความสามารถ เข้าไปสนับสนุนฝ่ายปฏิบัติตาม (Line) ให้มีประสิทธิภาพในการบริหารงาน
3. บทบาทในการติดตามผล นำระบบที่เรียกว่า Human Resource Information System (HRIS) เข้ามาใช้
4. บทบาทเป็นผู้นำในการนำความคิดใหม่ๆ เข้ามาใช้ในองค์การ เช่น QWL, QC, TOM, Team work ฯลฯ
5. บทบาทในการปรับตัวขององค์การ โดยเข้าไปเกี่ยวข้องในการเป็นผู้นำในการเปลี่ยน แปลงจะเห็นได้ว่าบทบาทและหน้าที่ของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปจากฝ่ายบุคคล ดังนี้
1) จากที่เคยมีส่วนร่วมในการวางแผนงานประจำ และวางแผนดำเนินงานต่างๆ เท่า นั้น ก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนงานประจำ และวางแผนดำเนินงานต่างๆ เท่านั้น ก็จะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำแผนกลยุทธ์ และต้องเข้ามารับรู้และเตรียมการปรับทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องไปด้วยกันได้กับแผนต่างๆ
2) มีฐานะที่สูงขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าร่วมวางแผน และเสนอแนะฝ่ายบริหารในการบริหารทรัพยากรมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ
3) จากที่เคยได้รับมอบหมายให้เตรียมการและตัดสินใจเฉพาะกับพนักงานระดับต่ำ ก็จะได้รับบทบาทหน้าที่ในการพิจารณาและบริหารตำแหน่งผู้บริหารและผู้ชำนาญการต่างๆ ด้วย
4) จากที่เคยได้รับอำนาจตัดสินใจในเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานประจำเท่านั้น ก็จะได้รับอำนาจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ด้วย
5) จากที่เคยทำหน้าที่ประสานงานในขอบเขตที่แคบๆ และเฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น มีบทบาทขยายเพิ่มขึ้นในการประสานกับหน่วยงานอื่นๆ ภายในองค์การ ที่เป็นกิจกรรมทางด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั้งหมด
หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
1. หลักความเป็นธรรมในเรื่องอัตราค่าจ้าง หมายถึง ชั่วโมงการให้ความเป็นธรรมในการทำงานและสภาพในที่ทำงาน เรื่องของความเป็นธรรมนั้นเป็นความต้องการของทุกๆคน แม้ว่าเราไม่ทราบแน่ชัดว่าความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน หรือยังไม่เข้าใจกันอย่างแท้จริงว่าความยุติธรรมคืออะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยเลยทีเดียว
2. หลักการติดต่อสื่อสาร หมาถึงการแจ้งให้พนักงานได้ทราบข่าวคราวความเป็นไปต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนไดัส่วนเสียทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง การเปิดเผยข่าวให้คนงานที่มีความรู้เห็นนั้นก่อให้เกิดผลดีและสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกัน คนงานจะได้รู้ความคลี่คลายต่างๆที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ก็เท่ากับเป็นการสร้างความไว้วางใจให้แก่พนักงาน
3.หลักความมีคุณค่า ทำให้คนงานมีความรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นส่วนหนึ่งขององค์
การ ความรู้สึกในความสำเร็จของความภูมิใจในอาชีพและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นความต้องการของพนักงานทุกระดับ และเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ
4.หลักความเป็นกันเองกับพนักงาน ในการติดต่อกับพนักงานในเรื่องงานถึงแม้ว่าจะเกิด
ขึ้นโดยมีระเบียบแบบแผนกำหนดไว้อย่างเป็นทางการ ก็ไม่ควรถือว่าต้องกระทำตามพิธีเสมอไป เพราะการทำให้ความร่วมมือของพนักงานทุกคนเกิดขึ้นจากอิทธิพลของความรู้สึกส่วนตัว ทัศนคติทางสังคม ทางวัฒนธรรมและทางจรรยามารยาทของแต่ละคน
5. หลักความรู้ความสามารถ ผู้บริหารไม่ควรคิดว่าค่าจ้างเป็นการ”ให้” แต่เกิดจากการ“ใช้ความรู้และความสามารถ” ของลูกจ้างเอง เพราะการดำเนิธุรกิจถือหลักความสามารถเป็นเกณฑ์ไม่ใช่การกุศลที่มัวจะคำนึงถึงเมตตาจิตของผู้บริหาร โดยคิดว่าการจ่ายค่าจ้างเป็นบุญคุณของเจ้าของกิจการ
6. หลักความสามารถ ต้องถือว่าพนักงานมีความสามารถด้วยกันทุกคน อย่าดูถูกเหยียดหยามพนักงาน เราจะเห็นได้ว่าคนบางคนไม่กระตือรือร้น ไม่มีผลงาน เพราะเขาอาจไม่มีโอกาสและช่องทางที่แสดงความสามารถของตนให้ปรากฏ แต่ในความจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ผู้บริหารเพียงแต่ดูคนให้เป็น ใช้คนให้ถูกก็จะสามารถดึงเอาความรู้ความถนัดของแต่ละคนมาใช้เป็นประโยชน์ต่องานได้
การบริหารคน | HRM | ทุนมนุษย์ |
1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะสั้น2. เน้นการทำให้พนักงานยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งตามสายบังคับบัญชา3. ใช้ปัจจัยภายนอกบุคคลควบคุม เช่น วินัย เป็นต้น4. องค์การประกอบด้วยหลายฝ่าย5. โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการ6. พัฒนาพนักงานให้รอบรู้เฉพาะด้าน7. เน้นการลดต้นทุนด้านบุคคลให้ต่ำที่สุด | 1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะยาว2. เน้นการสร้างความผูกผันและการมีส่วนร่วมของพนักงานในการทำงาน3. ให้พนักงานควบคุมตนเอง4. องค์การเน้นความเป็นหนึ่งเดียว5. โครงสร้างองค์การแบบหมู่คณะ6. พัฒนาพนักงานให้เรียนรู้รอบด้านในภารกิจขององค์การ7. เน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด | เน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร |
การบริหารทุนมนุษย์ Human Capital Management |
ความสำคัญของการบริหารทุนมนุษย์ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กร |
หลักการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
1. หลักความเป็นธรรมในเรื่องอัตราค่าจ้าง หมายถึง ชั่วโมงการให้ความเป็นธรรมในการทำงานและสภาพในที่ทำงาน เรื่องของความเป็นธรรมนั้นเป็นความต้องการของทุกๆคน แม้ว่าเราไม่ทราบแน่ชัดว่าความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน หรือยังไม่เข้าใจกันอย่างแท้จริงว่าความยุติธรรมคืออะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยเลยทีเดียว
2. หลักการติดต่อสื่อสาร หมาถึงการแจ้งให้พนักงานได้ทราบข่าวคราวความเป็นไปต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนไดัส่วนเสียทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง การเปิดเผยข่าวให้คนงานที่มีความรู้เห็นนั้นก่อให้เกิดผลดีและสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกัน คนงานจะได้รู้ความคลี่คลายต่างๆที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ก็เท่ากับเป็นการสร้างความไว้วางใจให้แก่พนักงาน
3.หลักความมีคุณค่า ทำให้คนงานมีความรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นส่วนหนึ่งขององค์
การ ความรู้สึกในความสำเร็จของความภูมิใจในอาชีพและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นความต้องการของพนักงานทุกระดับ และเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจ
4.หลักความเป็นกันเองกับพนักงาน ในการติดต่อกับพนักงานในเรื่องงานถึงแม้ว่าจะเกิด
ขึ้นโดยมีระเบียบแบบแผนกำหนดไว้อย่างเป็นทางการ ก็ไม่ควรถือว่าต้องกระทำตามพิธีเสมอไป เพราะการทำให้ความร่วมมือของพนักงานทุกคนเกิดขึ้นจากอิทธิพลของความรู้สึกส่วนตัว ทัศนคติทางสังคม ทางวัฒนธรรมและทางจรรยามารยาทของแต่ละคน
5. หลักความรู้ความสามารถ ผู้บริหารไม่ควรคิดว่าค่าจ้างเป็นการ”ให้” แต่เกิดจากการ“ใช้ความรู้และความสามารถ” ของลูกจ้างเอง เพราะการดำเนิธุรกิจถือหลักความสามารถเป็นเกณฑ์ไม่ใช่การกุศลที่มัวจะคำนึงถึงเมตตาจิตของผู้บริหาร โดยคิดว่าการจ่ายค่าจ้างเป็นบุญคุณของเจ้าของกิจการ
6. หลักความสามารถ ต้องถือว่าพนักงานมีความสามารถด้วยกันทุกคน อย่าดูถูกเหยียดหยามพนักงาน เราจะเห็นได้ว่าคนบางคนไม่กระตือรือร้น ไม่มีผลงาน เพราะเขาอาจไม่มีโอกาสและช่องทางที่แสดงความสามารถของตนให้ปรากฏ แต่ในความจริงที่ว่าทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น ผู้บริหารเพียงแต่ดูคนให้เป็น ใช้คนให้ถูกก็จะสามารถดึงเอาความรู้ความถนัดของแต่ละคนมาใช้เป็นประโยชน์ต่องานได้
การบริหารคน | HRM | ทุนมนุษย์ |
1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะสั้น2. เน้นการทำให้พนักงานยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งตามสายบังคับบัญชา3. ใช้ปัจจัยภายนอกบุคคลควบคุม เช่น วินัย เป็นต้น4. องค์การประกอบด้วยหลายฝ่าย5. โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการ6. พัฒนาพนักงานให้รอบรู้เฉพาะด้าน7. เน้นการลดต้นทุนด้านบุคคลให้ต่ำที่สุด | 1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะยาว2. เน้นการสร้างความผูกผันและการมีส่วนร่วมของพนักงานในการทำงาน3. ให้พนักงานควบคุมตนเอง4. องค์การเน้นความเป็นหนึ่งเดียว5. โครงสร้างองค์การแบบหมู่คณะ6. พัฒนาพนักงานให้เรียนรู้รอบด้านในภารกิจขององค์การ7. เน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด | เน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร |
การบริหารทุนมนุษย์ Human Capital Management |
ความสำคัญของการบริหารทุนมนุษย์ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยเครื่องมือใหม่ ๆ ทางการบริหาร การกระตุ้นให้พนักงานทำงานด้วยจิตวิญญาณในบทบาทหน้าที่งานต่าง ๆ โดยคำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์ การดูแลคุณภาพชีวิตของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร การสร้างทุนทางปัญญา การเป็นสื่อกลางในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการสร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่ดีในองค์กร |
1. มีลักษณะค่อนข้างเป็นยุทธวิธี มองเป็นจุดๆ 2. มองระยะสั้น 3. การติดต่อสื่อสารเป็นแบบดั้งเดิม 4. การแก้ปัญหามีลักษณะเป็นส่วนๆ ไม่สัมพันธ์กัน 5. วิธีการทำงานเป็นแบบดั้งเดิม การตัดสิน ใจมักมาจากเบื้องบน การมีส่วนร่วมมีน้อย 6. มีลักษณะของสหภาพแรงงานแบบดั้งเดิม 7. การจ่ายค่าตอบแทนแบบดั้งเดิม (เน้นตัวเงิน) 8. พนักงานต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเน้นความมั่นคงในการทำงาน 9. ยอมรับความแตกต่างของคนในองค์การ 10. เงื่อนไขการทำงานสำหรับกลุ่มจะคล้าย คลึงกัน 11. ผู้บริหารมักจะเข้าไปช่วยผู้ใต้บังคับ บัญชาในการแก้ไขปัญหา 12. เน้นให้ความยุติธรรมกับทุกคนภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับขององค์การ 13. เป็นกิจกรรมพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะ 14. ผู้ชำนาญงานเฉพาะด้านเข้ามาบริหารจัดการ |
1. เป็นกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์มองภาพรวมทั้งหมด 2. มองระยะยาว 3. ใช้หลายช่องทางในการติดต่อสื่อสาร 4. มีกรอบในการบูรณาการกิจกรรมต่างๆเข้าด้วยกัน 5. เน้นให้ความสำคัญกับการเข้ามามีส่วนร่วมของพนักงานทุกคน6. พยายามลดบทบาทของสหภาพแรงงาน เน้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง 7. มีการจ่ายค่าตอบแทนหลายรูปแบบ(ไม่เน้นตัวเงิน)8. เน้นการเปลี่ยนแปลง พยายามเพิ่มวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น 9. เน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 10. ให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล นอก เหนือจากกลุ่ม 11. ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบของคนในองค์การในการตัดสินใจด้วยตนเอง 12. ถ้าเป็นความยุติธรรมมองที่สิทธิที่จะได้ จากการปฏิบัติจากผู้บังคับบัญชาด้วยความเหมาะสม เกิดขึ้นภายใต้การจัดการที่มีประสิทธิภาพ 13. เหมือนการจัดการทรัพยากรด้านอื่นๆ 14. ฝ่ายปฏิบัติตามสายงานบริหารงานร่วมกับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นหุ้นส่วนเชิงกลุยทธ์ |
Personnal Management คือ ศิลปในการจัดการเกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การให้มีการใช้ทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
วัตถุประสงค์ของการบริหารบุคคล
1. หาคนดีมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับงาน
2. พัฒนาพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถเพิ่มขึ้นเพื่อปรับปรุงและพัฒนานาง
3. ธำรงรักษาพนักงานที่ดี และมีความรู้ความสามารถไว้ในองค์การให้นาน
4. ให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากพนักงานที่บริษัทจัดหามา
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ จะบรรลุวัตถุประสงค์ต้องมีกิจกรรมต่อไปนี้
1. การจัดหาคน
2. การฝึกอบรมและการพัฒนา
3. การจูงใจ
4. การธำรงรักษา
5. การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง
6. การวิจัยทางด้านบุคลากร
Human rusource management การจัดการคุณภาพต้องหันมาทบทวนนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์เสียก่อน เป็นไปตามที่ต้อการหรือไม่ ประเด็นที่ต้องทบทวน คือ คุณภาพของคน คุณภาพของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพของงาน เมื่อทบทวนแล้วจากนั้นจึงกำหนดนโยบายใหม่ให้แน่ชัด เช่น นโยบายการฝึกอบรม การให้การศึกษา การติดต่อสื่อสาร การคัดเลือก การประเมินผล การจ่ายค่าจ้างและนโยบายอื่น ๆ
คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การดังนั้นบางคนในองค์การอาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตนแต่ไปสนใจองค์การอื่นมากกว่า)
Human capital management การดำเนินกิจกรรมการบริหารเกี่ยวกับบุคลากร นับตั้งแต่ก่อนบุคคลเหล่านั้นจะเข้าสู่องค์การ จนเมื่อพ้นจากองค์การไปเพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารองค์การโดยรวม
ระบบบริหารงานบุคคล (Human Resource Management System)
ระบบบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย:
ระบบการจัดการบุคลากร (Personal Management)
ระบบการจัดการบุคคลเป็นระบบที่จัดการเกี่ยวกับข้อมูลของพนักงาน ประวัติการทำงาน ประวัติการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน สวัสดิการที่พนักงานได้รับ ความสามารถในการทำงานของพนักงาน ซึ่งระบบได้เปิดโอกาศให้บริษัทสามารถกำหนดหน้าที่การทำงานให้กับพนักงานในแต่ละตำแหน่งหน้าที่หรือแต่ละบุคคลรวมถึงการจัดการเกี่ยวกับระเบียบและนโยบายต่างๆ ในบริษัท
ระบบบันทึกเวลาเป็นระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลของพนักงานแต่ละคนเกี่ยวกับเวลาการเข้า-ออกงาน การลา ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบการจัดการบุคคล ระบบสวัสดิการและเงินเดือน โดยการส่งข้อมูลเพื่อบันทึกเป็นประวัติของพนักงานและคำนวณเงินเดือนอันเกิดจากการขาดงาน สาย รวมถึงค่าล่วงเวลา
ผู้ใช้สามารถกำหนดวันหยุดต่างๆ จำนวนวันที่อนุญาตให้ลาได้ ประเภทการลา ตารางการทำงานของโรงงาน กลุ่มของฟังก์ชันของการรักษาความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบได้ตามกลุ่มพนักงานหรือแต่ละบุคคล สามารถรองรับตามเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดเช่นตารางเวลาการทำงานของโรงงาน ตามวันหยุด ตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลาผ่านระบบคอมพิวเตอร์
ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานหรือเลือกแสดงรายงานแบบสรุป/รายละเอียด ตามช่วงวันที่ รูปแบบ ความต้องการของผู้ใช้ ข้อมูลการลา ตารางเวลาการทำงาน และตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลา โดยเลือกข้อมูลจากพนักงานทั้งหมด การลาทุกประเภท หรือตามแต่ละแผนกก็ได้
ระบบบันทึกเวลาช่วยให้สามารถวางแผนตารางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแผนการผลิตต่างๆ โดยให้ระบบช่วยสร้างตารางการทำงานให้กับแผนกบริหารงานบุคคลอัตโนมัติ
ระบบจะตรวจสอบเวลาการทำงานปกติ และกำหนดเงินโบนัส ค่าล่วงเวลา และประเภทของเงินเดือนเพื่อโอนข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนให้อัตโนมัติ
สามารถสร้างและแก้ไขโครงสร้างผังองค์กรได้ ทั้งในส่วนของผังตามแผนก ตำแหน่ง และลักษณะงาน พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดของแต่ละตำแหน่งโดยแสดงผังองค์กรที่สร้างขึ้นในลักษณะของ Tree ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดพนักงานสำหรับแต่ละตำแหน่งงานได้
นอกจากนี้ระบบจะแก้ไขผังองค์กรให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแต่ละตำแหน่งงาน รวมถึงอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดงบประมาณในแต่ละแผนกตามระดับต่างๆ เช่น ระดับงาน ตำแหน่งงาน หรือกำหนดรวมทั้งหมดก็ได้
ระบบการจัดการองค์กรสามารถคัดเลือกพนักงานหรือผู้สมัคร ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่มีความต้องการ โดยดูจากคุณสมบัติที่กำหนด รวมถึงการประเมินผลจากการฝึกอบรม และเมื่อมีปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานในผังองค์กรระบบจะปรับเปลี่ยนแผนงานของระบบบริหารบุคคลและกระบวนการรับสมัครพนักงานให้อัตโนมัติ
ระบบการจัดการองค์กรมีผลต่อแผนงานการจัดการต้นทุนของการบริหารงานบุคคล และมีผลต่อโครงสร้างของผังองค์กร โดยได้เตรียมหัวข้อสำหรับการจัดการเกี่ยวกับต้นทุนของบริษัท วิเคราะห์ระบบต้นทุน ทางเลือกและผลกระทบต่อพนักงานทั้งหมดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้นทุน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนงาน
ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นระบบที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนของข้อมูลสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานในแต่ละโครงการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับองค์กร
พนักงานสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการกำหนดการทำงานในต่างประเทศ
บันทึกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายที่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคืนให้กับพนักงานเมื่อพนักงานสำรองจ่ายไปก่อน รวมถึงเบี้ยเลี้ยงของพนักงาน
พนักงานสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้โดยกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเส้นทางที่ดีที่สุดทั้งในเรื่องการเดินทาง ค่าใช้จ่าย พนักงานสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกล่วงหน้า
พนักงานสามารถจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถ รวมถึงโรงแรม รถเช่าหรืออื่นๆได้
ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือน ระบบเจ้าหนี้ ได้อัตโนมัติ
ระบบการประเมินและวางแผนกำลังคน (Career and Evaluation Management)
ระบบสามารถประเมินความสามารถในการทำงานของบุคคลร่วมกันกับตำแหน่งงาน ลักษณะงาน โครงงาน และความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ
สามารถวิเคราะห์ช่องว่างระหว่างบุคคลกับงาน ตำแหน่งงาน หรือโครงงาน
สามารถแสดงลักษณะระดับของบุคคลตามกลุ่มความสามารถ
ทำงานร่วมกับระบบ Career and Succession Planning และการฝึกอบรม เพื่อช่วยวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของพนักงาน เพื่อช่วยในการพัฒนาความสามารถบนพื้นฐานที่มีอยู่ของแต่ละคน
สามารถขอรับการฝึกอบรมสำหรับพนักงานตามความสามารถของพนักงาน
สามารถประเมินความสามารถตามกลุ่มการประเมินได้แก่ ความสามารถพิเศษ การวิเคราะห์ พื้นฐานทางสังคมและคุณสมบัติตามความต้องการของบริษัท
สามารถกำหนดคุณสมบัติ คุณวุฒิตามลักษณะงานและบุคคลในบริษัท
สามารถประเมินและเปรียบเทียบคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ตามระดับความสามารถ
สามารถตรวจสอบสถานะคุณวุฒิและความสามารถของพนักงานได้ทุกเวลา
กำหนดแผนงานการทดสอบความรู้เพื่อช่วยเตรียมพนักงานสำหรับงานใหม่ สำหรับการพัฒนาองค์กร
ใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดเส้นทางของการทำงาน รวมถึงทางเลือกอื่นๆ
ช่วยให้พนักงานมีเป้าหมายของอาชีพของตน
ช่วยประเมินจุดแข็งของพนักงาน
สร้างผังลำดับขั้นของตำแหน่งงาน รวมทั้งพนักงานทั้งภายในและภายนอกที่ประสบความสำเร็จตามแผนงาน
ช่วยสร้างแผนงานที่ยืดหยุ่นและเป็นเครื่องมือในการควบคุม ประเมินต้นทุนที่เกิดจากพนักงานและสถานการณ์ของบริษัท เพื่อช่วยในการตัดสินใจตามนโยบายของบริษัท
การนำแผนงานต่างๆ ไปใส่ในตำแหน่งต่างๆ จะส่งผลในทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผังองค์กรและสามารถค้นหาผู้มีความสามารถและจัดการกับตำแหน่งที่ว่างจากแผนงานที่มีอยู่
สามารถเตรียมแผนงานสำหรับจำนวนและคุณสมบัติของพนักงานในอนาคต
ช่วยกระตุ้นให้พนักงานแสดงความสามารถ พัฒนางานที่สัมพันธ์กันและความสามารถของพัฒนาเอง
ระบบการสรรหาพนักงาน (Recruitment Management)
ช่วยให้กระบวนการรับสมัครพนักงานสามารถคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณภาพเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการทั้งข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอก
สามารถกำหนดตารางการสัมภาษณ์ แสดงผลการสัมภาษณ์ ดูสถานะของผู้สมัคร และสถานะในการสรรหาพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการสรรหาพนักงาน
ระบบการสรรหาพนักงานช่วยในการคัดเลือกและรับบุคคลที่ตรงกับความสามารถที่ต้องการและให้ความสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในบริษัทและรักษาคู่ค้าและช่วยให้บริษัทมีนโยบายในการสรรหาพนักงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่สุดและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้
ผู้สมัครสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา
ระบบการสรรหาพนักงานสามารถให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับแผนกบริหารงานบุคคลใช้ในการตัดสินใจ
สามารถค้นหาข้อมูลที่ตรงกันระหว่างคุณสมบัติของผู้สมัครกับคุณสมบัติของตำแหน่งงานที่ความต้องการ
มีรายงานแสดงสถานะทุกกระบวนการในการสรรหาพนักงานเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจของผู้บริหารและแสดงสถานะของใบสมัครแต่ละใบ
ระบบจะโอนย้ายข้อมูลจากระบบการสรรหาพนักงานไปยังระบบการจัดการบุคคลโดยอัตโนมัติเมื่อมีการรับพนักงานใหม่
ระบบการฝึกอบรม (Training Administration)
ระบบการฝึกอบรมช่วยกำหนดตารางการฝึกอบรมตามระดับงาน
ระบบการฝึกอบรมช่วยแยกประเภทหลักสูตรการฝึกอบรมที่ต้องการและข้อมูลของสิ่งที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมอื่นๆ
เก็บข้อมูลของการฝึกอบรมต่างๆ เช่น ผู้สอน หลักสูตรการสอน
ตรวจสอบหลักสูตรที่มีการฝึกอบรม การประเมินผล
สามารถกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานแต่ละระดับ
สามารถเปรียบเทียบประมาณการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
รองรับแผนงานการฝึกอบรมและการประเมินผลการฝึกอบรม
รองรับหลักสูตรการฝึกอบรมทั้งภายในและภายนอกเพื่อการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
กำหนดรายละเอียดโปรแกรมการฝึกอบรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับพนักงาน
สร้างโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้รับการฝึกอบรมรวมถึงการประเมินผล
เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับการฝึกอบรม วัตถุประสงค์ หัวข้อและตารางเวลาในการฝึกอบรม ราคา จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมและสถานที่ในการฝึกอบรม
แผนการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการเตรียมข้อมูลต่างๆ โดยอัตโนมัติเช่น ผู้สอน สถานที่เรียน อุปกรณ์การสอน
รองรับระบบ Billing, Cost Allocation และงบประมาณ
มีฟังก์ชันที่ช่วยในการจองห้อง การยกเลิก เพื่อการฝึกอบรม
มีฟังก์ชันช่วยในการประเมินราคาของผู้สอน อุปกรณ์ในการฝึกอบรม ค่าโฆษณา ค่าเช่าห้องฝึกอบรมและอุปกรณ์ในการฝึกอบรม รวมถึงสามารถการกำหนดเกณฑ์ในการตัดสินใจของแต่ละการประเมินราคา
สามารถ Allocation Cost ของการฝึกอบรมภายในและภายนอกได้
ระบบเงินเดือน (Payroll Management)
สามารถตรวจสอบและดูข้อมูลรายได้ ส่วนหัก ยอดเงินสะสมได้ด้วยระบบ Online
สามารถตรวจดูข้อมูลตามสกุลเงินต่างๆ ที่ต้องการ
ติดต่อกับกระบวนการจ่ายชำระ โดยสามารถจ่ายชำระได้ด้วยเงินสด เช็ค หรือโอนเงินผ่านธนาคาร และ สร้างเอกสารใบสำคัญจ่ายส่งไปยังระบบเจ้าหนี้ให้อัตโนมัติ ในรูปแบบข้อมูลแบบสรุปเนื่องจากข้อมูลระบบเงินเดือนเป็นข้อมูลที่ต้องมีความปลอดภัยสูง ดังนั้นผู้ที่จะประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้ต้องมีระดับสิทธิที่สูง และเข้าดูได้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนพนักงานและต้นทุนในการจัดการระบบจะ update ข้อมูลแผนงานของระบบเงินเดือนจะทันสมัยอยู่เสมอ
สามารถประมาณการการจ่ายเงินเดือนได้โดยดูจากสถานะทางกายภาพต่างๆ เช่นสถานที่ตั้ง สกุลเงินเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการจัดการเกี่ยวกับระบบเงินเดือนเช่นการจ่ายเงินเดือนในแผนกเดียวกันแต่ต่างสกุลเงินกัน เป็นต้น
สามารถประมวลผลเพื่อดูข้อมูลต่างๆได้เช่นการจ่ายเงินเดือนประจำปี ประวัติการขึ้นเงินเดือนและประวัติการจ่ายเงินเดือน เป็นต้น
สามารถกำหนดประเภทค่าชดเชยต่างๆ ได้โดยอิสระเช่นโบนัส คอมมิชชั่น รางวัลพิเศษ
สามารถกำหนดการจ่ายค่าชดเชยเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
ค่าชดเชยเป็นส่วนหนึ่งของระบบงบประมาณ ระบบจะ update ค่าเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบงบประมาณให้อัตโนมัติ หรือสามารถกำหนดในระบบงบประมาณโดยกำหนดเป็นหนึ่งระดับหรือหลายระดับก็ได้
ระบบจะคำนวณค่าชดเชยทั้งหมดให้อัตโนมัติและส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนและระบบบัญชี
สามารถกำหนดแผนงานในการจ่ายค่าชดเชยได้อย่างอิสระเช่นกำหนดการจ่ายค่าชดเชยโดยขึ้นอยู่กับเงินเดือนที่ได้รับ รวมถึงช่วงเวลาที่จะจ่ายค่าชดเชย
ระบบสวัสดิการ (Benefit & Welfare Management)
สามารถกำหนดเงื่อนไขของสวัสดิการในด้านสุขภาพและความปลอดภัย
สามารถติดต่อกับบริษัทประกันภัยและส่งข้อมูลระหว่างกันเมื่อมีการ Claim
บันทึกประวัติการเคลมของพนักงานเช่นเนื่องจากการป่วย อุบัติเหตุ
สามารถกำหนดแผนงานสวัสดิการของพนักงาน
ระบบจะคำนวณค่าชดเชยทั้งหมดให้อัตโนมัติและส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนและระบบบัญชี
การบริหารงานบุคคล (PM) | การบริหารทรัพยากรมนุษย์(HRM) |
1. กิจกรรมและกระบวนการต่างๆ มีความสัมพันธ์ค่อนข้างน้อย 2. กิจกรรมไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การ 3. ไม่ค่อยให้ความสนใจสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ 4. แนวความคิดแคบเป็นระบบปิด |
1. กิจกรรมและกระบวนการต่างๆ มีความ สัมพันธ์และบูรณาการเข้าด้วยกันจนแยกไม่ออก 2. กิจกรรมต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การ 3. มีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภาย นอก และสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ 4. แนวความคิดกว้างเป็นระบบเปิด |
การบริหารงานบุคคล (PM) | การบริหารทรัพยากรมนุษย์(HRM) |
1. มีลักษณะค่อนข้างเป็นยุทธวิธี มองเป็นจุดๆ 2. มองระยะสั้น 3. การติดต่อสื่อสารเป็นแบบดั้งเดิม 4. การแก้ปัญหามีลักษณะเป็นส่วนๆ ไม่สัมพันธ์กัน 5. วิธีการทำงานเป็นแบบดั้งเดิม การตัดสิน ใจมักมาจากเบื้องบน การมีส่วนร่วมมีน้อย 6. มีลักษณะของสหภาพแรงงานแบบดั้งเดิม 7. การจ่ายค่าตอบแทนแบบดั้งเดิม (เน้นตัวเงิน) 8. พนักงานต่อต้านการเปลี่ยนแปลงเน้นความมั่นคงในการทำงาน 9. ยอมรับความแตกต่างของคนในองค์การ 10. เงื่อนไขการทำงานสำหรับกลุ่มจะคล้าย คลึงกัน 11. ผู้บริหารมักจะเข้าไปช่วยผู้ใต้บังคับ บัญชาในการแก้ไขปัญหา 12. เน้นให้ความยุติธรรมกับทุกคนภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับขององค์การ 13. เป็นกิจกรรมพิเศษ มีเอกลักษณ์เฉพาะ 14. ผู้ชำนาญงานเฉพาะด้านเข้ามาบริหารจัดการ |
1. เป็นกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์มองภาพรวมทั้งหมด 2. มองระยะยาว 3. ใช้หลายช่องทางในการติดต่อสื่อสาร 4. มีกรอบในการบูรณาการกิจกรรมต่างๆเข้าด้วยกัน 5. เน้นให้ความสำคัญกับการเข้ามามีส่วนร่วมของพนักงานทุกคน6. พยายามลดบทบาทของสหภาพแรงงาน เน้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง 7. มีการจ่ายค่าตอบแทนหลายรูปแบบ(ไม่เน้นตัวเงิน)8. เน้นการเปลี่ยนแปลง พยายามเพิ่มวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น 9. เน้นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 10. ให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล นอก เหนือจากกลุ่ม 11. ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบของคนในองค์การในการตัดสินใจด้วยตนเอง 12. ถ้าเป็นความยุติธรรมมองที่สิทธิที่จะได้ จากการปฏิบัติจากผู้บังคับบัญชาด้วยความเหมาะสม เกิดขึ้นภายใต้การจัดการที่มีประสิทธิภาพ 13. เหมือนการจัดการทรัพยากรด้านอื่นๆ 14. ฝ่ายปฏิบัติตามสายงานบริหารงานร่วมกับฝ่ายทรัพยากรมนุษย์เป็นหุ้นส่วนเชิงกลุยทธ์ |
"นวัตกรรม" การบริหารทรัพยากรมนุษย์
นวัตกรรมจะสำเร็ตได้ต้องอาศัยภาวะผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยนแปลง บวกกับการบริหารจัดการ ภาวะผู้นำจะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เราหวังไว้ได้ ทำให้เราเกิดพลังในการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือร่วมใจ พร้อมที่จะเดินก้าวไปอย่างเร็วๆ แต่มั่นคง เพื่อให้บรรลุจินตทัศน์ที่วางไว้ การบริหารจัดการที่ดี ต้องมีการใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างประหยัด การดำเนินงานต่างๆ ก็จะราบรื่นไปด้วย เช่น ถ้าเรากำหนดจินตทัศน์ในการพัฒนาคนไว้ว่า
1. เราต้องการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความรู้ความเข้าใจ มีทัศนคติ และมีทักษะที่ดี โดยผสมผสานศาสตร์แขนงต่างๆ เข้าด้วยกัน
2. เน้นการพัฒนาคนควบคู่ไปกับการวิจัย พัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม
3. ต้องส่งเสริมให้มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม ตลอดจนสามารถนำทรัพย์สินทางปัญญาออกมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
4. ต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและโปร่งใส เป็นธรรม
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
อย่างที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ว่ากระบวนการและเครื่องมือ เป็นแกนหลักของวงจรจัดการความรู้ และกระบวนการเครื่องมือก็คือ KM Process นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเปรียบ 6 องค์ประกอบเหมือนเป็นวงล้อ (ภาพที่ 3) โดยมี KM Process จะเป็นแกนล้อ แล้วอีก 5 องค์ประกอบเป็นซี่ล้อที่จะยึดวงล้อที่จะขับเคลื่อน KM Process ไปถึงเป้าหมาย แต่ไม่จำเป็นจะต้องมีซี่ล้อ 5 ซี่ ก็ได้ บางองค์กรอาจจะมี 3 ซี่ 4 ซี่ แล้วแต่ความพร้อมของแต่ละองค์กร หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ 5 องค์ประกอบเป็นการสร้างบรรยากาศองค์กรให้เป็น Learning organization เพื่อให้ KM ประสบความสำเร็จนั่นเอง เช่น ถ้าจะเปรียบเทียบกับการเกษตร (ให้เหมาะกับองค์กรของเรา ) KM ก็คือ ต้นไม้ ทุกคนในองค์กรเป็นดิน Change Management Process ก็คือการปรับปรุงดินให้เหมาะสม เพื่อให้ต้น KM เจริญเติบโตได้ ผู้บริหารจะเป็นคนดูแลต้นไม้คอยรดน้ำ ใส่ปุ๋ย (ให้สิ่งจูงใจนั่นเอง) พรวนดิน (กระตุ้นให้คนในองค์กรตื่นตา ตื่นใจ) ป้องกันกำจัดศัตรูพืช (ช่วยขจัดปัญหาอุปสรรค) เห็นมั๊ยว่า ต้น KM จะเจริญเติบโตแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นอันดับแรกเลย และที่สำคัญอีกอย่าง ขอให้ต้น KM เป็นพืชสวนยืนต้น อายุยาวๆ หน่อยละกัน ถ้าเป็นต้นถั่วอายุสั้น 3 - 4 เดือน ก็ถูกไถกลบ (แล้วจะปลูกต่อหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ) อย่างนี้โครงการจัดการความรู้ก็คงผลุบ ๆ โผล่ ๆ ไม่จีรังยั่งยืน แต่ถึงแม้จะเป็นไม้ยืนต้น แต่ถ้าเจ้าของไม่สนใจดูแลก็แห้งเหี่ยว และตายไปในที่สุดเหมือนกัน ( ตายช้าหน่อยเท่านั้นเอง )
การทำโครงการจัดการความรู้ให้สำเร็จ ต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลแต่ในสถานการณ์ปัจจุบันมีความจำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะองค์กรที่มีความรู้สะสมอยู่มากมายอย่างกรมวิชาการเกษตร และเป็นองค์กรที่มีการผลิตความรู้เป็นสินค้าสู่ตลาด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดการความรู้ในองค์กรอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญสุด ๆ ก็คือวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่จะควรเกิดขึ้นภายในองค์กรของเรา นั่นคือ ทำองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning organization ) ปีนี้กรมฯ จะมีโครงการจัดการความรู้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม (ซะที) เนื่องจาก ต่อจากนี้ไปตัวชี้วัดที่จะจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการกับสำนักงาน ก.พ.ร จะเน้นในเรื่องของการพัฒนาองค์กรมากขึ้นและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และปีนี้การจัดการความรู้เป็นตัวชี้วัดบังคับที่ทุกส่วนราชการต้องทำ ( ที่จริงบังคับมาตั้งแต่ปี 2547 -2548 แล้วล่ะ แต่ยังเป็นระยะเริ่มต้น ยังไม่เข้มข้นมากนัก ) ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่าเราถูกบังคับให้ทำ เลยต้องทำนะ แต่ความจริงประโยชน์ของการจัดการความรู้มีมากมายและช่วยพัฒนาองค์กรของเราได้อย่างมาก ถ้าเราทำอย่างจริงจัง และมีความร่วมมือกัน
การอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง กลยุทธ์ แนวทาง และ วิธีการในการผลักดันแผนการจัดการ
ความรู้สู่เป้าหมายหน่วยงานในปี 2550
คุณวรรณา ได้แจ้งให้ผู้เข้าสัมมนาทราบถึงวัตถุประสงค์ที่เป็นไฮไลท์ของการจัด
เวทีในวันนี้ เนื่องมาจากทุกหน่วยราชการต้องทำแผนการจัดการความรู้ตามที่ ก.พ.ร. กำหนดจึงได้เชิญวิทยากรจาก 2 หน่วยราชการ คือ นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิตและ คุณศรีวิภา เลี้ยงพันธ์สกุล จากกรมอนามัย มาพูดคุยแลกเปลี่ยนว่า
2 หน่วยราชการนี้มีกลยุทธ์ แนวคิด วิธีการในการเลือกประเด็นความรู้ที่จะนำมาจัดการอย่างไร รวมทั้งมีเทคนิค/
วิธีการในการใช้เครื่องมือ KM ไปขับเคลื่อนหรือผลักดันให้การดำเนินงานตามแผนสำเร็จและไปสู่เป้าหมายของหน่วยงาน และ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อการพัฒนาคน พัฒนางาน และ
พัฒนาหน่วยงานได้อย่างไร ซึ่งการพูดคุยกันในวันนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนกันทั้งในเชิง
ประสบการณ์และในเชิงมุมมองความคิด
♠ กรมสุขภาพจิต
นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ ซึ่งมีบทบาทเป็นคุณเอื้อด้านการจัดการความรู้ของ
กรมสุขภาพจิตกล่าวว่า สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ ผู้บริหารต้องมีความจริงจัง มีความเชื่อมั่น และ
ต้องแสดงออกให้ทีมงาน/บุคลากรในหน่วยงานเชื่อว่า “การจัดการความรู้(KM) เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ดี” ที่เราจะนำมาใช้กับองค์กร
| ||||||||||
|
ระบบคุณธรรม เป็นวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยใช้การสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของบุคคลที่มีคุณสมบัติครบตามต้องการ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
1.1 ความเสมอภาคในโอกาส (Equality of opportunity) หมายถึง การเปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการสมัครงานสำหรับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ ประสบการณ์ และพื้นความรู้ตามที่ระบุไว้ โดยไม่มีข้อกีดกัน อันเนื่องจากฐานะ เพศ ผิว และศาสนา กล่าวคือทุกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จะมีสิทธิในการถูกพิจารณาเท่าเทียมกันความเสมอภาคในโอกาส จะครอบคลุมถึง
1.1.1 ความเสมอภาคในการสมัครงาน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติและพื้นฐานความรู้ตรงตามที่กำหนดไว้ ได้สมัครและเข้าสอบแข่งขัน
1.1.2 ความเสมอภาคในเรื่องค่าตอบแทน โดยยึดหลักการที่ว่างานเท่ากัน เงินเท่ากันและมีสิทธิ์ได้รับโอกาสต่างๆ ตามที่หน่วยงานเปิดให้พนักงานทุกคน
1.1.3 ความเสมอภาคที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอหน้ากันโดยใช้ระเบียบและมาตรฐานเดียวกันทุกเรื่อง อาทิ การบรรจุแต่งตั้ง การฝึกอบรม
1.2 หลักความสามารถ (Competence) หมายถึง การยึดถือความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับตำแหน่งมากที่สุดโดยจะบรรจุแต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมตามเกณฑ์มากกว่า เพื่อให้ได้คนที่เหมาะกับงานจริงๆ (Put the right man to the right job) หากจะมีการแต่งตั้งพนักงานระดับผู้บริหาร ก็จะพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานขีดความสามารถหรือศักยภาพของการบริหารงานในอนาคต
หลักความมั่นคงในอาชีพการงาน (Security on tenure) หมายถึง หลักประกันการปฏิบัติงานที่องค์การให้แก่บุคลากรว่าจะได้รับการคุ้มครอง จะไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกให้ออกจากงานโดยปราศจากความผิด ไม่ว่าจะโดยเหตุผลส่วนตัวหรือทางการเมืองการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
การจัดการทรัพยากรมนุษย์หมายถึง การที่นายจ้างจัดการเรื่องการเรียนรู้ ให้บุคลากรของตนภายในในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการทำงาน และเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของบุคลากร ในฐานะที่ข้าพเจ้าทำงานในภาครัฐวิสาหกิจ องค์การขนาดใหญ่ คือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกับหลาย ๆ รัฐวิสาหกิจในประเทศไทยที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนองค์กร (Transformation) และทำการแปรสภาพ (Privatization) ตามข้อกำหนดของ WTO คือจะต้องทำการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคมภายในปี พ ศ. 2543ซึ่งขณะนี้รอแค่ขบวนการทางด้านกฎหมายเท่านั้นเอง องค์การโทรศัพท์ฯ. ก็เป็นเช่นเดียวกับหน่วยงานหรือองค์การทุก ๆ องค์การ ที่มีการวางแผนสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (บุคลากร)หลากหลายหลักสูตรด้วยกัน ในทุก ๆ ปีการพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นและต้องดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการฝึกอบรม (Training) ก็ยิ่งจำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านช่าง , ด้านระบบบัญชี ,ด้านการพัสดุ ฯลฯ. การวางแผนด้านการฝึกอบรมขององค์การโทรศัพท์ จะไม่ใช่เป็นลักษณะงานประจำ (Routine) จะมีการค้นคิดหากลยุทธ์ (Strategy) ต่าง ๆ หลากหลาย มาทำการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อพัฒนาพนักงานให้พร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารสารสนเทศมีมากมายจากทุกสารทิศด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะต้องทำการพัฒนาบุคลากรให้ พร้อมยิ่งขึ้น หลักสูตรการฝึกอบรมจะมีทั้งอบรมภายนอกองค์การและภายในองค์การเอง ปีหนึ่ง ๆองค์การโทรศัพท์ฯ.ลงทุนในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเงินหลาย 10 ล้านด้วยกันอย่างไรก็ตามการจะวางแผนหรือการจะกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการฝึกอบรมขององค์การโทรศัพท์ฯ. ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบในภาพรวมของแผนและงบประมาณจากสภาพัฒน์ฯ. และ / หรือจากสำนักงบประมาณเช่นเดียวกับข้าราชการ
การฝึกอบรบ (Training) : คือความพยายามที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของพนักงานให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน 4 ด้านคือ 1. knowledge : คือความรู้ที่จะทำให้พนักงานสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงความรู้เดิม ให้ได้หลากหลาย ให้มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ อยู่เสมอ2. Skill : คือทักษะที่จะทำให้พนักงาน มีทักษะที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะให้พนักงานอยู่ตลอดเวลา เป็น Multi Skill คือให้รู้งานหลายอย่างภายในองค์การ3. Attitude : คือทัศนคติที่พยายามจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์การ โดยเฉพาะกับลูกค้า เปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่ลูกค้าต้องมาหาเราเป็นให้เราวิ่งไปหาลูกค้าเอง4. Behavior : คือพฤติกรรมที่จะพยายามทำให้พนักงานเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เช่นทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เปลี่ยนเป็นต้องตื่นตัวและทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อองค์การหรือพร้อมให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) : คือการพัฒนาพนักงาน เพื่อพร้อมกับแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการ โดยเฉพาะในปี ค ศ. 2000 ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ องค์การโทรศัพท์ฯ ก็จะจัดการวางแผนเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การโทรศัพท์ฯเอง หลักสูตรสำหรับการอบรม จะมีหลักสูตรมากมายยกตัวอย่างเช่น 1. Supervisor Grid 2. Managerial Grid3. Management By Objective (MBO)4. Mini MBA.
หน่วยงานบริหารบุคคล หรือ HR มีส่วนสำคัญ โดยชี้ให้เห็นว่า HR ยุคใหม่นั้น
1.ต้องมีความเข้าใจธุรกิจ
2.รู้กฎหมายการจ้างงาน
3.ความรู้เชี่ยวชาญพิเศษในการจ่ายเงินชดเชย
4.เป็นที่ปรึกษาที่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรและวัฒนธรรมระดับชาติ
ในโมเดลใหม่ที่เสมือนแนวทางของ HR ว่าด้วยการเป็นองค์กรสุขภาพดี แบ่งออกเป็น 3 ขั้น 1.ก่อนดำเนินการ 2.ระหว่างดำเนินการ 3.หลังดำเนินการ ทฤษฎีเป็นแนวคิดใหม่ เมื่อพูดถึงการบริหารทุกคนมักพูดถึงปัญหา ซึ่งเป็นการเน้นในเชิงลบ สิ่งที่ต้องทำคือการมองในเชิงบวก เช่น การสอบถามความพึงพอใจของผู้คน และต้องคิดถึงแรงจูงใจมากกว่าความผิดพลาด
ตัวอย่างเช่น คนชอบถามว่าทำไมคนชอบลาออกจากบริษัท แต่กลับไม่เคยถามว่าแล้วทำไมคนอีกตั้งมากถึงยังทำงานอยู่ ทั้งๆ ที่ไปที่อื่นน่าจะได้เงินเดือนมากกว่า และนำมาวิเคราะห์ เมื่อทำบ่อยครั้งๆ จะเกิดแรงขับเคลื่อนและความรู้สึกที่ดีขึ้น
ต้องพัฒนาทุกวัน
"เอส ศรีนิวาสาน" ได้ยกตัวอย่างจากสิ่งที่เขาปฏิบัติ กรณีศึกษาของบริษัท ไทย คาร์บอน แบล็ค จำกัด ในเรื่องการบริหารทรัพยากรมนุษย์
เขาเล่าว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายที่องค์กรวางไว้ เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าได้รับสิ่งที่เป็นมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ต้องมีมาตรฐานระดับโลก โดยต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา ทุกๆ วันแม้จะเพียงเล็กน้อย โดยต้องใช้ HR ในการพัฒนาองค์กรตลอดเวลา เพื่อทำให้เกิดความรวดเร็วและความรู้สึกที่ดีในการทำงาน นอกจากนี้ยังเน้นที่ความซื่อสัตย์ ทำในสิ่งที่พูด รวมไปถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ในการพัฒนาจิตใจและสมองยังเป็นเรื่องต้องทำตลอดเวลา แม้ว่าจะทำมา 20 ปี จำเป็นต้องเอาความรู้เก่าออกไปบ้าง ขณะเดียวกันก็ต้องหาความรู้ใหม่มาเติมในองค์กร ขณะที่การพัฒนาอารมณ์ของคนในองค์กร ต้องสร้างให้เกิดความผูกพัน ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการทำงานของบริษัทเรียกว่า A.A.A.management adapt (การเปลี่ยนแปลง) aligh (การรวมพลัง) agile (ความรวดเร็ว)
ในเรื่องของความเปลี่ยนแปลง เขากล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงมีมากมาย หลายครั้งที่ไม่มีความสามารถในการจัดการได้ทัน แต่ต้องไม่ยอมแพ้ อย่างน้ำมันราคาขึ้นไม่มีใครสามารถกำหนดได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการลดการบริโภค
สร้างวัฒนธรรมครอบครัวใหญ่
ขณะที่การรวมพลัง แม้คนจะรู้สึกว่าแต่ละคนเป็นอิสระต่อกัน แต่จริงๆ แล้วทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นในท้ายที่สุดต้องรวมพลังทุกส่วนระหว่างคนเก่งคนไม่เก่ง
ในทางปฏิบัติ สิ่งที่ทำที่บริษัท นโยบายที่เกิดในองค์กรในการผูกมัดเข้าด้วยกัน เรามีการติดต่อสื่อสารกันมากมาย และทุก 3 เดือนยังมีการประชุมเพื่อประเมินผลงานร่วมกัน หรือเมื่อมีปัญหาก็แก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายบริหารหรือภารโรง
สิ่งที่สำคัญมาก คือการสร้างวัฒนธรรมที่เป็นครอบครัวใหญ่ ผลที่เกิดขึ้นก็คือ วันนี้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น จำนวนพนักงานเท่าเดิม ความพึงพอใจของลูกค้ามีสูง ขณะที่อัตราการเข้าออกของพนักงานลดลงเหลือเพียง 1% อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า การที่บริษัทเป็นองค์กรที่มีสุขภาพดีต้องมีการมอบอำนาจ กระจายอำนาจ พึ่งพาซึ่งกันและกัน ตัดสินใจร่วมกัน
ดังนั้นจำเป็นต้องเดินตามปรัชญาของมด คือ ต้องไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร 2.มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา และ 3.ทำทุกอย่างให้มากขึ้น
เหล่านี้จะนำไปสู่การเป็น "องค์กรสุขภาพดี
ระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ระบบคุณธรรม ( merit system)
ระบบคุณธรรม เป็นวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยใช้การสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของบุคคลที่มีคุณสมบัติครบตามต้องการ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นสำคัญการบริหารทรัพยากรมนุษย์ตามระบบคุณธรรมยึดหลักการ 4 ประการ ได้แก่ ความเสมอภาคในโอกาส ( Equality of opportunity) หมายถึง การเปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการสมัครงานสำหรับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ ประสบการณ์ และพื้นความรู้ตามที่ระบุไว้ โดยไม่มีข้อกีดกัน อันเนื่องจากฐานะ เพศ ผิว และศาสนา กล่าวคือทุกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จะมีสิทธิในการถูกพิจารณาเท่าเทียมกันความเสมอภาคในโอกาส หลักความสามารถ ( Competence) หมายถึง การยึดถือความรู้ความ สามารถเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับตำแหน่ง มากที่สุดโดยจะบรรจุแต่งตั้งผู้ที่มี ความเหมาะสมตามเกณฑ์มากกว่า เพื่อให้ได้คนที่เหมาะกับงานจริงๆ (Put the right man to the right job) หากจะมีการแต่งตั้งพนักงานระดับผู้บริหาร ก็จะพิจารณา จากผลการปฏิบัติงานขีดความสามารถ หรือศักยภาพของการบริหารงานในอนาคต หลักความมั่นคงในอาชีพการงาน ( Security on tenure) หมายถึง หลักประกันการปฏิบัติงานที่องค์การให้แก่บุคลากร ว่าจะได้รับการคุ้มครอง จะไม่ถูกกลั่นแกล้ง หรือถูกให้ออกจากงานโดยปราศจากความผิด ไม่ว่าจะโดยเหตุผลส่วนตัวหรือทางการเมือง ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกมั่นคงในหน้าที
การจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม เน้นการควบคุม และสั่งการ
การจัดการความรู้ เน้นการสร้างความรู้ให้พนักงาน
การจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม จะเน้นการควบคุม และสั่งการ มองว่า พนักงานขาดความรู้ ความเข้าใจในงาน ขาดวิจารณญาณที่เหมาะสม ไม่สามารถตัดสินใจได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้บริหารต้องคอยควบคุม ติดตาม สอบถามความคืบหน้า ในการปฏิบัติงานเสมอ การตัดสินใจส่วนใหญ่เป็นอำนาจของผู้บริหาร เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น หากปล่อยให้พนักงานตัดสินใจกันเอง แต่ภายใต้แนวคิดการจัดการความรู้ ที่เน้นการสร้างความรู้ให้กับพนักงาน พนักงานจึงเป็นคนที่มีความรู้ ในเรื่องที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ และสามารถแสวงหาความรู้ที่จำเป็นได้อย่างรวดเร็ว พนักงานสามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้ดี เพราะสามารถเสาะแสวงหาความรู้ ที่เหมาะสมมาประกอบการตัดสินใจได้ การบริหารพนักงาน จึงเน้นการมอบอำนาจ ให้พนักงานสามารถคิด และตัดสินใจได้เอง ผู้บริหารเป็นเพียงผู้ให้คำปรึกษา หรือเป็นผู้กำกับดูแลอยู่ห่างๆ และคอยตรวจสอบเป็นระยะเท่านั้น
การจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม เน้นเรื่องทักษะความชำนาญ ในงานที่รับผิดชอบ
การจัดการความรู้ เน้นทุนทางความรู้
ในแนวทางเดิมนั้น ตั้งแต่ขั้นตอนการรับพนักงานใหม่ ไปจนถึงการพัฒนาพนักงาน จะเน้นเรื่องของทักษะความชำนาญ ในงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น การคัดเลือกพนักงานใหม่ จึงพิจารณาจากความสามารถในการปฏิบัติงาน ว่าจะทำงานได้จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นการคัดเลือกบนฐาน ของทักษะความชำนาญ การพัฒนาพนักงานจะเน้นการเพิ่มทักษะความเชี่ยวชาญ เพื่อช่วยให้ปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่แนวคิดการจัดการความรู้ เน้นการรับพนักงาน บนพื้นฐานว่า มีทุนความรู้มากเพียงใด โดยเฉพาะความรู้โดยนัย ที่ซ่อนอยู่ในความคิด ค่านิยมของเขา การคัดเลือกพนักงาน จึงสนใจพิจารณาทุนทางความรู้ (knowledge capital) ที่อยู่ในสมองของผู้สมัครว่า มีความรู้ตรงกับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ส่วนการพัฒนาพนักงาน จะเน้นไปที่การให้ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ตลอดจนการเพิ่มทักษะ ในการแสวงหาความรู้ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้พนักงานสามารถเพิ่มพูดความรู้ ได้ด้วยตนเอง
การจัดการทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม เน้นารพัฒนาพนักงาน แต่ละปัจเจกบุคคล
การจัดการความรู้ เน้นการพัฒนาแบบรวมกลุ่ม
การพัฒนาพนักงานในแนวคิดแบบเดิม จะเน้นที่การพัฒนาพนักงานแต่ละปัจเจกบุคคล เป็นหลัก เน้นการฝึกอบรมพนักงานเป็นรายบุคคล การวางแผนการพัฒนา จะเน้นเฉพาะการเพิ่มเติม ส่วนที่พนักงานแต่ละคนขาดไป โดยมองข้ามปฏิสัมพันธ์ระหว่าง แต่ละปัจเจกในลักษณะของการพัฒนา เป็นกลุ่มรวมไป ตรงข้ามกับการจัดการความรู้ ที่ให้ความสำคัญกับ การพัฒนาแบบกลุ่มรวม (collective) ซึ่อาจเป็นการพัฒนาในระดับทีม (teamwork) ระดับแผนก/ฝ่าย หรือทั้งองค์กร (whole organization) การจัดการความรู้ เน้กการเรียนรู้ของพนักงานแต่ละคน ผ่านปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โดยพนักงานแต่ละคน จะได้รับการพัฒนาผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน ในทีมทำงาน เพราะการปฏิสัมพันธ์ในทีม ช่วยให้พนักงานได้รับความรู้ รวดเร็วกว่าการเรียนรู้แต่ละคน โดยระบบการให้ความดีความชอบ จะให้น้ำหนักผูกโยงอยู่ที่ผลการปฏิบัติงานของทีม มากกว่าส่วนตัว เพื่อพนักงานจะให้ความสำเร็จส่วนรวม เป็นสำคัญ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม ใช้การฝึกอบรมเป็นหลัก
การจัดการความรู้ เน้นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
แนวทางเดิมจะใช้วิธีการฝึกอบรม เป็นวิธีการหลักในการพัฒนาพนักงาน เรื่องที่ฝึกอบรมจะวนเวียน อยู่กับการทำให้พนักงานปฏิบัติงาน ในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองได้ดีขึ้น การจัดการความรู้ จะเน้นการทำให้พนักงานเกิดการเรียนรู้ และรู้วิธีการได้มา ซึ่งความรู้ที่ต้องการ การจัดการความรู้ พยายามทำให้พนักงานเป็นคนที่เรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง มิใช่เรียนรู้เพียงเฉพาะช่วงที่เข้ารับการฝึกอบรมเท่านั้น แต่เมื่อกลับไปทำงาน กลับไม่สนใจศึกษาหาความรู้อีก
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม เน้นการสร้างพนักงานให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน
การจัดการความรู้ เน้นการให้ความรู้ข้ามสายงาน
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบเดิม เน้นการสร้างพนักงานแต่ละคน ให้มีความชำนาญเฉพาะด้าน เป็นผลจากทฤษฎีแบ่งงานกันทำ ที่ว่า หากให้แต่ละคนทำงานจนเชี่ยวชาญแล้ว จะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น แม้พนักงานจะได้รับการพัฒนา ให้เพิ่มความเชี่ยวชาญ ชำนาญในงานมากขึ้น แต่จะเป็นความเข้าใจ และสนใจเพียงเฉพาะในงานของตน ทักษะ หรือความรู้ที่มี จะคับแคบ รู้ลึก รู้จริง เฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ ทำให้อาจจะขาดความรู้ความเข้าใจ ในความสัมพันธ์ระหว่างงานของตน กับขั้นตอนอื่นๆ ทั้งกระบวนการ ในขณะที่การจัดการความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งจะทำให้สามารถเห็นมุมมองภาพรวม และเห็นความสัมพันธ์ระหว่างงาน ของตนเอง กันงานของฝ่ายอื่นๆ ด้วย
เป็นทฤษฎีที่วิเคราะห์จากสภาพความเป็นจริง ของการดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ ความต้องการของมนุษย์นั้น มักจะเริ่มต้นจากขั้นต่ำเป็นลำดับแรก เช่น ความต้องการ ปัจจัย 4 ความต้องการของมนุษย์มักจะมีลักษณะเป็นขั้นบันได คือจะเริ่มจากความต้องการระดับล่างสุด แล้วค่อย ๆไต่ขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น เมื่อความต้องการระดับดังกล่าวได้รับการตอบสนองแล้ว เรียกว่า บันไดความต้องการ 5 ขั้น ขั้นที่ 1.. ความต้องการทางด้านกายภาพ เป็นแนวความคิดด้านความต้องการที่จำเป็น ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์จะขาดแคลนไม่ได้ ได้แก่ ความต้องการปัจจัย 4 และการทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือ การพักผ่อนและการสืบพันธุ์ และกิจกรรมอื่น ๆ ถ้าหากมนุษย์ยังขาดสิ่งเหล่านี้ความต้องการ ระดับอื่นก็ยังไม่เกินขึ้น ขั้นที่ 2.. ความต้องการความปลอดภัย เป็นความต้องการในระดับที่สูงขึ้นจากขั้นต้น ได้แก่ ความต้องการความมั่นคง ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่กำลังทำอยู่ ความต้องการความปลอดภัยในชีวิตและร่างกาย เมื่อใดที่พนักงานได้รับคำมั่นสัญญา หรือหลักประกันในความต้องการดังกล่าวนี้ ก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการทำงาน ความต้องการขั้นนี้จะมีลักษณะ ของความเป็นนามธรรมมากขึ้น เป็นระดับความต้องการ ที่สูงขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่องค์การ ต้องมอบให้แก่พนักงาน ขั้นที่ 3.. ความต้องการด้านสังคม สังคมภายในองค์การจะมีลักษณะ ความเป็นกลุ่มคนที่มีการปฏิบัติงานเป็นทีมงาน ดังนั้นพนักงานทุกคนต้องการจะมีบทบาท ในการปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่งาน ที่ได้รับมอบหมาย เป็นบุคคลที่ทุกคนยอบรับว่า เป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน หลักข้อนี้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้น ผู้บริหารอาจจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุน ให้พนักงานทุกคนมีบทบาท ในการปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลอื่นได้ ขั้นที่ 4.. ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง หรือความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ มีคุณค่า สำหรับสังคม ได้แก่ ความยากเด่นยากดัง ความยากให้บุคคลอื่นยกย่องเชิดชู พฤติกรรมที่บุคคล ต้องการเกียรติยศ ชื่อเสียง ก็มักจะสร้างผลงานในด้านต่าง ๆ จนเป็นที่ยอมรับของบุคคลอื่น ขั้นที่ 5.. ความต้องการความสำเร็จในชีวิต หมายถึง ความต้องการในขั้นสูงกว่าทุกขั้น ที่กล่าวมาแล้ว เป็นความต้องการที่จะสร้างผลงาน ให้เป็นที่ยอมรับด้วยความรู้ความสามารถ ของตนเอง เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ผลงานด้วยสติปัญญา มีความมุ่งมั่นสู่ความท้าทายผลสำเร็จ ในหน้าที่การงานด้วยผลงาน ที่มีคุณค่าเป็นผลดีต่อสังคมและมวลชน เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องพิจารณา หาหนทางให้พนักงานขององค์การ ได้รับการตอบสนอง ในขณะเดียวกันก็จะต้องมีความพยายาม ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อผลสำเร็จในเป้าหมาย ที่องค์การกำหนด |
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์งาน หรือที่เรียกว่า “ Job Analysis ” ที่เป็นกระบวนการระบุถึงงานที่จะต้องทำ ซึ่ง Walker , J ได้ระบุถึงเป้าหมายของ Job Analysis ดังต่อไปนี้
• ทำให้พนักงานรับรู้ว่าตนเองจะต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
• ทำให้คนอื่นรับรู้ว่าตำแหน่งงานหนึ่ง ๆ จะต้องรับผิดชอบงานอะไร
• ทำให้หัวหน้างานโดยตรงตรวจสอบว่าพนักงานควรทำงานอะไรในตำแหน่งงานนั้น ๆ
• ทำให้หัวหน้างานรู้ว่าพนักงานควรจะต้องทำอะไรเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานที่จะได้รับมอบหมายต่อไปในอนาคต กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำ Job Analysis นั่นก็คือ 1 ) Job Description ที่เรียกว่า ใบกำหนดหน้าที่งาน หรือ คำบรรยายลักษณะงาน หรือใบพรรณนาหน้าที่งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งงานนั้น ๆ จะต้องทำงานอะไรบ้าง และ 2) Job Specification ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติเบื้องต้นที่ตำแหน่งงานต้องการ
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการกำหนด Job Description ในอดีต นั่นก็คือ การกำหนดเพียงแค่หน้าที่ความรับผิชอบในงานของตำแหน่งงาน โดยมิได้มีการระบุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ( Output, Result) ขอให้พิจารณาตัวอย่างการกำหนด Job Description ในอดีตที่กำหนดขึ้นที่ยังไม่ได้ระบุผลลัพธ์ของงาน ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 : Job Description
ตำแหน่งงาน Job Title
นักวิเคราะห์งานJob Analyst
วัตถุประสงค์ของงาน Purpose of Job
ศึกษาขอบเขตหน้าที่งานและจัดทำใบกำหนดหน้าที่งานและข้อมูลอื่นๆ ตาม ความต้องการของหน่วยงาน
จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชา Number of People Supervised
-
หน้าที่และความรับผิดชอบ Responsibilities
• รวบรวม วิเคราะห์ และจัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ หน้าที่งานของตำแหน่งงาน
• จัดประชุมกลุ่มเพื่อขอคำปรึกษาจากผู้จัดการตามสายงานในการกำหนด ระยะเวลา และขอข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการวิเคราะห์งาน
• สังเกตกระบวนการทำงาน และสัมภาษณ์พนักงาน หัวหน้างานถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบในงาน และคุณสมบัติพื้นฐานของตำแหน่งงานส่วนที่ 2 : Job Specification
การศึกษาขั้นต่ำที่จำเป็น Minimum Education Required
ปริญญาตรี สาขาบริหารงานบุคคล หรือบริหรงานทั่วไป หรือสาขาอื่นที่ เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์ขั้นต่ำที่จำเป็น Minimum Experience Required
-
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่จำเป็น Other Essential Qualifications
ความอดทน ความมุมานะ
นอกจากผลลัพธ์ที่ควรจะต้องระบุไว้ใน Job Description แล้ว ความสามารถหรือ Competency ซึ่งเป็นปัจจัยนำเข้าหรือพฤติกรรมในระหว่างการทำงาน ( Input / Process) นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรกำหนดไว้ใน Job Description ด้วย
ดังนั้นการที่จะรับรู้แต่เพียงว่าตำแหน่งงานหนึ่ง ๆ นั้นมีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นอย่างไรบ้างนั้นไม่เพียงพอแล้วในปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้นั่นก็คือ อะไรคือผลผลิตที่คาดหวังของแต่ละตำแหน่งงาน ทั้งนี้ผลผลิตหรือผลลัพธ์จะเกิดขึ้นได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ถึงความสามารถหรือพฤติกรรมที่ตำแหน่งงานนั้น ๆ พึงจะมีด้วย
Competency หรือความสามารถในการทำงานของแต่ละตำแหน่งงานจึงเข้ามามีบทบาทและได้รับการกล่าวขานถึงเป็นอย่างมาก รูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ความสามารถกันมากขึ้น ทั้งนี้ขอให้พิจารณาจากตารางการเปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอดีตกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งเน้นไปที่ Competency ดังต่อไปนี้
Traditional HR Management
Competency – Based HR Management
หลักการ( Foundation)
เน้นการวิเคราะห์งานเพื่อกำหนดใบกำหนดหน้าที่งาน งานอะไรบ้างที่จะต้องทำในตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยมิได้พูดถึงเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของงานที่ต้องการ ซึ่งการวิเคราะห์งาน นั้นจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสรรหาคัดเลือก การพัฒนาพนักงาน การประเมินผลงาน และการให้รางวัลแก่พนักงาน
เน้นไปที่พฤติกรรมหรือความสามารถของตำแหน่งงาน โดยการประเมินความสามารถของพนักงานเปรียบเทียบกับความสามารถที่ตำแหน่งงานต้องการ การบริหารทรัพยากรมนุษย์จะเน้นไปที่การคัดสรรคนที่มีความสามารถที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะความ สามารถนี้เองจะนำไปสู่ผลผลิตหรือผลลัพธ์ที่หัวหน้างานต้องการ
เหตุผลหลัก ( Chief Reasons)
เน้นไปที่ขอบเขตงานหรือปริมาณงาน ( Quantity) ที่พนักงานต้องทำ องค์การจะมองหาคนที่จะทำงานได้ตามหน้าที่งานที่ได้ระบุไว้ในใบกำหนดหน้าที่งาน
เน้นผลผลิต ( Productivity) ทำอย่างไรให้พนักงานทำงานได้ผลงานที่ดีเลิศ การแข่งขันบนพื้นฐานของการมีคนที่มีความสามารถเป็นเลิศ หรือพวกดาวเด่น ( Talent)
ความท้าทาย (Challenge)
• การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างองค์การ โครงสร้างหน่วยงาน มีผลทำให้ขอบเขตงานที่ระบุไว้ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
• การบริหารงานบุคคลในอดีตมิได้พูดถึงการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้กับพนักงานที่มีผลงานดีเลิศ หรือพวกดาวเด่น ( Talent)
• ความเข้าใจแนวคิด หลักการของ Competency ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
• การกำหนดความสามารถของกลุ่มพนักงานที่มีผลงานดีนั้นต้องใช้เวลาและงบประมาณค่าใช้จ่ายพอสมควร
• ผู้ชำนาญการหรือเชี่ยวชาญในแนวคิดของ Competency ยังมีไม่มากนัก
บทบาทของงาน HR (Role of HR Function)
งาน HR จะถูกมองว่าเป็นกฎระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย นโยบายและกระบวนการที่ต้องถือปฏิบัติ
งาน HR จะถูกมองว่าเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตของพนักงาน โดยเน้นให้พนักงานมีพฤติกรรมการทำงานให้ตรงกับความสามารถที่กำหนด
การวางแผนงานด้าน HR ( HR Planning Subsystem)
• เน้นจำนวนพนักงาน ( Head Count) และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
• คาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานของแต่ละหน่วยงานที่จะมีในอนาคตควรจะไม่ต่างจากอดีตมากนัก
• เน้นการเพิ่มมูลค่างานให้กับองค์การและการพัฒนาคนให้มีผลงานดีเลิศ
• ควรมีการทบทวนจำนวนพนักงานที่ควรจะมีในอนาคต ไม่จำเป็นว่าจำนวนพนักงานในอนาคตต้องเท่ากับปีที่ผ่านมา
การสรรหาคัดเลือกพนักงาน ( Employee Recruitment and Selection)
• สรรหาคนจากแหล่งสรรหาทั้งภายในและภายนอก
• หาผู้สมัครจากการพิจารณาถึงคุณสมบัติที่จำเป็นของแต่ละตำแหน่งงาน
• ตั้งสมมติฐานว่าการศึกษา ประสบการณ์ และคุณสมบัติขั้นต่ำที่จำเป็นจะเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเท่าเทียมกับความ สามารถในการปฏิบัติของแต่ละตำแหน่งงาน
• สรรหาคนจากแหล่งสรรหาเดิมที่ได้ผลมาแล้ว
• หาผู้สมัครจากการพิจารณาถึงความสามารถของผู้สมัครกับความสามารถที่กำหนดขึ้นของแต่ละตำแหน่งงาน
• พยายามกำหนดพฤติกรรมของคนที่มีผลงานดีเลิศ เพื่อเป็นแม่แบบในการสรรหาคนตามพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้
การฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน (Employee Training and Development Subsystem)
• เน้นให้พนักงานมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ดีในการทำงาน
• กระบวนการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานยังไม่เป็นระบบ และชัดเจนเท่าที่ควร
• เน้นให้พนักงานมีความสามารถในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีผลงานที่ดีเลิศ
• มีระบบการประเมินความสามารถของพนักงาน การติดตามผลการทำงานของพนักงานเป็นระยะ
ระบบการบริหารประสิทธิภาพการดำเนินงาน ( Performance Management Subsystem)
• เน้นการรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้มีน้อยที่สุด
• วัดผลจากงานที่ต้องปฏิบัติ โดยมีการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่พนักงาน พยายามรักษาและจูงใจพนักงานที่สามารถปฏิบัติงานตามขอบเขตหน้าที่งานที่กำหนดขึ้น
• เน้นการพัฒนาความสามารถของพนักงานในอนาคต
• วัดผลงานจากความสามารถ และผลงานที่เกิดขึ้น โดยการให้ข้อมูลป้อนกลับถึงความสามารถที่ควรพัฒนาเพื่อนำไป สู่ผลงานที่ดีขึ้นต่อไป
สรุปว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันจะเน้นไปที่ Competency ซึ่งถือเสมือนเป็นปัจจัยนำ (Lead Indicators) ที่ทำให้พนักงานมีผลผลิตหรือผลงานที่สามารถประเมินหรือวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ ( Lag Indicators) อีกทั้งการกำหนด Competency จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในด้านอื่น ๆ สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ของ Competency นั้นจะขอกล่าวถึงในตอนถัดไป
• ‘ that which go home with employees at night’
สิ่งที่ส่วนราชการควรดำเนินการเพื่อความมีประสิทธิภาพของการบริหารทรัพยากรบุคคล• ระบบงาน– จัดระบบการทำงานเพื่อลดขั้นตอน ระยะเวลา– การประเมินความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล– จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน– ระบบงานอัตโนมัติรองรับกิจกรรมและกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลประสิทธิผลของการบริหารทรัพยากรบุคคล(HRM Programme Effectiveness)กระบวนการจัดทำแผนบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
กรอบแนวคิดและความเป็นมา องค์กรสมัยใหม่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในสังคมเศรษฐกิจที่เน้นองค์ความรู้ (Knowledge Economy) ถือว่าทรัพยากรบุคคลอันเป็นทรัพย์สิน (Asset) ขององค์กรนั้นมีสภาพเป็น “ทุน” (Human Capital) ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการบริหารและการสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้กับองค์กร ผลการศึกษาในต่างประเทศระบุว่า ร้อยละ 85 ของผลประกอบการขององค์กรนั้นเกิดจาก “ทุนมนุษย์” อย่างไรก็ตามทรัพยากรบุคคลถือเป็นสิ่งที่เข้าใจและบริหารได้ยากที่สุด ตลอดจนวัดและประเมินได้ยากที่สุดในกระบวนการบริหารทั้งหมดด้วย จึงมีคำกล่าวที่ว่า “หากไม่สามารถวัดประเมินทรัพยากรบุคคลได้ ก็จะไม่สามารถบริหารทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรได้” ดังนั้น การประเมินระบบบริหารทรัพยากรบุคคลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญซึ่งจะช่วยให้องค์กรทราบว่าจะใช้กำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความคุ้มค่าและช่วยให้องค์กรบรรลุพันธกิจและเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร แนวทางหนึ่งในการประเมินสมรรถนะของระบบบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งมีความแพร่หลายทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ คือการประเมินการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบสมดุลตามหลักการของ Human Capital Scorecard การประเมินการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบสมดุลเป็นการประเมินระบบโครงสร้างการบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งหมด (Human Resource Architecture) ซึ่งเน้นความเชื่อมโยงของบุคคลผู้ปฏิบัติงาน (People) ยุทธศาสตร์การบริหาร (Strategy) และผลการปฏิบัติงาน (Performance) ขององค์กร (ซึ่งมิใช่การประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคลากรแต่ละคน) กลุ่มนักวิชาการอันประกอบด้วย Brian E.Becker, Mark A. Huselid และ Dave Ulrich ได้เสนอแนวคิดเรื่อง HR Scorecard ไว้เป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อ “The HR Scorecard : Linking People, Strategy and Performance” โดยได้พัฒนาแนวคิดมาจากตัวแบบการประเมินแบบสมดุลของ Robert Kaplan และ David Norton ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกเรื่อง Balance Scorecard เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 องค์กรในภาคราชการมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ เรื่อง เช่น การปฏิรูประบบราชการ การกระจายอำนาจการบริหารจากราชการส่วนกลางไปสู่ส่วนท้องถิ่น การปรับปรุงกระบวนการภายในเพื่อให้ได้บริการที่มีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล การเป็นองค์กรธรรมาภิบาล (Good Governance) การปรับ
งานสรรหาบุคคลเข้าทำงานแบบกลาง ๆ |
| ||
มิติใหม่ในการบริหารทรัพยากรบุคคล
กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ส่งผลกระทบต่อทุกภาคธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะทำอย่างไรในการสร้างความได้ เปรียบให้กับธุรกิจของตน
ความคิดริเริ่มนั้นนับเป็นสุดยอดปรารถนาของบริษัทต่างๆ ยิ่งถ้าเป็นบริษัทหรือองค์กรที่มีธุรกิจในแวดวงเทคโนโลยี สารสนเทศด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยความสามารถในการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตลอดจนความ สามารถในการเปิดตลาดกลุ่มใหม่ให้กับองค์กรนั้นจะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจได้อีกทางหนึ่งด้วย ตัวอย่างของความคิดริเริ่มใหม่ๆ มีทั้งที่ประสบความสำเร็จดีและบางกรณีก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไรนัก และมันก็เกิดขึ้นได้ในทุกภาคอุตสาหกรรมตลอดเวลา ซึ่งความท้าทายอยู่ที่ว่าความคิดหรือแนวคิดใหม่ๆ บางอย่างอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดและธุรกิจที่บริษัทดำเนินอยู่ ไม่เว้นแม้แต่บริษัทที่มีประสบการณ์หรือมีผลการดำเนินงานดีเยี่ยมก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้ เมื่อแรงผลักดันและกระแสด้านต่างๆ ที่มีผลต่อกลไกตลาดดังเช่นกระแสโลกาภิวัฒน์, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ, การเปิดเสรีโทรคมนาคมได้เข้ามารวมกันกับแนวคิดและความคิดริเริ่มใหม่ๆ แล้วนั้นจะยิ่งทำให้มีผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการดำเนินธุรกิจ อินเทอร์เน็ตนับเป็นตัวอย่างที่คลาสสิกที่สามารถอธิบายถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแนวคิดใหม่ในการนำเทคโนโลยีมาใช้งานได้เป็นอย่างดี ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในภาคธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ e-Banking และ Trading On-line ในธุรกิจการเงินการธนาคาร การชอปปิงออนไลน์ ตลอดจนพัฒนาการในการให้บริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมในทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดขั้นตอนของกระบวนการทางเอกสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์นั้นการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคลนับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ระบบบริหารงานบุคคลหรือแอพพลิเคชั่นที่เข้ามาช่วยในการบริหารระบบเงินเดือน ระบบสวัสดิการ และบริหารจัดการด้านการฝึกอบรม ตลอดจนระบบตารางการทำงาน จึงเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ผู้บริหารควรที่จะให้ความสนใจในการเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อที่จะสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคต หลายท่านคงเคยได้ยินระบบสารสนเทศด้านงานบุคคลที่เรียกว่า Human Resource Information Systems (HRIS) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสนองตอบต่อการทำงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะตั้งแต่การจ้างงาน การบริหารตาราง การเก็บเวลาเข้า-ออก ระบบเงินเดือน สวัสดิการ การฝึกอบรม และงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ในต่างประเทศนั้นนิยมดำเนินการในสองรูปแบบ คือ การซื้อซอฟต์แวร์บริหารทรัพยากรบุคคลทั้งระบบมาใช้เลย หรือการเอาต์ซอร์สไปให้บริษัทภายนอก ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่แน่นอนตามจำนวนพนักงาน และไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบซอฟต์แวร์และความปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้บริษัทที่ให้บริหารจะต้องรับผิดชอบในส่วนต่างๆ ที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งมองไปแล้วก็น่าที่จะเป็นทางเลือกที่ดีในการดำเนินการ โดยระบบ HRIS ที่มีอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ส่วนมากแล้วจะยอมให้พนักงานแต่ละบุคคลและหัวหน้างานสามารถเข้าไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลได้เองแบบออนไลน์ ตัวอย่างเช่น หัวหน้างานสามารถทำการประเมินผลงานประจำปีและการเลื่อนขั้นเงินเดือนโดยผ่านทางเว็บฯ ได้ นอกจากนี้พนักงานยังสามารถที่จะตรวจสอบวันหยุดวันลาของตน และส่งใบงานผ่านทางระบบออนไลน์ได้อีกด้วย ซึ่งแนวคิดในการที่ให้พนักงานใช้บริการแบบออนไลน์นี้สามารถบรรเทางานด้านเอกสารของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลได้อย่างมาก และสามารถที่จะใช้เวลากับงานด้านการพัฒนาบุคคลได้มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการใส่ข้อมูลและจัดเก็บเอกสาร เราจะสังเกตได้ว่างานต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในอดีตนั้น ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์แอพพลิเคชั่นแบบออนไลน์ได้ผลักภาระเหล่านั้นให้กับพนักงานแต่ละคนในการดูแลด้วยตนเองมากขึ้น และที่แปลกก็คือพนักงานทุกคนรู้สึกดีและชอบที่จะทำงานเหล่านั้นด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ สำหรับองค์กรหรือหน่วยงานขนาดใหญ่นั้นโดยมากแล้วมักที่จะใช้บริการของบริษัทภายนอกในการบริหารงานบุคคลหรือที่เรียกกันว่า Business Process Outsourcing (BPO) ซึ่งเป็นการเอาต์ซอร์สงานด้านบริหารทรัพยากรบุคคลบางส่วนหรือทั้งหมดให้กับบริษัทภายนอก แต่ความหมายที่แท้จริงของ Business Process นั้นหมายรวมไปถึงกระบวนงานด้านธุรกิจทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นงานบัญชี (Accounting) งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) หรือแม้แต่ระบบงานบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) และศูนย์บริการลูกค้า (Call Center) การใช้บริการเอาต์ซอร์สนั้นเป็นกลยุทธ์ในการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้องค์กรสามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ไปในสิ่งที่มีความสำคัญต่อความก้าวหน้าขององค์กรมากขึ้น และโอนถ่ายงานที่น่าปวดหัวและที่เป็นกิจวัตรในแต่ละวันที่ไม่ใช่งานหลักขององค์กรออกไป และการเอาต์ซอร์สในหลายกรณีก็เป็นการปรับปรุงคุณภาพของงานนั้นด้วย อย่างเช่นงานบริหารทรัพยากรบุคคลนั้นส่วนหนึ่งก็คือการปรับปรุงงานบริการพนักงานให้ดีขึ้น เพื่อที่จะให้พนักงานได้รับความสะดวกในการติดต่อและดำเนินการกับฝ่ายบุคคลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ก็คือมิติใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระของการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งนับได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของทุกองค์กร ทั้งนี้ไม่ว่าองค์กรจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กแต่ถ้าไม่มีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพเข้ามาบริหารงานก็ไม่สามารถที่จะสร้างผลงานให้ประสบความสำเร็จได้ |
1. knowledge resides in the users and not in the collection.(ความรู้อยู่ในผู้ใช้ ไม่ใช่อยู่ในแหล่งรวมความรู้)( Y.Maholtra)2. KM is Journey , not a destination.( การจัดการความรู้เป็นการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง)(Warick Holder, IBM, 20 Nov 2003 ,Chiangmai) 3. A little knowledge that acts is worth more than much knoeledge that is idle. ( ความรู้เพียงเล็กน้อยเพื่อปฏิบัติมีค่ามากกว่าความรู้มหาศาลที่อยู่เฉย ๆ )(Kahlil Gibran) 4. Knowledge is a key asset , but it is often tacit and private.( ความรู้เป็นสินทรัพย์สำคัญ แต่บ่อยครั้งความรู้เป็นสิ่งฝังลึกและเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคล)
ทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญขององค์การในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ (Competitive advantage) ภายใต้บริบทของการแข่งขันที่มีความรุนแรงและเป็นพลวัตรอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวขององค์การธุรกิจด้านอุตสาหกรรม Electronic ทั้งในระดับองค์การและระดับบุคลจึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญของกระบวนการปรับตัวเพื่อสร้างความยั่งยืนในการแข่งขัน (Sustainable Competitive) ให้กับองค์การ
บทความ โดย สมบัติ กุสุมาวลี โครงการบัณฑิตศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 16 ธันวาคม 2547 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3645 (2845)
การบริหารจัดการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสายงานหนึ่งที่กลายเป็น "ดาวรุ่ง" (rising star) ขององค์การต่างๆ ทั้งในภาคธุรกิจเอกชน และแม้กระทั่งในหน่วยงานภาคราชการ เพราะไม่ว่าองค์การจะปรับปรุงเปลี่ยน แปลงตัวเองไปด้านไหน ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของคนทั้งสิ้น จนอาจกล่าวได้ว่า ตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กรอยู่ที่ "คุณภาพของคน" ในองค์กรนั้นๆ
"คน" ที่เคยถูกมองเห็นว่าเป็นเพียงแค่ "ปัจจัยการผลิต" หรือให้ความสำคัญเป็นแค่ "แรงงาน" หรือ "กำลังคน" กำลังถูกนิยามวาทกรรมใหม่ว่าเป็น "ทรัพยากรมนุษย์" หรือ "ทุนมนุษย์" หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องของคนในองค์การก็กำลังประกาศว่าจะเปลี่ยนบทบาทจาก "งานบริหารบุคคลและธุรการ" ไปเป็น "การบริหารทรัพยา กรมนุษย์เชิงกลยุทธ์"
ปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ แพร่หลายอย่างมากใน "ภาคนักปฏิบัติ" (HR practice) อย่างไรก็ตามเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีฐานความคิดทางวิชาการเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง การจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จึงจำเป็นต้องเข้าใจหลักทางความคิดด้วย จากการทบทวนเอกสารทางวิชาที่เกี่ยวข้อง กับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในเบื้องต้น พบว่ามีการพัฒนาตัวแบบ เกี่ยวกับเรื่องนี้จากนักคิดนักวิจัยใน 2 กลุ่มประเทศสำคัญ คือ กลุ่มนักคิดในประเทศสหรัฐอเมริกา และกลุ่มนักคิดในสหราชอาณาจักร โดยสามารถจำแนกกลุ่มทางความคิดได้ดังนี้
1.กลุ่มนักคิดในประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับกลุ่มนี้มีตัวแบบการจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญจาก 2 สำนักคิด คือ
1.ตัวแบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์กลุ่มฮาร์วาร์ด (The Harvard model) หรือเรียกว่ากลุ่มแนวคิดแบบ "มนุษย์นิยมเชิงพัฒนาการ" (Developmental humanism) เป็นแนวคิดกระแสหลักที่ทรงอิทธิพลและแพร่หลายที่สุด มีรากฐานทางความคิดมาจากสำนักคิด "มนุษยสัมพันธ์" (Human relations school) ซึ่งมีจุดเน้นทางความคิดอยู่ที่เรื่องของการสื่อสารในองค์การ การสร้างทีมเวิร์ก และการใช้ความสามารถของแต่ละบุคคล ให้เกิดอัตถประโยชน์สูงสุด กล่าวโดยสรุปสำหรับแนวคิดของสำนักนี้แล้ว การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะให้ความสำคัญกับเรื่องของการสร้างสัมพันธภาพของคนในองค์การ เพราะการที่จะทำให้องค์การมีผลประกอบการที่ดีขึ้น องค์การจะต้องสามารถตอบสนองความต้องการ ของบุคลากรในองค์การให้เหมาะสม และเมื่อบุคลากรได้รับการตอบสนองที่ดี ก็จะเกิดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทำให้องค์การเกิดภาวะอยู่ดีมีสุขทางสังคม (societal well-being) ขึ้นภายในองค์การ อันจะนำไปสู่คุณภาพและปริมาณงานที่ดีขึ้น
2.ตัวแบบการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์สำนักมิชิแกน (The Michigan School) หรือเรียกอีกนามหนึ่งว่าเป็นแนวคิดแบบ "บริหารจัดการนิยม" (Managerialism) กล่าวคือ เป็นกลุ่มที่เน้นเรื่องของ การบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ ที่มองการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จากมุมมองของฝ่ายจัดการ ธรรม ชาติของฝ่ายจัดการคือ การให้ความสำคัญอันดับแรกที่ผลประโยชน์ตอบแทนที่องค์กรจะได้รับ โดยที่เรื่องของคน และการบริหารจัดการคนเป็นเครื่องมือ ในการที่จะทำให้บรรลุสู่เป้าหมายเช่นนั้นขององค์การ ดังนั้นจึงมีผู้เรียกแนวคิดการบริหารจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ของสำนักคิดนี้ว่า เป็นพวก "อัตถประโยชน์-กลไกนิยม" (Utilitarian-instrumentalism) คือมองผลประโยชน์หรือผลประกอบการ (performance) ขององค์กรเป็นหลัก โดยมีการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนองค์การให้ไปสู่ผลประกอบการที่เป็นเลิศ
2.กลุ่มนักคิดในสหราชอาณาจักร
สำหรับแวดวงวิชาการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ของสหราชอาณาจักรก็คล้ายๆ กับสำนักคิดของสหรัฐอเมริกา คือ มีการนำเสนอแนวคิดของ 2 กลุ่มความคิดที่มีจุดย้ำเน้นที่แตกต่างกันระหว่าง "กลุ่มอ่อน" (soft) กับ "กลุ่มแข็ง" (hard) กล่าวคือ
1.สำหรับกลุ่มที่มีมุมมองแบบ "อ่อน" (soft) คือ กลุ่มนักคิดที่ทุ่มน้ำหนักความสำคัญไปที่ "คน" (human resource) มากกว่าการบริหารจัดการ (management) โดยเชื่อว่าบุคลากรทุกคน "ทรัพยากร" ที่มีคุณค่าอยู่ในตนเอง ดังนั้นแนวทางของกลุ่มความคิดนี้ จึงมองการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ว่า จะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะต้องช่วยปลดปล่อยพลังศักยภาพทั้งมวลของ "ทรัพยากรมนุษย์" ออกมา (releasing untapped reserves of human resourcefulness) การบริหารทรัพยากรมนุษย์แนวนี้ จึงเน้นในเรื่องของการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (trust) การหาแนวทางที่จะสร้างความรู้สึกถึงการ มีพันธกิจผูกพัน (commitment) เกี่ยวข้อง (involvement) และการมีส่วนร่วม (participation) ให้เกิดขึ้นในหมู่มวลพนักงาน
2.สำหรับกลุ่มที่มีมุมมองแบบ "แข็ง" (hard) ก็คือ กลุ่มนักคิดที่ทุ่มน้ำหนักความสำคัญไปที่เรื่องของ "การบริหารจัดการ" (management) มากกว่าเรื่องของ "คน" (human resource) ดังนั้นแนวทางของกลุ่มความคิดนี้ จึงมองการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ว่า เป็นภาระงานด้านหนึ่งที่องค์การจะสามารถเพิ่มพูนผลตอบแทนทางเศรษฐ กิจให้ได้มากที่สุดจากการใช้ทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุด แนวทางที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้การบริหารจัดการองค์การให้เกิดประสิทธิ ภาพก็คือ ต้องมีการบูรณาการ (integrate) เรื่องของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์การ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม "อ่อน" ที่ใช้ปรัชญาแบบ "มนุษย์นิยมเชิงพัฒนา" หรือกลุ่ม "แข็ง" ที่มีปรัชญาแบบ "บริหารจัดการนิยม" มีผู้สรุปแนวโน้มของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ในทางความคิดจะเป็นแนวคิดที่ต่างกลุ่มต่างสำนัก แต่ในที่สุดแล้วในทางปฏิบัติทั้ง 2 แนวคิดนี้จะต้องถูกบริหารจัดการหรือบูรณาการเข้าด้วยกัน โดยมี 4 มิติมุมมองที่จะช่วยยึดโยงกับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์มากยิ่งขึ้น ได้แก่
1.การกำหนดนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การจะต้องบูรณาการอย่างเป็นระบบมากขึ้น ทั้งในแง่ของการบูรณาการกันเองของงานย่อยด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายในองค์การ และการบูรณาการนโยบายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเข้ากับแผนนโยบายและยุทธศาสตร์ขององค์การ
2.ความรับผิดชอบในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การจะไม่ได้อยู่กับผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลอีกต่อไป แต่จะถูกกำหนดให้ เป็นเรื่องที่ผู้บริหารสายงานด้านต่างๆ (senior line managers) จะต้องรับผิดชอบ
3.เรื่องของแรงงานสัมพันธ์ (labour relations) ที่เคยเป็นการเผชิญหน้าระหว่างผู้บริหารกับสหภาพ แรงงาน จะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องพนักงานสัมพันธ์ (management-employee relations) ทำให้แนวคิดการบริหารจัดการคน ในองค์การเปลี่ยนจากแบบ "กลุ่มนิยม" (collectivism) ไปเป็น "ปัจเจกนิยม" (individualism)
4.แนวคิดเรื่องของการสร้างความมีพันธกิจผูก พัน (commitment) การทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ (sense of belonging) การคิดสร้างสรรค์และเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม ทำให้ผู้บริหารจะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่บทบาทผู้นำในรูปแบบใหม่ๆ เช่น เป็นผู้เอื้ออำนวย เพิ่มบทบาทอำนาจ และ สร้างขีดความสามารถให้กับบุคลากร (facilitator, empowerer, enabler)
อย่างไรก็ตาม การมุ่งมองจดจ่อแต่เพียงประเด็นสำคัญ ในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ อาจทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหลงวนอยู่ในเขาวงกตทางความคิด จนไม่อาจก้าวข้ามพ้นไปสู่ประเด็นที่สำคัญเหนือไปกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีคำถามที่น่าจะถามต่อไปว่า "เราควรจะบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไปเพื่อ อะไร ?" คำถามเช่นนี้นอกจากจะเป็นการถาม เพื่อมุ่งทราบถึงจุดประสงค์ของเรื่องนั้นๆ แล้ว ยังเป็นคำถามเพื่อการตรวจสอบ "ค่านิยมและอุดม การณ์" ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ขององค์การต่างๆ ด้วย
ในแง่จุดประสงค์ของ HRM นั้นมีประเด็นที่น่าสนใจว่า การที่จะเข้าใจในจุดประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้ เราจะต้องเข้าใจถึงเป้าประสงค์ขององค์กรเสียก่อน หากกล่าวในเชิงปรัชญาก็อาจกล่าวได้ว่าการบริหารจัดการทรัพยา กรมนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ "สัมบูรณ์" (absolute) ในตัวมันเอง แต่ทว่าเป็นสิ่งที่จะต้อง "สัมพัทธ์" (relative) ไปกับปัจจัยควบคุมนั่นคือ นโยบายการบริหารจัดการองค์กร กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป้าประสงค์ขององค์กรจะเป็นตัวกำหนดเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์
ในทางธุรกิจองค์กรเอกชนแบบจารีตดั้งเดิมมักจะมีเป้าหมายใหญ่ๆ สำคัญ 2 ประการ คือ ประการที่ 1 เป้าหมายของการที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่าองค์กรจะอยู่รอดได้พร้อมไปกับความสามารถที่จะมีกำไรในการประกอบธุรกิจได้อย่างเพียงพอ (goal of securing viability with adequate profitability) ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงบรรดาผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจที่จะรักษาความเป็นหุ้นส่วนไว้หรือไม่ ประการที่ 2 องค์กรเอกชนอาจ จะต้องแสวงหารูปแบบของการมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน (sustained competitive advantage) เพื่อที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดและมีกำไรที่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในโลกยุคสมัยใหม่ที่มนุษย์ และสังคมได้ผ่านวิวัฒนาการและการพัฒนาทางความคิดและวิถีการดำรงชีวิตมาถึงจุดหนึ่ง ทำให้ยังมีสิ่งที่องค์กรพึงต้องพิจารณาให้ความสำคัญอย่างมากเพิ่มเติมอย่างมากเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจสังคมยุคปัจจุบัน ที่เกิดพลวัตผลักดันสังคมให้ก้าวสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจสังคม บนฐานความรู้ (knowledge-based social-economy) การประกอบธุรกิจมิใช่จะมุ่งมองแต่เรื่องผลกำไร และความอยู่รอดทางธุรกิจ ตามแนวคิดแบบจารีตดั้งเดิมได้อีกต่อไป สำหรับกระแสนิยมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเรียกร้องให้เกิดแนวคิดที่ว่า การดำรงอยู่ขององค์กรก็จะต้องให้ความใส่ใจกับผลกระทบที่ตนเองจะก่อให้เกิดขึ้นกับสังคมโดยรวมด้วย ดังนั้นจึงเกิดประเด็นที่ 3 คือ ที่องค์กรธุรกิจเอกชนจะต้องมีเป้าหมายเรื่องความชอบธรรมทางสังคม (social legitimacy) ขององค์กรด้วย
เมื่อองค์กรธุรกิจเอกชนมีเป้าประสงค์ 3 ประการข้างต้น ได้แก่ การอยู่รอดด้วยผลกำไรที่เพียงพอ การมีขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน และการมีความชอบธรรมทางสังคม เป้าประสงค์เหล่านี้ย่อมส่งผลต่อเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งอาจจะสามารถแปลงเป้าประสงค์ใหญ่ระดับองค์การมาสู่เป้าประสงค์ย่อยในระดับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะสามารถช่วยให้เราเห็นภาพเป้าประสงค์ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้ดังนี้
1.ในแง่ของการที่จะต้องสร้างความมั่นใจว่าองค์กรจะสามารถอยู่รอดได้พร้อมไปกับความสามารถที่จะมีกำไรในการประกอบธุรกิจได้อย่างเพียงพอ (goal of securing viability with adequate profitability) นั้น การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ก็คงจะต้องกำหนดเป้าประสงค์ในแง่ของการสร้าง "ผลิตภาพด้านแรงงาน" (labour productivity) ให้เกิดขึ้นภายในองค์การ นั่นย่อมหมายถึงว่าการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์จะต้องทำให้องค์การเกิดความคุ้มค่าในการลงทุน (cost-effectiveness) ที่เกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลในองค์การ
2.ในแง่ของการที่องค์การประสงค์ที่จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน (sustained competitive advantage) การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ก็คงจะต้องกำหนดเป้าประสงค์ในแง่ของการที่จะทำให้องค์การพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง (responsiveness) ดังนั้นการทำให้องค์การมีความยืดหยุ่นพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขัน (orga nisational flexibility) อย่างยั่งยืนจึงเป็นเป้าประสงค์ที่สำคัญอีกประการของงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์
3.ในแง่ของการที่องค์การประสงค์ที่จะมีความชอบธรรมทางสังคม (social legitimacy) ก็ถือเป็นภาระหน้าที่สำคัญ ของการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องมีเป้าหมายที่มุ่งเน้นการสร้างความรู้สึกให้องค์กรให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม (corporate social responsibility) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรับผิดชอบต่อบุคลากรภายในองค์กร และผลกระทบจากการบริหารทรัพยากรบุคคลของบริษัท ที่จะไปมีผลต่อสังคมภายนอก ซึ่งต่อมาได้ขยายนิยามความรับผิดชอบ ออกไปสู่ความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ลูกค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มต่างๆ
ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6
Human Resource Development = HRDHuman Resource Management = HRM
HRM กับ HRD ต่างกัน อย่างไร
คำว่า HRM หมายถึงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในสถานประกอบการ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผน การกำหนดคุณลักษณะ และคุณสมบัติของประชากร เริ่มตั้งแต่เกิดจนตาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์การต้องดูแลรักษา ใช้งาน และให้ประโยชน์แก่ทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย คือ ก่อนเข้าทำงานและหลังพ้นจากงานเป็นภารกิจขององค์การนั่นเองหน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ HRM ในสถานประกอบการ มีดังนี้คือ
1. กำหนดกลยุทธ์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM Strategy)
2. การวางแผนกำลังคน / การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (HR Planning)
3. การสรรหา คัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง (Recruitment + Selection and Placement) ถือว่าเป็นกระบวนการจัดหาบุคคลเข้ามา (Procurement)
4. การฝึกอบรมและการพัฒนา (Human Resource Training and Development)
5. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal)
6. การบริหารค่าตอบแทน สวัสดิการและผลประโยชน์ (Compensation, Benefit and Service)
7. วินัย (Discipline)
8. สุขภาพและความปลอดภัย (Safety and Health)
9. แรงงานสัมพันธ์ (Labour Relation)
10. ระบบข้อมูล การตรวจสอบ และการวิจัยทรัพยากรมนุษย์
ส่วน HRD เป็นการการฝึกอบรมและการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถ้าดูจากหน้าที่ของ HRM ข้างต้นแล้ว จะพบว่า HRD อยู่ในข้อ 4 เป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นส่วนย่อยของ HRM
นวัตกรรมสร้างสรรค์ความสุขในการบริหารทรัพยากรบุคคล คำว่า “นวัตกรรมในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล” (HR Innovations) ผู้คนทั่วไปมักจะนึกถึง การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบซอฟแวร์ หากถามถึงสิ่งที่ทำให้พนักงานไม่มีความสุขในการทำงาน บางคนบอกว่า มีหลายลักษณะ หากมองทางด้านกายภาพ เช่น สภาพแวดล้อม ผู้เขียนได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัท ในเครือของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งเห็นว่ามีการออกแบบระบบ กล่าวคือเป็นองค์กรที่อิสระให้ความสำคัญกับคน ความคิดของคน ที่ทำให้เกิดความยืดหยุ่น โดยที่องค์การแห่งนี้ตั้งอยู่ในสังคมเมืองหลวง ตัวอย่างอีกองค์กรหนึ่งที่เป็นสำนักงานบัญชี (ตั้งอยู่ย่านถนนรัชดาภิเษก) พนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ผู้บริหารบริษัท ผู้เขียนเห็นว่า การที่จะสร้างนวัตกรรมเพื่อการผ่อนคลายหรือสร้างความสุขให้แก่พนักงานมากน้อยเพียงไร |
|
บริหารความสุขในการทำงาน......ด้วยหลัก “P-D-C-A”
ชีวิตคนทำงานไม่มีใครที่ไม่ต้องการความสุข เพราะความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้พฤติกรรรมคนปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อันนำไปสู่ผลการปฏิบัติงานตามที่องค์กรต้องการ ดังนั้นความสุขจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา การบริหารความสุขในชีวิตการทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะสังคมไทยในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เป็นเหตุให้พนักงานทั้งหลายต้องกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าคิดใหม่เพื่อทำให้ตนเองมีความสุข
เทคนิคหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะแนะนำให้ผู้อ่านทุกท่านลองนำไปปฏิบัติ ด้วยการบริหารตนเองให้มีความสุขตามหลักของ P-D-C-A นั่นก็คือ
Plan – ในการทำงานหากขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำงานไปวันๆ ย่อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และความรู้สึกเบื่อนี้เองจะเป็นอันตรายเนื่องจากจะนำไปสู่ผลการทำงานที่ถดถอย หรือเป็นต้นเหตุของการสูญเสียคนดีมีฝีมือ ดังนั้นการวางแผนผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน (Performance Planning) รู้เป้าหมายว่าในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และเพื่อทำให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ จะต้องแสดงออกหรือมีพฤติกรรมเช่นไรนั้น จะช่วยทำให้เกิดความคิดที่เป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น และเมื่องานที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จ ย่อมเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทำงานเกิดความรู้สึกโล่งอก โล่งใจ ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้มักจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงงานให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้การวางแผนงานที่ชัดเจนจำเป็นจะต้องมีการจดบันทึกว่าในแต่ละวันงานที่ต้องทำให้สำเร็จมีอะไรบ้าง เพราะแผนงานที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจึงเป็นเสมือนเข็มทิศหรือเครื่องนำทางให้สามารถทำงานแต่ละชิ้นอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน
Do – แผนงานที่ดีย่อมมีการปฏิบัติ การตรวจสอบ การติดตามผลงานที่ทำไปแล้วว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จบ้าง ด้วยการให้ข้อมูลป้อนกลับกับตนเอง (Performance Feedback) ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นที่จะมาบอกว่างานแต่ละชิ้นคุณเองสามารถทำสำเร็จหรือไม่ การ Feedback กับตนเองก็คือ การหาโอกาสบอกหรือพูดคุยกับตนเองในแต่ละวัน ผู้เขียนขอแนะนำว่าควรจะเป็นตอนกลางคืนก่อนนอนจะดีกว่า เพื่อสำรวจว่าวันนี้คุณได้ทำงานเสร็จไปกี่อย่างบ้าง และงานใดบ้างที่คุณทำไม่สำเร็จเป็นเพราะเหตุใด เพื่อที่ว่าคุณจะได้นำปัญหาที่เกิดขึ้นมาวางแผนว่าควรจะทำอย่างไรให้งานชิ้นนั้นประสบผลสำเร็จในวันถัดไป ทั้งนี้ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับหลาย ๆ คนคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ยากกว่าการวางแผนงาน เนื่องจากไม่สามารถทำงานให้บรรลุตามแผนที่กำหนดขึ้น เพราะจิตไม่อยู่กับที่ เกิดความกระวนกระวายใจ จิตไม่สงบ ขาดสมาธิ ซึ่งผู้เขียนขอแนะนำว่าในระหว่างการทำงานแต่ละอย่างนั้น ควรคิดถึงงานชิ้นนั้นอย่างเดียวทั้งกายและใจ จิตที่มีสมาธิจะทำให้เกิดปัญญาที่จะบริหารงานแต่ละอย่างสำเร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนดขึ้น และเมื่อคุณทำงานสำเร็จ เชื่อแน่ว่าคุณจะรู้สึกภาคภูมใจ รู้สึกมีความสุขกับงานแต่ละอย่างที่สำเร็จลุล่วงไป
Check – ความสุขเกิดขึ้นจากการให้ ให้ในสิ่งที่ผู้รับได้รับประโยชน์จากงานของคุณ ซึ่งการบริหารความสุขของตนเอง ก็คือการบริหารจิตใจของผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นตัวคุณเองจะต้องประเมินผลงานที่ทำขึ้นมาว่าผู้รับหรือลูกค้ามีความพึงพอใจกับผลงานแต่ละชิ้นมากน้อยแค่ไหน การประเมินผลงาน (Performance Appraisal) จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผลักดันให้คุณจะต้องปรับปรุงผลงานของตัวคุณเองอยู่เสมอ ด้วยการวางแผนงานใหม่อีกสักครั้ง หากงานที่ทำไปแล้ว ถึงแม้คุณทำงานได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดขึ้น แต่ผู้รับไม่ชอบ ไม่พอใจ คุณจะต้องปรับเปลี่ยนแผนงานใหม่ เพื่อสร้างผลงานให้ลูกค้าหรือผู้รับของคุณเกิดความพึงพอใจทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณงานที่ส่งมอบ ซึ่งวิธีการประเมินผลงานที่คุณสามารถทำได้และไม่ยุ่งยากก็คือ การสอบถามและพูดคุยกับลูกค้าของคุณว่าเขาชื่นชอบในผลงานที่ทำให้ไปมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้คำว่า “ลูกค้า” นั้นผู้เขียนไม่ได้มองเพียงแค่ลูกค้าภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น ผู้เขียนจะมองไปถึง ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ด้วยเช่นกัน
Act – การปรับเปลี่ยนกระบวนการ และวิธีการทำงานของคุณว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจบ้าง เพื่อที่ว่าคุณจะได้หาวิธีการทำอย่างไรก็ตามในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพราะหากลูกค้ามีความสุข คุณเองย่อมมีความสุขในการทำงานด้วยเช่นกัน การสำรวจและจดบันทึกว่ามีแนวทางไหนบ้างในการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการทำงานของคุณให้ดีขึ้น การพัฒนาผลงานของคุณ (Performance Development) จะทำให้คุณมีการปรับปรุง และการปรับเปลี่ยนตนเองอยู่เสมอ ไม่ซ้ำซากจำเจกับวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ เพราะความซ้ำซากทำงานแต่แบบเดิม ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน
สรุปว่าความสุขในการทำงานทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นการได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทุกปีเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวคุณเองเกิดความสุขได้ก็คือ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุง หรือการปฏิบัติตามหลัก P-D-C-A ซึ่งจะเป็นหนทางให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างเกิดความสุขในการทำงาน
ณรงค์วิทย์ แสนทอง
www.peoplevalue.co.th
ผมเชื่อว่าในปัจจุบันนี้ มีหลายองค์กรที่กำลังคิดค้นหาแนวทางการนำเอา Competency ไปเชื่อมต่อกับการพัฒนาฝึกอบรม ผมในฐานะคนที่ทำหน้าที่นักคิดและนักเขียนอิสระ จึงขอนำเสนอแนวคิดในเรื่องนี้ โดยสมมติตัวเองว่า ถ้าผมเป็นคนทำงานในองค์กร และต้องรับผิดชอบในเรื่องการนำเอา Competency ไปใช้ในการพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร ผมควรจะต้องทำอะไรบ้าง อย่างไร ผมคิดว่าผมจะดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
สรุป การที่จะทำให้คนทำงานมีคุณลักษณะความสามารถเป็นไปตาม Competency ที่กำหนดไว้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะทำได้ภายในเวลาเพียงวันสองวัน เพราะ Competency หลายข้อไม่ใช่เป็นเรื่องทักษะหรือความรู้ แต่เป็นเรื่องความคิด เป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ก็จริง แต่จะต้องอาศัยกลยุทธ์กลวิธีที่หลายหลายร่วมกัน จะทำแค่เพียงการอบรมเพียงอย่างเดียวคงจะไม่ได้ผลแน่ๆ และจำเป็นต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสภาพจิตใจของคนให้รู้สึกเคยชินกับสิ่งนั้นๆ จนคนทำงานรู้สึกว่าการมีพฤติกรรมที่กำหนดไว้นั้นเป็นเรื่องปกติของชีวิตการทำงาน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งคิดด้วยเหตุผลว่าทำไปทำไม ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งทบทวนว่าเรื่องนั้นดีหรือไม่ดี ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คงจะเรียกว่าทำเรื่องนั้นๆจนเป็นนิสัยไปเรียบร้อยแล้ว และสิ่งนั้นจะต้องติดตัวคนๆนั้นไปตลอดไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงานหรืออยู่ในสังคมภายนอก การสร้างหรือพัฒนา Competency ให้กับคนไม่ใช่ทำเหมือนกับ “ไฟไหม้ฟาง” (สุดท้ายได้แค่ไก่อบฟาง กินมื้อเดียวก็หมดแล้ว) แต่ต้องทำแบบ “การตีเหล็กให้เป็นดาบ” ที่คนตีต้องมีทั้งความอดทนและเทคนิควิธีการที่เหมาะสม (สุดท้ายจะได้ดาบที่มีคุณภาพใช้ได้ไปหลายชั่วอายุคน)
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนในภาคปฏิบัติได้มากยิ่งขึ้น ผมจึงขอยกตัวอย่างแนวทางการพัฒนา Competency เรื่อง Service Mind มาให้ดู เผื่อว่าอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ท่านผู้อ่านที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ในองค์กรสามารถนำไปคิดต่อยอดได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น (ถ้ามีเวลาจะทยอยเขียนตัวอย่างของ Competency ในเรื่องอื่นๆต่อไปครับ)
การบริหารคน | HRM | ทุนมนุษย์ |
1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะสั้น2. เน้นการทำให้พนักงานยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งตามสายบังคับบัญชา3. ใช้ปัจจัยภายนอกบุคคลควบคุม เช่น วินัย เป็นต้น4. องค์การประกอบด้วยหลายฝ่าย5. โครงสร้างองค์การแบบระบบราชการ6. พัฒนาพนักงานให้รอบรู้เฉพาะด้าน7. เน้นการลดต้นทุนด้านบุคคลให้ต่ำที่สุด | 1. เป็นการวางแผนบุคลากรระยะยาว2. เน้นการสร้างความผูกผันและการมีส่วนร่วมของพนักงานในการทำงาน3. ให้พนักงานควบคุมตนเอง4. องค์การเน้นความเป็นหนึ่งเดียว5. โครงสร้างองค์การแบบหมู่คณะ6. พัฒนาพนักงานให้เรียนรู้รอบด้านในภารกิจขององค์การ7. เน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด | เน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร |
การบริหารคน | HRM | ทุนมนุษย์ |
1. การจัดการบุคลากร (Personal Management) - ระบบการจัดการบุคคล (Personal Administration) - ระบบบันทึกเวลา (Time and Absence Management) - ระบบการจัดการองค์การ (Organizational Management) - ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (Travel Management)2. ระบบการประเมินและวางแผนกำลังคน (Career and Evaluation Management) - ระบบประเมินความสามารถ (Competency Management) - ระบบการวางแผนกำลังคน (Career and Succession Planning) 3. ระบบการสรรหาพนักงาน (Recruitment Management)4. ระบบการฝึกอบรม (Training Management)5. ระบบการจัดการเงินเดือน (Payroll Management) - เงินเดือน (Payroll) - การวางแผนและการจัดการเงินเดือน (Salary Administration and Planning) - ค่าชดเชย (Compensation)6. ระบบสวัสดิการ (Benefits and Welfare Management) - สุขภาพและความปลอดภัย (Health and Safety) - สวัสดิการ (Benefits) | การคัดเลือกพนักงานให้มีคุณภาพ1. การวางแผน (Planning)2. การสรรหา (Recruitment)3. การคัดเลือก (Selection)4. การบรรจุ (Placement) การให้ความรู้และทักษะแก่พนักงาน1. การปฐมนิเทศ (Orientation)2. การฝึกอบรมและพัฒนา (Training & Development) การรักษาพนักงานที่ดีให้อยู่กับองค์กร1. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal)2. การบริหารค่าตอบแทน (Compensation Administration)3. การบริหารประโยชน์และบริการ (Benefit Administration)4. สุขภาพและความปลอดภัย (Health & Safety)5. แรงงานสัมพันธ์ (Labor Relations) | 1. เน้นการสร้างผู้นำ หน่วยงานจะต้องมีกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล และมุ่งเน้นที่การสร้างผู้นำ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ฐานะที่เหนือกว่า มีขีดความสามารถสูงกว่าคู่แข่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต2. ให้ความสนใจกับการบริหารกำลังคนที่มุ่งเน้นสมรรถนะและผลงาน3. มีการบริหารกระบวนการและจัดการงานบุคคลที่มีประสิทธิภาพ อาศัยเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการ และช่วยให้การทำกิจกรรมพื้นฐานซึ่งยังคงมีความจำเป็น เป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว |
2. การสร้างคุณค่าให้แก่องค์กร หรือนายจ้างคนที่ทำงานจะทำอย่างไร ที่จะให้องค์กรมีชื่อเสียง มีผลลัพธ์ต่อสังคมและภารกิจ
3. การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้รับบริการถ้าไม่มีลูกค้า องค์การคงอยู่ไม่ได้ ลูกค้าต้องได้รับความพึงพอใจใน การบริการ ของผู้ให้บริการ
4. การสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมในการจัดการทุนมนุษย์นั้น จะต้องมีเป้าหมายในการจัดการ คือ4.1 การจัดการเรื่องของคนนั้น เราต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาคนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนให้พนักงานมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น สามารถค้นหาองค์ความรู้ได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น
4.2 จัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้โดยการเลือกหาระบบที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในการทำงานของเราได้
4.3 อย่าทำให้ความคิดที่ว่าเทคโนโลยีจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงไป ต้องคิดว่าระบบไม่ได้ทำให้คนแตกแยก แต่ทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยมีการปฏิสัมพันธ์ มากขึ้น
4.4 ระบบเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมให้คนทำงานมีสภาพแวดล้อมที่ดีณรงค์วิทย์ แสนทอง
เมื่อกระแสอันเชี่ยวกรากของเครื่องมือการจัดการยุคใหม่ที่เรียกกันว่า Balanced Scorecard เริ่มโถมกระหน่ำเข้ามาในวงการธุรกิจในบ้านเรา ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าสัญญาณการเปิดทางไฟเขียวให้กับเครื่องมือการจัดการตัวเล็กตัวน้อยเข้ามาได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น ถ้าเปรียบ Balanced Scorecard เป็นรถยนต์แล้ว HR-Scorecard ก็คงหนีไม่พ้นอะไหล่รถยนต์ หรือน้ำมันหล่อลื่นที่ต้องใช้กับรถยนต์รุ่นนั้นๆนั่นเอง เราในฐานะผู้บริโภคซึ่งได้ลองลิ้มชิมรสของสินค้าหลักไปแล้ว ก็ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องแสวงหาสินค้าพ่วงเข้ามาบริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นผู้บริโภคที่รสนิยมสูงอย่างแท้จริง
นักบริโภค(ทฤษฎี)นิยมอย่างเราๆก็คงจะต้องติดตามเครื่องมือตัวนี้อย่างใกล้ชิด เพราะมิฉะนั้นอาจจะตกขบวนรถไฟฟ้าได้ ถึงแม้จะเป็นของนอกที่มีประสิทธิภาพสูงก็ตาม แต่มันคงไม่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมดกับบริบทของการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์ในบ้านเรา เพราะสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ถ้าได้ลองศึกษาไว้บ้างก็จะเป็นประโยชน์สำหรับการกำหนดเส้นทางเดินที่เราต้องการจะไปถึงได้นะครับ การเดินตามคนอื่นก็ดีตรงที่ได้เรียนรู้ว่าเส้นทางข้างหน้านั้นมีหลุมมีบ่อมากน้อยเพียงใด อยู่ตรงไหนบ้าง ถ้าเขาเคยเดินตกหลุมนั้นมาแล้ว เราในฐานะผู้เดินตามหลังจะได้ไม่ตกหลุมเดียวกันกับเขาอีก แต่…อาจจะตกหลุมใหม่ก็ได้นะครับ ดังนั้น ก่อนนำมาใช้ควรศึกษาให้ละเอียด อย่าประมาท
HR-Scorecard หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบโครงสร้างตัวชี้วัดผลงานในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญและมีผลกระทบต่อคุณค่าขององค์กร และโครงสร้างนี้จะเป็นตัวนำไปสู่ตัวชี้วัดย่อยๆ ในการบริหารงานด้าน HR การจัดทำ HR-Scorecard จะช่วยให้คนทำงานด้าน HR สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่างานในแต่ละงานที่จะต้องทำนั้นทำไปทำไม เกิดผลกระทบอะไรต่อเป้าหมายขององค์กร
สำหรับการออกแบบ HR-Scorecard จะต้องคำนึงถึง 3 ส่วนที่สำคัญดังนี้
ตัวชี้วัดด้านต้นทุน (Cost) ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าการดำเนินงานด้าน HR อยู่บนพื้นฐานของจิตสำนึกในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้จ่าย
ตัวชี้วัดด้านการสร้างคุณค่าเพิ่มให้องค์กร (Corporate Value Added) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ใช้วัดผลกระทบของกิจกรรมทางด้าน HR ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรโดยผ่านกระบวนการในด้านต่างๆ เช่น การสรรหาคนที่เก่งๆทางด้านการตลาด และคนเก่งๆที่ได้มานั้นเข้ามาช่วยสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้องค์กรเป็นผู้นำทางด้านการตลาดได้
จะเห็นว่าการออกแบบ HR-Scorecard ไม่ใช่เพียงการออกแบบตัวชี้วัดผลงานทางด้าน HR เท่านั้น แต่เป็นการออกแบบโครงสร้างการพัฒนาคนที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร โดยเป็นส่วนขยายที่จะทำให้เราเห็นภาพของ Learning and Growth Perspective ในระบบ Balanced Scorecard ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สรุป HR-Scorecard ถือเป็นเครื่องมือทางการจัดการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คนที่ทำงาน HR สามารถมองเห็นภาพความสัมพันธ์แผนผังกลยุทธ์ (Strategy Map) ในการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ HR-Scorecard ยังสามารถกำหนดตัวชี้วัดในระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น เพราะสามารถตอบได้ว่าตัวชี้วัดใดเป็นเพียงตัวชี้วัดผลของการดำเนินกิจกรรมทางด้าน HR ตัวชี้วัดใดเป็นตัวชี้วัดผลกระทบจากกิจกรรมของ HRที่มีต่อเป้าหมายขององค์กร
การนำเอาหลักการและแนวคิดของ HR-Scorecard มาใช้ในวงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในบ้านเรา อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดความเหมาะกับสภาพแวดล้อม ใครที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนเองได้ก็สามารถทำได้เลย ใครไม่มั่นใจอาจจะต้องอาศัยตัวแทนจำหน่ายซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือที่เรียกกันว่า Consultants ก็ไม่ว่ากัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระดับความหนาแน่นของเงินทุนของแต่ละกิจการที่จะต้องไปพิจารณากันเอาเองนะครับว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการนำเอารถยนต์ชั้นดีมาวิ่งบนถนนลูกรัง ถนนยางมะตอยหรือถนนคอนกรีต….สวัสดีครับ
ขั้นตอนในการพัฒนาคนทั้งในเชิงความรู้ จิตใจ ความพึงพอใจ ที่สำคัญทำให้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้เป็นอย่างดี ว่าเป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า 5 H คือ
1. Head ต้องรู้ในสิ่งที่ต้องทำ
2. Heart มีใจรัก
3. Hand มีทีมเวิร์คที่ดี สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้
4. Healthy สร้างสุขภาพที่ดีให้คนในองค์กร
5. Happiness สร้างความสุขให้เกิดขึ้นในองค์กร แล้วทุกคนจะพร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
รศ.ไว จามรมาน OSK86: Thailand Top 100 HR สุดยอดนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่น
ประชาชาติ วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3907 (3107)
Thailand Top 100 HR สุดยอดนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่น
อาจเป็นเพราะสถาบันทรัพยากรมนุษย์ เป็นสถาบันวิจัยและฝึกอบรมพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านทรัพยากรมนุษย์ในระดับประเทศ
เหตุนี้เอง ทางสถาบันทรัพยากรมนุษย์จึงตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ในประเทศ ที่ไม่เพียงมีนโยบายและเป้าหมายที่จะรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ จากผู้บริหารที่เปี่ยมไปด้วยความรู้และความสามารถในการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์
หากยังจัดสร้างกระบวนการเรียนรู้ โดยผ่านการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ทั้งนั้นเพื่อพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ของคนไทยให้สามารถตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน
เหตุนี้เอง ทางสถาบันทรัพยากรมนุษย์จึงได้จัดสรรโครงการเพื่อสรรหาและรวบรวมนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นในระดับประเทศ (Thailand Top 100 HR) เพื่อยกย่องให้เป็นบุคคลต้นแบบ ที่มุ่งมั่นในงานบริหารและพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ และพร้อมที่จะนำประสบการณ์ความรู้มาช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
ที่ไม่เพียงผู้ที่เป็น Thailand Top 100 HR จะต้องถ่ายทอดประสบการณ์การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (human resource management-HRM) แต่จะต้องถ่ายทอดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (human resource development-HRD) ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง
ที่สำคัญ สถาบันทรัพยากรมนุษย์ยังจะเกื้อหนุนด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลความรู้ให้เป็นระบบและทันสมัย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงและเป็นฐานข้อมูลกลางในการบริหารจัดการ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศต่อไป
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ "รศ.ไว จามรมาน" ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ จึงได้กล่าวเพิ่มเติมกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่าจริงๆ แล้วอย่างที่ทราบ ทางสถาบันทำงานเกี่ยวข้องกับงานวิจัยและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ
"และผมเองก็มีความคิดที่อยากจะสร้าง HR society คือ ทำเป็นสังคมความรู้ทางด้านทรัพยากรมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
การบริหารคน หรือเรื่องวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ที่มีแนวความคิดในการบริหารประเทศ ซึ่งตรงนี้คือองค์ความรู้และประสบการณ์ เพราะเรื่องเหล่านี้คือความรู้ของสังคมชุมชน"
"ผมจึงได้คุยกับคณะกรรมการอีกหลายท่าน ว่า เราอยากจะหาแม่แบบทางด้านผู้นำทางด้านทรัพยากรมนุษย์สัก 100 คน ถามว่าทำไมต้อง 100 คน เพราะเราเชื่อว่า ผู้นำต้นแบบเพียง 2-3 คน มันน้อยเกินไป เพราะในประเทศไทยมีคนเก่งมากกว่านั้น"
"เพียงแต่หลายคนอาจไม่รู้จัก เราจึงอยากที่จะมีตัวอย่างให้เห็นสัก 100 คนก่อน เพื่อที่ให้เขาเหล่านั้นเป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนจริงๆ และใน 100 คน ก็จะมาจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชน"
"ที่สำคัญ ผมต้องการให้ Thailand Top 100 HR นี้ มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเชิงการบริหารซึ่งกันและกัน เพราะผมคิดว่ามันจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ดี อีกอย่างผมคิดว่าไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าการสร้างคน"
"ฉะนั้นกระแสโลกใหม่ เราจึงหนีไม่ได้ในเรื่องของการพัฒนาและสร้างคนขึ้นมา แต่กระนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชนบางส่วนมักมองคนเป็นวัตถุ ใช้แล้วก็ทิ้ง ไม่รู้จักสร้างสรรค์คนขึ้นมา หรือดูแลเขาอย่างจริงจัง"
"ให้โอกาสเขาแสดงความสามารถหรือฝีมือ เหตุนี้เอง ผมจึงมองว่าต่อไปนี้เราต้องคิดเป็นระบบมากขึ้น และการที่เราได้ Top 100 HR ขึ้นมา เรา ก็ต้องให้แต่ละคนนำความคิดมาแชร์ร่วมกัน ที่สำคัญเขาเหล่านั้นก็จะต้องถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนอื่นฟังด้วย นี่คือเป้าหมายที่เราต้องการ"
แต่ลึกลงไปกว่านั้น อาจเป็นเพราะ "รศ.ไว" มีโอกาสฟังพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ตรัสว่า ประเทศไทยเรามีคนเก่งอยู่เยอะ และวันหนึ่งคนเก่งก็จะจากสังคมไป เราก็ต้องสร้างคนเก่งขึ้นมาใหม่ ทำไมเราถึงไม่สร้างสังคมให้คนรุ่นหนึ่งถ่ายทอดความรู้ไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งเอง
ซึ่งเมื่อ "รศ.ไว" ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถตรัสเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องที่ดี และนั่นก็คือปฐมเหตุในการเกิดโครงการ Thailand Top 100 HR ขึ้น
"คือผมมองว่าอย่างจีน เขาก็ทำ best practice ขึ้นมา และเวียดนามเอง เขาก็จัดทำแบบประเมินศักยภาพของเยาวชนขึ้นมา ซึ่งผลปรากฏว่าเด็กของเขามีความเก่งกาจในคณิตศาสตร์ค่อนข้างมาก ขณะที่ประเทศไทยเอง เรามีคนเก่งอยู่รอบด้าน แต่ทำไมถึงไม่ทำบ้าง"
"ยิ่งเฉพาะสถาบันทรัพยากรมนุษย์ เป็นสถาบันที่ทำงานเกี่ยวกับงานวิจัยและพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์ ก็เลยเกิดความคิดที่อยากจะทำอะไรออกมาบ้าง เพราะอย่างน้อยจะได้เป็น road model เพื่อให้องค์กรต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้"
"เริ่มแรกเลยเราตั้งใจจะทำ Top 600 HR ด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าด้วยเงื่อนไขต่างๆ มันเยอะ ก็เลยเหลือเพียง 100 คน ด้วยการเชิญชวนผู้นำภาคส่วนต่างๆ เข้ามาสมัคร แต่ก็มีเงื่อนไขอีก ถ้าเขาสมัครแล้วไม่ติดใน Top 100 HR ล่ะ เขาก็เสียหน้า"
"เราก็เลยเชิญคณะกรรมการมาสรรหาเพื่อทำหน้าที่คัดสรรและรวบรวมผู้นำจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาประมาณ 21 ท่าน และมีคณะกรรมการ คัดเลือกอีก 19 ท่าน เป็นคนลงมติลับว่า จากทั้งหมดนั้นจะได้ Top 100 HR กี่คน ซึ่งปรากฏว่าได้เพียง 40 กว่าคนเท่านั้นเอง เพราะหลายคนขาดคุณสมบัติบางประการ"
ที่สำคัญอาจเป็นเพราะเกณฑ์ในการพิจารณาค่อนข้างลงลึกและลงละเอียด แถมยังครอบคลุมรอบด้านด้วย คือ
หนึ่ง ผู้นำองค์กร หรือผู้นำธุรกิจ จะต้องเห็นคุณค่าของคน และมีการนำปรัชญาความคิดมาใช้ในองค์กรจริงๆ จะต้องสร้างศักยภาพของคน และจะต้องลงทุนในเรื่องของการสร้างคนและพัฒนาทุนมนุษย์จริงๆ
สอง ผู้นำองค์กร หรือผู้นำธุรกิจ จะต้องมีผลงานประจักษ์ชัดเจนทางด้านทรัพยากรมนุษย์
สาม จะต้องมีกระบวนการในการบริหารและพัฒนาทุนมนุษย์ และมีการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างจริงใจ
นอกจากนั้นยังมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอีก 3 หมวด หมวดละ 10 ข้อ ที่ไม่เพียงครอบคลุมถึงความเป็นผู้นำองค์กร และผู้นำธุรกิจ หากยังครอบคลุมถึงความเป็นมืออาชีพ และความเป็นสถาบันและองค์กรที่ปรึกษาด้วย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ "รศ.ไว" ยอมรับว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด ทำงานอย่างเสียสละมาก มีการประชุมกันค่อนข้างบ่อย และทุกครั้งที่มีการประชุมก็จะถกเถียงกันตลอด เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า คนนี้เหมาะควรยิ่งแล้วที่จะติด 1 ใน 100 Top HR Thailand
แต่ที่สุดก็ได้มาเพียง 40 กว่าคน
ซึ่ง 1 ใน 40 กว่าคน ไม่เพียงจะต้องแสดงผ่านความคิดเห็น และโชว์วิสัยทัศน์ในเรื่องของการพัฒนาทุนมนุษย์ขององค์กรของตนเอง หากยังจะต้องแสดงความคิดเห็น และถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้ผู้สนใจฟังด้วย
อย่างน้อยในตลอดระยะเวลา 2 ปี
ฉะนั้นรางวัล Thailand Top 100 HR หรือ รางวัลสุดยอดนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่น จึงไม่เพียงเป็นรางวัลอันทรงเกียรติ หากยังเป็นรางวัลที่ถือได้ว่า "คุณ" คือสุดยอดของนักทรัพยากรมนุษย์จริงๆ
คน เป็นหัวใจของความสำเร็จในการทำงาน ไม่ว่าในองค์กรใดหากมี “คน” ที่มีคุณภาพทำงานในหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยความตั้งใจและมีความสุขในการทำงานย่อมทำให้ได้ผลของงานที่สมบูรณ์ด้วย
คน HR หลายคนคงเคยคิดเหมือน ๆ กันว่า ถ้ามองไม่เห็นความสำคัญของเราแล้ว จะจ้างเรามาทำอะไร ทำไมต้องจ้างฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมา เอางานเงินเดือนไปไว้กับฝ่ายบัญชีก็ได้ เอางานสรรหาไปให้ผู้จัดการตามสายงานทำก็ได้
คน HR ทั้งหลาย การที่เราจะขจัดปัญหาและความขัดแย้งในการทำงานบริหารจัดการเรื่องของคน และเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองให้ CEO มองเห็นความสำคัญของ คน HR ได้นั้น เราต้องรู้จักตนเองให้มาก ๆ ก่อน ว่าเราเป็นคนประเภทใด เราต้องการทำงาน HR เพราะต้องการแค่รายได้ในการดำรงชีพเท่านั้นหรือไม่ หากทำเพราะเรารักในงาน รักในสายอาชีพ ต้องการก้าวหน้าในสายอาชีพ ทำแล้วเรามีความสุขกับการทำ ถึงแม้ว่าจะประสบปัญหาแล้วความขัดแย้งต่าง ๆ มากมาย แต่เรากลับภูมิใจเมื่อได้เป็นผู้ขจัดปัญหาเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะสร้างความเครียดให้เราอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ “จงจำไว้ว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข” บางครั้งแม้เราหาทางออกไม่ได้ในทันที แต่เวลาก็อาจช่วยเราแก้ไขคลี่คลายปัญหาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขอให้คน HR ทุกคนขยันสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ใช้ทัศนคติด้านบวก ใช้กลยุทธ์หลักจิตวิทยาเป็นเครื่องมือ หลาย ๆ ครั้ง ที่ CEO เป็นน้ำร้อนกับพนักงาน เราก็ต้องเป็นน้ำเย็นปลอบประโลม แต่ไม่ใช่เอาใจหรือเข้าข้าง ความยุติธรรมแบบเป้าบุ้นจิ้นและการเดินสายกลางแบบคำพระท่านสอนก็ต้องเอาเข้ามาใช้ได้ดี และที่สำคัญต้องรู้จักพัฒนาทักษะในสายงาน ใฝเรียนรู้ เพราะความรู้ไม่มีวันจบสิ้น และการที่จะทำให้คนศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวคุณได้ คุณต้องศัทธาในตัวคุณเอง ศรัทธาในงาน และต้องมีความรู้จริงในเรื่องเหล่านั้นผสมผสานกับรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยขจัด ความเครียดของคน HR ได้ดี เพราะเมื่อเจอปัญหา ก็จะสามารถรับมือและจัดการกับปัญหา ความเครียดต่าง ๆ ก็พอจะทุเลาเบาบางลงได้บ้างไม่มากก็น้อย หากเราเรียนรู้ที่จะเผชิญและขจัดปัญหาเหล่านั้น ด้วยความรู้ ทักษะ และสตินั่นเอง
หน้าที่หลักของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
*****การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]ด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้นHR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"การจัดการงานบุคคล หมายถึง ภาระกิจของผู้บริหารในกิจกรรมทั้งปวงเกี่ยวกับงานบุคลากร เพี่อมุ่งให้บุคคลขององค์กรเป็นทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา ไม่ใช่หน้าที่ของแผนกบุคคลอย่างเดียว
หน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Human Resource Management Functions)
ด้านการรักษาระเบียบวินัยในการทำงาน (Discipline)
การที่คนหมู่มากอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติตนเพื่อให้สังคมสามารถดำรงอยู่อย่างสงบสุข และมีพัฒนาการในทิศทางที่เหมาะสม องค์การเป็นระบบ สังคมที่ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากที่มีความแตกต่างทั้งในทางกายภาพและทางจิตใจ (Physical and Psychological Differences) มาอยู่ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์สำหรับการอยู่และกระทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเหมาะสม เพื่อให้องค์การสามารถดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้
ในทางปฏิบัติหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ขององค์การจะมีหน้าที่ควบคุม ดูแล และให้คำแนะนำกับสมาชิกขององค์การ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามระเบียบ กฎเกณฑ์ และข้อบังคับที่องค์การกำหนดได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนพยายามศึกษา วิเคราะห์ และปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ให้เกิดความสอดคล้องกับกาลสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้องค์การและสมาชิกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่ายวินัย หมายถึง ระบบการชี้นำและและควบคุมพฤติกรรมของคนหมู่มากให้เป็นไปตาม แนวทางที่กำหนด โดยอาศัยเครื่องมือต่างๆ เช่น การลงโทษ การให้รางวัล หรือการให้คำปรึกษา
1. ระบบ วินัยเป็นระบบที่องค์การนำมาใช้สำหรับชี้นำและควบคุมให้สมาชิกปฏิบัติตัวตามที่องค์การต้องการ
เนื่องจากสมาชิกแต่ละคนต่างก็มีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าองค์การไม่มีแนวทางให้สมาชิกปฏิบัติอาจก่อให้เกิดความสับสน ความขัดแย้ง และปัญหาในการดำเนินงานขึ้น ดังนั้นองค์การจึงต้องพัฒนาระบบที่ทำให้สมาชิกเข้าใจบทบาท หน้าที่ วัตถุประสงค์ร่วม (Mutual Objectives) และสามารถปฏิบัติตัวตามที่องค์การต้องการได้ 2. พฤติกรรม การแสดงออกของสมาชิกมีผลต่อภาพลักษณ์ การดำเนินงาน และประสิทธิภาพขององค์การ องค์การที่สมาชิกสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าในอนาคต ดังนั้นวินัยจึงถูกนำมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของบุคลากรให้เป็นไปตามแนวทางที่องค์การต้องการ
3. กลุ่มคน วินัยถูกนำมาใช้กับกลุ่มคนเพื่อแสดงพฤติกรรมตามแนวทางที่ต้องการ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เนื่องจากองค์การเกิดขึ้นจากการรวมตัวของบุคคลหลายคน ดังนั้นจึงต้องมีข้อกำหนดที่สามารถทำให้บุคลากรอยู่และกระทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนส่งเสริมให้องค์การสามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ตนตามที่ต้องการ โดยที่เครื่องมือเหล่านี้ ได้แก่ การลงโทษ การให้รางวัล และการให้คำปรึกษา เนื่องจากการดำเนินการทางวินัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของบุคคล ดังนั้น ผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาถึงความรุนแรง ผลกระทบ และความเหมาะสมของเครื่องมือแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจนำมาใช้กับพนักงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต
วัตถุประสงค์ของวินัย
ระบบวินัยขององค์การมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ดังนี้ 1. ส่งเสริมพฤติกรรม ระบบวินัยจะถูกนำมาใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมที่องค์การต้องการให้สมาชิกแสดงออก โดยให้รางวัลแก่พนักงานที่ประพฤติตัวเหมาะสม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานรักษาและพัฒนาพฤติกรรมนั้นอย่างต่อเนื่อง
2. ป้องกันพฤติกรรม ระบบวินัยจะถูกนำมาใช้กับสมาชิกเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึง ประสงค์ของบุคลากรโดยการลงโทษ ตักเตือน หรือให้คำแนะนำแก่พนักงานที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือไม่ตรงตามความต้องการขององค์การ เพื่อบุคลากรจะได้ปรับปรุงพฤติกรรมของตนให้เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การ
การสร้างและการพัฒนาพฤติกรรมของบุคคลเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ(Psychological related Issues) โดยเฉพาะพฤติกรรมของกลุ่มคนที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์มาประกอบกัน ผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องสร้างความสอดคล้องระหว่างประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์ทั้งสอง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการส่งเสริมพฤติกรรมที่องค์การต้องการและป้องกันไม่ให้พนักงานประพฤติตนไม่เหมาะสม
ระบบวินัยขององค์การ แบ่งออกได้ 3 ประเภทวินัยทางลบ (Negative Discipline) เป็นระบบวินัยที่ใช้ความรุนแรง โดยองค์การ ะสร้างข้อกำหนดพร้อมบทลงโทษเป็นลำดับขั้นจากน้อยไปหามาก ถ้าพนักงานไม่ปฏิบัติตามหรือเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติจะต้องถูกดำเนินการทางวินัย โดยอาจจะพิจารณาตามความบกพร่อง เจตนา และปัจจัยแวดล้อม
การดำเนินการทางวินัยในลักษณะนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เบื้องต้นของวินัย ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ในทางลบ (Negative Image) ต่อองค์การและผู้ทำหน้าที่รักษาวินัย ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์การและขวัญกำลังใจในการทำงานของบุคลากร และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในอนาคต
ปัจจุบันหลายองค์การตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ระบบวินัยทางลบ เพื่อปรามมิให้พนักงานประพฤติตัวนอกขอบเขตที่กำหนด ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องนำหลักการจัดการปกครองและจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เบื้องต้น โดยสรุปเป็นหลักการดำเนินการทางวินัย ดังต่อไปนี้
ชัดเจน หน่วยงานด้านวินัยต้องกำหนดบทลงโทษและขั้นตอนการดำเนินการอย่างชัดเจ้น เข้าใจง่าย และแจ้งให้พนักงานทุกคนรับทราบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความบกพร่องขึ้น ตลอดจนมีความโปร่งใสการดำเนินการ ไม่เลือกปฏิบัติโดยการเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกของตน
เข้าใจ หน่วยงานด้านวินัยจะต้องแจ้งข้อบกพร่องของบุคลากร เหตุผล และรายละเอียดในการลงโทษให้แก่พนักงานผู้ถูกดำเนินการทางวินัย เพื่อให้เขาเกิดความเข้าใจ ปรับปรุง หรือเลิกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้น
ติดตามผล การดำเนินการทางวินัยมิใช่กิจกรรมที่กระทำครั้งเดียวเสร็จ ดังนั้นหน่วยงานด้านวินัยจะต้องมีหน้าที่ติดตามผลการดำเนินการว่าสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคลากรได้เพียงใด และต้องมีการส่งเสริมหรือปรับปรุงการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพในอนาคต
เสริมแรง การดำเนินการทางวินัยเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้กลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมตามที่กำหนด ดังนั้นนอกจากการลงโทษตามขั้นตอนแล้ว หน่วยงานด้านวินัยจะต้องให้รางวัลแก่ผู้ปรับปรุงพฤติกรรมอีกด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บุคลากรพัฒนาและรักษาพฤติกรรมที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง
2. วินัยทางบวก (Positive Discipline) ระบบวินัยที่ใช้ความรุนแรงมิได้กระทำให้บุคลากรเกิดพัฒนาการทางพฤติกรรมอย่างแท้จริง แต่บุคลากรต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ ทำให้เกิดการต้องเก็บกด ความเครียด และแรงกดดัน ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์การในระยะยาว ดังนั้นมีผู้พัฒนาระบบวินัยที่ไม่ใช้ความรุนแรงโดยอาศัยการกระตุ้นให้บุคลากรพัฒนาตนเองจนมีพฤติกรรมที่องค์การต้องการ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในอนาคต
เดอ เซนโซ และรอบบินส์ ได้กล่าวถึงระบบวินัยทางบวก ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
การเตือนด้วยวาจา (Oral Reminder) ระบบวินัยทางบวกจะใช้คำว่า "การเตือน (Remind)" แทน "การตักเตือน (Warning)" เนื่องจากมีความหมายที่อ่อนและเป็นกันเองระหว่างบุคคลมากกว่าโดยผู้มีหน้าที่รักษาวินัยจะทำการบอกกับพนักงานด้วยวาจาถึงปัญหา และสาเหตุของที่เกิดขึ้นปัญหาเพื่อให้บุคลากรได้รับทราบและดำเนินการปรับปรุงตัวให้เหมาะสม
การเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Reminder) ขั้นตอนนี้มีความเป็นทางการกว่าการเตือนด้วยวาจา เนื่องจากการใช้วาจาอาจไม่ได้ผลตามที่ต้องการ โดยขั้นตอนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงปัญหา วิธีการแก้ไข และอาจมีกำหนดระยะเวลาในการแก้ไขที่แน่นอนแก่พนักงาน เพื่อบุคลากรดำเนินการปรับปรุงตัวเองภายในระยะเวลาที่กำหนด
การให้ตัดสินใจ (Decision – making Leave) ถ้าการดำเนินการในขั้นตอนที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะให้บุคลากรพักงานโดยอาจที่จะได้รับค่าตอบแทน เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวหรือออกจากองค์การ
ระบบวินัยทางบวกได้รับการยอมรับว่ามีข้อดี คือ ไม่กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของพนักงาน และไม่ก่อให้เกิดปัญหากับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสหภาพแรงงาน องค์การแรงงาน หรือองค์การพัฒนาเอกชน แต่ระบบวินัยทางบวกถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์เนื่องจากมีความยืดหยุ่นเกินไป ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ตลอดจนไม่สามารถวัดความเต็มใจในการปรับปรุงพฤติกรรมของพนักงานได้อย่างชัดเจน
3. การให้คำปรึกษาแก่พนักงาน (Employee Counseling) นอกจากการดำเนินการทางวินัยแล้ว องค์การอาจนำวิธีการให้คำปรึกษาแก่บุคลากรเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของบุคลากรให้เหมาะสมมาใช้ก่อนเริ่มดำเนินการทางวินัย เนื่องจากปัญหาทางวินัยเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ละเอียดอ่อน และเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ตลอดจนปัญหาที่พบอาจเป็นเพียงส่วนน้อย หรือที่เรียกว่า "ยอดของภูเขาน้ำแข็ง (Tip of the Iceberg)" ซึ่งการดำเนินการทางวินัยอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในอนาคต การให้คำปรึกษาเป็นวิธีการที่นำมาประยุกต์ใช้ในหลายองค์การ โดยทั้งผู้ให้คำปรึกษาและพนักงานจะร่วมกันค้นหา วิเคราะห์ และพยายามแก้ไขสาเหตุของปัญหาให้หมดไป เพื่อมิให้เป็นต้นเหตุของปัญหาแก่ทั้งองค์การและบุคลากรอีก
ในทางปฏิบัติองค์การไม่จำเป็นต้องเลือกใช้ระบบวินัยเพียงระบบเดียว องค์การสามารถนำระบบวินัยทั้งสามมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการกระตุ้นให้บุคลากรปฏิบัติตนตามที่องค์การต้องการได้ เพื่อป้องกันมิให้บุคลากรประพฤติตนเบี่ยงเบนจากขอบเขตที่กำหนด โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความผันแปรของกระแสสังคมสูง ซึ่งก่อให้เกิดแรงผลักดันทั้งด้านบวกและด้านลบต่อบุคลากร
ประเภทของปัญหาด้านวินัย
วินัยเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของบุคคลซึ่งมีรายละเอียดมาก และมีขอบเขตกว้างขวางส่งผลให้ปัญหาด้านวินัยมีมากมาย และอาจเกี่ยวข้องกันกับหลายปัญหาขององค์การ ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จำแนกไว้เป็น 4 ชนิดการเข้างาน (Attendance)
พฤติกรรมขณะปฏิบัติงาน (On – the – job Behaviors)
ความไม่ซื่อสัตย์ (Dishonesty)
กิจกรรมนอกองค์การ (Outside Activities)
ประเภทของปัญหาทางวินัย พฤติกรรมของพนักงาน
1. การขาดงาน - การหนีงาน
- การขาดงานโดยไม่จำเป็น
- การขาดงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
2. พฤติกรรมขณะปฏิบัติงาน - ปฏิบัติงานผิดพลาด
- ทำลายข้าวของส่วนรวม
- พกพาอาวุธในสถานที่ทำงาน
- เล่นการพนันในสถานที่ทำงาน
- เมาสุราขณะปฏิบัติหน้าที่
- ทะเลาะวิวาทในสถานที่ทำงาน
- ก้าวร้าวทางเพศต่อพนักงานอื่น
3. ความไม่ซื่อสัตย์ - ขโมย
- ทุจริต
- ให้ข้อมูลหรือเอกสารเท็จ
- ปิดบังความผิด
4. กิจกรรมภายนอกองค์การ - การชุมนุมประท้วงอย่างผิดกฎหมาย
- ประกอบอาชญากรรม
- ประพฤติตนเสื่อมเสียทางสังคม
- ปฏิบัติงานให้องค์การคู่แข่ง
เนื่องจากความหลากหลายปัญหาด้านวินัยที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ ทำให้ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยอาจมองข้ามปัญหาที่ไม่สำคัญไปบ้าง เพื่อให้มีเวลาดำเนินการด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อองค์การ นอกจากนี้บุคลากรที่มุ่งเน้นรายละเอียดด้านวินัยมากจนเกินไป อาจโดนเพื่อนร่วมงานวิจารณ์ว่า
"มีเวลาว่างมากจึงคอยจับผิดผู้อื่น" ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อตนเองและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
แต่การมองข้ามปัญหาบางเรื่องที่คิดว่าไม่สำคัญ อาจทำให้ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยถูกบุคคลอื่นมองว่า ปล่อยปละละเลย ลำเอียงหรือเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความไม่โปร่งใส และความหย่อนยานของวินัยเช่นกัน ดังนั้นผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยจึงต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการ ตามหลักสายกลางที่ว่า "ถ้าตึงไปก็ขาด ถ้าหย่อนไปเสียงจะไม่เพราะต้องมีความพอดี"
การดำเนินการทางวินัย
งานวินัยจะมีขอบเขตครอบคลุมความประพฤติของสมาชิกทุกคนในองค์การ โดยที่การดำเนินการทางวินัยจะมีความแตกต่างตามประเภท ระดับความรุนแรง (Severity) ของปัญหา และผลกระทบที่มีต่อองค์การ ดังนั้นการดำเนินการทางวินัยจะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์และเด็ดขาด เพื่อที่จะสร้างการยอมรับและป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคลากร ปกติการดำเนินการทางวินัยสามารถกระทำเป็นลำดับขั้นดังต่อไปนี้
1. การตักเตือน (Warning) การตักเตือนเป็นขั้นตอนแรกของการดำเนินการทางวินัยที่นิยมใช้ในทุกองค์การ วิธีนี้เป็นการดำเนินการทางวินัยที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด มักถูกนำมาใช้เมื่อองค์การเริ่มรับทราบถึงปัญหา หรือปัญหาไม่มีความรุนแรง โดยที่การตักเตือนสามารถแบ่งออกเป็น
3 ระดับ ดังนี้
การตักเตือนด้วยวาจา (Verbal Warning) การตักเตือนด้วยวาจาเป็นขั้นตอนแรกที่ถูกนำมาใช้เมื่อมีปัญหาทางวินัย ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะบอกให้บุคลากรรับทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นพร้อมอธิบายสาเหตุ เพื่อพนักงานจะได้ปรับปรุงตัวหรือแก้ไขพฤติกรรมให้ถูกต้องตามที่องค์การต้องการ
การตักเตือนด้วยวาจาพร้อมบันทึกข้อมูล (Written Verbal Warning) ขั้นตอนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นขั้นตอนแรกของการดำเนินการทางวินัย เนื่องจากมีการดำเนินการที่เริ่มมีความเป็นทางการ โดยผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะทำการตักเตือนพนักงานที่กระทำผิดด้วยวาจาพร้อมกับบันทึกข้อมูลชั่วคราว (Temporary) การบันทึกข้อมูลจะกระทำลงในแฟ้มส่วนตัวของผู้ตักเตือนที่ไม่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลด้านบุคลากรขององค์การ โดยการบันทึกชื่อของบุคลากร วันที่ เหตุการณ์ จุดมุ่งหมาย และผลลัพธ์ เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงสำหรับการดำเนินการขั้นต่อไป ถ้าบุคลากรยังคงแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาทางวินัยอีก
การตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Warning) การตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นขั้นตอนแรกของการดำเนินการทางวินัยอย่างเป็นทางการ ขั้นตอนนี้ถูกนำมาใช้เมื่อขั้นตอนที่ผ่านมาไม่บรรลุผลตามต้องการ ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะแจ้งสาเหตุข้อบกพร่องพร้อมแนวทางแก้ไขต่อพนักงานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลลงในแฟ้มประวัติของพนักงานในฐานข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรขององค์การ
2. การพักงาน (Suspension) การพักงานเป็นการดำเนินการทางวินัยในขั้นที่รุนแรงกว่าการตักเตือน การพักงานถูกนำมาใช้เมื่อการตักเตือนไม่ได้ผลตามที่ต้องการ หรือบุคลากรกระทำความผิดในขั้นที่รุนแรง โดยที่ระยะเวลาการพักงานจะถูกกำหนดตามความเหมาะสม เพื่อให้บุคลากรได้มีระยะเวลาได้มีระยะเวลาสำนึกและปรับปรุงตัวให้เหมาะสม ในทางปฏิบัติหลายองค์การจะไม่นิยมใช้วิธีการนี้เนื่องจากมีผลต่อเนื่องในด้านลบต่อทั้งองค์การและบุคลากรที่ถูกดำเนินการ
3. การลดขั้น (Demotion) ถ้าการพักงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคลากรได้องค์การอาจเลือกนำวิธีการลดขั้นมาใช้แทนการไล่ออก เนื่องจากบุคลากรนั้นยังมีความสำคัญต่อองค์การ หรือองค์การไม่ต้องการหรือไม่สามารถใช้วิธีการอื่นที่รุนแรงกว่าได้
การลดขั้นเป็นวิธีการทางวินัยที่ไม่ได้รับความนิยมในทางปฏิบัติ เนื่องจากวิธีนี้จะมีผลต่อเนื่องทางความรู้สึกของบุคลากรที่ถูกดำเนินการ และมีผลต่อขวัญและกำลังใจการทำงานของพนักงานอื่นในองค์การ ดังนั้นผู้มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาให้รอบครอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดจากการลดขั้นบุคลากรก่อนตัดสินใจดำเนินการ
4. การตัดเงินเดือน (Pay Cut) การตัดเงินเดือนเป็นการดำเนินการทางวินัยขั้นรุนแรงที่หลายองค์การอาจเลือกใช้เมื่อจำเป็น การตัดเงินเดือนถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายแทนการไล่ออก เนื่องจากการไล่บุคลากรออกจากงานจะก่อให้เกิดผลเสีย และค่าใช้จ่ายทั้งโดยทางตรงและทางอ้อมต่อองค์การ
5. การไล่ออก (Dismissal) การไล่ออกเป็นวิธีการทางวินัยขั้นเด็ดขาดที่องค์การนำมาใช้กับพนักงานที่เห็นว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะให้ร่วมงานต่อไป เนื่องจากบุคลากรกระทำความผิดทางวินัยอย่างรุนแรง วิธีการนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายทางวินัยที่องค์การเลือกนำมาใช้ เพราะเป็นวิธีการที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อบุคคลหลายระดับ ตั้งแต่บุคลากรที่ถูกดำเนินการ เพื่อนร่วมงาน องค์การ และสังคมภายนอก เช่น พนักงานที่มีอายุมากต้องประสบปัญหาในการหางานใหม่ เพื่อนร่วมงานเสียขวัญและกำลังใจในการทำงาน อาจมีการเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านสหภาพแรงงานหรือกระบวนการยุติธรรมทางสังคม เป็นต้น ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่ดำเนินการทางวินัยจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการไล่บุคลากรออกจากงานก่อนตัดสินใจดำเนินการ
ในทางปฏิบัติการดำเนินการทางวินัยอาจกระทำไม่ครบทุกขั้นตอน โดยผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของแต่ละองค์การ นอกจากนี้ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยขององค์การสมควรดำเนินการเชิงรุก (Proactive) เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหามากกว่าการดำเนินการแบบตอบสนอง (Reactive) และทำโทษ (Punishment) เพียงอย่างเดียว เช่น การแจ้งกฎระเบียบต่างๆ ให้พนักงานรับทราบอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความผิดพลาดของพนักงานที่เกิดจากความไม่รู้ระเบียบวินัยขององค์การ นอกจากนี้องค์การอาจต้องปลุกจิตสำนึกในด้านระเบียบวินัยของพนักงานผ่านวิธีการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สิ่งพิมพ์ ป้ายประกาศ และการจัดกิจกรรมรณรงค์เกี่ยวกับระเบียบวินัยขององค์การ เป็นต้น เพื่อป้องกันการกระทำผิดโดยความสะเพร่า ความพลั้งเผลอ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการใช้วินัย
โวห์ลกิ้ง (Wohlking) ได้กล่าวถึงปัจจัยที่สมควรนำมาพิจารณาก่อนการดำเนินการทางวินัยไว้ดังต่อไปนี้
1. ความรุนแรง วินัยเป็นเรื่องที่มีขอบเขตกว้างขวาง ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาความรุนแรงของปัญหา เนื่องจากความผิดทางวินัยในแต่ละประเภทจะมีความรุนแรงและมีผลกระทบต่อองค์การไม่เท่ากัน เช่น การทุจริตหรือยักยอกสิ่งของย่ามจะมีความผิดมากกว่าการเข้ามาทำงานสายเพราะรถติด เป็นต้น
2. ระยะเวลา ระยะเวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาควบคู่กับปัญหาด้านวินัย ผู้ที่ทำหน้าที่รักษานัยจะต้องพิจารณาช่วงระยะเวลาและความถี่ของการเกิดปัญหา เช่น การกระทำผิดครั้งแรกของพนักงานควรจะมีผลทางวินัยน้อยกว่าการทำความผิดบ่อยครั้ง หรือต่อเนื่องสำหรับปัญหาในระดับเดียวกัน เป็นต้น
3. ธรรมชาติของปัญหา เนื่องจาปัญหาทางวินัยมีความแตกต่างหลายประการ เช่น ประเภทความรุนแรง และความสัมพันธ์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยต้องพิจารณาธรรมชาติของแต่ละปัญหาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจดำเนินการ นอกจากนี้ปัญหาวินัยของพนักงานอาจมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาอื่น จึงต้องศึกษาความสัมพันธ์ของปัญหาให้ถี่ถ้วน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
4. สิ่งแวดล้อม ในความเป็นจริงพนักงานทำงานกับองค์การในฐานะบุคคลทั้งคน มิใช่ในฐานะสมาชิกขององค์การเพียงอย่างเดียว วินัยเป็นเรื่องที่ผู้ดำเนินการจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ การตัดสินใจจากภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นเฉพาะหน้าเพียงส่วยเดียวอาจทำให้การแก้ปัญหาขาดความสมบูรณ์ ดังนั้นการดำเนินการทางวินัยจะต้องให้ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมของพนักงาน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของบุคลาการทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม เช่น การขาดงานเนื่องจากความจำเป็นในครอบครัว เนื่องจากญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต เป็นเหตุผลที่องค์การรับฟังและเข้าใจได้มากกว่าการขาดงานเนื่องจากนิสัยส่วนตัว เนื่องจากการชอบเที่ยวกลางคืนทำให้ตื่นสาย เป็นต้น
5. กระบวนการทางสังคม ปกติทุกองค์การจะต้องมีกระบวนการทางสังคม เพื่อขัดเกลาให้สมาชิกปฏิบัติตัวตามค่านิยม บรรทัดฐาน และวัฒนธรรมขององค์การ ซึ่งอาจมีการกำหนดอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการตามความเหมาะสม ปัญหาการปฏิบัติตัวของพนักงานอาจเกิดจากความไม่เข้าใจในข้อกำหนดขององค์การ ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาว่ากระบวนการทางสังคมขององค์การมีความชัดเจนและสามารถถ่ายทอดสู่สมาชิกแต่ละคนได้เพียงใด
6. การดำเนินการในอดีต การดำเนินการทางวินัยต้องให้ความสำคัญกับแนวทางดำเนินการในอดีตขององค์การ โดยผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยจะต้องศึกษาถึงรายละเอียด เหตุผล และวิธีการดำเนินงานทางวินัยของแต่ละหน่วยงานภายในองค์การ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน ความลำเอียง และการเลือกปฏิบัติขึ้น
7. การสนับสนุนจากผู้บริหาร การดำเนินการทางวินัยต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน สามารถอ้างอิงได้ และได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร เนื่องจากวินัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและอาจมีผลกระทบต่อบุคคลหลายกลุ่ม หลายครั้งที่ผู้ถูกดำเนินการทางวินัยอาจทำเรื่องร้องทุกข์ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้ทำหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นก่อนตัดสินใจดำเนินการตลอดจนต้องสร้างความมั่นใจว่าได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงขององค์การ เพื่อให้เป็นหลักประกันว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นภายหลัง
ผู้มีหน้าที่รักษาวินัยขององค์การจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการทางวินัยในทุกระดับ โดยอาศัยทั้งหลักรัฐศาสตร์ และหลักนิติศาสตร์บนพื้นฐานของความเหมาะสม เพื่อไม่ก่อให้เกิดผลเสียรุนแรงขึ้นในอนาคต
หน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Human Resource Management Functions)
ด้านการรักษาระเบียบวินัยในการทำงาน (Discipline)
การที่คนหมู่มากอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั้น มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติตนเพื่อให้สังคมสามารถดำรงอยู่อย่างสงบสุข และมีพัฒนาการในทิศทางที่เหมาะสม องค์การเป็นระบบ สังคมที่ประกอบด้วยบุคคลจำนวนมากที่มีความแตกต่างทั้งในทางกายภาพและทางจิตใจ (Physical and Psychological Differences) มาอยู่ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์สำหรับการอยู่และกระทำกิจกรรมร่วมกันอย่างเหมาะสม เพื่อให้องค์การสามารถดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้
ในทางปฏิบัติหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ขององค์การจะมีหน้าที่ควบคุม ดูแล และให้คำแนะนำกับสมาชิกขององค์การ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามระเบียบ กฎเกณฑ์ และข้อบังคับที่องค์การกำหนดได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนพยายามศึกษา วิเคราะห์ และปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ให้เกิดความสอดคล้องกับกาลสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้องค์การและสมาชิกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกฝ่าย วินัย หมายถึง ระบบการชี้นำและและควบคุมพฤติกรรมของคนหมู่มากให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด โดยอาศัยเครื่องมือต่างๆ เช่น การลงโทษ การให้รางวัล หรือการให้คำปรึกษา
ส่วนประกอบของวินัย มีดังนี้1. ระบบ วินัยเป็นระบบที่องค์การนำมาใช้สำหรับชี้นำและควบคุมให้สมาชิกปฏิบัติตัวตามที่องค์การต้องการ
เนื่องจากสมาชิกแต่ละคนต่างก็มีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าองค์การไม่มีแนวทางให้สมาชิกปฏิบัติอาจก่อให้เกิดความสับสน ความขัดแย้ง และปัญหาในการดำเนินงานขึ้น ดังนั้นองค์การจึงต้องพัฒนาระบบที่ทำให้สมาชิกเข้าใจบทบาท หน้าที่ วัตถุประสงค์ร่วม (Mutual Objectives) และสามารถปฏิบัติตัวตามที่องค์การต้องการได้ 2. พฤติกรรม การแสดงออกของสมาชิกมีผลต่อภาพลักษณ์ การดำเนินงาน และประสิทธิภาพขององค์การ องค์การที่สมาชิกสามารถปฏิบัติตนได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าในอนาคต ดังนั้นวินัยจึงถูกนำมาใช้ควบคุมพฤติกรรมของบุคลากรให้เป็นไปตามแนวทางที่องค์การต้องการ
3. กลุ่มคน วินัยถูกนำมาใช้กับกลุ่มคนเพื่อแสดงพฤติกรรมตามแนวทางที่ต้องการเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเกิดประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เนื่องจากองค์การเกิดขึ้นจากการรวมตัวของบุคคลหลายคน ดังนั้นจึงต้องมีข้อกำหนดที่สามารถทำให้บุคลากรอยู่และกระทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนส่งเสริมให้องค์การสามารถดำเนินการได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
4. เครื่องมือ ระบบวินัยจะต้องอาศัยเครื่องมือต่างๆ มาใช้ควบคุมให้กลุ่มบุคคลประพฤติตนตามที่ต้องการ โดยที่เครื่องมือเหล่านี้ ได้แก่ การลงโทษ การให้รางวัล และการให้คำปรึกษา เนื่องจากการดำเนินการทางวินัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของบุคคล ดังนั้น ผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องพิจารณาถึงความรุนแรง ผลกระทบ และความเหมาะสมของเครื่องมือแต่ละประเภทก่อนตัดสินใจนำมาใช้กับพนักงาน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคต
วัตถุประสงค์ของวินัย
ระบบวินัยขององค์การมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ดังนี้ 1. ส่งเสริมพฤติกรรม ระบบวินัยจะถูกนำมาใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมที่องค์การต้องการให้สมาชิกแสดงออก โดยให้รางวัลแก่พนักงานที่ประพฤติตัวเหมาะสม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้พนักงานรักษาและพัฒนาพฤติกรรมนั้นอย่างต่อเนื่อง
2. ป้องกันพฤติกรรม ระบบวินัยจะถูกนำมาใช้กับสมาชิกเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของบุคลากรโดยการลงโทษ ตักเตือน หรือให้คำแนะนำแก่พนักงานที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือไม่ตรงตามความต้องการขององค์การ เพื่อบุคลากรจะได้ปรับปรุงพฤติกรรมของตนให้เป็นไปตามข้อกำหนดขององค์การ
การสร้างและการพัฒนาพฤติกรรมของบุคคลเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ(Psychological related Issues) โดยเฉพาะพฤติกรรมของกลุ่มคนที่ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์มาประกอบกัน ผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องสร้างความสอดคล้องระหว่างประยุกต์ใช้วัตถุประสงค์ทั้งสอง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการส่งเสริมพฤติกรรมที่องค์การต้องการและป้องกันไม่ให้พนักงานประพฤติตนไม่เหมาะสม
ระบบวินัยขององค์การ แบ่งออกได้ 3 ประเภท วินัยทางลบ (Negative Discipline) เป็นระบบวินัยที่ใช้ความรุนแรง โดยองค์การะสร้างข้อกำหนดพร้อมบทลงโทษเป็นลำดับขั้นจากน้อยไปหามาก ถ้าพนักงานไม่ปฏิบัติตามหรือเกิดความผิดพลาดในการปฏิบัติจะต้องถูกดำเนินการทางวินัย โดยอาจจะพิจารณาตามความบกพร่อง เจตนา และปัจจัยแวดล้อม
การดำเนินการทางวินัยในลักษณะนี้เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เบื้องต้นของวินัย ตลอดจนสร้างภาพลักษณ์ในทางลบ (Negative Image) ต่อองค์การและผู้ทำหน้าที่รักษาวินัย ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์การและขวัญกำลังใจในการทำงานของบุคลากร และอาจก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในอนาคต
ปัจจุบันหลายองค์การตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ระบบวินัยทางลบ เพื่อปรามมิให้พนักงานประพฤติตัวนอกขอบเขตที่กำหนด ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่รักษาวินัยจะต้องนำหลักการจัดการปกครองและจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้การดำเนินการทางวินัยมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เบื้องต้น โดยสรุปเป็นหลักการดำเนินการทางวินัย ดังต่อไปนี้
ชัดเจน หน่วยงานด้านวินัยต้องกำหนดบทลงโทษและขั้นตอนการดำเนินการอย่างชัดเจ้น เข้าใจง่าย และแจ้งให้พนักงานทุกคนรับทราบ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความบกพร่องขึ้น ตลอดจนมีความโปร่งใสการดำเนินการ ไม่เลือกปฏิบัติโดยการเอื้อประโยชน์แก่พรรคพวกของตน
เข้าใจ หน่วยงานด้านวินัยจะต้องแจ้งข้อบกพร่องของบุคลากร เหตุผล และรายละเอียดในการลงโทษให้แก่พนักงานผู้ถูกดำเนินการทางวินัย เพื่อให้เขาเกิดความเข้าใจ ปรับปรุง หรือเลิกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนั้น
ติดตามผล การดำเนินการทางวินัยมิใช่กิจกรรมที่กระทำครั้งเดียวเสร็จ ดังนั้นหน่วยงานด้านวินัยจะต้องมีหน้าที่ติดตามผลการดำเนินการว่าสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคลากรได้เพียงใด และต้องมีการส่งเสริมหรือปรับปรุงการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพในอนาคต
เสริมแรง การดำเนินการทางวินัยเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้กลุ่มบุคคลมีพฤติกรรมตามที่กำหนด ดังนั้นนอกจากการลงโทษตามขั้นตอนแล้ว หน่วยงานด้านวินัยจะต้องให้รางวัลแก่ผู้ปรับปรุงพฤติกรรมอีกด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้บุคลากรพัฒนาและรักษาพฤติกรรมที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง
2. วินัยทางบวก (Positive Discipline) ระบบวินัยที่ใช้ความรุนแรงมิได้กระทำให้บุคลากรเกิดพัฒนาการทางพฤติกรรมอย่างแท้จริง แต่บุคลากรต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดเพราะเกรงว่าจะถูกลงโทษ ทำให้เกิดการต้องเก็บกด ความเครียด และแรงกดดัน ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพขององค์การในระยะยาว ดังนั้นมีผู้พัฒนาระบบวินัยที่ไม่ใช้ความรุนแรงโดยอาศัยการกระตุ้นให้บุคลากรพัฒนาตนเองจนมีพฤติกรรมที่องค์การต้องการ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในอนาคต
เดอ เซนโซ และรอบบินส์ ได้กล่าวถึงระบบวินัยทางบวก ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
การเตือนด้วยวาจา (Oral Reminder) ระบบวินัยทางบวกจะใช้คำว่า "การเตือน (Remind)" แทน "การตักเตือน (Warning)" เนื่องจากมีความหมายที่อ่อนและเป็นกันเองระหว่างบุคคลมากกว่าโดยผู้มีหน้าที่รักษาวินัยจะทำการบอกกับพนักงานด้วยวาจาถึงปัญหา และสาเหตุของที่เกิดขึ้นปัญหาเพื่อให้บุคลากรได้รับทราบและดำเนินการปรับปรุงตัวให้เหมาะสม
การเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร (Written Reminder) ขั้นตอนนี้มีความเป็นทางการกว่าการเตือนด้วยวาจา เนื่องจากการใช้วาจาอาจไม่ได้ผลตามที่ต้องการ โดยขั้นตอนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงปัญหา วิธีการแก้ไข และอาจมีกำหนดระยะเวลาในการแก้ไขที่แน่นอนแก่พนักงาน เพื่อบุคลากรดำเนินการปรับปรุงตัวเองภายในระยะเวลาที่กำหนด
การให้ตัดสินใจ (Decision – making Leave) ถ้าการดำเนินการในขั้นตอนที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาวินัยจะให้บุคลากรพักงานโดยอาจที่จะได้รับค่าตอบแทน เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรตัดสินใจว่าจะปรับปรุงตัวหรือออกจากองค์การ
ระบบวินัยทางบวกได้รับการยอมรับว่ามีข้อดี คือ ไม่กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของพนักงาน และไม่ก่อให้เกิดปัญหากับกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสหภาพแรงงาน องค์การแรงงาน หรือองค์การพัฒนาเอกชน แต่ระบบวินัยทางบวกถูกวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์เนื่องจากมีความยืดหยุ่นเกินไป ไม่ทันต่อเหตุการณ์ ตลอดจนไม่สามารถวัดความเต็มใจในการปรับปรุงพฤติกรรมของพนักงานได้อย่างชัดเจน
การบริหารทรัพย์กรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ศิลปะและ. กลยุทธ์ ดำเนินการสรรหา คัดเลือก และบรรจุบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ปฏิบัติงานใน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความหมาย การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ธุรกิจบริการ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ บทความ การบริหารทรัพยากรมนุษย์
ระบบการจัดการบุคลากร (Personal Management)
ระบบการจัดการบุคคลเป็นระบบที่จัดการเกี่ยวกับข้อมูลของพนักงาน ประวัติการทำงาน ประวัติการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน สวัสดิการที่พนักงานได้รับ ความสามารถในการทำงานของพนักงาน ซึ่งระบบได้เปิดโอกาศให้บริษัทสามารถกำหนดหน้าที่การทำงานให้กับพนักงานในแต่ละตำแหน่งหน้าที่หรือแต่ละบุคคลรวมถึงการจัดการเกี่ยวกับระเบียบและนโยบายต่างๆ ในบริษัท
ระบบบันทึกเวลาเป็นระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลของพนักงานแต่ละคนเกี่ยวกับเวลาการเข้า-ออกงาน การลา ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบการจัดการบุคคล ระบบสวัสดิการและเงินเดือน โดยการส่งข้อมูลเพื่อบันทึกเป็นประวัติของพนักงานและคำนวณเงินเดือนอันเกิดจากการขาดงาน สาย รวมถึงค่าล่วงเวลา
ผู้ใช้สามารถกำหนดวันหยุดต่างๆ จำนวนวันที่อนุญาตให้ลาได้ ประเภทการลา ตารางการทำงานของโรงงาน กลุ่มของฟังก์ชันของการรักษาความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบได้ตามกลุ่มพนักงานหรือแต่ละบุคคล สามารถรองรับตามเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดเช่นตารางเวลาการทำงานของโรงงาน ตามวันหยุด ตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลาผ่านระบบคอมพิวเตอร์
ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานหรือเลือกแสดงรายงานแบบสรุป/รายละเอียด ตามช่วงวันที่ รูปแบบ ความต้องการของผู้ใช้ ข้อมูลการลา ตารางเวลาการทำงาน และตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลา โดยเลือกข้อมูลจากพนักงานทั้งหมด การลาทุกประเภท หรือตามแต่ละแผนกก็ได้
ระบบบันทึกเวลาช่วยให้สามารถวางแผนตารางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแผนการผลิตต่างๆ โดยให้ระบบช่วยสร้างตารางการทำงานให้กับแผนกบริหารงานบุคคลอัตโนมัติ
ระบบจะตรวจสอบเวลาการทำงานปกติ และกำหนดเงินโบนัส ค่าล่วงเวลา และประเภทของเงินเดือนเพื่อโอนข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนให้อัตโนมัติ
สามารถสร้างและแก้ไขโครงสร้างผังองค์กรได้ ทั้งในส่วนของผังตามแผนก ตำแหน่ง และลักษณะงาน พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดของแต่ละตำแหน่งโดยแสดงผังองค์กรที่สร้างขึ้นในลักษณะของ Tree ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดพนักงานสำหรับแต่ละตำแหน่งงานได้
นอกจากนี้ระบบจะแก้ไขผังองค์กรให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแต่ละตำแหน่งงาน รวมถึงอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดงบประมาณในแต่ละแผนกตามระดับต่างๆ เช่น ระดับงาน ตำแหน่งงาน หรือกำหนดรวมทั้งหมดก็ได้
ระบบการจัดการองค์กรสามารถคัดเลือกพนักงานหรือผู้สมัคร ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่มีความต้องการ โดยดูจากคุณสมบัติที่กำหนด รวมถึงการประเมินผลจากการฝึกอบรม และเมื่อมีปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานในผังองค์กรระบบจะปรับเปลี่ยนแผนงานของระบบบริหารบุคคลและกระบวนการรับสมัครพนักงานให้อัตโนมัติ
ระบบการจัดการองค์กรมีผลต่อแผนงานการจัดการต้นทุนของการบริหารงานบุคคล และมีผลต่อโครงสร้างของผังองค์กร โดยได้เตรียมหัวข้อสำหรับการจัดการเกี่ยวกับต้นทุนของบริษัท วิเคราะห์ระบบต้นทุน ทางเลือกและผลกระทบต่อพนักงานทั้งหมดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้นทุน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนงาน
ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นระบบที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนของข้อมูลสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานในแต่ละโครงการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับองค์กร
พนักงานสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการกำหนดการทำงานในต่างประเทศ
บันทึกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายที่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคืนให้กับพนักงานเมื่อพนักงานสำรองจ่ายไปก่อน รวมถึงเบี้ยเลี้ยงของพนักงาน
พนักงานสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้โดยกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเส้นทางที่ดีที่สุดทั้งในเรื่องการเดินทาง ค่าใช้จ่าย พนักงานสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกล่วงหน้า
พนักงานสามารถจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถ รวมถึงโรงแรม รถเช่าหรืออื่นๆได้
ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือน ระบบเจ้าหนี้ ได้อัตโนมัติ
ความฉลาดทางอารมณ์ กับการบริหารจัดการงานบุคคล (ตอนแรก) คอลัมน์ human corner โดย ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล [email protected] ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 09 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3686 (2886) ภาษิตจีนโบราณบอกว่า "นกไร้ขน คนไร้เพื่อน ยากจะขึ้นสู่ที่สูงได้" ความหมายตรงตัวอยู่แล้วครับ คนเราถ้าจะเก่งเพียงคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีหัวหน้าคอยสนับสนุนย่อมยากที่จะเจริญก้าว หน้าในการงานได้โดยง่าย แต่คงไม่ใช่ถึงกับเป็นบุคคลประเภท "เยี่ยมเลยพี่ ดีครับท่าน" นะครับ ด้วยเหตุนี้คนเก่งต้องเก่งทั้งในการบริหารจัดการตนเอง และการบริหารจัดการผู้อื่นให้สามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด นอกเหนือจากความฉลาดทางปัญญา (IQ-intelligence quotient) ที่เรารู้จักกันมานานแล้ว ปัจจุบัน ผู้บริหารขององค์กรชั้นนำ ต้องหันมาสนใจในเรื่องของความฉลาดทางอารมณ์ (emotional quotient - EQ / emotional intelligence - EI) มีผลการวิจัยในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง IQ กับความสำเร็จในชีวิต โดยติดตามเก็บข้อมูลจากเด็กจำนวน 450 คนนานถึง 40 ปี พบว่า IQ มีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อย กับความสามารถในการทำงาน หรือกับการดำเนินชีวิต และยังพบว่ามีปัจจัยอื่นที่สามารถทำนายถึงความสำเร็จใน ด้านต่างๆ ของชีวิตได้ดีกว่ากลับกลายเป็นความสามารถด้านต่างๆ ในวัยเด็กที่ไม่เกี่ยวกับ IQ เช่น ความสามารถในการจัดการความผิดหวัง การควบคุมอารมณ์ และการเข้ากับบุคคลอื่น ผลการวิจัยที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งระบุว่า ภายหลังการติดตามเก็บข้อมูลจากผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์จำนวน 80 คน ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่จนถึงบั้นปลายชีวิตวัย 70 ปี พบว่าความสามารถทางด้านอารมณ์และสังคม มีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ และมีชื่อเสียงมากกว่าความสามารถทางเชาวน์ปัญญา (IQ) ถึง 4 เท่า (อ้างอิงจาก http://www.dmh.go.th/ebook/dl. asp?id=10) Salovey และ Mayer ผู้ให้คำนิยามความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) เป็นครั้งแรกว่า "ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นรูปแบบหนึ่งของความฉลาดทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถ ในการรับรู้ความรู้สึก และอารมณ์ทั้งของตนเอง และผู้อื่น เพื่อแยก แยะความแตกต่างระหว่างอารมณ์และความรู้สึกนั้น และเพื่อใช้เป็นข้อมูลข่าวสารในการชักนำความคิด และการกระทำของผู้อื่น" EI ต่างจาก EQ อย่างไร ? ผู้อ่านหลายท่านคงเริ่มสงสัยแล้วว่า EI (emotional intelligence) ต่างจาก EQ (emotional quotient) อย่างไร มีผู้รู้บางท่านบอกว่า EI จะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างต่างๆ ของความฉลาด ทางอารมณ์ ส่วน EQ จะเกี่ยวข้องกับการวัดผลหรือประเมิน EI ว่ามีระดับความฉลาดทางอารมณ์เท่าไร คล้ายกับการวัดผลระดับความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา (IQ) แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว ให้ทั้งสองคำมีความหมายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ในระยะหลัง เราจะเริ่มคุ้นหูกับคำว่า EI ในแวดวงการบริหารจัดการมากขึ้น จะพัฒนา EI ได้อย่างไร ? ต้องยอมรับว่า EI สามารถพัฒนาได้ เรียนรู้ได้ การที่จะพัฒนา EI ได้อย่างไร เราจะต้องรู้ก่อนว่าเรามีระดับ EI ในระดับใดก่อน และมีส่วนใดที่เป็นองค์ประกอบของ EI ที่ยังขาดอยู่ หากใช้แนวทางของกรมสุขภาพจิต จะใช้องค์ประกอบของ EI 3 ประการ คือ ดี-เก่ง-สุข ดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และความต้องการของตนเอง รู้จักเห็นใจผู้อื่นและมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เก่ง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเอง มีแรงจูงใจ สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหาและแสดง ออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น สุข หมายถึง ความสามารถในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข มีความภูมิใจในตนเอง พอใจในชีวิตและมีความสงบทางใจ (อ้างอิงจากคู่มือความฉลาดทางอารมณ์, กรมสุขภาพจิต, 2545) ส่วนของ Goleman ได้พัฒนากรอบการทำงานของ EI ออกเป็น 4 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.การรับรู้ตนเอง (self-awareness) 2.การจัดการอารมณ์ตนเอง (self-management) 3.การรับรู้ทางสังคม (social-awareness) 4.การจัดการสัมพันธภาพ (relationship management) จากโมเดลดังกล่าว Goleman แตกกรอบของ EI ออกเป็นความสามารถทางอารมณ์ (emotional competence) รวมแล้วได้ถึง 20 competencies ด้วยการให้คำนิยามของ competence ว่า เป็นความสามารถในการเรียนรู้ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งจะทำให้มีผลงานที่โดดเด่น และจากแนวทางที่ใช้ความสามารถ (competence-based approach) นี้เองเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัด การงานบุคคลอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้โมเดลของ Goleman ได้รับการนิยมจากผู้นำองค์กรอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา มีผลการวิจัยแสดงว่า CEO ของบริษัทประกันในอเมริกาที่มี EI สูงจะมีผลงานที่ดีกว่า ที่วัดผลได้จากกำไรและอัตราการเติบโต (Williams, 1994) ผลการวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจาก McClelland (1999) ที่ศึกษาจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง พบว่า แต่เดิมที่เคยจ้างหัวหน้าแผนกด้วยวิธีการที่ใช้กันมา จะมีอัตราการออกจากงานถึง 50% ภายใน 2 ปี เพราะผลงานแย่ แต่เมื่อเริ่มต้นคัดเลือกใหม่ด้วยการใช้ความสามารถทาง EI เป็นเกณฑ์ เช่น การคิดริเริ่ม, ความเชื่อมั่นในตนเอง และความเป็นผู้นำ เป็นต้น พบว่า ภายใน 2 ปี มีการลาออกเพียง 6% เท่านั้น ผู้เขียนพบเห็นผลการวิจัยและกรณีศึกษามาก มายที่สนับสนุนความสำเร็จของผู้นำองค์กรที่มี EI สูงและการประยุกต์ใช้ EI ในการบริหารจัดการองค์กร หากท่านเป็นผู้นำหรือเป็นผู้บริหารขององค์กร ไม่คิดจะพัฒนา EI บ้างหรือครับ อย่างน้อย ควรเริ่มต้นที่ตัวของท่านก่อน จะทำให้ท่านกลายเป็นที่รักของหลายๆ คนได้นะครับ ทด สอบง่ายๆ ครับ หากท่านเดินเข้าไปในกลุ่มลูกน้อง แล้ววงแตกกระเจิง หรือ แต่ละวัน ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้าพบท่านเลย สมมุติฐานเบื้องต้นคือ ท่านอาจจะมี EI ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้นะครับ จะแก้ไขอย่างไร ตอนหน้า ผู้เขียนจะพูดถึงแนวทางการพัฒนา EI อย่างง่ายๆ ครับ ความฉลาดทางอารมณ์ กับการบริหารจัดการงานบุคคล (2) คอลัมน์ human corner โดย ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล [email protected] ประชาชาติธุรกิจ หน้า 8 วันที่ 16 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3688 (2888) เมื่อตอนที่แล้วผู้เขียนเกริ่นนำให้ผู้อ่านรู้จัก EI อย่างคร่าวๆ ไปแล้ว หากผู้อ่านท่านใดสนใจควรศึกษาเพิ่มเติม จากแหล่งที่มาที่ผู้เขียนอ้างอิงไว้ได้ครับ ตอนนี้จะพูดถึงการพัฒนาและการรักษา EI อย่างง่ายๆ สบายๆ กันครับ โดยความคิดเห็นของผู้เขียน ประเด็นสำคัญของการศึกษา EI ไม่ใช่เพื่อรู้ว่าเรามีความฉลาดทางอารมณ์ระดับใดแค่ไหนแล้วจบกัน แต่จะต้องรักษาและพัฒนา EI ไปเพื่อการปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการครองตนตามวิถีชีวิตประจำวันและการปฏิบัติหน้าที่การงาน ดังนั้นผู้เขียนจึงใช้คำว่า "รักษา (maintain)" และ "พัฒนา (develop)" เพราะคิดว่าเมื่อเราสามารถพัฒนา EI ถึงระดับที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขแล้วจะต้องหมั่นประคองรักษา EI นั้นให้คงอยู่ได้นานที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเอง (self-control) ที่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการบริหารจัดการตนเอง (self-management) ที่หลายครั้งเราจะรู้สึกโกรธใครคนหนึ่ง มีความสับสนในการแก้ปัญหา หรือมีความเครียด ไม่ว่าจะเกิดจากการทำงาน หรือชีวิตครอบครัว การใช้สติสัมปชัญญะเพื่อควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตน ไม่แสดงออกไปในทางลบ ถือเป็นวิธีการควบคุมตนเองที่ดีวิธีหนึ่ง เราเคยได้รับการสั่งสอนว่าให้นับหนึ่งถึงร้อย เพื่อฝึกความอดกลั้นอดทน เพื่ออะไรครับ เพื่อให้เกิดช่องว่างสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง ให้เกิดสติ-ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ-ความรู้ตัว เราเคยได้ยินว่า เมื่อเวลาใดเกิดความเครียดความสับสน ให้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วค่อยๆ ปล่อยออกอย่างช้าๆ ในทางวิทยาศาสตร์ บอกเราว่า การสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วปล่อยออกอย่างช้าๆ จะทำให้ร่างกายของคนเรา สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลดีโดยตรงไปที่สมอง ทำให้เกิดการคิด การไตร่ตรองมากขึ้น ถามว่ายากหรือไม่ยากครับ ยากในตอนแรก แต่เมื่อฝึกไปนานๆ เราจะสามารถครองสติได้มากขึ้น มีความมั่นคงทางอารมณ์เกิดขึ้น ผู้เขียนก็ยังพยายามอยู่นะครับแต่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก หากถามว่าเราจะรักษาและพัฒนา EI อย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้เขียนคิดว่าไม่มีคำตอบตายตัวที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ประสบการณ์ ความรู้สึก สิ่งแวดล้อม ฯลฯ การรักษาและพัฒนา EI สำหรับคนๆ หนึ่งอาจจะไม่ใช่แนวทางสำหรับของอีกคนหนึ่งก็ได้นะครับ ดังนั้นโดยภาพรวมผู้เขียนเสนอว่าให้ใช้ปัจจัยเหล่านี้เป็นแนวทางครับ 1.ให้เริ่มต้นจากการพัฒนา EI ด้านการรับรู้ตนเอง (self-awareness) และการจัดการตนเอง (self-management) ก่อนครับแล้วจึงค่อยไปรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น หากเรายังแก้ไขปัญหา และยังควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไม่ได้ การจะไปรับรู้ความรู้สึกและแก้ไขปัญหาขัดแย้งของผู้อื่นคงกระทำได้ยากเช่นกัน 2.ใช้หลักธรรม และแนวคิดปรัชญาของศาสนาเป็นหลัก ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้หลักปรัชญาพุทธศาสนาครับ หากเราคิดว่าทุกๆ ศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ย่อมสามารถน้อมรับหลักคำสอนของศาสนามาปรับใช้ได้ทุกกรณีครับ 3.ใช้ประสบการณ์การเรียนรู้จากอดีต คนทุก คนต้องเคยทำผิดพลาดมาบ้าง เอาความผิดพลาดในอดีต มาใช้เป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ทำผิดอีกก็ดี นะครับ 4.ปรึกษาผู้มีประสบการณ์มากกว่า แม้ว่าสังคมไทยปัจจุบันจะกลายเป็นครอบครัวเชิงเดี่ยวมากขึ้นทุกที แต่สังคมครอบครัวของไทย ก็ยังต้องมีการไปมาหาสู่กันระหว่างเครือญาติ รวมทั้งการคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง หากมีปัญหาใดๆ ลองปรึกษารับฟังความคิดจากหลายๆ ด้านหลายๆ มุม บางครั้งเราอาจจะได้คำตอบที่เหมาะสมก็ได้ครับ 5.ใช้ประโยชน์จากการประชุมสัมมนาเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ หรือหัวข้ออื่นๆ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ผู้เขียนแนะนำให้ใช้วิทยากรที่เป็นนักจิตวิทยาที่มีประสบการณ์จะดีกว่าครับ เพราะท่านเหล่านี้จะมีประสบการณ์โดยตรงและผ่านกรณีศึกษาจริงๆ มามาก แต่หากใครบอกว่าสามารถพัฒนา EI ให้สูงขึ้น ทำให้มี competency สูงขึ้นภายใน 1-2 วันของการสัมมนา ต้องคิดหนักหน่อยนะครับ 6.ใช้บริการจากที่ปรึกษาหรือผู้ชำนาญการด้าน EI โดยปกติการพัฒนา EI ผู้นำองค์กรและหัวหน้างานจะใช้เวลาค่อนข้างมาก บางท่านจะสามารถร่างแผนการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EI development plan) ของแต่ละบุคคลได้เลยครับ 7.ถ้าหาทางออกสุดท้ายไม่ได้จริงๆ ติดต่อกรมสุขภาพจิต http://www.dmh.moph.go.th/ หรือโทร.1667 สายด่วนสุขภาพจิต ความฉลาดทางอารมณ์ กับการบริหารจัดการงานบุคคล (จบ) คอลัมน์ human corner โดย ปิยะชัย จันทรวงศ์ไพศาล [email protected] ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6 วันที่ 19 พฤษภาคม 2548 ปีที่ 28 ฉบับที่ 3689 (2889) ในการบริหารจัดการงานบุคคลมักจะพบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ EI ในหลายรูปแบบเช่น 1.พนักงานมีปัญหาขัดแย้งกันเอง บางครั้งขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา บางครั้งขัดแย้งกับผู้ร่วมงาน ส่วนมากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น มาจากเรื่องเล็กๆ เช่น การไม่ยอมรับความคิดเห็น การคิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ สามารถจัดการได้ง่าย หากไม่ปล่อยให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตไปเสียก่อน ผู้ที่เป็นหัวหน้างาน ควรจะต้องหมั่นติดตามพฤติกรรมของลูกน้องให้ดีครับ 2.ไม่มีความขัดแย้ง แต่ร่วมงานกับเพื่อนไม่ได้ บางครั้งองค์กรได้คนเก่งมาทำงาน แต่ทนอยู่ได้ไม่นาน เพราะเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เรื่องนี้ต้องให้ผู้บังคับบัญชา หมั่นติดตามความเป็นไปในแผนกของตนครับ การที่พนักงานเก่งๆ จะออกไปมักจะมีสัญญาณเตือนก่อนให้รับรู้ ถ้าเรารู้ทันและไม่อยากให้เขาออก การพูดคุยถึงปัญหาต่างๆ อย่างเปิดเผยน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด 3.ปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง บางครั้งถึงกับใช้อารมณ์ใส่กันก็เคยมี 4.การวางคนไม่ถูกกับงาน ถ้าไม่ใช่เกิดจากความตั้งใจให้เกิด หัวหน้างานก็ต้องทบทวนครับ ลองคนเราไม่ชอบงานที่ทำ คงทนทำอยู่ได้ไม่นานครับ แล้วจะทำให้พนักงานผู้นั้นแสดงพฤติกรรมต่อต้านองค์กรก็ได้ 5.การนินทา การปล่อยข่าวลือไร้สาระ เรื่องนี้อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แล้วปล่อยไปนะครับ เคยมีบางองค์กร ต้องสูญเสียคนเก่งจากข่าวลือที่ไร้สาระเหล่านี้ไปแล้วมากต่อมาก ฯลฯ แล้วจะแก้ไขอย่างไรครับ ผู้เขียนขอยืมแนวทางจากกรมสุขภาพจิตมาใช้ครับว่า ความฉลาดทางอารมณ์ = ฉลาดคิด + ฉลาดพูด + ฉลาดทำ ฉลาดคิดคือ การคิดในแง่บวก (positive thinking) ลองคนเราคิดในแง่บวก กำลังใจจะมาเองครับ แต่ถ้าคิดแต่ในแง่ลบ จิตใจก็หดหู่ ห่อเหี่ยวแล้วจะทำงานให้ดีได้อย่างไรครับ ฉลาดพูดคือ การพูดไม่ว่าร้ายตัวเรา และผู้อื่นคำพูดแม้จะจับต้องไม่ได้ แต่เป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ ในการทำร้ายตัวเรา และผู้อื่นมานักต่อนักแล้วครับ ถ้าคิดจะพูดต้องอย่าลืมว่า "ก่อนพูดเราเป็นนาย แต่หลังจากพูดไปแล้ว คำพูดเป็นนายเรา" ขอให้มีสติสักนิดก่อนจะพูดนะครับ ฉลาดทำคือ การทำด้วยความเต็มใจสุดกำลังที่จะทำให้ดีกว่าเดิม ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "ธรรมะคืองาน งานคือธรรมะ" เพราะฉะนั้นจะทำการสิ่งใดต้องทำให้ดีครับ นอกจากนี้ สิ่งที่นักวิจัยหลายท่านไม่ค่อยได้กล่าวถึงคำว่า "บารมี" ซึ่งในสังคมไทยเป็นสังคมที่นิยมการประนีประนอม และความเกรงอกเกรงใจมากกว่า หลายเรื่องที่เป็นความขัดแย้งสามารถจบลงได้ด้วยดีด้วย การไกล่เกลี่ยยอมความกันจากผู้ที่ตนเคารพนับถือ บารมีสร้างได้อย่างไร ? สร้างได้จากการวางตนที่เหมาะสมทั้งโอกาส และสถานะ ผ่านระยะเวลาหนึ่งที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคนจะสร้างบารมีได้ ต้องมี EI สูงด้วยนะครับ ลองดูนะครับ คิดง่ายๆ ทำง่ายๆ อย่างนี้น่าจะทำให้มี EI สูงขึ้นก็ได้นะครับ อย่าลืมนะครับ ก่อนจะไปบริหารจัดการผู้อื่นให้เริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อนครับ |
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์
" ทรัพยากรมนุษย์" แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคนซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น
ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการคำว่า ทรพยากรมนุษย์ เกิดขึ้นเมือ ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้นและสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น
ความหมายของทรัพยากรมนุษย์
ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Humam Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากว่า)
จะทราบได้อย่างไรว่าการนำ BSC & KPI ไปใช้ในองค์กรแล้วได้ผลจริงหรือไม่?
โดย...ณรงค์วิทย์ แสนทอง
[email protected]
หลายครั้งที่ผมมักจะได้รับคำถามจากผู้เข้าร่วมสัมมนาหลักสูตร BSC (Balanced Scorecard) และ KPI (Key Performance Indicator) ว่าถ้าเราจะนำระบบนี้ไปใช้ในองค์กรจะวัดผลตัวระบบนี้ได้อย่างไรว่าประสบความสำเร็จหรือไม่
บางองค์กรคาดหวังว่าหลังจากนำเอาระบบ BSC & KPI ไปใช้แล้วผลการดำเนินงานจะต้องดีขึ้น ขอตอบได้เลยครับว่า "ไม่แน่" เพราะว่า BSC & KPI เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการบริหารจัดการเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะชี้เป็นชี้ตายได้ว่าองค์กรจะไปรอดหรือไม่ ความสำเร็จขององค์กรเกิดจากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของธุรกิจ สถานการณ์ของตลาด สภาพแวดล้อมในด้านต่างๆ เงินทุน กลยุทธ์ขององค์กร ฯลฯ ดังนั้น เราคงไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าถ้านำเอาระบบนี้ไปใช้แล้วผลงานจะดีขึ้น
แต่...เราสามารถประเมินผลได้ว่าระบบนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่จากจำนวนและระดับของปัญหาด้านการจัดการที่หายไปหรือได้รับการแก้ไข ปัญหาด้านการจัดการคืออะไร คือปัญหาในการบริหารผลงานไม่ว่าจะเป็นในระดับองค์กร ระดับหน่วยงานหรือระดับการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่เคยมีอยู่ก่อนนำเอาระบบนี้ไปใช้เปรียบเทียบกับหลังจากใช้ระบบนี้แล้ว
สำหรับแนวทางในการประเมินผลการนำเอาระบบนี้ไปใช้ผมขอเสนอแนะดังนี้
สรุป การประเมินผลว่าการนำเอาระบบ BSC & KPI ไปใช้ในองค์กรที่ถูกต้องควรจะประเมินว่าระบบนี้ได้แก้ไขปัญหาอะไรให้กับองค์กรได้บ้าง แน่นอนว่าถ้าปัญหาต่างๆขององค์กรได้รับการแก้ไข ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและบางส่วนอาจจะส่งผลไปยังผลงานโดยรวมขององค์กรได้เช่นกัน แต่เราคงจะไปวัดผลสำเร็จของระบบจากผลงานขององค์กรโดยตรงคงจะไม่ถูกต้องมากนัก องค์กรใดกำลังคิดจะนำเอาระบบ Balanced Scorecard และ Key Performance Indicator ไปใช้ผมคิดว่าควรจะต้องวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางในการวัดผลของระบบไว้ล่วงหน้านะครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันในภายหลังว่าลงทุนไปแล้วคุ้มหรือไม่ สำหรับประเด็นสำคัญที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อความสำเร็จของระบบนี้คือ ความตั้งใจจริงผู้บริหารในการนำเอาระบบนี้ไปใช้งาน อย่าเพียงแต่ "อยาก" แต่ไม่ได้นำไปใช้อย่างจริงจัง แล้วมาบอกภายหลังว่า "ไม่ได้ผล" ผมเคยคิดเล่นๆนะครับว่าน่าจะมีการวัดและประเมินผล "ระดับความตั้งใจ" ของผู้บริหารระดับสูงด้วยนะครับว่าเป็นอย่างไร แต่คงไม่มีองค์กรไหนกล้านำไปใช้จริงนะครับ
(HRM Programme Effectiveness)
เงื่อนไขความสำเร็จของการจัดทำ
แผนกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล
การบริหารทุนมนุษย์
- การบริหารทุนมนุษย์ หรือ (Human Capital) หมายถึง เทคโนโลยี ความรู้ทักษะ และสมรรถนะซึ่งติดตัวคนในองค์กรและมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน เช่น ทักษะเชิงเทคนิค นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และสมรรถนะการเป็นผู้นำ
- ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพย์สิน (Asset)ขององค์กรที่มีสภาพเป็น “ทุน(Human Capital)”
ซึ่งสำคัญยิ่งต่อการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร
- องค์กรใดมีทุนมนุษย์ที่เหนือกว่า ก็จะสามารถยืนอยู่ได้ในสถานะที่เหนือกว่าองค์กรคู่แข่งได้
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตการบริหารทุนมนุษย์ มีกิจกรรมพื้นฐาน 5 อย่างในการบริหารจัดการทุนมนุษย์ได้แก่
1. การวางแผนด้านบุคลากร
2. การสรรหาบุคลากร
3.การรักษาบุคลากร
4.การพัฒนาบุคลากร
5. การรักษาบุคลากรที่เป็นสินทรัพย์ขององค์กร
จากนั้นจึงกำหนดมาตรวัดกิจกรรมเหล่านี้คู่กับดัชนีการเปลี่ยนแปลงทั้งห้าประการ ซึ่งเขาบอกว่าเป็นวิธีที่จะทำให้สามารถประเมินและระบุถึงการเปลี่ยนแปลงคุณภาพ, บริการและผลิตภาพขององค์ก
"การบริหารงานบุคคล" ซึ่งเป็นคำเดิมที่เคยใช้มาในอดีตนั้น ในความคิดของผมเป็นคำที่สื่อถึงการดำเนินกิจกรรมพื้นฐานดั้งเดิม กล่าวคือ การสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน การดำเนินการทางวินัย และ ฯลฯ
ในปัจจุบัน ความสำคัญของ "คน" ในองค์กรไปไกลกว่านั้นมาก ด้วยถือว่าคนเป็น "ทรัพยากร" ที่มีค่า จึงเกิดคำว่า "การบริหารทรัพยากรบุคคล" ขึ้น
หรือในบางองค์กรมองไกลกว่านั้นอีก กล่าวคือมองเห็นว่าคนเป็น"ต้นทุน" ที่สำคัญขององค์กร จึงเกิดคำใหม่ขึ้นมาว่า "การบริหารทรัพยากรบุคคลที่เป็นต้นทุน" หรือ "การบริหารทุนมนุษย์" หรือ "Human Captial Management" ขึ้นอีกหนึ่งคำดังนั้น คำว่า "การบริหารทุนมนุษย์" หรือ "การบริหารทรัพยากรบุคคล" จึงมีความหมายใกล้เคียงกัน เนื่องจากมองคนเป็น "ต้นทุน" หรือเป็น "ทรัพยากร" ที่สำคัญขององค์กรหากต้นทุนมีน้อย ก็ต้องเติมให้เต็มหรือทำให้มีมากเพียงพอ
หากต้นทุนมีจุดบกพร่อง ก็ต้องพัฒนา แก้ไข หรือเพิ่มคุณค่าเพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนอย่างแท้จริง
หากต้นทุนมีลักษณะเข้าข่ายที่เรียกว่า "เสื่อม" หรือพัฒนาไม่ขึ้นไม่ว่าด้วยวิธีการใด ก็ต้องหาทางปรับเปลี่ยน โยกย้าย หรือแม้กระทั่งต้องดำเนินการผ่องถ่ายออกไปHR แต่เดิมมีลักษณะเป็น Personel Administration หมายถึง การดูแลคนใน ลักษณะงานธุรการ เป็นการตั้งรับหรือแล้วแต่ผู้ใหญ่สั่งครั้งพอเปลี่ยนผู้บริหารใหม่มีแนวคิด HR ที่ทันสมัยมากขึ้น จึงได้เร่งดำเนินการด้าน HR ในรูปแบบ
- การบริหาร HR ที่เน้นการตลาดหรือให้การตลาดเป็นตัวผลักดัน “Customer- Centric HR”
- การนำ “Corporate Value” มาเป็นวิถีชีวิตของทุกคนในธนาคาร โดยการแปลปสู่ “ความสามารถ” (Competency)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ อีกหนึ่งยุทธวิธีแห่งความสำเร็จขององค์กร จำนวนผู้อ่าน 2389 คน
|
“ทุนมนุษย์” ซึ่งก่อให้เกิดพัฒนาการ
ด้านความพร้อมของพนักงานในทุกด้านอันส่งผลต่อการก้าวสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ (High Performance Organization)
บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) อย่างแท้จริง โดยเริ่มวาง
รากฐานของการปลูกฝังค่านิยมองค์กร POSITIVE ให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรในที่สุด เพื่อเอื้อต่อการเจริญเติบโต
อย่างยั่งยืนในทิศทางของวิสัยทัศน์องค์กร
ภารกิจและหน้าที่ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในอนาคตที่ HR Professionals จะต้องสนใจและเตรียมตัวไว้ อาจสรุปได้ 9 มิติดังต่อไปนี้
1. หน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้น
ด้วยเหตุผลของการพัฒนาธุรกิจที่ก้าวข้ามประเทศทำให้ระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ถูกกระทบสูง โดยเฉพาะ ความมั่นคงในการทำงานอันเนื่องจากการขาดความรู้ซึ่งกลายเป็นปัญหาของพนักงานโดยตรง
2. ต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กร
3. นอกจากต้องเก่งและมีความรู้ด้าน HR อย่างดีแล้ว นักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องขยายการเรียนรู้ไปสู่แขนงอื่นๆ เพื่อให้สามารถรับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งองค์กร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ขยายไปกว้างทั่วองค์กร และในทุกจุดต่างมีปัจจัยเรื่อง "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
4. นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องถือเป็นธุระคอยติดตามสังเกต ลงมือริเริ่ม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร [Corporate Culture] เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป
เพราะนี่คือ "บุคลิกภาพขององค์กร" ที่มีอิทธิพลในการชักจูงคนให้เข้ามาทำงาน ทั้งยังหล่อหลอมความคิด และการกระทำของพนักงาน เนื่องจาก "วัฒนธรรม” เป็นเครื่องสะท้อนถึง "ภาพลักษณ์" และ "จุดเด่นขององค์กร" การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นบทบาทหน้าที่ของ HR Professionals โดยตรง
5.การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]
ด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้น
HR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"
6. HR ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากลักษณะวิชาชีพที่เป็นศิลปะ [Art] ให้เป็นการตัดสินใจที่เป็นศาสตร์ [Science] โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน มากกว่าการบรรยายความ หรือคาดคะเนกว้างๆ เพราะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันสูง และต้องมีการ "แข่งประสิทธิภาพ" ที่วัดผลได้จริง ทำให้การจัดการเรื่องคนต้องวัดประสิทธิภาพได้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน
7. นักบริหาร HR ต้องทำตัวเก่งและรับบทบาทในด้าน "การประสานและสร้างความร่วมมือ" [Collaboration and Cooperation] เพราะ การประสานความร่วมมือคือ "หัวใจขององค์กร" ในอนาคต การต้องรับหน้าที่สร้างกลไกการประสานและหลอมให้เข้ากัน และรวมพลังทำงานเป็นหนึ่งเดียว จะสำคัญยิ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ
8. นักบริหาร HR ต้องทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาด้านสังคม และตามทันนโยบายสาธารณะต่างๆ เพราะความเจริญของข่าวสารและกระแสความโปร่งใส ทำให้พลังของ Stakeholders กลุ่มต่างๆ แข็งแรงขึ้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันการถูกกระทบ จึงต้องมีคนคอยติดตามนโยบายสาธารณะ [Public Policy] และคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสังคมภายนอก ซึ่งนักบริหาร HR คือ ผู้เหมาะสมกับบทบาทด้านนี้มากที่สุด
9. ต้องบริหารในบริบทโลกได้ คือ นั่นคือ ผู้บริหาร HR จะต้องทำได้เสมอเหมือนผู้บริหารด้านอื่น โดยตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกสมัยใหม่ และสามารถประยุกต์การแก้ปัญหาให้ตรงกับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า "Live Globally, Act Locally" นั่นเอง
ทั้ง 9 มิติงานที่กล่าวนี้คือ บทบาทหน้าที่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคหน้า เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ และความสามารถในเชิงวิชาชีพที่สามารถขยายให้เทียบได้ หรือก้าวล้ำหน้าวิชาชีพอื่นๆ ในองค์กร ซึ่งโอกาสมีรออยู่แล้ว
ด้วยความจริงว่า "ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไว ปัญหาด้านคนจะกระโดดไปยืนรอการแก้ไขและจัดการอยู่ข้างหน้าเสมอ" ดังนั้นใครที่เก่งและมีความรู้ด้านคน จึงได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่า
"โลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว ต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"
2. อัตราการออกจากงานสูง
3. การพบว่าพนักงานไม่ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุด
4. การเสียเวลากับสัมภาษณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์
5. ทำให้บริษัทต้องขึ้นศาลเนื่องจากความไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
6. ทำให้บริษัทถูกฟ้องจากการจัดสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
7. การทำให้พนักงานคิดว่าเงินเดือนที่เขาได้รับไม่ยุติธรรม
8. ไม่ยอมให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนาซึ่งเป็นการทำลายประสิทธิภาพและประ สิทธิผลของหน่วยงานศัพท์แฟชั่นของ HR ยุคใหม่ : ช่วยธุรกิจให้ก้าวไปได้จริงหรือ?
ผู้เขียนได้มีโอกาสติดตามดูคลื่นของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเมื่อกลับมามองด้านองค์ความรู้ของ HR ในปัจจุบันแล้วรู้สึกอดแปลกใจในหลายๆ อย่าง
อย่างแรก! องค์ความรู้ใหม่ด้าน HR มีหรือไม่
ความฟุ่มเฟือยศัพท์ทาง HR ในปัจจุบันดูจะฟุ้งกระจายเป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็น
- High Performance Organization
- Human Capital Management
- Knowledge Management
- HR Scorecard
- Performance Management
- Competency: All Topics
- Etc.
สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนศัพท์ที่ทำให้ผู้พูดดูทันสมัยหรือย่างไรไม่ทราบ แต่สิ่งที่ปรากฏกับธุรกิจอย่างชัดเจนและเป็นมาในระยะ 3-4 ปีมา ดังนี้
ตัวอย่างของธุรกิจการเงินการธนาคารแห่งหนึ่ง
|
อย่างที่สอง อะไรคือองค์ความรู้ใหม่ที่แท้จริงของ HR
ขณะที่ผู้เขียนไปบรรยายเรื่อง Strategic Planning & KPIs ให้กับกลุ่มธุรกิจธุรกิจด้านพร็อพเพอร์ตี้ระดับ Premium แห่งหนึ่งของเมืองไทย เมื่อหน่วยงานด้าน HR จำเป็นต้องจัดทำแผนกลยุทธด้าน HR
สิ่งที่ปรากฏคือ ผู้รับผิดชอบที่ไปอบรมสัมมนาภายนอกกับวิทยากรซึ่งมาจากบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งได้นำแนวคิดของ HR Scorecard เล่มที่ Ulrich แต่งร่วมกับอีก 2 ท่านตามแนวคิดของ Balanced Scorecard : BSC (Kaplan & Norton) พอจะนำเข้ากรอบของ BSC ไม่สามารถจัดทำได้เพราะสไลด์ที่แจกมาเป็นตัวอย่างนั้นนำมาจากหนังสือแบบลอกมา
อย่างที่สาม สิ่งที่ HR ควรทำในสายตาของ CEO
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องคุยกันมากและคิดว่าเป็นทิศทางสำคัญของการบริหาร HR
(1) แนวคิดทางด้านการบริหาร HR ถูกทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนหรือล่องลอยห่างไปจากองค์ความรู้ของสิ่งที่เป็นวิธีวิทยาการด้าน HR ที่แท้จริง อาทิ
- ความเข้าใจที่ไม่เพียงพอในด้านการบริหาร HR ที่ทำให้ไปมองว่า การบริหาร HR เป็นงานหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่มีอะไรใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจาก HRD (ทั้งๆ ที่เป็นส่วนย่อยของการบริหาร HR) ว่ามีพลวัตมากกว่า
- คนที่สำเร็จและร่ำเรียนในขอบเขตด้าน HR ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “Core HR Knowledge” เมื่อต้องมารับผิดชอบในการบริหาร HR จึงไม่สามารถดำเนินการในงานด้านระบบ HR ที่ทันกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเท่าทัน
(2) การบริหาร HR ในปัจจุบันดูจะเป็นการบริหารจัดการตาม “ศัพท์” ที่เป็นแฟชั่นตามที่กล่าวมาข้างต้น
ซึ่งกลายเป็นว่างาน HR ทุกอย่างต้องอาศัย “ที่ปรึกษา” (ทั้งๆ ที่รู้บ้าง รู้ลึก รู้ไม่ลึก รู้ว่าไม่รู้ ฯลฯ) เข้ามาช่วยให้คำปรึกษา
สิ่งที่น่ากลัวมากๆคือ “บทความ” ที่คิดว่าเป็นความรู้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งพยายามเสนอแนวคิดและบทเรียนด้าน HR จนกลายเป็น “ความรู้แบบ Food Street” ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งดีก็ได้เพราะอ่าน-รู้-ฉวยไปได้อย่างรวดเร็ว
(3) CEO คาดหวังว่างาน HR ที่เป็นการสนับสนุนธุรกิจหลักมีความจำเป็นที่จะ
ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง จะต้องมุ่งเน้นในการวางระบบหรือ Procedure Standard ที่จะรองรับงานได้ในหลายๆ ระบบ ไม่ใช่มี HR เพียงระบบเดียว เพราะธุรกิจต่อไปในอนาคตจะมีหลายรูปแบบ (Multi Format)
บางสิ่งที่ HR ทำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ควรจะมี “เนื้อหา” (Contents) ในเรื่องนั้นไม่ใช่ไม่รู้เลย
(4) CEO หรือผู้นำธุรกิจกำลังปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่การเป็น “องค์กรที่มุ่งการ-ตลาด” (Market-Driven Organization) ดังนั้นสิ่งที่เป็นศัพท์แฟชั่นของ HR (Fashionable HR Vocabulary)
ไม่ช่วยให้ธุรกิจที่ต้องการจัดทัพใหม่ในรูปแบบของ Brand Grouping (ซึ่งประกอบด้วย Master Brand, Corporate Brand, Subbrands/Products Brand) เรื่องเหล่านี้เป็นความรู้ใหม่ที่ฝ่าย HR ไม่มีหรือไม่สามารถใช้ความรู้เดิมในอดีตมาช่วยธุรกิจที่เป็นองค์กรที่มุ่งการตลาดได้
ขณะเดียวการนำพาองค์กรไปสู่ High Performance Organization (HPO) กลายเป็นคลื่นที่ม้วนให้ธุรกิจไปสู่ทะเลสีแดงเลือดสาด (Red Ocean) เพราะการวัดหรือนำองค์กรไปสู่ HPO นั้นเป็นสิ่งที่ธุรกิจในฟอร์จูน 500 ใช้จัดอันดับหรือวัดความสำเร็จ และธุรกิจพวกนั้นเป็นคนละมิติกับธุรกิจในบ้านเรา เพราะเขาจ้าง CEO มืออาชีพเข้ามารับผิดชอบ ไม่ใช่ธุรกิจที่บริหารโดยเจ้าของกิจการที่มีความเป็นมืออาชีพ
ธุรกิจทั้งหลายในฟอร์จูน 500 หลังจากที่รบราฆ่าฟันกัน สุดท้าย 10 ปีผ่านไปเหลือไม่ถึง 1 ใน 3
งาน HR กำลังถึงทางตันหรือ No Way Out เพราะติดไปกับ “ศัพท์แฟชั่นของ HR”
ผู้บริหารธุรกิจระดับสูง เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร HR รุ่นใหม่พบกับ HR ความท้าทายใหม่โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ ได้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปครับ
ฝ่ายงานด้าน HR (บางส่วน) |
HR B-Model |
ขอบเขตผลลัพธ์สำคัญ (KRA: Key Result Area) | สมมติฐานทางกลยุทธ (Strategic Hypothesis) | ดัชนีวัดผลสำเร็จ (KPIs) |
1.1 ได้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการ 1.2 มี Data Bank สำหรับตำแหน่งต่างๆ 2.1 พนักงานมีความรู้ความสามารถตามตำแหน่ง 2.2 มี Training Roadmap 3.1 มีโครงสร้างกลุ่มตำแหน่งงาน 3.2 มี Salary Structure 3.3 มีระบบการประเมินผลการ ปฏิบัติงานที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพ |
การเงิน (F) * ผลิตภาพด้านกำลังคน * จัดสรรงบประมาณในการสรรหาพนักงาน การฝึกอบรม/สวัสดิการพนักงาน ลูกค้า (C) * หน่วยงานต่างๆ มีความพึงพอใจในการดำเนินงานด้านการสรรหา การฝึกอบรมและบริการของ HR *ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกชื่นชมบริษัท กระบวนการภายใน (I) * ระบบการการบริหาร HR ระบบดำเนินงาน HR ที่มีมาตรฐาน การเรียนรู้และนวัตกรรม (L) * พนักงานมีศักยภาพและความสามารถในงานที่รับผิดชอบ |
F: % การใช้งบประมาณ HR ได้ตามที่กำหนด อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวในการบริหาร HR ไม่เกิน 10,000 บาท C: ดัชนีความพึงพอใจในทุกด้านอยู่ที่ระดับ 4.0 (สเกล 5) I: คู่มือปฐมนิเทศพนักงาน ใหม่ ส่งมอบให้สายงาน ต่างๆ ในไตรมาสที่ 1 ปี’52 : จัดทำมาตรฐานงาน HR เสร็จภายในปี’52 L: อัตราสะสมของความรู้ใน.งาน HR ของฝ่าย HR สูงขึ้น (โดยการทดสอบ) |
ระบบคุณธรรม | ระบบอุปถัมภ์ |
1. ยึดหลักความสามารถ 2. เปิดโอกาสให้ทุกคนเท่าเทียมกัน 3. มีความมั่นคงในการทำงาน 4. ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรก |
1. ยึดความพึงพอใจ 2. ให้โอกาสแก่พรรคพวกหรือญาติพี่น้อง 3. ขาดความมั่นคงในการทำงาน 4. มีอิทธิพลการเมืองเข้าแทรกแซงการทำงาน |
ระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ | |||
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ | |||
ระบบคุณธรรม ระบบอุปถัมภ์ | |||
จากการที่องค์การหลายแห่งได้ตระหนักถึงความสำคัญของการปรับปรุง การเพิ่มและพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรในองค์การ จึงทำให้งานด้านการพัฒนาบุคลากรหรือ Human Resource Development : HRD ได้รับความสนใจและผู้บริหารระดับสูง CEO, Managing Director หรือ President ได้ตระหนักถึงความสำคัญของงานดังกล่าวมากยิ่งขึ้น พบว่ามีองค์การหลายแห่งได้จัดตั้งงานดังกล่าวนี้เป็นหน่วยงานเฉพาะขึ้น มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ศูนย์การเรียนรู้ (Learning Center), ฝ่ายบริหารผลการดำเนินงาน (Performance Management Department), ฝ่ายพัฒนาขีดความสามารถของพนักงาน (Competency Development Department) หรือฝ่ายพัฒนาองค์กร (Organization Development Department) เป็นต้น ซึ่งงานการพัฒนาบุคลากรนั้นมีความหมายและบทบาทมากไปกว่าการฝึกอบรมพนักงานเท่านั้น ปัจจุบันยังมีองค์การหลายแห่งความใจผิดคิดว่าการพัฒนาบุคลากรก็คือการฝึกอบรม จึงทำให้เกิดเป็นฝ่ายฝึกอบรม (Training Department) ขึ้นในองค์กรมีหน้าที่ในการจัดหาหลักสูตรการฝึกอบรมที่เหมาะสมให้กับบุคลากรในองค์การ มีบทบาทแต่เพียงให้คำแนะนำถึงหลักสูตรที่จำเป็นเพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถและศักยภาพของพนักงานเท่านั้น บทบาทของการพัฒนาบุคลกรไม่ใช่เป็นแค่การจัดหาโปรแกรมการฝึกอบรมที่เหมาะสม การควบคุมดูแลให้บริษัทปฏิบัติตามข้อกำหนดของระเบียบข้อบังคับของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานเท่านั้น Dave Ulrich (1997) อ้างถึงในหนังสือ Transforming HR: Creating Value through People ปี 2005 ได้กล่าวถึงบทบาทของการนักทรัพยากรมนุษย์ไว้ดังนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอบทบาทของนักพัฒนาบุคลากรโดยปรับใช้จากบทบาทของนักทรัพยากรมนุษย์ตามที่ Dave Ulrich ได้กล่าวถึงไว้แล้ว ดังรายละเอียดต่อไปนี้ Administrative Expert : การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานธุรการ งานบริหารจัดการในเรื่องทั่วๆ ไปที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรในองค์การ ซึ่งมีองค์การบางแห่งเรียกบทบาทดังกล่าวนี้ว่าเป็น Functional Expert เป็นผู้เชี่ยวชาญในงานด้าน HRD ทั้งนี้ลักษณะของการเป็น Administrative Expert นั้น ได้แก่ เชี่ยวชาญในงานด้านเอกสาร และการติดต่อประสานงาน :บุคคลเหล่านี้จะมีภารกิจหน้าที่ในการรวบรวม จัดเตรียม และจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากร เช่น การจัดเตรียมแบบฟอร์มการจัดฝึกอบรม ภายในให้กับหน่วยงานอื่น ๆ ในกรณีที่มีการร้องขอเกิดขึ้น หรือการจัดเตรียมเอกสารเพื่อยื่นกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือการจัดทำเอกสารในรูปแบบ Power Point เพื่อนำเสนอผลงานและความคืบหน้าในงาน HRD ในการประชุมผู้บริหาร หรือในการประชุมกับกลุ่มผู้บริหารของสายงานต่างๆ รวมไปถึงการติดต่อกับวิทยากร ผู้เข้าสัมมนาในการจัดฝึกอบรมในแต่ละครั้ง การประเมินผลความพึงพอใจของผู้เข้าอบรมว่ามีความพึงพอใจในหลักสูตร วิทยากร สถานที่จัดอบรม อาหารว่าง และอาหารกลางวันมากน้อยแค่ไหนบ้าง เชี่ยวชาญในงานด้านกฎระเบียบ หลักการ และแนวนโยบายการพัฒนาบุคลากรในองค์การ:บุคคลเหล่านี้จะมีภารกิจหน้าที่ในการวางกฎระเบียบที่จำเป็นเพื่อให้บุคลากรในองค์การมีมาตรการหรือบรรทัดฐานที่ใช้ร่วมกันในพัฒนาบุคลากรของตนเอง เช่น ระเบียบในการขอเข้ารับการฝึกอบรมภายใน ระเบียบในการขอทุนการศึกษา เป็นต้น รวมถึงการตอบข้อซักถามจากองค์การจากภายนอก และพนักงานภายในองค์การเกี่ยวกับหลักสูตรการฝึกอบรมที่เปิดสอนภายนอก หรือภายในที่หน่วยงานพัฒนาบุคลากรจัดให้มีขึ้น เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี : เป็นคนที่ทำหน้าที่ในการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในงานพัฒนาบุคลากร การจัดหาหรือพัฒนาซอฟแวร์มาใช้เพื่อให้งานพัฒนาบุคลากรเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น เช่น การนำ IT มาใช้ช่วยออกแบบระบบการขอฝึกอบรมผ่านภายในหรือภายนอกองค์การ การผลิตสื่อการสอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า E-Learning การตอบข้อซักถามและช่วยเหลือให้พนักงานในองค์การสามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในด้านการพัฒนาบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากพนักงานไม่สามารถเปิดใช้ระบบ E-Learning ที่บริษัทจัดให้มีขึ้น บุคคลที่ทำหน้าที่ดูแลระบบงานนี้จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบ E-Learning นั้น เชี่ยวชาญในด้านการเตรียมข้อมูล บทวิเคราะห์ วิจัย : มีหน้าที่ค้นคว้าวิจัย หาข้อมูลทางวิชาการ เช่น บทความ บทสัมภาษณ์ บทวิจัย หรือแม้กระทั่งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในเรื่องการพัฒนาบุคลากร เพื่อนำส่งให้กับผู้บริหารในหน่วยงาน พนักงานที่สนใจ และบุคลากรที่ทำงานอยู่ในหน่วยงาน HR เองด้วยกันเองอ่านและนำมาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน รวมถึงการดูแลข้อมูลข่าสารที่จะนำไปลงใน Intranet ของบริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาขีดความสามารถและเพิ่มศักยภาพของบุคลากรภายในองค์การ อย่างไรก็ตามความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น เป็นเพียงแค่งานประจำวันที่นักพัฒนาบุคลากรรับผิดชอบ ถือได้ว่าเป็นบทบาทเบื้องต้นที่สนับสนุนให้งานพัฒนาบุคลากรตอบสนองต่อธงหรือเป้าประสงค์ที่องค์การกำหนดขึ้น ซึ่งนักพัฒนาบุคลากรทั้งหลายควรจะสำรวจตนเองในตอนนี้ว่ามีบทบาทหน้าที่อย่างไรในการพัฒนาบุคลากรในองค์การ ทำหน้าที่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญงานประจำหรือไม่ ถ้าใช่องค์การของท่านกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย ซึ่งท่านเองจะต้องกลับมาปฏิรูปบทบาทของตนเองที่ไม่ใช่เพียงแค่การเป็น Administrative Expert เท่านั้น ที่จะทำให้องค์การอยู่รอดได้เพียงแค่ปัจจุบัน แต่หากองค์การต้องการความเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันนั้น นักพัฒนาบุคลากรจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทตนเอง ขยับฐานะไปเป็น Employee Champion, Strategic Partner และ Change Agent ซึ่งผู้เขียนจะนำเสนอในบทความตอนถัดไป ... พบกันในฉบับหน้าค่ะ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับธุรกิจขนาดย่อม ถึงแม้จะใช้จำนวนบุคลากรน้อยกว่าธุรกิขนาดใหญ่ก็ตามแต่ธุรกิจขนาดย่อมก็ยังต้องการบุคลากรที่มีคุณสมบัติ ความรู้ และความชำนาญที่เหมาะสมเข้ามาทำงานอย่างเพียงพอ ด้วยเหตุนี้เองผู้ประอกบการธุรกิจขนาดย่อมจึงควรจะเรียนรู้หลักและวิธีการที่จะนำไปใช้เพื่อให้ได้มาซี่งบุคลากร ที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสม
วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัยพยากรมนุษย์การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning)
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ คือ กระบวนการคาดการณ์ความต้องการของทรพัยากรมนุษย์ขององค์การเป็นการล่วงหน้า ว่าต้องการบุคคลประเภทใด ระดับใด จำนวนเท่าใด และต้องการเมื่อใด (the right people the right place, at the right time) และกำหนดวิธีการที่จะได้มาซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องการ ว่าจะได้มาจากไหน อย่างไร ตลอดจนการกำหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อที่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในอนาคต
2. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมั่นคงท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
3. ทำให้องค์การมีแผนดำเนินการอย่างละเอียด ที่จะปฏิบัติงานด้านบุคคลอย่างมีขั้นตอน เช่น การ สรรหาการคัดเลือก การโอนย้าย การเลื่อนตำแหน่ง
ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้องค์การสามารถวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
2. ช่วยในกิจกรรด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
3. ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. เป็นการเตรียมการให้ได้พนักงานใหม่เป็นไปตามความต้องการของแผนหรือฝ่ายต่างๆ
5. ส่งเสริมและพัฒนาโอกาลความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
6. เป็นแนวทางสำหรับองค์การที่มีหน้าที่ผลิตจะได้ผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน
กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
ได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. การพิจารณาเป้าหมาย และแผนขององค์การ(Goals and Plans of Organization) คือ การศึกษาและพิจารณาแผนกลยุทธ์ที่องค์การได้กำหนดไว้ศึกษานโยบายทางด้านต่างๆเพื่อที่จะนำผลของการศึกษาเหล่านี้มาจัดวางข้อมูลด้านบุคคลที่ควรจะเป็นในอนาคตได้อย่างเหมาะสม
2. การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน(Current Human Resource Situation)
3. การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์( Human Resource Forecast) จะได้ทราบจำนวนและประเภทของพนักงานที่มีอยู่จริงๆ ว่ามีจำนวนเท่าไร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนที่องค์การทั้งหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงานใหม่ในกลุ่มใดบ้าง และในระยะเวลาใด
4. การกำหนดแผนปฏิบัติการ(Implementtion Programes)
5. การตรวจสอบและการปรับปรุง(Audit and Adjustment)
กิจกรรมที่พนักงานฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องปฏิบัติ |
งานที่ต้องปฏิบัติเป็นปกติ อาจถือได้ว่าเป็นงานประจำ (routine work) สามารถดูได้จากกระบวนการงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่สามารถนำมาเขียนเป็นทางเดินของกิจกรรมงานได้ (work flow) ที่มา : การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ |
บทบาทของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ |
ในบรรดาทรัพยากรพื้นฐานในการบริหารงานซึ่งประกอบด้วยคน เงิน วัสดุ สิ่งของ และวิธีการจัดการนั้น คนถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในกระบวนการบริหาร และในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 - 2544) ก็เน้นให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลเช่นกัน การบริหารงานบุคคล (Personnel Management) หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) เป็นกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งกำลังคนที่เหมาะสมที่สุดกับงาน และใช้ทรัพยากรกำลังคนนั้นให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ รวมถึงการบำรุงรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพให้มีปริมาณเพียงพอ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management : HRM) แต่ก่อนใช้คำว่า การบริหารงานบุคคล (Personnel Management : PM) ซึ่งจริงๆ แล้วสองคำนี้เหมือนกันและสามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากมีลักษณะหน้าที่งานอย่างเดียวกัน เพียงแต่ HRM จะมีความหมายครอบคลุมมากกว่าและเพื่อให้เหมาะสมกับการที่จะเข้าไปดูแลมนุษย์ก่อนที่จะเข้ามาสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่เริ่มต้น จึงใช้คำว่า HRM แทน PM นั่นเอง 2 ความแตกต่างระหว่าง Personnel Management กับ Human Resource Management กล่าวคือ การบริหารงานบุคคล (Personnel Management) เป็นกระบวนการบริหารบุคคลที่อยู่ใน องค์การ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกคนที่ดีที่สุดในตลาดแรงงานด้วยวิธีการต่างๆ เข้ามาสู่องค์การ แล้วใช้คนให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จนกระทั่งคนนั้นพ้นออกไปจากองค์การ ซึ่งเมื่อคนออกไปจากองค์การแล้วมีการให้ Compensation Bonus เงินสะสม บำเหน็จบำนาญ ก็ถือว่าเป็นอันจบสิ้นกระบวนการ ประสิทธิภาพของคนทำงานจะต้องมี - กำลังขวัญ (Moral) เช่น การทำงานอย่างมีความสุข ค่าตอบแทนที่ยุติธรรม ความ ปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น - แรงจูงใจ (Motivation) เช่น การให้ค่าตอบแทนเป็นรายชิ้น ทำมากได้มาก ทำดีมีโอกาสก้าวหน้า การเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผน การกำหนดคุณลักษณะ และคุณสมบัติของประชากร เริ่มตั้งแต่เกิดจนตาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ รัฐต้องดูแลรักษา ใช้งาน และให้ประโยชน์แก่ทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย คือ ก่อนเข้าทำงานและหลังพ้นจากงานเป็นภารกิจของรัฐนั่นเอง HRM มองการบริหารงานบุคคลในแนวลึก หมายความว่า HRM ไม่ได้เริ่มสร้างหรือเปลี่ยนนิสัยคนเมื่อเข้ามาอยู่ในองค์การ แต่จะเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องดูแลตั้งแต่ในสถาบันครอบครัวตั้งแต่เกิด โดยทำการบริหารคนตั้งแต่ตอนแรกที่เขายังไม่ได้เป็นบุคลากร เป็นเพียงแค่ทรัพยากรบุคคล กำลังคน เป็นมนุษย์ที่มีค่า ซึ่งหวังว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นพนักงานขององค์กรธุรกิจ แนวคิดในแนวกว้างของ HRM สิ่งที่เน้นมากที่สุดคือ การดำเนินหน้าที่ต่างๆ (เหมือนกับ PM) จำเป็นต้องพิจารณาภาวะแวดล้อมทั้งด้านเศรษฐกิจ (การแข่งขันในตลาดโลก) สังคม (โครงสร้างประชากร) กฎหมายที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ นอกจากนี้ HRM ยังเน้นกลยุทธ์ของการบริหารในแต่ละหน้าที่ (Function) ว่าจะต้องปรับให้สอดคล้องซึ่งกันและกันกับสภาวะแวดล้อม ตัวอย่างเช่น - เมื่อมีการปรับลดขนาดขององค์การลง (Downsizing) กลยุทธ์ของ HRM ควรมุ่งเน้น ในด้านการกำจัดคนให้ออกไปจากองค์การ (Decruitment) และการฝึกอบรมและการพัฒนา (Training and Development) เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับพนักงานที่เหลืออยู่ และสามารถทำงานแทนพนักงานที่ถูก Layoffs ได้ (เทคนิคการจัดการที่เรียกว่า Learning Organization คือ องค์การแห่งการเรียนรู้) - การฝึกอบรม (Training) และการพัฒนา (Development) เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของ HRM ในภาวะวิกฤติ ซึ่งจำเป็นต้องปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การแข่งขันต่างๆ เป็นต้น - การบริหารค่าตอบแทน (Compensation) ต้องคำนึงว่าทำอย่างไรที่จะประหยัดต้นทุนได้ โดยที่กำลังขวัญของพนักงานไม่เสีย - การประเมินผลงาน (Performance Appraisal) เน้นการประเมินผลงานตามผลงานจริงๆ แล้วจ่ายค่าจ้างตามผลงานนั้นๆ หรือการจ่ายค่าจ้างแบบ Pay for Performance มิใช่จ่ายแบบ Pay for Position ทุกๆ องค์การเอาตัวรอดด้วยการลดขนาดขององค์การ (Downsizing) โดยการ Layoffs คนจำนวนมาก ทำให้คนที่เหลืออยู่ต้องทำงานมากขึ้น และสามารถทำงานแทนคนอื่นได้ ซึ่งการลดขนาดขององค์การก่อให้เกิด - Job Enlargement เป็นการเพิ่มงานในระดับแนวนอน (Horizontal) เช่น เมื่อก่อนเคยทำงานเพียง 1, 2, 3 หน้าที่ แต่ตอนนี้เพิ่มเป็น 4, 5, 6 หน้าที่ เป็นต้น - Job Enrichment เป็นการเพิ่มงานในแนวดิ่ง (Vertical) หรือเป็นการเพิ่มงานจากข้างบนลงมาข้างล่าง หมายความว่า เมื่อมีการลดขนาดขององค์การ หัวหน้างานอาจจะหายไปประมาณ 2 - 3 ระดับ โดยเฉพาะในระดับกลางๆ พวก First Line และพวก Middle จะถูกลดหายไป งานนั้นจึงตกมาที่ตัวคนงานข้างล่าง ซึ่งเมื่อก่อนคอยทำตามคำสั่งอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้ต้องคิด ต้องวางแผนการทำงาน ปฏิบัติงานเอง และประเมินผลเอง ทำให้ภาระหน้าที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการเพิ่มงานในแนวดิ่งนั้นเป็นงานชนิดเดียวกัน แต่เพิ่มคุณค่าตรงที่ต้องวางแผนและประเมินผลเอง สาเหตุที่องค์การหันมาใช้ Human Resource Management เพราะแนวคิดที่พยายามบริหารงานบุคคลเพื่อให้คนที่อยู่ในองค์การเป็นคนที่มีคุณภาพ และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการทำงานที่มีประสิทธิภาพนั้น องค์การไม่ต้องการคนที่ทำงานเก่งอย่างเดียว แต่ต้องการคนที่มีความรับผิดชอบ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความซื่อสัตย์ มีความจงรักภักดีต่อองค์การ เป็นผู้นำที่สามารถตัดสินใจได้ และเป็นคนที่มีพฤติกรรมที่สามารถจะเข้ารวมกลุ่มกับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดีเข้ามาทำงานในองค์การ จะเห็นได้ว่า HRM เน้นอย่างมากในเรื่องของกลยุทธ์ ในขณะที่ PM ไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก ฑ กลยุทธ์ขององค์การสมัยใหม่ เช่น - TQM (Total Quality Management) เน้นเรื่องของการให้บริการได้อย่างทันท่วงที และถูกต้องตรงตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเทคนิคนี้นิยมให้ลูกค้าเป็นผู้ประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน - Empowerment เป็นการมอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจให้ลูกน้อง - Downsizing เป็นการลดขนาดขององค์การ ซึ่งทำให้เกิด Job Enrichment และ Job Enlargement - Learning Organization เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ คือ พยายามทำให้คนมีประสิทธิ-ภาพสามารถทำงานแทนกันได้ - Pay for Performance การจ่ายค่าตอบแทนต้องอยู่บนพื้นฐานของการประเมินผลงาน - Green Marketing (การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม) เป็นการจัดกิจกรรมหรือโครงการที่ใช้กลยุทธ์การตลาดซึ่งติดต่อสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคมาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 จะตั้งอยู่บนรากฐานของ 1. นโยบายการเปิดประตู (Open - door Policy) 2. การไม่เลิกจ้าง (No Layoffs) 3. การพัฒนางานอาชีพ (Career Development) 4. มีความยุติธรรม (Equality) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management ; HRM) ความหมายของ HRM 1. เป็นศิลปะ 2. เป็นกระบวนการ 3. เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับคน เ วัตถุประสงค์ของ HRM 1. เพื่อให้ได้คนดีและมีประสิทธิภาพ 2. เพื่อใช้คนอย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพื่อก่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงาน 4. เพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาบุคคลไว้ในองค์การ 5. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน หลักในการบริหาร HRM 1. ทำให้เกิดความเป็นธรรมในสภาพการจ้าง 2. มีสภาพการทำงานที่ดี 3. ให้ความสำคัญแก่พนักงาน 4. ให้พนักงานได้มีส่วนร่วม 5. ยอมรับและเชื่อมั่นในความสามารถของพนักงาน แนวคิดเกี่ยวกับหน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management Functions) มี 4 แนวคิด ดังนี้ แนวแรก HRM Function มีดังนี้ 1. กำหนดความต้องการขององค์การและหน่วยงาน โดยพิจารณาจาก - ปริมาณบุคลากรที่มีอยู่ และที่ต้องการเพิ่ม - คุณภาพของบุคลากร - ค่าตอบแทน 2. การตอบสนองความต้องการ โดยวิธีการ - การสรรหา (Recruitment) - การคัดเลือก (Selection) 3. การรักษา พัฒนา และบริการ โดยวิธีการ - การพัฒนา (Development) - การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal) - สวัสดิการและผลตอบแทนอื่นๆ (Fringe Benefit) - แรงงานสัมพันธ์ (Labour Union) แนวที่สอง HRM Function มีดังนี้ 1. Procurement (การจัดหาบุคคล) 2. Development (การพัฒนากำลังคน) 3. Motivation (การจูงใจ) 4. Maintenance (การบำรุงรักษาพนักงาน) แนวที่สาม HRM Function มีดังนี้ 1. Procurement (การจัดหาบุคคล) 2. Development (การพัฒนากำลังคน) 3. Compensation (การจ่ายค่าตอบแทน) 4. Maintenance (การบำรุงรักษาพนักงาน) 5. Labour Relation (การมีส่วนร่วมในแรงงานสัมพันธ์) แนวที่สี่ HRM Function มีดังนี้ 1. Staffing (Getting People) 2. Training and Development 3. Motivation (Simulating People) 4. Maintenance (Keeping Them) หน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีดังนี้คือ 1. กำหนดกลยุทธ์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM Strategy) 2. การวางแผนกำลังคน / การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (HR Planning) 3. การสรรหา คัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง (Recruitment + Selection and Placement) ถือว่าเป็นกระบวนการจัดหาบุคคลเข้ามา (Procurement) 4. การฝึกอบรมและการพัฒนา (Training and Development) 5. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal) 6. การบริหารค่าตอบแทน สวัสดิการและผลประโยชน์ (Compensation, Benefit and Service) 7. วินัย (Discipline) 8. สุขภาพและความปลอดภัย (Safety and Health) 9. แรงงานสัมพันธ์ (Labour Relation) 10. ระบบข้อมูล การตรวจสอบ และการวิจัยทรัพยากรมนุษย์ หน้าที่ทั้งหมดดังกล่าวของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นหน้าที่ของหัวหน้างานทุกฝ่ายใน องค์การที่ต้องรับผิดชอบ โดยยิ่งมีตำแหน่งสูงมากขึ้นเท่าใด การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ก็มีมากขึ้นเท่านั้น การบริหารทรัพยากรทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของระบบคุณธรรม (Merit System) และความ ยุติธรรม โดยตระหนักถึงสิทธิ (Right) คุณค่า (Value) และจริยธรรม (Ethic) การดำเนินการของนายจ้างที่ให้พนักงานที่ติดเชื้อ HIV ออกจากงานโดยจ่ายเงินชดเชยให้ เป็นการดำเนินการที่นายจ้างสามารถกระทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายและหลักจริยธรรมต่อพนักงาน แผนกทรัพยากรมนุษย์มักทำหน้าที่เป็น Staff ขององค์การ ซึ่งงานในการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้น Line Manager จะทำงานประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน หรือการตัดสินใจต่างๆ แต่ในทุกประเด็น Line Manager ทุกระดับต้องรับผิดชอบเหมือนกันหมด การตัดสินใจในการคัดเลือกขั้นสุดท้ายว่าจะรับหรือไม่ จะต้องให้หน่วยงานฝ่ายที่ต้องการพนักงานเป็นผู้ที่ตัดสินใจ นั่นคือ จะอยู่ในความรับผิดชอบของหัวหน้างานโดยตรง จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทำให้มีนักคิดเป็นจำนวนมากเชื่อว่าประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่นำเอาวิธีการบริหารงานบุคคลมาใช้ การบริหารงานบุคคลของจีนในสมัยนั้น ได้แก่ การที่ผู้บริหารประเทศได้จัดให้มีวิธีการสอบคัดเลือกข้าราชการเพื่อชิงตำแหน่งสำคัญในราชการ ซึ่งการสอบแข่งขันในทางความสามารถก็กลายเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไปในวงการทหารของประเทศต่างๆ และรวมถึงวิธีการบรรจุ การเลื่อนขั้นด้วย ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้น เมื่อได้รับทราบนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินงานแล้ว ก็ต้องจัดวางแผนให้ถูกต้องเหมาะสม จากนั้นก็จัดหาบุคคลและเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมพอดีกับความต้องการของลักษณะงานที่แบ่งไว้ (Put the right man on the right job) แผนกทรัพยากรมนุษย์มีหน้าที่เฉพาะ ดังนี้ 1. ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงในการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 2. ให้คำปรึกษา แนะนำ ให้แง่คิดในการบริหารทรัพยากรมนุษย์กับฝ่าย Line 3. รับผิดชอบ ควบคุม ดูแล ให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นไปโดยรูปแบบเดียวกันทั้งองค์การ 4. ส่งเสริมสัมพันธภาพอันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง, ผู้บริหารกับพนักงาน, พนักงานกับพนักงาน และระหว่างองค์การกับชุมชน 5. รับผิดชอบหน้าที่ที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั้งหมด โดยประสานกับฝ่าย Line การแบ่งส่วนงานของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ การแบ่งส่วนงานของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์โดยถือเอาหน้าที่เป็นเกณฑ์ ได้แก่ 1. แผนกจ้าง (Employment Division) มีหน้าที่สำคัญ คือ คัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะรับหรือไม่นั้น จะเอื้อให้แก่ฝ่าย Line คือ หัวหน้าโดยตรง 2. แผนกฝึกอบรม (Training Division) เริ่มโดยการปฐมนิเทศและฝึกอบรมให้สามารถปฏิบัติงานได้สำหรับพนักงานใหม่ ส่วนบุคคลที่เป็นพนักงานของบริษัทอยู่แล้ว ก็มีความจำเป็นที่ต้องรับความรู้เพิ่มเติม หรือพนักงานบริหารที่จะเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นก็ต้องผ่านหลักสูตรอบรมเช่นกัน วัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานทุกคนด้วยการเพิ่มพูนความรู้ จัดให้มีวิธีการทำงานที่ดีและช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากวิธีปฏิบัติงาน 3. แผนกค่าจ้างและเงินเดือน (Wage and Salary Division) มีหน้าที่กำหนดระบบค่าจ้างของพนักงานทั้งองค์การ จะวิเคราะห์งาน (Job Analysis) แล้วตีราคางาน (Job Evaluation) รวมถึงการประเมินตำแหน่งด้วย 4. แผนกสุขภาพและความปลอดภัย (Health and Safety Division) มีจุดประสงค์ คือ การดำรงรักษาไว้ซึ่งสมรรถภาพในการปฏิบัติงานของคนงาน 5. แผนกประโยชน์และบริการพนักงาน (Employee Benefit and Service Division) มีบทบาทในการสร้างขวัญ และทัศนคติที่ดีของคนงาน 6. แผนกแรงงานสัมพันธ์ (Labour Relation Division) งานแผนกนี้เกิดขึ้นเพราะการรวมกลุ่มของฝ่ายคนงานในรูปของสมาคมแรงงาน แผนกนี้มีหน้าที่เจรจาต่อรองกับคนงานในเรื่องข้อพิพาทต่างๆ เช่น - Boycott การต่อต้านของสมาชิกสหภาพแรงงาน โดยไม่ใช้หรือไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์การ - Lockout การปิดงาน คือ การที่นายจ้างปฏิเสธไม่ยอมให้ลูกจ้างทำงานชั่วคราว เนื่องจากข้อพิพาทแรงงาน - Picketing การเดินขบวนของสมาชิกสหภาพแรงงานนอกบริเวณโรงงาน ที่สหภาพกำลังมีข้อขัดแย้งหรือพิพาทอยู่กับนายจ้าง โดยตั้งแถวหน้าโรงงานห้ามมิให้ลูกจ้างอื่นๆ เข้าไปทำงาน แนวคิดทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 1. Douglas McGregor ได้แบ่งมนุษย์ออกเป็น 2 จำพวก ดังนี้ 1. ตามทฤษฎี X เป็นแนวสมมุติฐานที่มองตัวบุคคลในแง่ร้าย เป็นแนวความคิดที่สอดคล้องกับหลักการบริหารงานตามหลักวิทยาศาสตร์ของ Taylor ตามแนวทฤษฎีนี้มองว่ามนุษย์ขี้เกียจ, ขาดความรับผิดชอบ, ชอบเลี่ยงงาน, ชอบอู้งาน ไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานที่จะไต่เต้า ชอบทำงานตามคำสั่งอย่างเดียว และไม่ต้องการตัดสินใจหรือรับผิดชอบงานใดๆ เป็นต้น ดังนั้นการบริหารบุคคลประเภทนี้ต้องควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีกฎข้อบังคับ และระเบียบที่วางไว้เป็นกรอบ 2. ตามทฤษฎี Y เป็นการมองตัวบุคคลในแง่ดี โดยถือว่าคนจะทำงานได้ดีย่อมเกิดจากความรับผิดชอบของเขาเอง การที่ผู้ปฏิบัติงานจะให้ความร่วมมือในการทำงานเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลักษณะงาน, ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน, ความสามารถของผู้บังคับบัญชา เป็นต้น พวกในทฤษฎี Y ใช้คำเรียกว่า Carrot Approach เพราะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ ผู้บังคับบัญชาไม่จำเป็นต้องเข้าไปควบคุมมาก ส่วนพวกทฤษฎี X ใช้ศัพท์เรียกว่า Stick Approach หมายถึง การที่คนขี้เกียจไม่รับผิดชอบ ซึ่งผู้บังคับบัญชาจะต้องควบคุมอยู่ตลอดเวลา คนเราทุกคนนั้นบางครั้งก็อยู่ในทฤษฎี X บางครั้งก็อยู่ในทฤษฎี Y 2. Abraham Maslow ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ (The need hierarchy) Maslow ได้จัดลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับ จากต่ำสุดไปถึงสูงสุด คือ 1. ความต้องการทางกายภาพ หรือความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็นความต้องการขั้นต่ำสุดของมวลมนุษย์ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ 2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ซึ่งแสดงออกมาในรูปของความปรารถนาที่จะได้รับความคุ้มครองให้รอดพ้นจากอันตราย ปรารถนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เป็นต้น 3. ความต้องการความผูกพันในสังคม (Social Needs) คือ การที่บุคคลแต่ละคนต้องการที่จะได้ร่วมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม ต้องการมีความสัมพันธ์หรือคบหาสมาคมกับบุคคลอื่นๆ ต้องการให้เป็นที่ยอมรับจากเพื่อนฝูง ต้องการมิตรภาพและความรัก 4. ความต้องการที่จะได้รับการยกย่อง (Esteem Needs) เป็นความต้องการที่จะให้ผู้อื่นนิยมนับถือตน ความต้องการที่จะได้รับการยกย่องนั้นรวมถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง ความสำเร็จ ความสามารถ ความรู้ การนับถือตนเอง ความต้องการที่จะได้เป็นที่รู้จักแก่คนโดยทั่วไป 5. ความต้องการที่จะประสบผลตามความปรารถนา (Self - Actualization) เป็นความต้องการของมนุษย์ที่อยู่ในลำดับสูงที่สุด ความต้องการเหล่านี้คือ ความต้องการของบุคคลแต่ละคนที่จะให้ความรู้ความสามารถของตนเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งหลาย 3. William Ouchi นำเสนอทฤษฎี Z (Theory Z) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เน้นทักษะที่จำเป็นระหว่างบุคคล และปฏิกิริยาระหว่างกลุ่ม โดยจะเน้นในด้านการตัดสินใจและความรับผิดชอบของกลุ่ม นอกจากนี้ยังเน้นลักษณะเฉพาะบุคคล (Specialization) ด้วย 4. Theory A ทฤษฎี A คือ ตัวแทนทัศนะการจัดการของสหรัฐอเมริกา ซึ่งองค์การจะเน้นการจ้างงานระยะสั้นเน้นความรับผิดชอบและการตัดสินใจเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยไม่มีส่วนร่วมจากพนักงาน การประเมินผลงานและการเลื่อนตำแหน่งเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีการควบคุมอย่างเป็นทางการ (Formalized) และเส้นทางอาชีพ จะเป็นแบบเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialization) |
จะบริหารคนหรือทุนมนุษย์ |
โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ [17-3-2004] |
ปัจจุบันแนวคิดหรือกระแสตื่นตัวในด้าน Human Resource มีค่อนข้างสูง หากจะพิจารณาย้อนถึงความที่เป็นเหตุของการตื่นตัว |
> สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักๆ ทำให้การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจาก ธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ เช่น การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) การคิดเชิงกลยุทธ์ (StrategicThinking) การนำเครื่องมือใหม่ๆ ทางวัดผลกลยุทธเข้ามาใช้ อาทิ The Balanced Scorecard Version 3.0 Step-by-Step หรือการวัดผลสำเร็จและความสามารถโดยรวม (TPCS : Total Performance and Competency Scorecard)
ปัจจัยในภาพรวมนี้ ทำให้การบริหารคนหรือที่เรียกว่า การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
> ปัจจัยที่มาจากที่ปรึกษาธุรกิจหรือผู้นำด้าน HR ได้นำเสนอโมเดล HR แนวใหม่ เช่นกรณีของผู้เขียนได้นำเสนอโมเดลการบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Human Capital Management) หรือสิ่งที่ใหม่มาก ในทฤษฎีทุน-ทางปัญญาและทุนมนุษย์ โดยผู้เขียนได้ประมวลไว้ในเรื่องการพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ (Developing Human Capital Value)
ทำให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยแรกต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจัยหลักโดยเฉพาะในการบริหาร HR
ปัจจัยด้าน “วิธีวิทยาการบริหารคน” หรือพูดง่ายๆ คือ วิทยาการ (Methodology) ด้านบริหาร HRมีการปรับเปลี่ยนในตัวของ HR เองโดยอิทธิพลจากที่ปรึกษาธุรกิจและผู้นำด้าน HR (HR Leader)
การขับเคลื่อนดังกล่าวจะเกิดมาจากส่วนหลักๆ คือ
(1) การพลิกโฉมการบริหาร HR ไปสู่การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีวิทยาการและองค์ความรู้ของการบริหารทุนมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงจะทำได้
(2) การปรับหรือออกแบบงาน HR ใหม่ซึ่งเรียกว่า “HR Platform” (แพลตฟอร์มด้าน HR)ที่อยู่บนพื้นฐานของการจัดการความสามารถ (CBM : Competency Based Management) ดังนั้นเรื่องความสามารถของคน (Human Competence) ที่ใส่เข้าไปที่แพลตฟอร์มด้าน HR ผลที่เกิดขึ้นจะได้ทุนมนุษย์ (Human Capital) ดังนั้นสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือ การวัดผลสำเร็จด้านทุนมนุษย์ (Human Capital Scorecard : HC Scorecard)
> การปรับเปลี่ยนโดยผู้บริหารฝ่าย HR จากองค์กรธุรกิจชั้นนำ ซึ่งในทางปฏิบัติเกิดได้ไม่ นานนัก แต่ที่มีเห็นเป็นข่าวคราวก็โดยการว่าจ้างที่ปรึกษาให้เข้าไปปรับเปลี่ยน ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวพอๆ กัน
หากจะพูดถึงองค์กรระดับกลางและธุรกิจ SMEs ผู้บริหาร HR ก็ยังคงเป็นรูปแบบการบริหาร HRที่เน้นตามหน้าที่ซึ่งเราท่านรู้จักกันโดยทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
ใครๆ ก็ต้องพูดเรื่องการบริหารคนในชีวิตประจำวันถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันรายสัปดาห์ หรือนิตยสารรายเดือน จะมีคอลัมน์ที่พูดถึงเรื่องการบริหารคนบ้างไม่มากก็น้อย แต่เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจเพราะถ้าอ่านเอาจริงเอาจังอาจจะได้แค่เพียงกรอบแนวคิด หรือกระแสการบริหาร HR จากซีกตำราในสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
ถ้าเป็นผู้นำด้าน HR หรือที่ปรึกษาธุรกิจในองค์ความรู้ใหม่จะไม่พูดถึง การบริหาร HR แบบเดิม แต่ถ้าพูดถึงก็จะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์การบริหาร HR
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เขียนสอนวิชาการบริหาร HR ในสำนัก MBA ด้วยแล้ว จะสอนในสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ของการบริหารคนที่เรียกว่า การบริหารทุนมนุษย์
องค์กรที่ปรับกลยุทธธุรกิจและการตลาดใหม่เมื่อธุรกิจแข่งขันในกระแสโลกาภิวัตน์ เราจะพบว่า
1.ภูมิภาคในเอเชีย-แปซิฟิกมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการจัดองค์กรธุรกิจใหม่ เช่น ความสำคัญ ของเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นธุร
กิจระดับ World Class อาจจะแบ่งภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิคใหม่โดยเอาประเทศในจีน ไต้หวันฮ่องกง เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถือเป็นเอเชียเหนือเพื่อกำหนดพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการแข่งขันใหม่
ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะรวมออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เข้ามา และมีกลุ่มเอเชียใต้อีกกลุ่ม เช่น อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ
แสดงให้เห็นว่า ความสำคัญในระดับการแข่งขันของโซนเอเชีย-แปซิฟิกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
2.เมื่อกำหนดพื้นที่กลยุทธ์ (Strategic Areas) ใหม่แล้ว การจัดวางแนวคิดธุรกิจ (B-Concept) กับขอบเขตความเป็นเลิศ (Areas of Excellence) หรือที่เรียกใหม่ว่า “Core Competencies” หรือที่ใหม่กว่าคือ สมรรถภาพขององค์กร (Organizational Capability) ที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อนการแบ่งพื้นที่กลยุทธ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญและจะทำได้ดีก็ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) แล้วจึงนำไปสู่การสร้างแผนที่กลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง
3.เมื่อธุรกิจเหลียวมามองด้าน “กำลังรบ” (People ware) และระบบส่งกำลังบำรุงด้านคน (HR Systems) จะพบว่าไม่สามารถสนองตอบกับการจัดกลยุทธใหม่ของธุรกิจ
ดังนั้นความจำเป็นที่จะสลัดโฉมฝ่าย HR หรือการบริหาร HR แบบเดิมที่พูดถึง การวางแผนกำลังคน การสรรหาและคัดเลือก การออกแบบและจัดระบบงาน การบริหารค่าจ้าง-สวัสดิการ การประเมินผลการปฏิบัติงานและการฝึกอบรมและพัฒนา เป็นต้น
(ต้อง) นำไปสู่ “การบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์” (Strategic Human Capital Manage+ ment) เช่น การเชื่อมโยงกลยุทธ์ด้านคนหรือทุนมนุษย์กับกลยุทธ์ธุรกิจ ระบบการจัดการคนเก่ง (TMS : Talent Management System) การพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ การจัดการผลลัพธ์เชิงกลยุทธที่เป็นระบบ “Total Performance and Competency Scorecard” การบริหาร ERs (พนักงานสัมพันธ์แบบใหม่) เป็นต้น
การบริหารคนหรือทุนมนุษย์ในชื่ออาจไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแนวคิด วิธีการ โมเดลหรือการนำไปสู่การปฏิบัติแตกต่างจากการ บริหาร HR แบบเดิมโดยสิ้นเชิงจะบริหารคนหรือทุนมนุษย์ |
โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ [17-3-2004] |
ปัจจุบันแนวคิดหรือกระแสตื่นตัวในด้าน Human Resource มีค่อนข้างสูง หากจะพิจารณาย้อนถึงความที่เป็นเหตุของการตื่นตัว |
> สิ่งที่เป็นปัจจัยหลักๆ ทำให้การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจาก ธุรกิจมีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ เช่น การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) การคิดเชิงกลยุทธ์ (StrategicThinking) การนำเครื่องมือใหม่ๆ ทางวัดผลกลยุทธเข้ามาใช้ อาทิ The Balanced Scorecard Version 3.0 Step-by-Step หรือการวัดผลสำเร็จและความสามารถโดยรวม (TPCS : Total Performance and Competency Scorecard)
ปัจจัยในภาพรวมนี้ ทำให้การบริหารคนหรือที่เรียกว่า การบริหาร HR ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
> ปัจจัยที่มาจากที่ปรึกษาธุรกิจหรือผู้นำด้าน HR ได้นำเสนอโมเดล HR แนวใหม่ เช่นกรณีของผู้เขียนได้นำเสนอโมเดลการบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์ (Strategic Human Capital Management) หรือสิ่งที่ใหม่มาก ในทฤษฎีทุน-ทางปัญญาและทุนมนุษย์ โดยผู้เขียนได้ประมวลไว้ในเรื่องการพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ (Developing Human Capital Value)
ทำให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยแรกต้องปรับตามสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจัยหลักโดยเฉพาะในการบริหาร HR
ปัจจัยด้าน “วิธีวิทยาการบริหารคน” หรือพูดง่ายๆ คือ วิทยาการ (Methodology) ด้านบริหาร HRมีการปรับเปลี่ยนในตัวของ HR เองโดยอิทธิพลจากที่ปรึกษาธุรกิจและผู้นำด้าน HR (HR Leader)
การขับเคลื่อนดังกล่าวจะเกิดมาจากส่วนหลักๆ คือ
(1) การพลิกโฉมการบริหาร HR ไปสู่การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีวิทยาการและองค์ความรู้ของการบริหารทุนมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงจะทำได้
(2) การปรับหรือออกแบบงาน HR ใหม่ซึ่งเรียกว่า “HR Platform” (แพลตฟอร์มด้าน HR)ที่อยู่บนพื้นฐานของการจัดการความสามารถ (CBM : Competency Based Management) ดังนั้นเรื่องความสามารถของคน (Human Competence) ที่ใส่เข้าไปที่แพลตฟอร์มด้าน HR ผลที่เกิดขึ้นจะได้ทุนมนุษย์ (Human Capital) ดังนั้นสิ่งสำคัญมากๆ ก็คือ การวัดผลสำเร็จด้านทุนมนุษย์ (Human Capital Scorecard : HC Scorecard)
> การปรับเปลี่ยนโดยผู้บริหารฝ่าย HR จากองค์กรธุรกิจชั้นนำ ซึ่งในทางปฏิบัติเกิดได้ไม่ นานนัก แต่ที่มีเห็นเป็นข่าวคราวก็โดยการว่าจ้างที่ปรึกษาให้เข้าไปปรับเปลี่ยน ซึ่งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวพอๆ กัน
หากจะพูดถึงองค์กรระดับกลางและธุรกิจ SMEs ผู้บริหาร HR ก็ยังคงเป็นรูปแบบการบริหาร HRที่เน้นตามหน้าที่ซึ่งเราท่านรู้จักกันโดยทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
ใครๆ ก็ต้องพูดเรื่องการบริหารคนในชีวิตประจำวันถ้ามีโอกาสได้อ่านหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันรายสัปดาห์ หรือนิตยสารรายเดือน จะมีคอลัมน์ที่พูดถึงเรื่องการบริหารคนบ้างไม่มากก็น้อย แต่เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจเพราะถ้าอ่านเอาจริงเอาจังอาจจะได้แค่เพียงกรอบแนวคิด หรือกระแสการบริหาร HR จากซีกตำราในสถาบันการศึกษาที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
ถ้าเป็นผู้นำด้าน HR หรือที่ปรึกษาธุรกิจในองค์ความรู้ใหม่จะไม่พูดถึง การบริหาร HR แบบเดิม แต่ถ้าพูดถึงก็จะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์การบริหาร HR
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เขียนสอนวิชาการบริหาร HR ในสำนัก MBA ด้วยแล้ว จะสอนในสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ของการบริหารคนที่เรียกว่า การบริหารทุนมนุษย์
องค์กรที่ปรับกลยุทธธุรกิจและการตลาดใหม่เมื่อธุรกิจแข่งขันในกระแสโลกาภิวัตน์ เราจะพบว่า
1.ภูมิภาคในเอเชีย-แปซิฟิกมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการจัดองค์กรธุรกิจใหม่ เช่น ความสำคัญ ของเอเชียเหนือ โดยเฉพาะจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นธุร
กิจระดับ World Class อาจจะแบ่งภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิคใหม่โดยเอาประเทศในจีน ไต้หวันฮ่องกง เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ถือเป็นเอเชียเหนือเพื่อกำหนดพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการแข่งขันใหม่
ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็อาจจะรวมออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เข้ามา และมีกลุ่มเอเชียใต้อีกกลุ่ม เช่น อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ
แสดงให้เห็นว่า ความสำคัญในระดับการแข่งขันของโซนเอเชีย-แปซิฟิกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
2.เมื่อกำหนดพื้นที่กลยุทธ์ (Strategic Areas) ใหม่แล้ว การจัดวางแนวคิดธุรกิจ (B-Concept) กับขอบเขตความเป็นเลิศ (Areas of Excellence) หรือที่เรียกใหม่ว่า “Core Competencies” หรือที่ใหม่กว่าคือ สมรรถภาพขององค์กร (Organizational Capability) ที่ได้มีการกำหนดไว้ก่อนการแบ่งพื้นที่กลยุทธ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญและจะทำได้ดีก็ต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า การวิเคราะห์ทัศนภาพ (Scenario Analysis) แล้วจึงนำไปสู่การสร้างแผนที่กลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง
3.เมื่อธุรกิจเหลียวมามองด้าน “กำลังรบ” (People ware) และระบบส่งกำลังบำรุงด้านคน (HR Systems) จะพบว่าไม่สามารถสนองตอบกับการจัดกลยุทธใหม่ของธุรกิจ
ดังนั้นความจำเป็นที่จะสลัดโฉมฝ่าย HR หรือการบริหาร HR แบบเดิมที่พูดถึง การวางแผนกำลังคน การสรรหาและคัดเลือก การออกแบบและจัดระบบงาน การบริหารค่าจ้าง-สวัสดิการ การประเมินผลการปฏิบัติงานและการฝึกอบรมและพัฒนา เป็นต้น
(ต้อง) นำไปสู่ “การบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์” (Strategic Human Capital Manage+ ment) เช่น การเชื่อมโยงกลยุทธ์ด้านคนหรือทุนมนุษย์กับกลยุทธ์ธุรกิจ ระบบการจัดการคนเก่ง (TMS : Talent Management System) การพัฒนามูลค่าทุนมนุษย์ การจัดการผลลัพธ์เชิงกลยุทธที่เป็นระบบ “Total Performance and Competency Scorecard” การบริหาร ERs (พนักงานสัมพันธ์แบบใหม่) เป็นต้น
การบริหารคนหรือทุนมนุษย์ในชื่ออาจไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแนวคิด วิธีการ โมเดลหรือการนำไปสู่การปฏิบัติแตกต่างจากการ บริหาร HR แบบเดิมโดยสิ้นเชิงความเก่งของคนในองค์กรความรู้ |
โดย อ.ดนัย เทียนพุฒ [18-10-2004] |
ธุรกิจที่โลดแล่นอยู่ในปัจจุบันมีหลายๆ ปัจจัยที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจส่วนใหญ่เชื่อกันว่าทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จคือ "ทุนมนุษย์" (Human Capital) |
ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2547 ผู้เขียนเห็นเหล่า CEO หลายๆ องค์กรออกมาพูด เกี่ยวกับเรื่อง "การบริหารทุนมนุษย์" ซึ่งนับว่าพอดีกับสิ่งที่ผู้เขียนได้เขียน-บรรยาย-พูด ไว้นานแล้วว่า
"ธุรกิจในศตวรรษที่ 21 (21C) จะต้องทำให้
…….CEO/MD/President ได้เรียนรู้และก้าวเข้ามาสนใจอย่างจริงจังที่จะบริหารทุนมนุษย์ โดยเฉพาะเป็น "การบริหารทุนมนุษย์เชิงกลยุทธ์" (SHCM: Strategic Human Capital Management)
…….ฝ่ายบริหาร HR จะต้องทำในเชิงของ "ผู้คุมเกมกลยุทธ์" (Strategic Player) ไม่ใช่ทำงานหรือบริหารในรูปแบบเดิมอย่างเช่น การเป็นหน่วยงานสนับสนุน หรือที่บางธุรกิจเพิ่งทำกันในรูปแบบพันธมิตรธุรกิจ
…….การบริหารทุนมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ควรจะมีความชัดเจนในเรื่องการจัดทำแผนแม่บทในการบริหารทุนมนุษย์ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม (Platform) ของ "ระบบงาน HR ที่เน้นความสามารถ"
ตัวอย่างข้างต้น ไม่ใช่สิ่งที่ CEO/MD/President ไปพูดเพียงลอยๆ ตามที่มีผู้จัดเตรียมให้ แต่ต้องลงมือจัดทำจริงๆ และลงมาเล่นจริงๆ ด้วย…….."
อะไรคือ ความเก่งที่ธุรกิจอยากได้พอธุรกิจเริ่มพูดถึงความเก่ง ผู้เขียนเชื่อว่ามีความเข้าใจแตกต่างกันหรือสับสนกันพอสมควร ทั้งนี้อาจจะเป็นด้วยสาเหตุต่อไปนี้
1. นักคิด หรือผู้เชี่ยวชาญทางการจัดการทางธุรกิจของไทยเรามีไม่มาก หรืออาจจะมีอยู่แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีความลึกซึ้งในสิ่งเหล่านี้หรือไม่
คำว่าความลึกซึ้ง ในทัศนะของผู้เขียนจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของสิ่งต่อไปนี้
(1) มีการศึกษาวิจัยหรือค้นคว้ามาอย่างต่อเนื่องในสิ่งที่เรียกว่า "ความเก่ง" ไม่ใช่เป็นเพียงการพูดหรือเขียนตามความเข้าใจของตนเอง หรือพูดง่ายๆ ว่าให้ทันกับแฟชั่น
ตัวอย่าง ต้องอธิบายความเหมือนหรือความแตกต่างระหว่างแนวคิดทางธุรกิจในเรื่องต่อไปนี้ อาทิ สมรรถภาพ (Capability) ความสามารถ (Competency) ความเก่ง (Talent)
(2) ต้องเข้าใจถึง "วิธีการแสวงหาความรู้" หรือที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า "Mode of Inquiry" คืออธิบายง่ายๆ ว่าธุรกิจหรือผู้รู้จะใช้วิธีการหรือเครื่องมืออะไรในการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับแนวคิดทางธุรกิจ
ตัวอย่าง มีการทำวิจัย (ไม่ใช่การทำสำรวจหรือสอบถามความเห็น แม้ว่าจะมีประโยชน์บ้างแต่ไม่ได้สร้างความรู้ใหม่) ในด้านแนวคิดทางธุรกิจหรือเนื้อหาทางธุรกิจเพื่อจะตอบให้ได้ว่า แนวคิดทางธุรกิจดังกล่าวมีจุดเด่นหรือหลักการใดที่เป็นแก่นแท้ของความรู้
อาทิ การลงมือทำในเชิงการวิจัยเพื่อนำแนวคิดทางธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องความเก่งไปทดลองใช้หรือได้ค้นพบข้อสรุปในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร
หรือการมีบทเรียนที่เป็นเลิศ (Best Practices) ในเรื่อง ความเก่ง เช่น มีบทเรียนขององค์กรที่ได้พัฒนาเรื่องของโมเดลความสามารถ
2. ต้องเข้าใจว่า ผู้บริหารธุรกิจหรือผู้นำองค์กรของธุรกิจในประเทศไทยมีความทันสมัยคือ ต้องการก้าวทันการเปลี่ยนแปลงหรือมีความต้องการให้ธุรกิจได้นำแนวคิดทางธุรกิจใหม่เข้ามาสู่องค์กรที่ผู้บริหารธุรกิจเหล่านั้นบริหารอยู่
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงหรือเป็นความกังวลในเชิงการประยุกต์ใช้ทฤษฑีใหม่ทางการจัดการธุรกิจคือ
(1) มีโอกาสน้อยที่จะได้พิจารณาอย่างรอบคอบหรือพิจารณาในมุมกว้างทั้งข้อดีข้อเสียของแนวคิดทางธุรกิจใหม่ๆ
ตัวอย่าง การจัดการเรื่องความสามารถ (CBM: Competency Based Management) มีการเผยแพร่เข้ามาในธุรกิจเมืองไทยอยู่ระหว่างรอยต่อของปี 2536 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
โดยที่ธุรกิจควรทำความเข้าใจในประเด็นของความสามารถในสิ่งต่อไปนี้ เช่น
- แนวคิดทางจิตวิทยา มองเรื่องความสามารถในคำว่า "Ability" หรือเป็นเรื่องของสติปัญญาของคน ดังนั้นการกำหนดนิยามหรือความหมาย การจัดทำรูปแบบหรือโมเดล การพัฒนาและการวัดความสามารถจะเป็นไปในด้านของ "การวัดทางจิตมิติ" (Psychomertic) เช่น วัดระดับสติปัญญา วัดด้านพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพหรือในปัจจุบันวัดด้านเชาวน์อารมณ์ (EQ)
- แนวคิดทางการวัดและประเมินบุคคล จะมองความสามารถในด้าน "ศักยภาพ" (Potential) ซึ่งเป็นสิ่งที่กว้างหรือก้าวข้ามทางด้านจิตวิทยามาสู่ธุรกิจมากขึ้น
โดยที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ในการดำเนินการช่วงที่ปี 2532 เพื่อตอบโจทย์ของผู้จัดการใหญ่ที่ ธกส.ในขณะนั้นว่า ผู้บริหารธนาคารหรือผู้จัดการสาขา จะต้องมีศักยภาพ หรือความสามารถอะไรจึงจะทำให้ธนาคารมีประสิทธิภาพ หรือมีผู้นำของธนาคารที่เหมาะสมในอนาคต แล้วจึงสร้างเครื่องมือเข้าไปวัดศักยภาพดังกล่าว
ความตื่นเต้นในขณะนั้นคือ ได้ใช้ทฤษฎีทางการวัดและประเมินที่ร่ำเรียนมาแล้วสร้างทฤษฎีทางการวัดศักยภาพของผู้บริหารว่าจะวัดในองค์ประกอบของศักยภาพใดและใช้เครื่องมืออะไรบ้าง
- แนวคิดทางธุรกิจเต็มร้อย จะมองที่ "ความสามารถ" ในมิติของ "Competence" หรือปัจจุบันกำลังสนใจในอีกมิติที่กว้างขึ้นคือ "สมรรถภาพขององค์กร" (OC: Organizational Capabilities)
ซึ่งในบทเรียนทางธุรกิจมีวิธีการค้นหา สร้างโมเดลและการวัดหรือประเมินความสามารถค่อนข้างหลากหลายและในแต่ละแนวคิดจะปรับหรือประยุกต์ใช้แตกต่างกันพอสมควร
ความแตกต่างระหว่าง HRD กับ HRM
HRD = Human Resources Development
ลักษณะงานจะเน้นไปในด้านการพัฒนาบุคคลากรขององค์กร เช่น การฝึกอบรมทั้งภายในและภายนอกองค์กร
HRM = Human Resources Management
ลักษณะงานจะเน้นไปในด้านการบริหารจัดการงานในด้านต่างๆ ของฝ่าย HR เช่น การสรรหาว่าจ้าง การบริหารค่าตอบแทนและสวัสดิการ แรงงานสัมพันธ์ ฯลฯ
ระบบบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย:
อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์
( [email protected] )
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านมาจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์งาน หรือที่เรียกว่า “ Job Analysis ” ที่เป็นกระบวนการระบุถึงงานที่จะต้องทำ ซึ่ง Walker , J ได้ระบุถึงเป้าหมายของ Job Analysis ดังต่อไปนี้
• ทำให้พนักงานรับรู้ว่าตนเองจะต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง
• ทำให้คนอื่นรับรู้ว่าตำแหน่งงานหนึ่ง ๆ จะต้องรับผิดชอบงานอะไร
• ทำให้หัวหน้างานโดยตรงตรวจสอบว่าพนักงานควรทำงานอะไรในตำแหน่งงานนั้น ๆ
• ทำให้หัวหน้างานรู้ว่าพนักงานควรจะต้องทำอะไรเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานที่จะได้รับมอบหมายต่อไปในอนาคต กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำ Job Analysis นั่นก็คือ 1 ) Job Description ที่เรียกว่า ใบกำหนดหน้าที่งาน หรือ คำบรรยายลักษณะงาน หรือใบพรรณนาหน้าที่งาน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งงานนั้น ๆ จะต้องทำงานอะไรบ้าง และ 2) Job Specification ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติเบื้องต้นที่ตำแหน่งงานต้องการ
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการกำหนด Job Description ในอดีต นั่นก็คือ การกำหนดเพียงแค่หน้าที่ความรับผิชอบในงานของตำแหน่งงาน โดยมิได้มีการระบุถึงผลลัพธ์ที่ต้องการ ( Output, Result) ขอให้พิจารณาตัวอย่างการกำหนด Job Description ในอดีตที่กำหนดขึ้นที่ยังไม่ได้ระบุผลลัพธ์ของงาน ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 : Job Description
ตำแหน่งงาน Job Title
นักวิเคราะห์งานJob Analyst
วัตถุประสงค์ของงาน Purpose of Job
ศึกษาขอบเขตหน้าที่งานและจัดทำใบกำหนดหน้าที่งานและข้อมูลอื่นๆ ตาม ความต้องการของหน่วยงาน
จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชา Number of People Supervised
-
หน้าที่และความรับผิดชอบ Responsibilities
• รวบรวม วิเคราะห์ และจัดเตรียมข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ หน้าที่งานของตำแหน่งงาน
• จัดประชุมกลุ่มเพื่อขอคำปรึกษาจากผู้จัดการตามสายงานในการกำหนด ระยะเวลา และขอข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการวิเคราะห์งาน
• สังเกตกระบวนการทำงาน และสัมภาษณ์พนักงาน หัวหน้างานถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบในงาน และคุณสมบัติพื้นฐานของตำแหน่งงานส่วนที่ 2 : Job Specification
การศึกษาขั้นต่ำที่จำเป็น Minimum Education Required
ปริญญาตรี สาขาบริหารงานบุคคล หรือบริหรงานทั่วไป หรือสาขาอื่นที่ เกี่ยวข้อง
ประสบการณ์ขั้นต่ำที่จำเป็น Minimum Experience Required
-
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่จำเป็น Other Essential Qualifications
ความอดทน ความมุมานะ
นอกจากผลลัพธ์ที่ควรจะต้องระบุไว้ใน Job Description แล้ว ความสามารถหรือ Competency ซึ่งเป็นปัจจัยนำเข้าหรือพฤติกรรมในระหว่างการทำงาน ( Input / Process) นั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรกำหนดไว้ใน Job Description ด้วย
ดังนั้นการที่จะรับรู้แต่เพียงว่าตำแหน่งงานหนึ่ง ๆ นั้นมีหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นอย่างไรบ้างนั้นไม่เพียงพอแล้วในปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้นั่นก็คือ อะไรคือผลผลิตที่คาดหวังของแต่ละตำแหน่งงาน ทั้งนี้ผลผลิตหรือผลลัพธ์จะเกิดขึ้นได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ถึงความสามารถหรือพฤติกรรมที่ตำแหน่งงานนั้น ๆ พึงจะมีด้วย
Competency หรือความสามารถในการทำงานของแต่ละตำแหน่งงานจึงเข้ามามีบทบาทและได้รับการกล่าวขานถึงเป็นอย่างมาก รูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ความสามารถกันมากขึ้น ทั้งนี้ขอให้พิจารณาจากตารางการเปรียบเทียบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอดีตกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งเน้นไปที่ Competency ดังต่อไปนี้
Traditional HR Management
Competency – Based HR Management
หลักการ( Foundation)
เน้นการวิเคราะห์งานเพื่อกำหนดใบกำหนดหน้าที่งาน งานอะไรบ้างที่จะต้องทำในตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยมิได้พูดถึงเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของงานที่ต้องการ ซึ่งการวิเคราะห์งาน นั้นจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสรรหาคัดเลือก การพัฒนาพนักงาน การประเมินผลงาน และการให้รางวัลแก่พนักงาน
เน้นไปที่พฤติกรรมหรือความสามารถของตำแหน่งงาน โดยการประเมินความสามารถของพนักงานเปรียบเทียบกับความสามารถที่ตำแหน่งงานต้องการ การบริหารทรัพยากรมนุษย์จะเน้นไปที่การคัดสรรคนที่มีความสามารถที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะความ สามารถนี้เองจะนำไปสู่ผลผลิตหรือผลลัพธ์ที่หัวหน้างานต้องการ
เหตุผลหลัก ( Chief Reasons)
เน้นไปที่ขอบเขตงานหรือปริมาณงาน ( Quantity) ที่พนักงานต้องทำ องค์การจะมองหาคนที่จะทำงานได้ตามหน้าที่งานที่ได้ระบุไว้ในใบกำหนดหน้าที่งาน
เน้นผลผลิต ( Productivity) ทำอย่างไรให้พนักงานทำงานได้ผลงานที่ดีเลิศ การแข่งขันบนพื้นฐานของการมีคนที่มีความสามารถเป็นเลิศ หรือพวกดาวเด่น ( Talent)
ความท้าทาย (Challenge)
• การเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างองค์การ โครงสร้างหน่วยงาน มีผลทำให้ขอบเขตงานที่ระบุไว้ต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
• การบริหารงานบุคคลในอดีตมิได้พูดถึงการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำให้กับพนักงานที่มีผลงานดีเลิศ หรือพวกดาวเด่น ( Talent)
• ความเข้าใจแนวคิด หลักการของ Competency ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร
• การกำหนดความสามารถของกลุ่มพนักงานที่มีผลงานดีนั้นต้องใช้เวลาและงบประมาณค่าใช้จ่ายพอสมควร
• ผู้ชำนาญการหรือเชี่ยวชาญในแนวคิดของ Competency ยังมีไม่มากนัก
บทบาทของงาน HR (Role of HR Function)
งาน HR จะถูกมองว่าเป็นกฎระเบียบข้อบังคับ กฎหมาย นโยบายและกระบวนการที่ต้องถือปฏิบัติ
งาน HR จะถูกมองว่าเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตของพนักงาน โดยเน้นให้พนักงานมีพฤติกรรมการทำงานให้ตรงกับความสามารถที่กำหนด
การวางแผนงานด้าน HR ( HR Planning Subsystem)
• เน้นจำนวนพนักงาน ( Head Count) และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
• คาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานของแต่ละหน่วยงานที่จะมีในอนาคตควรจะไม่ต่างจากอดีตมากนัก
• เน้นการเพิ่มมูลค่างานให้กับองค์การและการพัฒนาคนให้มีผลงานดีเลิศ
• ควรมีการทบทวนจำนวนพนักงานที่ควรจะมีในอนาคต ไม่จำเป็นว่าจำนวนพนักงานในอนาคตต้องเท่ากับปีที่ผ่านมา
การสรรหาคัดเลือกพนักงาน ( Employee Recruitment and Selection)
• สรรหาคนจากแหล่งสรรหาทั้งภายในและภายนอก
• หาผู้สมัครจากการพิจารณาถึงคุณสมบัติที่จำเป็นของแต่ละตำแหน่งงาน
• ตั้งสมมติฐานว่าการศึกษา ประสบการณ์ และคุณสมบัติขั้นต่ำที่จำเป็นจะเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเท่าเทียมกับความ สามารถในการปฏิบัติของแต่ละตำแหน่งงาน
• สรรหาคนจากแหล่งสรรหาเดิมที่ได้ผลมาแล้ว
• หาผู้สมัครจากการพิจารณาถึงความสามารถของผู้สมัครกับความสามารถที่กำหนดขึ้นของแต่ละตำแหน่งงาน
• พยายามกำหนดพฤติกรรมของคนที่มีผลงานดีเลิศ เพื่อเป็นแม่แบบในการสรรหาคนตามพฤติกรรมของคนกลุ่มนี้
การฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน (Employee Training and Development Subsystem)
• เน้นให้พนักงานมีความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ดีในการทำงาน
• กระบวนการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานยังไม่เป็นระบบ และชัดเจนเท่าที่ควร
• เน้นให้พนักงานมีความสามารถในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีผลงานที่ดีเลิศ
• มีระบบการประเมินความสามารถของพนักงาน การติดตามผลการทำงานของพนักงานเป็นระยะ
ระบบการบริหารประสิทธิภาพการดำเนินงาน ( Performance Management Subsystem)
• เน้นการรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้มีน้อยที่สุด
• วัดผลจากงานที่ต้องปฏิบัติ โดยมีการให้ข้อมูลป้อนกลับแก่พนักงาน พยายามรักษาและจูงใจพนักงานที่สามารถปฏิบัติงานตามขอบเขตหน้าที่งานที่กำหนดขึ้น
• เน้นการพัฒนาความสามารถของพนักงานในอนาคต
• วัดผลงานจากความสามารถ และผลงานที่เกิดขึ้น โดยการให้ข้อมูลป้อนกลับถึงความสามารถที่ควรพัฒนาเพื่อนำไป สู่ผลงานที่ดีขึ้นต่อไป
สรุปว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันจะเน้นไปที่ Competency ซึ่งถือเสมือนเป็นปัจจัยนำ (Lead Indicators) ที่ทำให้พนักงานมีผลผลิตหรือผลงานที่สามารถประเมินหรือวัดผลออกมาเป็นตัวเลขได้ ( Lag Indicators) อีกทั้งการกำหนด Competency จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในด้านอื่น ๆ สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ของ Competency นั้นจะขอกล่าวถึงในตอนถัดไป
ระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ
คือว่า บทความนี้ผมเองเขียนไว้เมื่อตอนเรียนวิชา HO 311 เห็นว่ามีประโยชน์ดีก็เลยเอามาให้อ่านกันดู นะครับ
ในปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจของกลุ่มต่างๆ มีมากยิ่งขึ้น “คน” ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้องค์กรสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ แต่คนเก่ง ดี มีความสามารถ มักจะหามาได้ยาก ( Rarity ) กล่าวคือ แม้ว่าในตลาดแรงงานมีผู้จบการศึกษาแต่ละปีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ มักจะหามาได้ยาก
องค์กรต่างๆ จึงต้องแข่งขันกันที่จะนำคนเก่งและมีศักยภาพระดับที่เรียกว่า “ดาวเด่น หรือ Top Talent” เหล่านั้น มาทำงานในองค์กรของตน ซึ่งมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่พนักงานมีหน้าที่เขียน Resume อันสวยหรูเพื่อประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ได้รับความสนใจจากนายจ้าง แต่ทุกวันนี้การแข่งขันการดึงดูดคนเก่งมีสูง องค์กรจึงต้องหันมาให้ความสนใจกับการสร้าง “ยี่ห้อ” หรือ “Brand” ให้กับองค์กรเอง เพื่อให้คนเก่ง มีศักยภาพมาทำงานในองค์กรของตน โดยวิธีดังกล่าวนี้ เรียกว่า การสร้าง “Employer Branding”
โดยความหมายของ “Employer Branding” นั้น ได้ทำการรวบรวมความหมายที่น่าสนใจจากแหล่งต่างๆ ดังนี้
ความหมายแรกมาจากบทความ “Employment Branding อาวุธใหม่พิชิตใจผู้สมัครงาน” ของเว็บไซต์ www.jobjob.co.th ได้ให้ความหมายของ “Employer Branding” ไว้ว่า เป็นการทำให้ “ชื่อ” หรือ “แบรนด์” ขององค์กรเป็นที่รู้จัก และประทับใจของสาธารณชน โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากรที่องค์กรคาดหวังจะให้เป็น พนักงานขององค์กรในอนาคต
จากความหมายต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น จึงพอที่จะให้ความหมายของ “Employer Branding” ว่า เป็นการสร้าง “ชื่อ” หรือ “ยี่ห้อ” ให้กับองค์กร โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง การมีทัศนคติที่ถูกต้อง ผู้บริหารมีภาวะผู้นำที่ดี ซึ่งมีการโฆษณาองค์กรของตนเองควบคู่กับแบรนด์ของสินค้าและบริการ เพื่อให้เกิดการมัดใจลูกน้อง ครองใจลูกค้านั่นเอง
โดย...ณรงค์วิทย์ แสนทอง
[email protected]
คนที่ทำงานด้าน HR แต่ละคนไม่ได้เก่งในทุกด้านของงาน HR บางคนเก่งด้านการพัฒนาฝึกอบรม บางคนเก่งด้านแรงงานสัมพันธ์ บางคนเก่งด้านการบริหารผลตอบแทน ในขณะเดียวกันองค์กรแต่ละองค์กรไม่สามารถจ้างคนเก่งด้าน HR หลายคนในเวลาเดียวกันได้ จุดนี้จึงถือว่ายังเป็นช่องว่างทางการบริหารคนของธุรกิจในบ้านเรา ปัญหาที่ติดตามมานอกจากว่าการบริหารคนของแต่ละองค์กรไม่ได้ผลเท่าที่ควรแล้ว ยังจะเกิดการแย่งตัว HR ที่เก่งๆระหว่างองค์กรต่างๆอีกด้วย เพราะในความเป็นจริงแล้ว HR ที่เก่งๆก็มีเพียงคนกลุ่มน้อยไม่กี่คน เมื่อทุกองค์กรแย่งตัวกัน ปัญหาใหม่ที่เกิดติดตามมาอีกคือ ค่าตัวของคนในวงการ HR สูงกว่าที่ควรจะเป็น และยังมีปัญหาอื่นๆติดตามมาอีกมากมาย แต่ผมจะไม่ขอพูดรายละเอียดมากนักในวันนี้ เพราะเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว
สำหรับวันนี้จะขอเสนอทางเลือกซึ่งอาจจะเป็นทางออกให้กับผู้บริหารขององค์กรต่างๆ รวมถึงเพื่อนๆที่ทำงานในวงการ HR ได้พิจารณาว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่วงการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่แตกต่างและดีกว่าที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผมขอเสนอแนวทางในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงการสร้างการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในประเด็นต่างๆดังนี้
มนุษย์เป็นทรัพยากรที่ล้ำค่ากว่าทรัพยากรใดๆ
ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ แฝงฝังในตัวมนุษย์คือ ทุนมนุษย์
สมรรถนะของมนุษย์ ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต
การเข้าถึงศาสตร์แห่ง “การบริหารทรัพยากรมนุษย์” ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนา
และใช้ทรัพยากรอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลที่สุด
ส่งงานใหม่นะคะอาจารย์ ส่งมานานแล้ว แต่กลัวอาจารย์ไม่ได้รับ (สงสัยจะส่งเข้า mail อาจารย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Personnel management) เป็นการจัดการงานบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก
ระบบการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
1.ระบบคุณธรรม (merit system)
2. ระบบอุปถัมภ์ (patronage system)
การบริหารจัดการด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource manangement) คือการจัดหาคนมาทำงานและบำรุงรักษาหรือเป็นการระบุความต้องการในกำลังแรงงาน จัดจัดดูและคนที่ได้มาและการสรรหา การคัดเลือก การวางตำแหน่ง การาส่งเสริม การประเมิณผล การวางแผนงานอาชีพ การจ่ายเงินชดเชย และการฝึกอบรมบุคลากร
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) เป็นการมุ่งเน้นการลงทุนไปที่ขีดความสามารถและทักษะในการทำงานของุคลากรในองค์กร อันนำมาซึ่งผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ดีขององค์การ
สรุป คือ ทั้ง 3 มีความหมายเหมือนกัน คือการคัดเลือก การสรรหา และการบริหารบุคลากรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการพัฒนาองค์กรมากที่ส
ส่งงานใหม่นะคะ ส่งครั้งที่และสงสัยเข้า mail อาจารย์
Personnal management คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการจัดหาบุคคลเพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ
ระบบการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ
การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system)
การบริหารงานบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system)
Human Resources Management คือ การบริหารจัดการด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ประกอบไปด้วย การจัดหาคนมาทำงานและบำรุงรักษาหรือเป็นการระบุความต้องการในกำลังคนแรงงาน การจัดดูแลคนที่ได้มาและการสรรหา การคัดเลือก การวางตำแหน่ง การส่งเสริม การประเมินผล การวางแผนงานอาชีพ การจ่ายเงินชดเชย และการฝึกอบรมบุคลากร
Human Capitai Management คือการบริหารทุนมนุษย์ เป็นการสรรหา พัฒนา รักษา และการให้ประโยชน์ให้คุ้มค่า เพื่อให้สามารถรองรับและสอดคล้องกับวิสัยทัศร์และแผนกลยุทธ์ขององค์การที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
ส่งงานใหม่คะ ครั้งที่แล้ว ส่งเข้า mail อาจารย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human resource manament) เป็นคำศัพท์ใหม่ที่นไมใช้แทนคำศัพท์เดิม คือการบริหารงานบุคคล (Personnel management) หมายถึง เป็นกระบวนการวางนโยบาย ระเบียบและกรรมวิธีในการดำเนินงานเกี่ยวกับตัวบุคล ที่เข้ามาปฏิบัติงานภายในองค์การ โดยให้ได้บุคคลที่เหมาะสมและบำรุงรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพ ให้มีปริมาณเพียงพอเพื่อให้ได้การปฏิบัติงานที่มีผลสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย ระบบการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ
1. การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม
2. การบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) เป็นการศึกษาค้นคว้าเป็นทฤษฏีทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนไปที่ขีดความสามารถและทักษะในการทำงานของบุคคลากรในองค์กร อันนำมาซึ่งผลประกอบการและการดำเนินงานที่ดีขององค์กร ผลตอบแทนที่องค์กรได้รับจากความจงรักภักดี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความพยายาม ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของบุคลากรในองค์กร
สรุปคือ ทั้ง 3 มีความหมายที่เหมือนกันคือการจัดการและการบริหารงานบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพแก่องค์กรมากที่สุด
หมายถึง กระบวนการที่กำหนดหรือระบุ ความต้องการกำลังคน รวมทั้งวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งกำลังคนตามที่ต้องการ เพื่อการปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์และแผนขององค์การที่วางไว้ การวางแผนกำลังคนจะช่วยให้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อจะได้มีคนไว้ทำงานในทุกตำแหน่งและทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางแผนกำลังคนทำให้เราเชื่อมั่นว่า เรามีคนที่เหมาะสมพร้อมไว้เสมอที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งที่สำคัญ ๆ
ขั้นตอน ของกระบวนการวางแผนกำลังคนศึกษานโยบายและแผนขององค์การ กระบวนการวางแผนกำลังคนต้องให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนขององค์การ และคาดคะเนปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายและแผนขององค์การ เช่น แนวโน้มของธุรกิจนั้น ๆ ในอนาคต, การขยายตัวและการเจริญเติบโตขององค์การ (และคู่แข่ง), การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและโครงสร้างองค์การ, การเปลี่ยนแปลงในแนวคิดปรัชญาการบริหารในอนาคต, บทบาทของรัฐบาล, บทบาทสหภาพแรงงาน, การแข่งขันของธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ
- การตรวจสภาพกำลังคน ; ค้นหาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสภาพกำลังคนที่มีอยู่ในองค์การ เช่น จำนวนตำแหน่ง อัตรากำลังคน ความสามารถของพนักงานที่มีอยู่ การตรวจสภาพกำลังคนอาจจะทำได้ดังต่อไปนี้1. การวิเคราะห์งานแต่ละตำแหน่ง องค์การมีตำแหน่งอะไรบ้าง มีคุณสมบัติแต่ละตำแหน่งอย่างไรบ้าง2. การทำบัญชีรายการทักษะ ตรวจสภาพพนักงานแต่ละคนมีความสามารถ ชำนาญถนัดในด้านใดบ้าง3. คาดการความสูญเสียกำลังคนในอนาคต ใครจะลาออกในอนาคต ใครเกษียณอายุปีหน้าบ้าง4. ศึกษาความเคลื่อนไหวภายในเกี่ยวกับ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย ให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Human Resource Management)
ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) หมายถึงบุคคลซึ่งมีความพร้อม มีความจริงใจ และสามารถที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร หรือเป็นบุคคลในองค์กรที่สามารถสร้างคุณค่าของระบบการบริหารงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ดังนั้น องค์กรจึงมีหน้าที่ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ปฏิบัติงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร (ธงชัย สันติวงษ์, 2548 : 2-3 และสมชาย หิรัญกิตติ, 2542 : หน้า 1)
ลักษณะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management: HRM) มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆกัน (ธงชัย สันติวงษ์, 2548 : 1-2) ดังนี้
ยุทธศาสตร์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ยุทธศาสตร์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษา
(Strategic Human Resources Management in School)
สถานศึกษาเป็นองค์กรสำคัญที่ต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์เป็นกลไกสำคัญในการปฏิบัติงาน มีแนวคิดที่เกี่ยวข้อง (รมดี พิมลบรรยงค์, 2548 : 28-30) ดังนี้
ข้อแตกต่างระหว่างการบริหารบุคคลกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์
การบริหารงานบุคคล (Personal Management) คือ การจัดการเกี่ยวกับคน เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นการบริหารคนให้ทำงาน เพื่อประโยชน์ขององค์กรและตัวบุคคล
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) เป็นการผนึกกำลัง หรือ บูรณาการในลักษณะของความเป็นผู้นำ ผู้บริหาร และการจัดการ ให้คนได้ทำงาน เพื่อประโยชน์ขององค์กร และตัวบุคคลด้วย
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษา
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษา มีหลักในการบริหารดังนี้
กรณีศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่ง (ในจำนวน 7 โรง) ในสหรัฐอเมริกา ที่มีการจัดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดี มีหลักการบริหาร ดังนี้
การจัดทำแผนที่หรือ Road Map สู่ความสำเร็จในการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้เห็นภาพโดยรวมว่า การบริหารทรัพยากรบุคคลในเรื่องใดบ้างตั้งแต่ แผนอัตรากำลังคน จนถึงการบริหารผลตอบแทนและการประเมินผล การวางความรับผิดชอบของตำแหน่งงานต่างๆ โดยเพื่อให้การวางแผนเป็นไปอย่างเป็นขั้นตอนที่ชัดเจนและทรงประสิทธิผล รวมถึงทำให้แผนการจัดการทรัพยากรบุคคลสามารถวัดและบริหารงานได้จริง
วิทยากร ผศ.ดร.กังวาน ยอดวิศิษฎ์ศักดิ์
หัวหน้าสาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์และองค์การ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์
สยาม เอช อาร์ เอ็ม : เว็บไซต์ ฝ่ายบุคคล HR และ คนทำงาน คนหางาน ออนไลน์ มากที่สุด [สถิติ] บริการ ดีๆ สำหรับ การประกาศ ตำแหน่งงานว่าง หางานราชการ งานบริษัท ชั้นนำ มั่นใจกับเราได้ ว่าเราจัด หาคน กับ หางาน ได้อย่างลงตัว พร้อมทั้ง เป็นแหล่งความรู้ต่างๆ บทความ เกี่ยวกับการทำงาน อย่างครบถ้วน โดย update สม่ำเสมอ
ทีมงานเรายังมุ่มมั่นที่จะพัฒนาองค์ความรู้ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งข้อมูลต่างๆ จะมีการ Update ทุกเวลา ทุกวัน และแต่ละวันจะมีข้อมูลใหม่ๆ ให้ท่านได้ติดตา
"การจัดการความรู้" ไม่เหมือนกับเครื่องมือการบริหารอื่นๆ ที่ฟู่ฟ่าไปตามกระแสนิยม แต่มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังสำหรับทุกองค์กรโดยใช้เทคโนโลยีน้อยกว่าที่คุณคิด....
หากท่านมีแนวคิด ข้อมูลข่าวสาร บทความ HR สาระน่ารู้ที่น่าสนใจ ส่งมาได้ที่ นี่ค่ะ หรือจัดส่งมาทาง E- mail ทีมงานยินดีประสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่สมาชิกทุกท่านเพื่อประโยชน์แก่การศึกษา หาความรู้ โดยไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการ, ค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น จากสมาชิก หรือหากมีคำแนะนำอื่นใด ทางทีมงานยินดีน้อมรับเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นไป...
ดังนั้น การบริหารทรัพยากรบุคคลยุคใหม่จึงเป็นการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบเชิงรุกที่เน้นบทบาท ซึ่งแตกต่างจากการบริหารงานบุคคลแบบเดิมที่เป็นการบริหารงานบุคคลเชิงรับมุ่งเน้นที่หน้าที่
HR Scorecard กับ Balanced Scorecard ต่างกันอย่างไร
ทั้ง HR Scorecard (การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล) กับ Balanced Scorecard (การบริหารงานแบบสมดุล) ต่างก็เป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Tools) ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการประเมินและพัฒนาผลงานขององค์กรด้วยกันทั้งคู่ แต่มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน คือเพราะในอดีต "กิตติ" รู้แล้วว่า การที่จะแข่งขันกับบริษัทต่างชาติให้ได้ผลแพ้ชนะ เงินทุน และเทคโนโลยีไม่ใช่อาวุธสำคัญ แต่อาวุธสำคัญจริงๆ กับอยู่ที่ "คน" หรือ "พนักงาน" ของเรานั่นเอง
ผลเช่นนี้เอง จึงทำให้ "กิตติ" มีความเชื่อในเรื่องของ "ทุนมนุษย์"
"ซึ่งทุนมนุษย์ในความหมายของผม อาจจะแตกต่างจากทุนมนุษย์ขององค์กรอื่น เพราะทุนมนุษย์ของผม ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ และจิตใจที่ผู้บริหารต้องมีแนวทางในการบริหาร และการพัฒนาบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อสร้างให้บุคลากรเหล่านั้น ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำองค์กรที่มีศักยภาพ"
โดยเรื่องนี้ "กิตติ" มองว่าการบริหาร "ทุนมนุษย์" ให้ได้ผลสำเร็จ และเป็นไปในทิศทาง ของบริษัท สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด จะต้องประกอบด้วย 3 ประการเป็นอย่างน้อย คือ
หนึ่ง จะต้องให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่ และจะต้องมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น และไม่มีการแบ่งในเรื่องของนามสกุล
สอง จะต้องให้คุณค่ากับทัศนคติของแต่ละคน เพื่อแสดงว่าทัศนคติที่ดีจะนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรที่ง่ายขึ้น
สาม จะต้องให้คุณค่ากับคนรุ่นใหม่ และจะต้องสร้างตัวตายตัวแทน โดยการ
พัฒนาจากคนที่เพิ่งจบการศึกษา เพื่อเป็นการพัฒนาในระยะยาว และเพื่อสร้างรากฐานของ บริษัทให้แข็งแกร่ง
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับบุคคลกรขององค์กร อันประกอบด้วย ภารกิจหลัก 4 ด้าน คือ การจัดหา การพัฒนา การใช้ประโยชน์ และการเก็บรักษาบุคลากร เพื่อให้องค์กรได้รับประโยชน์สูงสุดจากคุณค่าของบุคลากร ซึ่งจะส่งผลต่อเป้าหมายขององค์กร ขณะเดียวกันบุคลากรก็มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน และมีความเจริญก้าวหน้าตามความมุ่งหวังของแต่ละบุคคล
ในการพิจารณาถึงความสำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์สามารถแยกพิจารณาได้เป็น 3 มิติ ดังนี้
1. มนุษย์เป็นปัจจัยการผลิตที่เป็นผู้ใช้ปัจจัยการผลิตอื่นๆ ที่องค์กรมีอยู่ในการผลิตผลงานออกมาเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้หรือผลกำไรอันเป็นประโยชน์ขององค์กร หากองค์กรมีระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพดีก็จะทำให้เกิดการผลิตที่ได้คุณภาพสูงจากการใช้ประโยชน์สูงสุดในปัจจัยการผลิตอื่นๆที่องค์กรมีอยู่
2.มนุษย์เป็นปัจจัยการผลิตที่มีความแตกต่างจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ ขององค์กร ในแง่ที่มนุษย์เป็นปัจจัยการผลิตที่มีชีวิต มีความต้องการและการคาดหวัง มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาได้โดยไม่มีขีดจำกัด การที่องค์กรมีทรัพยากรมนุษย์เปรียบเหมือนกับองค์กรมี "ทุนทางปัญญา" (Intellectual Capital) เพราะมนุษย์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เพราะการบริหารทรัพยากรมนุษย์อย่างไม่เป็นระบบหรือบริหารด้วยความไม่เข้าใจในคุณค่าและธรรมชาติของมนุษย์ จะส่งผลให้องค์กรไม่สามารถเก็บรักษาบุคลากรที่ดีไว้ได้
3. การดำเนินงานขององค์กรในยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีสภาพของการแข่งขันอย่างไร้พรมแดน ทำให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์ยิ่งทวีความสำคัญมาขึ้นกว่าในอดีต องค์จำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนาวิธีการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น แต่การที่องค์การจะสามารถปรับตัวได้ในสภาพที่ต้องแข่งขันกันอย่างสูงนั้น บุคลากรขององค์กรจะต้องมีศักยภาพสูงสามารถที่จะทำงานอย่างหนักและมีประสิทธิภาพอยู่ตลอดเวลา
โรงแรมโรสการ์เด้น ริเวอร์ไซด์ (สวนสามพราน)
คุณ สุชาดา ยุวบูรณ์ ประธานบริหารโรงแรมโรสการ์เด้น ริเวอร์ไซด์ มีแนวคิดว่า ธุรกิจอยู่ได้เพราะความรับผิดชอบจากภายในมีหัวใจ คือ “พนักงาน” แม้จะประสบภาวะขาดทุนก็ให้โบนัสแก่พนักงานทั้งที่ขาดทุน ซึ่งเป็นการสร้างกำลังใจในเบื้องต้น และวางระบบการจัดการธุรกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงมาใช้บริหารจัดการอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ มาทบททวนว่าบ้านเมืองเรามีอะไรสามารถรอบรับได้แค่ไหน แทนที่จะเน้นแต่การเพิ่มจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยว
นโยบาย คือ
-อยู่อย่างครอบครัว คือ รุ่นคุณแม่จะสอนให้พนักงานชุดแรกที่อยู่กับเราจะกินข้าวหม้อเดียวกันจะต้องช่วยกัน จนความคิดนี้ขยายมาถึงคนยุคปัจจุบัน แนวคิดที่ถือเป็นแบบฉบับของโรงแรม คือ การรับพนักงานทั้งครอบครัว มีความเชื่อที่ว่าหากครอบครัวมีรายได้ พนักงานไม่ต้องกังวลเรื่องลูก พวกเขาจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานในภาคสนาม ยึดถือความเป็นครอบครัวสูง
-พนักงานคือหุ้นส่วนธุรกิจ สิ่งที่ชี้วัดความสำเร็จของการให้ความสำคัญกับพนักงาน ในช่วงที่ผ่านมายังถูกส่งผ่านมาทางจดหมายชื่นชมที่มีต่อพนักงานและสะท้อนให้เห็นจากการที่มีลูกค้ากลุ่มเดิมๆเข้ามาพักติดต่อกันนับ 10 ปี ซึ่งโรงแรมถือว่าพนักงานทุกคนต้องเป็นเซลล์ เนื่องจากเชื่อว่าการขายและการตลาดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าชอบพนักงานและกลับมาใช้บริการอีก จึงต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงาน และให้ความสำคัญกับพนักงานมาเป็นการให้พนักงานเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ซึ่งหากธุรกิจมีกำไร พนักงานก็จะได้ส่วนแบ่งจากรายได้ในส่วนนี้เพิ่มเติมจากเงินเดือนและรายได้จากเซอร์วิสตามปกติแล้ว เป็นการสร้างเครื่องมือที่จะกระตุ้นการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และถ้าเกิดขาดทุนก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ถ้าได้กำไรก็ได้ด้วย แต่ก็เชื่อว่าเงินไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น แต่มันเป็นคุณค่าความภูมิใจ ความสบายใจ และความรู้สึกว่าได้ร่วมกันทำ
-กำไรเท่ากับความภูมิใจ ทำให้คนที่อยู่ด้วยกันรู้คุณค่าของตัวเอง มีความภูมิใจ เนื่องจากพนักงานเป็นคนพื้นบ้าน ทำสวน แรงงาน จึงคิดว่าถ้าสามารถซื้ออะไรในท้องถิ่นได้ทางโรงแรมจะต้องช่วยเขาก่อน ที่สำคัญเขาก็จะเป็นรั้วให้โรงแรมด้วย
-เปิดให้ชุมชนในพื้นที่ต่างจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วม เริ่มจ้างชาวบ้านวัยหนุ่มสาวเข้ามาเป็นพนักงาน กินข้าวหม้อเดียวกับเจ้าของ มีที่อยู่อาศัยในบริเวณเดียวกัน ทำธุรกิจอยู่กันอย่างพี่น้อง วัตถุดิบการปรุงอาหารเลือกที่จะซื้อจากชาวสวนแถบนี้ก่อนเป็นหลัก
-การสร้างสิ่งตอบแทนในรูปแบบใหม่ คือ ในทุกๆ 4 เดือน ถ้าพนักงานร่วมมือกันประหยัดต้นทุนแก่โรงแรมได้จะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนอย่างเหมาะสม โดยเจ้าของได้ทำบัญชีอย่างโปร่งใส พนักงานสามารถขอดูได้เลยว่าเมื่อทำแล้วดีขึ้นจริง
นโยบายด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของคุณ ทศ จิราธิวัฒน์
1.กลยุทธ์การดูแลรักษาพนักงานให้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุข ( Employee Retention Strategy )
2.กลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานให้กับบุคลากร ( Building Capacity Strategy )
3.กลยุทธ์ในการให้ผลตอบแทนและสวัสดิการที่จูงใจและเป็นธรรม ( Compensation benefit strategy )
4.การปรับปรุงฝ่ายบุคคลที่เป็นงานเอกสารให้กลายเป็นงานบริการบุคลากรภายในองค์กร Employee Service
( ESC )
5.Work & Life Balance strategy การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตทำงานกับชีวิตส่วนตัว6
6.คำนึงถึงการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรและถือเป็น Long Term investment และพยายามอย่างยิ่งที่จะผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ของ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์
1. Employee Influence
- ส่งเสริมให้พนักงานยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กร คือมีทัศนคติความเป็นเจ้าของ
- ส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพที่ดีในการทำงาน เช่น สวัสดิการที่เหมาะสม สภาพการทำงานที่ปลอดภัย ส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน
- สร้างจิตสำนึกในการทำงานร่วมกัน
2. Human resource flow
- การคัดสรรคนดี สร้างคนเก่ง มีหลักเกณฑ์การสรรหาที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน โครงการให้ทุนการศึกษา
- โครงการพัฒนาผู้บริหารและพนักงานทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งผู้บริหารระดับสูงไปศึกษาต่อ
- high performance organization ให้ความสำคัญต่อการบริหารอัตรากำลังพนักงาน เพื่อรองรับการ ขยายการดำเนินงานและการลงทุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ
- กำหนด competency และลักษณะที่พึงประสงค์ของพนักงานที่องค์กรคาดหวัง
- career management จัดกลุ่มสายอาชีพตามลักษณะของธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความชำนาญสูงสุดในสายอาชีพของตน พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่การรับผิดชอบ
3. Work systems
- การปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
- มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ขององค์การ Knowledge Managementเรียนรู้จากกันและกัน
4. Reward systems
- ระบบการบริหารค่าตอบแทนที่สร้างแรงจูงใจและตอบแทนตามคุณค่าที่มุ่งปฎิบัติหน้าที่
- ยกย่องพนักงานที่เป็นคนเก่งและมีคุณธรรม
ภาพรวมของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
• แนวคิดในยุคต้น ยังไม่มีการพูดถึงวิธีการจัดการคนที่เป็นกระบวนการ(Public personnel)
จวบจนถึงยุค สำนักมนุษยสัมพันธ์1 พบว่า คนเป็นปัจจัยที่มีความรู้สึกนึกคิด มีผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์การ จึงต้องแยกการบริหารงานบุคคลออกจาการ
บริหารงานทั่วไป และ เริ่มมีการสร้างความรู้เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลขึ้นมา
• เดิม ปัจจัยแวดล้อมไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง ไม่ถือเป็นตัวแปร เช่นปัจจัยแวดล้อมมหภาค
o ด้านการเมือง
o เศรษฐกิจ
o สังคม
o เทคโนโลยี
o ความเสี่ยงต่างๆ เช่น การก่อการร้าย ภัยพิบัติ โรคระบาดปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการแข่งขันโดยตรง
o ลูกค้า
o ผู้ค้ารายใหม่
o ซัพพลายเออร์
o คู่แข่ง
o สิ่งทดแทนแนวคิดทางการบริหารจึงมีลักษณะชัดเจน แน่นอน ตายตัว คนทำงานในสายการผลิต
รายละเอียดการทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบเป็นไปตาม Job Description ที่กำหนด ระบบการทำงานเป็นแบบเครื่องจักร เป็นแนวตั้ง-ทำงานตามสายการบังคับบัญชา
1 สำนักความคิดทางการบริหาร (Schools of Thought in Management)
ที่มีอิทธิพลต่อการจัดการภาครัฐ
1. สำนักความคิดการจัดการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)2 สำนักความคิดหลักการจัดการ (Function of Management)3
สำนักความคิดมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations)4 สำนักความคิดวิทยาการจัดการ (Management Science)5
สำนักความคิดระบบเปิด (Open System)6 สำนักความคิดการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage)
รศ. 620 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ 3 / 22
• กลางศตวรรษที่ 18 มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม
o การผลิตสินค้าจากแบบหัตถกรรมในครัวเรือน มาเป็นแบบ Mass Production ในโรงงาน
o คนทำงานจากภาคเกษตร ไปสู่การทำงานใน ภาคอุตสาหกรรมจึงเกิดแนวคิดในการบริหารทรัพยากรบุคคล
• 1950 เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์เครื่องแรกได้
• 1970 เริ่มผลิตไมโครคอมพิวเตอร์ได้
• 1980 มีเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารถึงกันได้อย่างกว้างขวางใกล้ชิด และ มีผลกระทบ การต่อยอดความรู้ต่างๆเป็นไปอย่างง่ายดาย เริ่มเกิด
กระแสโลกาภิวัตน์ ปัจจัยแวดล้อมต่างๆเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีความเสี่ยงใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอตลอดเวลา ระบบบริหารจึงต้องการความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเพื่อ
ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างเป็นแนวราบ เป็นองค์การแบบ
สิ่งมีชีวิต
การฝึกอบรมและพัฒนาบุคคลากรเพื่อพัฒนากำลังคนที่ดี
n การฝึกอบรมเมื่อเข้าปฏิบัติงานใหม่ ๆ
n การฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน
การโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง และลดตำแหน่ง
n การโยกย้าย Transfer (Rotate)
Ø เพื่อให้รอบรู้ทุกงาน
Ø เพื่อ Career Path
n การเลื่อนตำแหน่ง Promotion
Ø เลือกคนดีที่สุด ไม่ใช่ใกล้ชิดที่สุด
Ø มีขบวนการคัดเลือกที่เป็นธรรมที่สุด เช่น ใช้คณะกรรมการ ศึกษาประวัติ ใช้ผลการประเมินประสิทธิภาพในการปฏิบัติ
n การลดชั้น Demotion
ผลประโยชน์ตอบแทน Compensation & Frings Benefits
n องค์การจะต้องเตรียมจัดสรรผลประโยชน์ตอบแทนในรูปของค่าจ้าง หรือเงินเดือน หรือผลประโยชน์เกื้อกูลต่าง ๆ คือ
1. ค่าจ้างและเงินเดือน ชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ หรือชิ้นของงานเป็นค่าจ้าง ส่วนเงินเดือน เป็นเหมารายเดือน
2. ผลประโยชน์เกื้อกูล นอกเหนือจากค่าจ้างและเงินเดือน เช่น โบนัส สวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าคอมมิชชั่น ค่าเทอมบุตร ประกันชีวิต ประกันสังคม ฯลฯ
การให้พ้นจากงาน Withdrawal
บุคคลากรฝ่ายธุรกิจเอกชน
บุคคลากรฝ่ายรัฐกิจ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)
ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน
หลายคนคงรู้อยู่แล้วว่า HR คืออะไร HR ย่อมาจาก Human Resources ก็เป็นตัวที่บอกอยุ่แล้วว่าคือฝ่ายทรัยากรมนุษย์
HR จากอดีต จนถึงปัจจุบันได้มีวิวัฒนาการ ก้าวไปอย่างรวดเร็ว จากที่องค์กรไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฝ่าย HR มากนัก จนมาเป็น องค์กรให้ความสำคัญ กับ HR เป็นอันดับต้น ๆ
ขออ้างอิง บทความของ คุณ ณรงค์วิทย์ แสนทอง จากหนังสือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์สมัยใหม่ ได้ แบ่ง HR เป็นสามกลุ่มหลัก ๆ คือ
กลุ่มที่ 1 การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบเก่า เป็นการบริหารงานแบบกึ่งๆ เถ้าแก่ กึ่ง ๆ มืออาชีพ ที่มีขนาดของกิจการเป็นแบบขนาดเล็ก ถึง ขนาดกลาง ที่เรียกันว่า SME ฝ่ายบุคคลจะต้องทำหน้าที่เกือบทุกอย่าง และ มักใช้เวลาในการแก้ปัญหางานเฉพาะหน้า โดยนโยบายการบริหารถูกกำหนดด้วยฝ่ายบริหารเพี่ยงผู้เดียว
กลุ่มที่ 2 การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบผสม เป็นการบริหารที่กำลังจะก้าวสู่การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบรุ่นใหม่ แต่ยังหาจุดยืนในการบริหารงานในส่วน HR ยังไม่ค่อยเด่นชัด โดยผู้บริหารยังอาจจะไม่ค่อยเข้าใจในการบริหารงานแบบรุ่นใหม่อย่างถ่องแท้ กลุ่มผู้บริหารเดิมยังมีอำนาจในการตัดสินใจ ลักษณะขององค์กรจะเป็นการผสมกันระหว่างผู้บริหารรุ่นเก่า กับ ผู้บริหารรุ่นใหม่ แต่ผู้บริหารรุ่นเก่า มีอำนาจในการตัดสินใจหรือบริหารงานมากกว่า กลุ่มนี้ในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงเป็นรุ่นใหม่ได้
กลุ่มที่ 3 การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบใหม่ เป็นการบริหารงานที่นำระบบเทคโลยีเข้ามาช่วย มีการตั้งกรอบการทำงานให้มีมาตราฐาน โดยการจัดการเรื่องระบบต่าง ๆ และ การบริหารงานแบบกลยุทธ โดย ผู้บริหารจะมีการจ้างให้ที่ปรึกษาเข้ามาดูแล มีการวางแผนพัฒนาบุคลากร การจัดการฝึกอบรม และมีการสรรหาผู้สมัครที่มีคุณภาพ ตรงกับสายงานมากยิ่งขึ้น
ที่ผมยกตัวอย่าง กลุ่มทั้ง 3 กลุ่มในเห็นภาพว่า ระบบ HR มีการพัฒนาและเติบโตมากขึ้น แต่ปัญหาคือผู้บริหารกับยังยึดติดกับ การบริหารงานแบบเก่า ทำให้ เกิดปัญหาต่าง ๆมากมาย
บางบริษัท เป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมานาน และ มีหลายคนอยากที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับองค์กรเหล่านั้น แต่ปัญหาคือ การคัดสรรเลือกบุคลากร ยังเป็น ระบบการบริหารงานแบบเก่า ทำให้ บางครั้ง HR ก็เชื่อมั่นในองค์กรของตนมากเกินไป จนลืมให้เกียรติ ผู้สมัครที่เรากำลังค้นหา ทำให้ อาจจะพลาดโอกาสที่จะทำให้ได้คนที่มีคุณภาพ หรือตรงกับงานมากขึ้น หรือแม้แต่ HR บางแห่ง ใช้อารมณ์ เป็นตัวตัดสินผู้สมัคร อย่างที่ผู้สมัครไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองทำอะไรผิดลงไป
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ HR จะต้องเริ่มเปิดใจมากขึ้น และ ปรับตัวและระบบการทำงานให้เข้ากับยุคปัจจุบัน และให้เกียรติกับผู้สมัคร หรือพนักงานมากขึ้น การใช้วาจาพูดกับผู้สมัครบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องดุดัน และรุนแรง เหมือนผู้สมัครไปทำความผิดอะไรมา ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมผ่านการสัมภาษณ์มา ผมเคยเจอ HR โทรมาแล้วใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม เช่น ทำไมไม่รับโทรศัพท์ พรุ่งนี้ขอนัดสัมภาษณ์ ตอน 13.00 ว่างไหม ถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องมาเราถือว่าคุณสละสิทธิ์ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผม ซึ่งถึงแม้ว่าบริษัทนั้นจะใหญ่แค่ไหน ผมก็ไม่อยากไป เพราะ คิดว่า ที่นี่ HR ยังโหดขนาดนี้ แล้วตำแหน่งอื่น ไม่โหดเหมือนกันเหรอ
สรุป HR มีการก้าวไปข้างหน้า คนที่ทำ HR ก็ต้องก้าวตามไปด้วย ถึงจะเรียกได้ว่า เป็นคน HR ที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
1. จะมีประโยชน์อย่างมากในการที่จะพิจารณาถึงคอนเซ็ปต์ของ Strategic HRM ที่อยู่ใน HRM Strategy เหมือนกับที่เป็นการคำนึงถึงการคิดค้นกลยุทธ์ (Strategic Thinking) และการมุ่งสู่กลยุทธ์ (Strategic Orientation) มากกว่าการมองแค่ว่า กลยุทธ์เป็นเพียงสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นมาและเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงแล้ว เสมือนแก่นแท้ทางกายภาพเท่านั้น
2. ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างกลยุทธ์ทางธุรกิจ และกลยุทธ์ทรัพยากรมนุษย์ มีหลากหลายแนวทาง
3. ทัศนคติของกลยุทธ์ในการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ทฤษฎี คือ
1. การเป็นผู้มีความรู้อย่างกว้างขวาง หรือการทำงานให้ดีที่สุด
2. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หรือขึ้นกับความเหมาะสม และ
3. ทรัพยากรพื้นฐาน หรือการมองในแง่ของทุนมนุษย์ (Human Capital)
4. ขอบเขตลักษณะเฉพาะของ HR ถูกรวบรวมอยู่ภายใน HR Strategy ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ วัฒนธรรมองค์การ ทัศนวิสัยของผู้บริหารสูงสุด คุณภาพของบอร์ด HR ลักษณะและความสัมพันธ์ในการทำงานของผู้อาวุโสเฉพาะด้าน HR
การบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงรับ (แบบเก่า)
1. การบริหารแบบมุ่งเน้นงานธุรการงานบุคคล
2. กิจกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคลจะออกแบบเฉพาะเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่านั้น
3. ลำดับความสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคลมักจะสอดคล้องกับกิจกรมมประจำวัน (Routine) ของการบริหารทรัพยากรบุคคล
4. หน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลรับผิดชอบการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กร
การบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงรุก (แบบใหม่)
1. การบริหารแบบมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตโดยผ่านทรัพยากรบุคคล
2. กิจกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคลต้องสัมพันธ์และสอดคล้องกับแผนองค์กร
3. ลำดับความสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคลต้องสอดคล้องกับลำดับความสำคัญของกลยุทธ์องค์กร
4. ผู้บริหารสายงาน/หน่วยงาน และหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลร่วมกันรับผิดชอบในการบริหารทรัพยากรบุคคล
Human Resouce Management การบริหารทรัพยากรมนุษย์ คือการบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นศิลปะในการจัดการเกี่ยวกับตัวบุคคลในองค์การอย่างเป็นระบบ เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
การบริหารทุนมนุษย์ Human Capital Management คือการสร้างคนในองค์กรให้สามารถใช้ขีดความสามารถของตนได้อย่างดีที่สุด และให้มีแรงจูงใจในการทำงานสูงสุดตลอดเวลา เพราะคนเป็นทรัพยากรอันมีค่าที่หายากที่สุด
ความแตกต่างของการบริหารทรัพยากรมนุษย์และการบริหารทุนมนุษย์ คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์เป็นการสรรหาบุคคลเพื่อเข้ามาทำงานและใช้ความสามารถของบุคคลนั้น ๆ ให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร การบริหารทุนมนุษย์ป็นการพัฒนาและยกระดับความสำคัญของบุคคลที่มีความสามารถของทุกคนในองค์กรให้มีความสามารถสูงสุดสามารถเหนือกว่าคู่แข่งขันได้ การบริหารทุนมนุษย์ที่ดีมีผลต่อความเจริญ ความมั่นคงและความสำเร็จขององค์กร
ความเหมือนกันที่วัตถุประสงค์ต้องการคัดสรรหาคนที่เก่งและมีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก
แต่ค่านิยมของคนไทยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม เช่น ค่านิยมการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนที่รู้จักคุ้นเคยก็อาจส่งเสริมให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกได้
ศัพท์อาชีพ ที่คนทำงานสาย HR ไม่รู้ไม่ได้ รายละเอียดของสายอาชีพ |
|
สายอาชีพ |
สายอาชีพในภาษาอังกฤษ |
1 . สมุห์บัญชี/ ผู้ตรวจสอบ/ ฝ่ายภาษี |
Accountancy/Audit/Taxation |
- พนักงานบัญชี/ผู้จัดการฝ่ายบัญชี |
- Accounting Officer/ Manager |
- หัวหน้าฝ่ายบัญชี |
- Accounting Supervisor and Clerk |
- ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชี |
- Assistant Accounting Manager |
- ผู้ตรวจสอบบัญชี |
- Auditor |
- พนักงานฝ่ายเก็บเงิน/ออกใบเสร็จ |
- Billing/ Invoice Officer |
- พนักงานฝ่ายจัดเก็บเอกสาร |
- Book-Keeper |
- ผู้จัดการฝ่ายบัญชีต้นทุน/ งบประมาณ |
- Costing/Budgeting Manager |
- ผู้ควบคุมบัญชีรายรับ |
- Credit Control |
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบระบบ |
- Field Control Officer |
- ผู้ตรวจสอบภายใน/ภายนอก |
- Internal/External Audit |
- ผู้จัดการฝ่ายบัญชี |
- Senior Accounting Manager |
- พนักงานบัญชี/สมุห์บัญชี |
- Senior/Chief Accountant |
- เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องภาษี |
- Tax Officer/Accounting |
2 . ผู้ดูแลงานด้านเอกสาร/เลขานุการ |
Administration /Secretary |
- เจ้าหน้าที่/ ผู้จัดการฝ่ายธุรการ |
- Administrative Assistant/Staff/Manager |
- พนักงานฝ่ายเอกสาร |
- Document Controller |
- เลขานุการผู้บริหาร |
- Junior/Senior/Executive Secretary |
- ผู้ช่วยหรือเสมียนประจำสำนักงาน |
- Office Clerk/Assistant/Manager |
- ผู้ประสานงานขาย/ธุรการฝ่ายขาย/ผู้ช่วยพนักงานขาย |
- Sales Administrator/Coordinator/Assistant |
- เลขานุการ |
- Secretary |
3 . เกษตรกรรม/ ประมง/ เหมืองแร่ |
Agriculture/Fishing/ Mining |
- เกษตรกรรม/ ประมง/ เหมืองแร่ |
- Agriculture/Fishing/ Mining |
4 . สายการบิน |
Airlines |
- พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน |
- Flight Attendances/ Hostess/ Steward |
- พนักงานต้อนรับภาคพื้นดิน/ลูกเรือ |
- Ground Crew/Cabin Crew |
- นักบิน |
- Pilot |
5 . การเงิน/การธนาคาร/เศรษฐศาสตร์ |
Banking/Finance/ Economics |
- พนักงานรับ/จ่ายเงิน |
- Bank Teller/Clerk |
- ตัวแทนขาย/นายหน้าค้าหุ้นและพันธบัตร |
- Bond & Stock Trader/Dealer/Broker |
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อธุรกิจ |
- Commercial Credit Officer |
- นักวิเคราะห์ทางด้านสินเชื่อ/ การเงิน |
- Credit/ Financial Analyst |
- ผู้บริหารฝ่ายสินเชื่อ/ ฝ่ายควบคุมการเงิน |
- Credit/ Financial Controller |
- นักเศรษฐศาสตร์ |
- Economist |
- เจ้าหน้าที่วางแผนทางการเงิน |
- Financial Planning / Planner |
- ฝ่ายวิจัยข้อมูลทางการเงิน |
- Financial Research |
- ผู้จัดการกองทุน |
- Fund Manager |
- ผู้จัดการการลงทุน |
- Investment Portfolio Manager |
- ผู้ชำนาญพิเศษฝ่ายการลงทุน |
- Investment Specialists |
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายสัญญาเช่าซื้อ |
- Leasing Officer |
- เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อเงินกู้ |
- Loan Credit Officer |
- เจ้าหน้าที่/ผู้จัดการฝ่ายความเสี่ยงทางธุรกิจ |
- Market Risk Officer/Manager |
- ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลโครงการด้านการเงิน |
- Project Finance |
- เหรัญญิก |
- Treasurer |
จิระจิตต์ บุนนาค. (2545, เมษายน-มิถุนายน). "การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน."
วารสารบริหารธุรกิจ. 25(94) : 45-59.
การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
ในโลกเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) องค์การธุรกิจต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะเทคโนโลยี
ข้อมูลข่าวสาร การให้ความสำคัญกับทุนทางปัญญา การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา
แนวความคิดเรื่อง Resource-Based-View เสนอว่าทรัพยากร (Resource) ที่องค์การมีอยู่มีส่วนสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่ง
ขันที่ยั่งยืนได้ โดยทรัพยากรนั้นควรมีคุณลักษณะ 4 ประการที่สำคัญ
1. ทรัพยากรนั้นสร้างมูลค่าเพิ่ม
2. ทรัพยากรที่องค์การมีอยู่เป็นสิ่งหายาก
3. ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบได้ยาก
4. ทรัพยากรที่มีอยู่มีการจัดระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นการที่ทรัพยากรขององค์การจะมีลักษณะทั้ง 4 ประการ ดังกล่าวข้างต้น ผู้บริหารจำเป็นต้องพัฒนาสร้างความสามารถขององค์การ
(Organization Competency) ให้เกิดขึ้น
ความสามารถขององค์การ (Organization Competency) ที่องค์การควรจะพัฒนาให้เกิดขึ้นมี4 ประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการบริหารจัดการ (Managerial Competencies)
2. ความสามารถบนพื้นฐานของปัจจัยนำเข้า (Input-Based- Competencies)
3. ความสามารถสร้างกระบวนการปรับเปลี่ยน (Transformational Competencies)
4. ความสามารถบนพื้นฐานปัจจัยนำออก(Output-Based- Competencies)
บทบาทการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน
จากกรอบแนวคิดทฤษฎี Resource-Based-View ข้างต้นความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนเกิดขึ้นได้เมื่อองค์การมีทรัพยากรที่สร้างมูลค่า
เพิ่ม หายาก เลียนแบบและทดแทนไม่ได้ และทรัพยากรนั้นควรจัดระบบประสานงานกันทำงานร่วมกันได้ บทบาทของการบริหารทัร
พยากรมนุษย์กับการสร้างความสามารถขององค์การทั้ง 4 ด้าน เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ดังนี้
1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับความสามารถในการบริหารจัดการ (Managerial Competencies) คือฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์มี
บทบาทในการสร้างความสามารถในการบริหารจัดการ โดยฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องกำหนดบทบาทของตนเอง ควรมีบทบาทในการ
เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ (Strategic Partner) และจะต้องเป็นหน่วยงานที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลในเรื่อง "ทุนขององค์การ " (Organizational
capital)
2. การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการสร้างความสามารถบนพื้นฐานของปัจจัยนำเข้า (Input-Based- Competencies) โดยมีแนวทางใน
การดำเนินการ 3 ประการด้วยกัน
2.1 การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการกำหนดกลยุทธ์ในการใช้ประโยชน์จากความไม่สมบูรณ์ของตลาดแรงงานภายนอก
2.2 บทบาทการบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการพัฒนาตลาดแรงงานภายในองค์การ
2.3 การบริหารทรัพยากรมนุษย์ช่วยสร้างความสามารในการแข่งขันทียั่งยืนโดยให้ความสำคัญในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์
3. การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการความสามารถสร้างกระบวนการปรับเปลี่ยนปัจจัยนำเข้า (Transformational Competencies)
3.1 ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์มีบทบาทส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการในองค์การ
3.2 สนับสนุนการเกิดนวัตกรรมในการผลิตสินค้าและบริการ
3.3 การสร้างองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
4. การบริหารทรัพยากรมนุษย์กับการความสามารถบนพื้นฐานของผลงานขององค์การ การเพิ่มขีดความสามารถในเรื่องปัจจัยนำออกนั้น
ฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องสร้างระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สมาชิกทำงานด้วยใจตามพันธะสัญญาให้เกิดขึ้น แทนที่ระบบการบริ
หารทัรพยากรมนุษย์ที่มุ่งการควบคุมจะได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จในระยะยาว
บทสรุป
ภายใต้ภาวะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ที่เป็นอยู่ในยุคโลกเศรษฐกิจใหม่นี้ ทุนมนุษย์ (Human Capital) เป็นทุนที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะ
นำมาเพื่อผลตอบแทนในระยะยาวที่ยั่งยืนขององค์การ บ่อยครั้งที่พันธกิจ เป้าหมาย กลยุทธ์ขององค์การไม่สามารถนำมาปฏิบัติให้บรรลุผล
ได้ เพราะขาดความพร้อมในปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ คน ดังนี้บทบาทสำคัญของฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็คือ การกำหนดยุทธศาสตร์ใน
การบริหารจัดการทุนส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป็นแหล่งของควมสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนขององค์การ
การบริหารทรัพยากรขององค์กร (Enterprise Resource Planning ย่อ ERP) หมายถึง การบริหารจัดการภายในองค์กร เนื่องจากมีการแข่งขันกันที่สูง องค์กรต่างๆจึงต้องมีการพัฒนากระบวนการและข้อมูลทั้งหมด ในองค์กร เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยจะมีการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดยเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง โดยการผลิตตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะมีการติดต่อระหว่างสายการผลิตไปจนถึงช่องทางจำหน่ายทั้งนี้เพื่อที่จะลดขั้นตอนใน Supply Chain จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการการผลิตดังนี้
อินเทอร์เน็ตนั้นได้เข้ามามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ซื้อสินค้า ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อของได้เพียงปลายนิ้วคลิก และยังสามารถเลือกรูปแบบตามความต้องการได้ นอกจากเป็นเครื่องมือในการซื้อและแหล่งข้อมูลที่สำคัญ แล้วนั้นยังทำให้ธุรกิจนั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วด้วย สำหรับผู้ผลิตแล้วการที่มี e-Business อย่างเดียวนั้นคงจะไม่สามารถทำงานได้ดีหากปราศจากโซ่อุปทานที่เป็นมืออาชีพและสินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อที่จะผลิตสินค้าให้เป็นที่พอใจของลูกค้า การที่มีสินค้าเพียงเก็บไว้ในคงคลังนั้นคงไม่พอแล้ว สำหรับตลาดที่มีการแข่งขันสูงในตอนนี้
ลักษณะของกลยุทธ์ทาง e-Manufacturing เป็นอย่างไร ลองดูเรื่องสั้นนี้ที่จะช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้น เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของลิมิตสวิตช์ (Limit Switch) ซึ่งเป็นเพียงแค่สวิตช์ปิดเปิดธรรมดาที่มีแขนยื่นออกมา ตัวลิมิตสวิตช์ จะอยู่ติดบนสายพาน ในแต่ละครั้งที่วัตถุมาบนสายพาน มันจะผลักตัวแขนออกไปทางหนึ่งซึ่งหมายถึงสวิตช์กำลัง เปิด อยู่ และเมื่อกล่องผ่านไปตัวแทนก็จะตีกลับมาที่เดิม
Description/รายละเอียดสินค้า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ (HUMAN RESOURE MANAGEMENT) | |
|
อนาคตการจัดการ "ทรัพยากรมนุษย์"
ธงชัย สันติวงษ์ [email protected] กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2548
เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ผมได้เขียนบทความเรื่อง "ถึงคราว HRM ขึ้นแท่น" ชี้ถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของวิชาชีพและความรู้ ตลอดจนทักษะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อันเป็นปัจจัยที่ยอมรับกันว่าสำคัญยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายและการแข่งขันต่างๆ
ในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย จนถือกันว่าเป็นยุค "สังคมฐานความรู้" [Knowledge Base] ชี้ให้เห็นว่าโลกยุคใหม่ที่คนทั้งโลกติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ภายในเครือข่ายไอที โดยเวลาและสถานที่ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ทำให้ปัจจัยด้าน "คน" กับ "ปัญญาความรู้" และทักษะความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ ถูกชูขึ้นเป็นหัวใจหลักของการสร้างประสิทธิภาพของการทำงาน และขับเคลื่อนองค์กรให้รุกเติบโตอย่างมั่นคง
ถึงวันนี้เห็นได้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินไปรวดเร็วและไม่หยุดยั้ง ทำให้องค์กรธุรกิจทั้งหลาย ต้องก้าวเดินไปสู่อนาคตด้วยยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ดังเช่น ยักษ์สีฟ้า ไอ บีเอ็ม ถึงกับตัดผลิตภัณฑ์การผลิต คอมพิวเตอร์บุคคล ให้ประเทศจีนผลิตแทน
หรือกระแสการตกลงการค้า FTA ทำให้อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่บางชนิด เช่น รถยนต์ สามารถสร้างเครือข่ายการผลิตไปยังหลายประเทศ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเศรษฐกิจตามภูมิภาค [Regionalized] มีความชัดเจน
สภาพโลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว และต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ภารกิจและหน้าที่ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในอนาคตที่ HR Professionals จะต้องสนใจและเตรียมตัวไว้ อาจสรุปได้ 9 มิติดังต่อไปนี้
1. หน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้น
ด้วยเหตุผลของการพัฒนาธุรกิจที่ก้าวข้ามประเทศทำให้ระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ถูกกระทบสูง โดยเฉพาะ ความมั่นคงในการทำงานอันเนื่องจากการขาดความรู้ซึ่งกลายเป็นปัญหาของพนักงานโดยตรง
2. ต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กร
3. นอกจากต้องเก่งและมีความรู้ด้าน HR อย่างดีแล้ว นักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องขยายการเรียนรู้ไปสู่แขนงอื่นๆ เพื่อให้สามารถรับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งองค์กร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ขยายไปกว้างทั่วองค์กร และในทุกจุดต่างมีปัจจัยเรื่อง "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
4. นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องถือเป็นธุระคอยติดตามสังเกต ลงมือริเริ่ม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร [Corporate Culture] เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป
เพราะนี่คือ "บุคลิกภาพขององค์กร" ที่มีอิทธิพลในการชักจูงคนให้เข้ามาทำงาน ทั้งยังหล่อหลอมความคิด และการกระทำของพนักงาน เนื่องจาก "วัฒนธรรม" เป็นเครื่องสะท้อนถึง "ภาพลักษณ์" และ "จุดเด่นขององค์กร" การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นบทบาทหน้าที่ของ HR Professionals โดยตรง
5.การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]
ด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้น
HR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"
6. HR ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากลักษณะวิชาชีพที่เป็นศิลปะ [Art] ให้เป็นการตัดสินใจที่เป็นศาสตร์ [Science] โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน มากกว่าการบรรยายความ หรือคาดคะเนกว้างๆ เพราะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันสูง และต้องมีการ "แข่งประสิทธิภาพ" ที่วัดผลได้จริง ทำให้การจัดการเรื่องคนต้องวัดประสิทธิภาพได้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน
7. นักบริหาร HR ต้องทำตัวเก่งและรับบทบาทในด้าน "การประสานและสร้างความร่วมมือ" [Collaboration and Cooperation] เพราะ การประสานความร่วมมือคือ "หัวใจขององค์กร" ในอนาคต การต้องรับหน้าที่สร้างกลไกการประสานและหลอมให้เข้ากัน และรวมพลังทำงานเป็นหนึ่งเดียว จะสำคัญยิ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ
8. นักบริหาร HR ต้องทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาด้านสังคม และตามทันนโยบายสาธารณะต่างๆ เพราะความเจริญของข่าวสารและกระแสความโปร่งใส ทำให้พลังของ Stakeholders กลุ่มต่างๆ แข็งแรงขึ้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันการถูกกระทบ จึงต้องมีคนคอยติดตามนโยบายสาธารณะ [Public Policy] และคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสังคมภายนอก ซึ่งนักบริหาร HR คือ ผู้เหมาะสมกับบทบาทด้านนี้มากที่สุด
9. ต้องบริหารในบริบทโลกได้ คือ นั่นคือ ผู้บริหาร HR จะต้องทำได้เสมอเหมือนผู้บริหารด้านอื่น โดยตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกสมัยใหม่ และสามารถประยุกต์การแก้ปัญหาให้ตรงกับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า "Live Globally, Act Locally" นั่นเอง
ทั้ง 9 มิติงานที่กล่าวนี้คือ บทบาทหน้าที่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคหน้า เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ และความสามารถในเชิงวิชาชีพที่สามารถขยายให้เทียบได้ หรือก้าวล้ำหน้าวิชาชีพอื่นๆ ในองค์กร ซึ่งโอกาสมีรออยู่แล้ว
ด้วยความจริงว่า "ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไว ปัญหาด้านคนจะกระโดดไปยืนรอการแก้ไขและจัดการอยู่ข้างหน้าเสมอ" ดังนั้นใครที่เก่งและมีความรู้ด้านคน จึงได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่า
"โลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว ต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"
Sony DNA
- Creative มีความคิดสร้างสรรค์ เชื่อว่าทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ปรับปรุงแนวคิดเดิม
- Globallzation โลกาภิวัฒน์ ต้องเข้าใจวิธีการทำงาน การติดต่อกับคนหลากหลายเชื้อชาติ
- Professionalism ความเป็นมืออาชีพ มีความรู้ความเข้าใจ ถ้ามีคำถามสามารถตอบได้ทันที มีผลงานที่ดีและความภาคภูมิใจที่จะเสนอขึ้นมา
- Communication การติดต่อสื่อสาร
- Curiosity ความสงสัยอยากเรียนรู้ สามารถเป็นแรงบันดาลใจได้ ให้เกิดแนวคิดที่ว่า อะไรเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นไปได้
Happy work life "การทำงานอย่างมีความสุข"
Businessmind ปลูกฝังความรู้เกี่ยวกับธุรกิจกับพนักงานเพราะมีการแข่งขันให้พนักงานมีความผูกพันกับบริษัท มองถึงจุดคุ้มทุน
Proactive Ation การทำงานเชิงรุก ต้องการให้พนักงานกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัด มองถึงวิธีการแก้ปัญหาOpportunity Organization ให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่
Positive Approach การเข้าไปจัดการในเชิงบวก กระตุ้นการทำงานเป็นทีมและในเรื่องของวัฒนธรรม
Innovative and creative นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์พิเศษคือ ต้องผ่านการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้ว เหมาะสมกับการปรับเปลี่ยน
Self learning เรียนรู้ด้วยตนเองเกิดขึ้นได้ด้วยใจ
Customer Oriented ลูกค้าต้องการอะไร บุคคลากรในองค์กรต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ ต้องฟังเสียงลูกค้า Ownership ความเป็นเจ้าของ มีความรับผิดชอบ เมื่อทำอะไรต้องให้ประสบผลสำเร็จ
ศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดและหลักการในการบริหารคนซึ่งมองการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในเชิงกลยุทธ์ ศึกษาการบูรณาการระหว่างกลยุทธ์ขององค์การและกลยุทธ์ของคนเข้าด้วยกัน โดยผ่านทางภารกิจหลักของการบริหารคน อันได้แก่ การวางแผนงานและการงางแผนคน การสรรหาและการคัดเลือก การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร การจ่ายค่าตอบแทนและการวางแผนอาชีพบุคลากร ศึกษาโดยประยุกต์ทั้งแนวคิดตะวันออก อันได้แก่ หลักปรัชญาของศาสนาพุทธ หลักคิดทางตะวันตกเข้าด้วยกัน จริยธรรม คุณธรรมของผู้บริหาร จะเป็นหัวใจที่สำคัญของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคใหม่ รวมทั้งการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต้องสามารถตอบสนองความพึงพอใจของประชาชน ลูกค้า รวมทั้งสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล
คอลัมน์ HR On Strategy
โดย ธาดา บุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ HRM Consulting Co., Ltd. โดยศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ www.sbdc.co.th
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน จากการที่ผมได้เข้ามาทำงานโดยอาศัยวิชาชีพทางการบริหารงานทรัพยากรบุคคล โดยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลให้กับองค์กรต่างๆ นั้น บ่อยครั้งที่จะมีเจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารของบางบริษัท ที่ยังไม่รู้จักระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล มักจะตั้งคำถามว่า ระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลนั้น มีหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างไรบ้าง และการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลในองค์กรหนึ่งๆ นั้น สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบกับประสิทธิภาพ หรือผลงานขององค์กรได้จริงหรือ
ดังนั้น ผมจึงถือโอกาสนี้ ในการหยิบยกประเด็นดังกล่าวข้างต้นมาเขียน เพื่อให้ท่านได้ทราบถึงความสำคัญของระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลในปัจจุบัน กล่าวคือ ถ้าท่านลองนึกถอยหลังไปนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างๆ นั้น เป็นที่ทราบกันอยู่โดยทั่วกันว่า ในระยะแรกสำหรับการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม ฝ่ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก คงหนีไม่พ้น ฝ่ายผลิต ที่มีหน้าที่ในการสร้างผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ได้คุณภาพ มาตรฐาน ตามที่องค์กรกำหนดไว้ หลังจากนั้นแล้ว ความสำคัญจะปรับเปลี่ยนมาอยู่ที่ ฝ่ายวิศวกร ในการพัฒนา ปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐานสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ดีขึ้น และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับบริษัท หลังจากประสิทธิภาพของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการผลิต อยู่ในระดับมาตรฐาน และคุณภาพที่บริษัทสามารถรับได้แล้ว บทบาทก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนความสำคัญมาอยู่ที่ฝ่ายขายและการตลาด ในการขายสินค้า เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งท่านคงจะพอสังเกตได้จากการทำงานในปัจจุบัน ที่ผู้บริหารของบริษัทบางแห่ง เมื่อต้องการจะให้ความสำคัญกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในช่วงระยะเวลาใด ก็มักจะมุ่งเน้นความสำคัญไปที่ฝ่ายงานนั้นๆ โดยขาดการคำนึงถึงระบบการบริหารงานขององค์กรโดยภาพรวม ซึ่งมักจะส่งผลเสียของการปฏิบัติงานโดยภาพรวมให้กับองค์กร
สืบจนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารที่ได้ให้ความสนใจกับฝ่ายงานต่างๆ แล้ว ก็มักจะพบว่า ปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานในองค์กรนั้นยังคงมีอยู่ และก็หมุนเวียนกันในการส่งผลกระทบที่มีต่อบริษัท เพราะต้นตอที่แท้จริงของปัญหาในองค์กร ยังไม่ได้ถูกปรับปรุงแก้ไข นั่นก็คือ คนที่ทำงานในตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กรนั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นที่มาของความสำคัญของระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล ซึ่งถือว่าเป็นการคำนึงถึงองค์กรโดยภาพรวม และต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง
ดังนั้น ระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลในปัจจุบันที่หลายๆ คนมักจะคุ้นหูกันว่า ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล จะต้องทำหน้าที่เป็น strategic partner ขององค์กรนั้น ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลจึงจำเป็นต้องสร้างบทบาท และปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลใหม่ ให้สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กร โดยอาศัยคนเป็นปัจจัยหลักในการบรรลุความสำเร็จขององค์กรนั้นมากกว่า ที่จะทำหน้าที่เป็นตำรวจคอยตรวจสอบ และลงโทษพนักงานที่กระทำความผิด หรือพนักงานธุรการ ที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ และจัดเตรียมเอกสารให้เป็นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น
ซึ่งบทบาทในฐานะ strategic partner ด้านระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล สามารถจำแนกออกเป็นประเด็นต่างๆ โดยคร่าวๆ เพื่อใช้สำหรับเป็นแนวทางในการบริหารได้ดังนี้
1.การถ่ายทอดวิสัยทัศน์ พันธกิจขององค์กร ซึ่งหมายถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจขององค์กร ตลอดจนเป้าหมายที่บริษัทต้องการให้บรรลุความสำเร็จนั้น ผู้ที่รับผิดชอบงานระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล จำเป็นต้องศึกษา ทำความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจขององค์กร และมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจขององค์กรด้วย เพื่อที่จะได้สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ หรือพันธกิจของบริษัทลงไปสู่ระดับบริหาร ตลอดจนพนักงานในระดับปฏิบัติการ เพื่อให้พนักงานทุกระดับมีความรู้ ความเข้าใจในทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท แนวทางในการบริหารงาน และกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยภาพรวมตลอดจนการกำหนดระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลให้ตอบสนองวิสัยทัศน์ พันธกิจขององค์กรได้อย่างชัดเจน
2.การส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบเน้นผลงาน ในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในเชิงธุรกิจ องค์กรต่างๆ ก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวเองให้ทันกับสถานการณ์การแข่งขันที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เรามักจะเห็นว่า หลายๆ องค์กรพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมในการทำงานขึ้นมาใหม่ ที่มักจะเรียกว่า วัฒนธรรมของการมุ่งเน้นที่ผลการทำงาน กล่าวคือ พยายามที่จะสร้าง หรือหล่อหลอมให้พนักงานทุกคนในองค์กรต้องตระหนัก และเห็นความสำคัญของผลงานมากกว่า การทำงานแบบสบายๆ เหมือนในอดีต ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบงานระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล ที่จะต้องสร้างระบบด้านการบริหารขึ้นมาสนับสนุนวัฒนธรรมดังกล่าว เช่น
- การกำหนดมาตรฐานในการวัดผลการปฏิบัติงานของตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กร เพื่อให้สามารถวัดผลการทำงานของพนักงานได้อย่างชัดเจน มากกว่าการใช้ความรู้สึกเป็นแนวทางในการวัดผลการปฏิบัติงาน หรือการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการประเมินผลการทำงานของพนักงาน
- การกำหนดระบบผลตอบแทนบนพื้นฐานของความสามารถในการปฏิบัติงาน เพื่อที่จะสามารถดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพเข้ามาทำงานกับบริษัท และกระตุ้นให้พนักงานแสดงศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ ตลอดจนเพื่อเก็บบุคลากรที่มีความสามารถให้ทำงานกับบริษัทต่อไปได้ในระยะยาว เป็นต้น ดังนั้น ระบบผลตอบแทน ควรที่จะขึ้นอยู่กับความสามารถของพนักงานมากกว่าอายุงาน หรือความสัมพันธ์ส่วนตัวอันเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานที่มีศักยภาพ และความสามารถ
- การกำหนดทิศทางในการพัฒนาพนักงานอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน อันส่งผลต่อการสร้างผลงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น
3.การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับองค์กร ซึ่งจะเป็นการมององค์กรโดยภาพรวมว่า องค์กรจะเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานได้อย่างไร ทั้งนี้ ผู้เขียนจะขอยกประเด็นที่เกี่ยวกับสภาพบรรยากาศการทำงานในองค์กร ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้บริหารของฝ่ายงานต่างๆ มักจะมุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตนเองเป็นหลัก พยายามจะแสวงหาวิธีในการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานอาจจะมาจากสภาพบรรยากาศการทำงานขององค์กรโดยภาพรวมที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อประสิทธิภาพในการทำงานก็เป็นได้ ดังนั้น ผู้ที่รับผิดชอบงานระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล จะต้องทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการปรับปรุง แก้ไข และเสนอแนะสภาพบรรยากาศการทำงานในองค์กร โดยพิจารณาในแง่มุมต่างๆ ดังนี้
- ความชัดเจนในการทำงาน
- มาตรฐานในการทำงาน
- ความยืดหยุ่นในการทำงาน
- ความรับผิดชอบตามตำแหน่งงาน
- การทำงานเป็นทีม
- ระบบผลตอบแทน
ซึ่งนับว่าเป็นประเด็นที่ระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลในปัจจุบัน จำเป็นต้องสร้างความชัดเจน และหาแนวทางในการพัฒนาประเด็นดังกล่าว อันถือว่าเป็นภาระหน้าที่หลัก ที่ส่งผลต่อบรรยากาศการทำงานภายในองค์กร และส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรโดยภาพรวมต่อไปด้วย
จากบทบาทของระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคลที่ทำหน้าที่เป็น strategic partner ให้กับองค์กรในประเด็นที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นโดยคร่าวๆ นั้น จะสังเกตเห็นได้ว่า สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กรในเชิงของประสิทธิภาพได้ค่อนข้างมาก และจากการที่ผมได้มีโอกาสในการพบปะกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ นั้น จะสังเกตเห็นได้เลยว่า ผู้บริหารขององค์กรท่านใด ที่ให้ความสำคัญกับระบบการบริหารงานทรัพยากรบุคคล องค์กรเหล่านั้น มักจะประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
การบริหารทรัพยากรมนุษย์(Human resouece Management) เราถือว่าคนเป็นสินทรัพย์(Asset)ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน(Cost) คณะกรรมการบริหารทรัพยากรมนุษย์(HRM) เป็นทีมคร่อมหน่วยงานที่ดูแลการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรให้สอดคล้องกับภารกิจของโรงพยาบาล โดยเราถือว่าคนเป็นสินทรัพย์(Asset)ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน(Cost) เราจึงพยายามที่จะพัฒนาคนที่เรามีอยู่ให้มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานให้โรงพยาบาลได้อย่างมีคุณภาพ โดยมี 4 กิจกรรมเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ในโรงพยาบาล คือ
1. การสรรหา ประกอบด้วยการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคัดเลือกพนักงาน การกำหนดสมรรถนะของพนักงาน (Competency) การลดหรือเพิ่มพนักงาน
2. การพัฒนา ประกอบด้วยการพัฒนาบุคคลหรือการพัฒนาตนเอง (Individual development : ID) การฝึกอบรมและการพัฒนา (Training &Development) การพัฒนาองค์การ(Organizational development :OD) การวางแผนและการพัฒนางานอาชีพ (Career development :CD) โดยใช้วิธีการพัฒนาที่เรียกว่า Four Learning & Four Thinking
3. การรักษาไว้ ประกอบด้วยเรื่องการจูงใจ สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน การประเมินค่างานและการจำแนกตำแหน่ง เงินเดือนค่าจ้างและผลประโยชน์เกื้อกูล สิทธิวินัยและการอุทธรณ์ร้องทุกข์และแรงงานสัมพันธ์
4. การใช้ประโยชน์ ประกอบด้วยการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management :PM) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal) การประเมินบุคคล (Personal Appraisal)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อระบบราชการไทยใสสะอาด |
การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคล 1. การจัดทำใบพรรณาลักษณะงาน (Job Description) ที่เป็นมาตรฐาน · องค์กรจะได้ใบกำหนดหน้าที่งานของตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กรที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐาน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบงานบริหารบุคคลขององค์กร เช่น การสรรหาคัดเลือกพนักงาน การประเมินค่างาน การบริหารค่าตอบแทน ฯลฯ เป็นต้น · ผู้บริหาร หัวหน้างาน พนักงานได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด วิธีการ ในการจัดทำใบกำหนดหน้าที่งานที่ถูกต้อง ตลอดจนการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานประจำวัน 2. การจัดทำใบพรรณาลักษณะงาน ที่มีตัวชี้วัดผลสำเร็จของงาน (Job Description with KPI) · องค์กรจะได้ใบกำหนดหน้าที่งานที่มีตัวชี้วัดผลสำเร็จของงาน (KPI) ของตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กร ซึ่งจะช่วยให้เกิดความชัดเจนในเรื่องเป้าหมาย ความคาดหวัง ในการทำงาน ต่างๆ ของพนักงาน ตลอดจนการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงาน · การมี JD with KPI จะช่วยให้การทำงานของพนักงานทุกตำแหน่งงาน ทุกระดับ ทุกฝ่ายในองค์กรมีเป้าหมายที่ชัดเจนไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกับเป้าหมายแผนการดำเนินงานขององค์กร 3. การประเมินค่าตำแหน่งงาน (Job Evaluation) และการจัดระดับตำแหน่งงาน (Job Grading) · ทำให้ทราบว่าค่าตำแหน่งงานของตำแหน่งงานต่างๆ ภายในองค์กร ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดระดับตำแหน่งงาน การบริหารค่าจ้าง สวัสดิการ ตามความ · การกำหนดแผนความก้าวหน้าในวิชาชีพ Career Plan ของพนักงานตำแหน่งงานต่างๆ ในองค์กร ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม 4. การจัดทำ ปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนพนักงาน (Salary Structure) · องค์กรจะได้โครงสร้างเงินเดือนที่เหมาะสมกับโครงสร้างขององค์กรเป็นปัจจุบัน สอดคล้องกับตลาดแรงงานในอุตสาหกรรม/ธุรกิจประเภทเดียวกัน และหรือในท้องถิ่นเดียวกัน · สามารถบริหารค่าตอบแทน เงินเดือน สวัสดิการพนักงานในระดับต่างๆได้อย่างเหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบ และความสำคัญของแต่ละตำแหน่งงาน 5. การสำรวจ กำหนด Competency ในองค์กร และการประยุกต์ใช้ประโยชน์ · องค์กรจะได้ Core Competency และ Functional Competency ของตำแหน่งงานต่างๆ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพในทุกๆด้าน เช่น การสรรหาพนักงาน การกำหนดค่าตำแหน่งงาน การประเมินผลการปฏิบัติงาน การวางแผนความก้าวหน้าในวิชาชีพ ตลอดจนการจัดทำแผนการพัฒนาพนักงาน · ผู้บริหาร และหัวหน้างานขององค์กรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Competency และแนวคิด วิธีการนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลทุกๆ ด้าน ขององค์กร 6. การพัฒนาระบบ วิธีการสรรหา และคัดเลือกพนักงาน (Recruitment & Selection System) · พัฒนาระบบ วิธีการสรรหา คัดเลือกพนักงานขององค์กรให้มีขั้นตอน วิธีการที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับหน้าที่งาน และประเภทการดำเนินธุรกิจ · สามารถรับบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ มีทัศนคติที่เหมาะสม สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีบุคลิก ลักษณะนิสัยที่สอดคล้องกับค่านิยม วัฒนธรรมขององค์กร 7. การสำรวจหาความจำเป็น และจัดทำแผนฝึกอบรม พัฒนาพนักงาน (Training Need & Plan) · องค์กรจะได้แผนการฝึกอบรม พัฒนาพนักงานที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจ และตรงกับความต้องการของพนักงาน หัวหน้างาน ผู้บริหารในการที่ต้องการได้รับการพัฒนาเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนการดำเนินธุรกิจขององค์กร ทั้งในปัจจุบัน และพร้อมต่อการแข่งขันในอนาคต · พัฒนาความรู้ ทักษะของผู้บริหารและฝ่ายบุคคลที่เกี่ยวข้องในการสำรวจ และจัดทำแผนพัฒนาพนักงานประจำปี ให้สามารถจัดทำได้ด้วยตนเองในปีต่อๆ ไป 8. การจัดทำ ปรับปรุง ระเบียบข้อบังคับการทำงาน หรือคู่มือพนักงาน · องค์กรจะได้ระเบียบข้อบังคับการทำงานของบริษัทฯ ที่เหมาะสมกับประเภท ลักษณะการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนสอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ ของกฎหมายแรงงานที่เกี่ยวข้อง · พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ของผู้บริหาร และหัวหน้างานทุกระดับในองค์กรในการที่จะดูแลพนักงานตามแนวทางปฏิบัติที่ระเบียบข้อบังคับฯ กำหนด ให้เป็นไปนทิศทางเดียวกัน และอย่างมีประสิทธิภาพ 9. การจัดทำระเบียบบริหารค่าจ้างหรือเงินเดือนของพนักงาน( Salary Management Guidelines) · เพื่อช่วยให้องค์กรมีนโยบาย แนวทาง ระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจนในการที่จะ บริหารค่าจ้างเงินเดือนพนักงานในกรณีต่างๆ เช่น การกำหนดอัตราค่าจ้างเริ่มต้น การปรับค่าจ้างประจำปี การปรับค่าจ้างกรณีเลื่อนตำแหน่งงาน การปรับค่าจ้างเป็นกรณีพิเศษ เป็นต้น · พัฒนาความรู้ ความเข้าใจของผู้บริหาร และหัวหน้างาน ในการที่จะดูแล บริหารค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานให้เป็นไปตามนโยบาย แนวทางที่กำหนด เพื่อให้พนักงานได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบ ความสามารถ และเป็นธรรม 10. การพัฒนาระบบประเมินผลการประเมินปฏิบัติงานของพนักงาน (Performance Management) · จัดทำแบบประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานที่เหมาะสมกับพนักงานในแต่ละระดับ ขั้นตอนวิธีการ ตลอดจนจัดทำคู่มือการประเมินผลการปฏิบัติงานไว้ให้ใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการระบบประเมินผลการปฏิบัติบัติงานภายในองค์กรต่อไป · พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ในแนวคิด ความสำคัญของการประเมินผลการปฏิบัติงานโดยทั่วไป ตลอดจนความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานขององค์กรที่ได้จัดทำขึ้น 11. การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และวิทยากรภายในบริษัท · องค์กรมีวิทยากรภายในที่มีทักษะในการถ่ายทอดที่ดี · มีคู่มือผู้สอนสำหรับหลักสูตรภายใน · บริษัทได้หลักสูตรมาตรฐานของบริษัท ประมาณ 5 - 6 หลักสูตร และมีวิทยากรภายในประจำ 12. การสร้างค่านิยม วัฒนธรรมองค์กร (Core Value, Organization Culture) |
การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์กับการบริหารทรัพยากรบุคคล
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยยึดหลักสมรรถนะ (Competency Based Human Resource Development) มาใช้ในระบบการสรรหาผู้บริหารระดับสูง (SES) ในระบบราชการไทยและกำหนดสมรรถนะของข้าราชการที่จะสรรหาในอนาคตเพื่อระบบราชการไทยใสสะอาด
ความหมายสมรรถนะ (Competency)
David Mc Clelland สมรรถนะCompetency คือ บุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายในปัจเจกบุคคลซึ่งสามารถผลักดันให้ปัจเจกบุคคลนั้นสร้างผลการปฏิบัติงานที่ดีหรือตามเกณฑ์ที่กำหนดในงานที่ตนรับผิดชอบ
Scott Parry สมรรถนะ คือ องค์ประกอบ (Cluster) ของความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และทัศนคติ (Attitudes) ของปัจเจกบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อผลสัมฤทธิ์ของการทำงานของบุคคลนั้นๆเป็นบทบาทหรือความรับผิดชอบซึ่งสัมพันธ์กับผลงานและสามารถวัดค่าเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานและสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกอบรม
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สมรรถนะ คือ กลุ่มของความรู้ความสามารถทักษะตลอดจนทัศนคติที่จำเป็นในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุณลักษณะของบุคคลที่มีผลต่อพฤติกรรมและผลของการปฏิบัติงาน ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ส่วนหนึ่งประกอบขึ้นจากทักษะความรู้ ความสามารถ ทัศนคติ บุคลิกภาพ ค่านิยมของบุคคล หรือพฤติกรรมของผู้ที่มีผลการปฏิบัติงานยอดเยี่ยมในงานหนึ่งๆ
Hay Group. สมรรถนะ คือ ชุดของแบบแผนพฤติกรรมความสามารถ (และคุณลักษณะ) ที่ผู้ปฏิบัติงานควรมีในการปฏิบัติหน้าที่ให้ประสบผลสำเร็จ สำหรับนำมาใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคล การบริหารงานและการพัฒนาองค์การ เพื่อให้สมาชิกขององค์กรได้พัฒนาตนเองเพื่อให้ปฏิบัติงานในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่องค์กรต้องการ
สรุปได้ว่าสมรรถนะ Competency คือ ความรู้ ทักษะ และพฤตินิสัยที่จำเป็นต่อการทำงานของบุคคลให้ประสบผลสำเร็จสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge) คือสิ่งที่องค์กรต้องการให้ "รู้" เช่น ความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย
2. ทักษะ (Skill) คือสิ่งที่องค์กรต้องการให้ "ทำ" เช่น ทักษะด้านเทคโนโลยีการบริหารสมัยใหม่ เป็นสิ่งที่ต้องผ่านการเรียนรู้ และฝึกฝนเป็นประจำจนเกิดเป็นความชำนาญในการใช้งาน
3. พฤตินิสัยที่พึงปรารถนา (Attributes) คือสิ่งที่องค์กรต้องการให้ "เป็น" เช่น ความใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ ความรักในองค์กร และความมุ่งมั่นในความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้จะอยู่ลึกลงไปในจิตใจ ต้องปลูกฝังสร้างยากกว่าความรู้และทักษะแต่ถ้าหากมีอยู่แล้วจะเป็นพลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรมที่องค์กรต้องการ
David McClelland ได้เปรียบเทียบความหมายของสมรรถนะไว้ในหนังสือ The Competency Foundation โดยอธิบายบุคลิกลักษณะ (Characteristic) ของคนเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง
การกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือน
ค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงาน
เงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม
1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน
- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน
- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย
- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน
- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้
- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ
- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก
- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น
- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ
- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป
3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน
- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน
- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน
- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น
4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้
- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น
- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ
- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้น
การแสวงหาบุคคล
หลักการแสวงหาบุคคลเข้ามาทำงานคือหาคนดีมีความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Find the best man available) ทั้งนี้ โดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเสมอภาค การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องกระทำอย่างมีมาตรฐาน เช่น สอบตำแหน่งเดียวกันควรจะยากง่ายเท่าๆกัน เป็นต้น
กระบวนการในการรับคนเข้าทำงานนี้เรามักเรียกรวมกันไปว่า การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน แต่ที่จริงแล้วแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การสรรหา การเลือก และการบรรจุ
การสรรหา
การสรรหา (recruitment) เริ่มจากการปิดประกาศชักชวนให้ผู้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการมาสมัครให้มากที่สุด สำหรับประเทศไทย ไม่มีปัญหาในเรื่องชักชวนให้คนมาสมัครเข้ารับราชการ แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ คนไม่นิยมเข้ารับราชการแม้ว่าจะมีเงินเดือนดี มีความก้าวหน้า และมีความมั่งคง ดังนั้นจึงต้องมีการโฆษณาชักจูงโดยวิธีการต่างๆ คือส่งคนไปตามโรงเรียนและวิทยาลัยต่างๆ ชี้แจงให้เห็นว่างานราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร การสรรหามักทำเป็นกระบวนการดังนี้
1. เสาะแสวงหาแหล่งผู้มีความรู้ เช่น ในสถานศึกษาต่างๆ ในบริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนในกระทรวงทบวงกรมอื่นแล้วรวบรวมทำบัญชีชื่อไว้
2. ชักจูงให้มาสมัครโดยวิธีต่างๆ เช่น ส่งคนไปชักชวน ปิดประกาศรับสมัครไว้ในที่ชุมนุมชน ที่สถานศึกษา โฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จดหมาย ส่งประกาศรับสมัครไปยังผู้มีความรู้ตาที่รวบรวมชื่อไว้ในขั้นที่ 1
โดยวิธีสรรหาดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปิดวงเลือกให้กว้าง อันเป็นหลักสำคัญของการสรรหา จะทำให้ได้คนที่ดีมีความรู้ความสามารถมาสมัครมากๆ เพื่อจะได้พิจารณาเลือกเอาคนดีที่สุดเหมาะสมที่สุดในขั้นต่อไป
การเลือก
การเลือก (selection) เป็นกระบวนการขั้นต่อเนื่องจากการสรรหา มีวัตถุประสงค์ในการคัดเอาคนดีและเหมาะสมที่สุดมาทำงาน คนอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ดีและเหมาะสมที่สุดนั้นมีอยู่ 2 แนวความคิดดังนี้
แนวความคิดฝ่ายที่หนึ่ง มีทัศนะว่าคนที่มีหัวดี มีแววดี ฝึกให้ทำอะไรก็จะทำได้ดีทั้งนั้น ถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่ตัวตน จึงสรรหาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา มีหัวมี มีแววดี มีความรู้ทั่วไปกว้างขวาง รอบรู้เฉลียวฉลาดมาทำงานตั้งแต่ขั้นต้นๆ แล้วจัดการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไปในอนาคต การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น เจเนอรัลลิสต์ (generalist) โดยสรรหาคนที่ยังไม่ต้องเป็นงานมาฝึกเพื่อใช้งานในอนาคต เป็นการสรรหาคนก่อนมีประสบการณ์เข้ามาหาประสบการณ์ในองค์การ
แนวความคิดดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์และมีระบบขุนนาง จึงสรรหาคนมาเป็นลูกหม้อตั้งแต่ขั้นต้นๆ และพัฒนาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดียวตลอดชีวิตเป็นอาชีพในทางนั้นๆ ไปเลย
แนวความคิดฝ่ายที่สอง มีทัศนะว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างไม่ได้แต่ละคนจะถนัดแต่ละอย่าง และถ้าฝึกคนให้ทำได้หลายอย่างก็จะไม่เก่ง จึงต้องสรรหาคนมาให้เหมาะสมกับงานโดยถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่งาน จึงกำหนดคุณวุฒิที่ต้องการสำหรับแต่ละงานไว้แล้วสรรหาคนที่มีคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้นั้นมาทำงานเฉพาะอย่าง การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น สเปเชียลลิสต์ (specialist) โดยสรรหาคนที่เป็นงานแล้วมีประสบการณ์มาทำงาน
แนวความคิดหลังนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีความเจริญทางธุรกิจ จึงสรรหาคนที่เป็นงานและมาทำงานเฉพาะกิจ สรรหาคนมาจากนอกองค์การเข้ามาทุกระดับไม่จำกัดอายุ การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้ต้องทำกันบ่อยมาก เพราะจะมีคนย้ายงานโดยถูกดึงตัวกันไปมาอยู่เรื่อยๆ
เมื่อได้สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครแล้ว จากนั้นก็ดำเนินการเลือกให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้
1. การตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติการศึกษาตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น เคยต้องโทษ เป็นโรคติดต่อต้องห้าม เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เป็นต้น
2. วัดความรู้ความสามารถ มีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือการสอบ ซึ่งแยกเป็นสอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ บางองค์การอาจพิจารณาจากประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานเดิม นอกจากนี้ ก็อาจวัดความรู้ความสามารถโดยการคัดเลือกเพื่อประเมินคุณภาพบุคคลว่าเหมาะสมที่จะรับเข้าทำงานหรือไม่ การคัดเลือกอาจพิจารณาเฉพาะบุคคลเดียวหรือคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลก็ได้
มีข้อสังเกตว่าวิธีการคัดเลือกนั้นเป็นวิธีที่อาจนำไปสู่ระบบอุปถัมภ์หรือเล่นพวกได้ง่าย จึงไม่นิยมใช้ เว้นแต่กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสูงและสำคัญ โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้วิธีการสอบซึ่งเป็นวิธีวัดคนได้ดีที่สุดสะดวกที่สุด และเป็นธรรมที่สุดในขณะนี้
3. การสัมภาษณ์ เป็นการเรียกผู้สมัครมาพบพูดคุยเพื่อดูบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทาง การพูดจา ตลอดจนดูไหวพริบและเชาวน์ปัญญา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทัศนคติ บางตำแหน่งอาจไม่ต้องวัดความรู้ความสามารถเพียงแต่เชิญมาสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะผู้ผ่านงานมามากหรือผู้ที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน
4. การตรวจสอบคุณภาพ เพื่อกลั่นกรองเอาแต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยให้แพทย์เป็นผู้ตรวจโดยตรง เช่น ตรวจเลือด ตรวจโรคเอดส์ ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องการผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้คัดเลือกได้คนที่เหมาะสม
5. การให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรร กล่าวคือ เมื่อเลือกได้คนมาแล้วก็ให้ทดลองทำงานจริงๆ สักชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าพิสูจน์ตนเองว่าทำงานได้ ความประพฤติดี จึงจะรับไว้เป็นการถาวร
การบริหารทุนมนุษย์
ในปัจจุบัน องค์กรหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ “ คนเก่ง ” ภายในองค์กร เนื่องจากการเจริญเติบโตทางธุรกิจขององค์กรส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้ “ คนเก่ง ” ในการเข้าจัดการกับปัญหาและกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขัน “ การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)” เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จาก “ คน ” ให้มีคุณค่าสูงสุดแก่องค์กร Jeffrey Berk (2004, Talent Management : Valuing Human Capital) กล่าวว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เปรียบเช่นเดียวกับการลงทุนในทรัพยากรอื่น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ศิลปะและกลยุทธ์ ดำเนินการสรรหา คัดเลือก และบรรจุบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมให้ปฏิบัติงานในองค์การพร้อมทั้งสนใจการพัฒนาธำรงรักษาให้สมาชิกที่ปฏิบัติงานในองค์การเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ มีสุขภาพและสุขภาพจิตที่ดี ในการทำงาน
สรุป การจัดการบุคลากรกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่การบริหารทุนมนุษย์จะเป็นการบริหารคนเก่งในการทำงาน
การบริหารงานบุคคล (Personal Management) คือ การจัดการเกี่ยวกับคน เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรง เป็นการบริหารคนให้ทำงาน เพื่อประโยชน์ขององค์กรและตัวบุคคล
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การและพฤติกรรม การสรรหาและการคัดเลือก แรงงานสัมพันธ์ การบริหารค่าจ้างและเงินเดือน การฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จิตวิทยาอุตสาหกรรมและการสร้างแรงจูงใจ เพื่อประโยชน์ขององค์กร และตัวบุคคลด้วย การประชาสัมพันธ์ขององค์กรธุรกิจ สัมมนาปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ การบริหารสวัสดิการและประกันสังคม การเจรจาต่อรองและนโยบายของประเทศ การบริหารสวัสดิการและประกันสังคม การเจรจาต่อรองและนโยบายของรัฐ และสัมมนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. การจ้างคนไม่เหมาะสมกับงาน
2. อัตราการออกจากงานสูง
3. การพบว่าพนักงานไม่ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุด
4. การเสียเวลากับสัมภาษณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์
5. ทำให้บริษัทต้องขึ้นศาลเนื่องจากความไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
6. ทำให้บริษัทถูกฟ้องจากการจัดสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
7. การทำให้พนักงานคิดว่าเงินเดือนที่เขาได้รับไม่ยุติธรรม
8. ไม่ยอมให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนา ซึ่งเป็นการทำลายประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหน่วยงาน
9. การกระทำที่ไม่ยุติธรรมและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพนักงาน
“คน คือ ทรัพยากรอันมีค่าที่หายากที่สุด” ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน เป็นยอดปรารถนาของทุกองค์กร และทุกองค์กรต้องอาศัย “พนักงาน” ในการดำเนินกิจกรรมทั้งหมดให้ได้กำไร อยู่รอด และเจริญก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth ) ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผู้บริหาร / ผู้บังคับบัญชาทุกคนทุกระดับชั้นในองค์กร พึงหันมาให้ความสนใจ ทุ่มเทอย่างจริงจังในการ “พัฒนาและรักษาทรัพยากรบุคคล” ขององค์กรทุกคนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้เป็น “ต้นทุน” ที่เหมาะสมที่สุดของการประกอบธุรกิจตลอดเวลา
ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนในมนุษย์กับผลสำเร็จที่เกิดขึ้น ซึ่งกรอบความคิดด้านทุนมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากกรอบความคิดในอดีตจนกระทั่งในปัจจุบันที่มีความแตกต่างกันในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (อ้างถึงในหนังสือ Investing in Your Company’s Human Capital เขียนโดย Jack J. Phillips ปี 2005)
ดรอบความคิดแบบเดิม |
กรอบความคิดแบบใหม่ |
ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นต้นทุน (Cost) ที่เกิดขึ้น |
ทุนมนุษย์มองไปที่ค่าใช้จ่าย ถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่า (Value) ในตัวคนให้เกิดขึ้น |
ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่า เป็นงานสนับสนุน (Support Function) |
ฟังก์ชั่นงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถูกรับรู้ว่าเป็นหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ขององค์กร (Strategic Partner) |
งบประมาณด้านทรัพยากรมนุษย์จะถูกกำหนดขึ้นจากหน่วยงาน ที่รับผิดชอบด้านทรัพยากรบุคคลเท่านั้น |
ผู้บริหารระดับสูงจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดงบประมาณด้าน ทรัพยากรมนุษย์ |
ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลในองค์กร |
ทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่จะต้องถูกบริหารจัดการโดยผู้บริหารระดับสูงในองค์กร |
มีความพยายามที่จะทำความเข้าใจถึงผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน (ROI : Return on Investment) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น |
ROI ถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญโดยจะต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสาเหตุแลผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (Cause - and - Effect Relationships) |
ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่มีอยู่เท่านั้น |
ทุนมนุษย์จะถูกวัดและประเมินได้จากข้อมูลที่จำเป็นจะต้องเก็บรวบรวมให้มีขึ้น |
โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยไม่ได้คำนึงถึงการตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร |
โปรแกรมด้านการบริหารบุคลากรในองค์กรถูกออกแบบขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการเฉพาะขององค์กร ก่อนที่โปรแกรมนั้นจะ ถูกนำไปประยุกต์ใช้ทั่วทั้งองค์กร |
โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากสิ่งที่ ได้ดำเนินการ โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยนำเข้า (Input) มากกว่า |
โปรแกรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับทุนมนุษย์ จะถูกรายงานผลจากผลผลิตที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยด้านผลลัพธ์ (Output) มากกว่า |
ภารกิจและหน้าที่ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในอนาคตที่ HR Professionals จะต้องสนใจและเตรียมตัวไว้ อาจสรุปได้ 9 มิติดังต่อไปนี้
1. หน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้น
2. ต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กร
3. นอกจากต้องเก่งและมีความรู้ด้าน HR อย่างดีแล้ว นักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องขยายการเรียนรู้ไปสู่แขนงอื่นๆ เพื่อให้สามารถรับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งองค์กร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ขยายไปกว้างทั่วองค์กร และในทุกจุดต่างมีปัจจัยเรื่อง "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
4. นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องถือเป็นธุระคอยติดตามสังเกต ลงมือริเริ่ม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร [Corporate Culture] เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป
5. การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]
HR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"
6. HR ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากลักษณะวิชาชีพที่เป็นศิลปะ [Art] ให้เป็นการตัดสินใจที่เป็นศาสตร์ [Science] โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน มากกว่าการบรรยายความ หรือคาดคะเนกว้างๆ เพราะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันสูง และต้องมีการ "แข่งประสิทธิภาพ" ที่วัดผลได้จริง ทำให้การจัดการเรื่องคนต้องวัดประสิทธิภาพได้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน
7. นักบริหาร HR ต้องทำตัวเก่งและรับบทบาทในด้าน "การประสานและสร้างความร่วมมือ" [Collaboration and Cooperation] เพราะ การประสานความร่วมมือคือ "หัวใจขององค์กร" ในอนาคต การต้องรับหน้าที่สร้างกลไกการประสานและหลอมให้เข้ากัน และรวมพลังทำงานเป็นหนึ่งเดียว จะสำคัญยิ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ
8. นักบริหาร HR ต้องทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาด้านสังคม และตามทันนโยบายสาธารณะต่างๆ เพราะความเจริญของข่าวสารและกระแสความโปร่งใส ทำให้พลังของ Stakeholders กลุ่มต่างๆ แข็งแรงขึ้น
9. ต้องบริหารในบริบทโลกได้ คือ นั่นคือ ผู้บริหาร HR จะต้องทำได้เสมอเหมือนผู้บริหารด้านอื่น โดยตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกสมัยใหม่ และสามารถประยุกต์การแก้ปัญหาให้ตรงกับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า "Live Globally, Act Locally" นั่นเอง
ทั้ง 9 มิติงานที่กล่าวนี้คือ บทบาทหน้าที่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคหน้า เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ และความสามารถในเชิงวิชาชีพที่สามารถขยายให้เทียบได้ หรือก้าวล้ำหน้าวิชาชีพอื่นๆ ในองค์กร ซึ่งโอกาสมีรออยู่แล้ว
HR Scorecard คืออะไร และใช้ทำอะไร
• เครื่องมือสำหรับประเมินผลการบริหารงานด้านทรัพยากรบุคคลโดยรวม
• เครื่องมือช่วยให้ได้พัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคลให้สูงขึ้น อย่างเป็นระบบและครอบคลุมทุกด้าน
• เป็นแนวทางในการปรับบทบาทการบริหารทรัพยากรบุคคล ให้สอดคล้องกับพันธกิจและยุทธศาสตร์ของส่วนราชการ
• เตรียมความพร้อมสำหรับการมอบ/กระจายอำนาจ และบูรณาการการบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งในระดับนโยบาย ยุทธศาสตร์ และปฏิบัติการ ให้มีความประสานสอดคล้องกัน
HR Scorecard: เครื่องมือสำคัญในการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์
• จุดเน้นประการหนึ่งก็คือ เมื่อมีการการกระจายอำนาจด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลและแบ่งแยกบทบาทของ HRM ออกเป็นสามระดับแล้ว จึงจำเป็นต้องมีกลไกที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของระดับต่างๆ เพื่อติดตามให้การบริหารทรัพยากรบุคคลในภาพรวม
• กลไกสำหรับเชื่อมโยงระดับต่างๆและติดตามการบริหารทรัพยากรบุคคล ที่จะนำเสนอต่อไป คือ การใช้ HR Scorecard หรือการประเมินสมรรถนะระบบบริหารทรัพยากรบุคคล
โดยสรุป HR Scorecard จะเป็นทั้ง
• ตัวกำหนดกรอบยุทธศาสตร์การบริหารทรัพยากรบุคคล
• ตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกลางบริหารทรัพยากรบุคคล
• เครื่องมือในการติดตามประเมินผลการบริหารทรัพยากรบุคคล
ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข้งด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และส่งเสริมให้การกระจายอำนาจด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและประสบความสำเร็จ
แนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์
1. การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) โดยคำนึงถึง ตำแหน่ง, จำนวน, คุณสมบัติและ
ความสามารถเฉพาะ, ประสบการณ์, ขอบเขตงาน
2. การวางแผนกำลังคน (Manpower Planing) คาดคะเนความต้องการกำลังคนของธุรกิจ
ล่วงหน้าเพื่อเตรียมจัดหาและพัฒนา โดยจะต้องวิเคราะห์ 2 ด้านคือ ด้านคุณภาพและปริมาณทั้งงานและคน
3. การสรรหาพนักงาน (Recruitment) คือการค้นหาบุคคลที่มีความสามารถมาทำงาน เช่น ใน
องค์การ หรือภายนอกองค์กร
4. การคัดเลือก (Selection) เป็นกระบวนการพิจารณาความรู้ความสามารถและความ
เหมาะสมของผู้สมัคร มีดังนี้
- การรับสมัคร
- การสัมภาษณ์ขั้นต้น เพื่อคัดเลือกบุคคลที่ไม่เหมาะสมออก
- การกรอกแบบฟอร์มใบสมัคร การให้ข้อมูลต่างๆ ตามที่องค์กรต้องการ
- การคัดเลือก ทดสอบต่าง ๆ
- การสอบประวัติ หาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้สมัคร
- การตรวจสอบทางด้านร่างกาย
- การบรรจุแต่งตั้ง อาจให้ทดลองปฏิบัติงาน
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา (Training and Development)
6. การจูงใจ (Motivation) เป็นสิ่งเร้ากระตุ้นเพื่อชักนำพฤติกรรมของบุคคลให้เกิดการปฏิบัติ
ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งมี 3 วิธี คือ
- ด้วยค่าตอบแทน เช่น ค่าจ้าง โบนัส
- รางวัลตอบแทนที่ตีค่าเป็นเงินได้ การเลื่อนขั้น, ตำแหน่ง
- รางวัลตอบแทนที่ไม่ใช่เงิน เช่น การยกย่องชมเชย
7. การจ่ายค่าตอบแทน (Compensation) ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ค่าตอบแทนที่เป็น
เงิน , ในรูปการจูงใจ โบนัส, ในรูปประโยชน์เกื้อกูลต่าง ๆ ค่ารักษาพยาบาล ค่าพาหนะ
8. การส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัย (Health and Safety) การดูแลสุขภาพ, การดูแลให้
มีการทำงานที่ปลอดภัย
9. วินัยและการร้องทุกข์ (Discipline and Grievance) เพื่อกำกับดูแลให้พนักงานปฏิบัติตาม
ข้อบังคับและขจัดความขัดแย้งในการทำงานร่วมกัน
10. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal) ทำหลังจากรับพนักงานเข้าทำงาน
แล้วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นกระบวนการในการตีค่าตัวบุคคลในด้านการปฏิบัติงานและพัฒนายิ่งขึ้น ปัจจัยในการประเมินคือ คุณภาพของงานและความประพฤติของผู้ปฎิบัติงาน
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำโครงการศูนย์บริหารเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะด้านการจัดการทุนมนุษย์ (Knowledge Hub on Human Capital Management)โดยเชิญ ม.ร.ว. ปริดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาการแห่งประเทศไทยและกรรมการ ก.พ. ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของงานบริหารทรัพยากรมนุษย์และกระแสสังคมไทย” เพื่อกระตุ้นให้สังคมและองค์กรต่าง ๆ เกิดความตื่นตัว เห็นความสำคัญของการพัฒนาทุนมนุษย์ผ่านช่องทางกิจกรรมการแลกเปลี่ยนบทเรียน ประสบการณ์ทำงาน และความคิดเห็นระหว่างกัน เกิดการการพัฒนา และบริหารจัดการทุนมนุษย์อย่างจริงจัง
ทรัพยากรมนุษย์ (Human resource) เป็นบุคคลซึ่งมีความพร้อม มีความจริงใจ และสามารถที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ หรือเป็นบุคคลในองค์การที่สามารถสร้างคุณค่าของระบบการบริหารงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ดังนั้นองค์การจึงมีหน้าที่ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ปฏิบัติงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ซึ่งต้องใช้การวางแผนเชิงกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์เข้ามาช่วย
(3).เป็นกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อจัดหาความร่วมมือกับทรัพยากรมนุษย์ขององค์การ (Byars and Rue. 1997 : 4) (4).เป็นหน้าที่หนึ่งขององค์การซึ่งทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจากการใช้พนักงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การและเป้าหมายเฉพาะบุคคล(Ivancevich. 1998 : 708)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำงาน (Human resource management at work) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องกระทำเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในองค์การสามารถทำงานได้อย่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนเพื่อความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าขององค์การ ผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ควรจะศึกษาในประเด็นต่างๆดังนี้
1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์คืออะไร (What is human resource management)
2. ทำไมการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อผู้บริหารทุกคน (Why is human resource management important to all managers
3. ลักษณะขอสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษาของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Line and staff aspects of human resource management)
4. อำนาจหน้าที่ของสายงานหลักเทียบกับสายงานที่ปรึกษา (Line versus staff authority)
5. หน้าที่ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารตามสายงานหลัก(Linemanager’shumanresource management responsibilities)
6. ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของแผนกทรัพยากรมนุษย์ (Human resource department’s human resource management responsibilities)
7. ความร่วมมือของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษา(Cooperative line and staff human resource management)
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)*
*การสร้างขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์ให้กับองค์กร
(Build Strategic capability)
*ขีดความสามารถในการสร้างคุณค่าจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในองค์กร
The capacity to create value based on intangible assets of the firm.
ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง ทุนความสัมพันธ์
• สินทรัพย์ซึ่งจับต้องไม่ได้ เป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กร
(It is intangible assets that will make the difference in which firms
succeed and which fail.)
• ขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์ คือ ความพร้อมในปัจจุบันและความสามารถ
ในการปรับตัวในอนาคต (Strategic capability is a readiness for
the present and an ability to adapt in the future)
2.ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทุนมนุษย์
q ความหมายของทุนมนุษย์ (Human Capital)
q ทุนมนุษย์กับการสร้างสมรรถนะความสามารถเชิงกลยุทธ์ (Strategic Capabilities)
q การลงทุนและผลตอบแทนการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล (Human Capital Investment and ROI)
q การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Capital Scorecard)
3.ทุนมนุษย์
• องค์ประกอบโดยรวมของความรู้ ทักษะ ค่านิยมและประสบการณ์ซึ่งจัดเป็นสมรรถนะและขีดความสามารถของกำลังคนในองค์กรนั้นๆ
• ‘ that which go home with employees at night’
4.สิ่งที่ส่วนราชการควรดำเนินการเพื่อความมีประสิทธิภาพของการบริหารทรัพยากรบุคคล
• ระบบงาน
– จัดระบบการทำงานเพื่อลดขั้นตอน ระยะเวลา
– การประเมินความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
– จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน
– ระบบงานอัตโนมัติรองรับกิจกรรมและกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล
ประสิทธิผลของการบริหารทรัพยากรบุคคล(HRM Programme Effectiveness)
การเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารทรัพยบุคค
การบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคแรกๆ (Personnel Administration) มีลักษณะเป็นการบริหารแบบที่เน้นกระบวนการ ซึ่ง “ฝ่ายบุคคล” จะทำงานในลักษณะกิจกรรมประจำวันตามกระบวนการ ขั้นตอน และกฎระเบียบ ถัดมาเป็นยุค Personnel Management และ Human Resource Management ซึ่งยังมองคนเป็นทรัพยากรที่จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย (Human Costs) ขององค์กรมากกว่าที่จะมองว่าเป็นทุนที่สามารถเพิ่มมูลค่าสำหรับการบริหาร (Human Capital) แต่ปัจจุบันนี้ (Human Capital Management) การบริหารทรัพยากรบุคคลจะเน้นที่การเพิ่มคุณค่าของผลผลิตให้กับองค์กรจึงมองคนในฐานะ “ทุน” ขององค์กรซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “ค่าใช้จ่าย”
บทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรบุคคล (New Role’s Human Resource Management) เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจที่เน้นองค์ความรู้ (Knowledge Economy) องค์กรต่างๆ เผชิญภาวะการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น และเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ทำให้องค์กรต้องเริ่มหันมาตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องของ “การบริหารจัดการคนในองค์กร” มากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างคนในองค์กรให้สร้างคุณค่า (Value Creation) และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ให้กับองค์กร
Human Capital Management) เพื่อช่วยยกระดับการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลขององค์กร ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามนโยบาย e-HR (Electronic Human Resource) เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสูงรองรับการขยายตัวธุรกิจ
การบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงรับ (แบบเก่า)
1. การบริหารแบบมุ่งเน้นงานธุรการงานบุคคล
2. กิจกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคลจะออกแบบเฉพาะเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลเท่านั้น
3. ลำดับความสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคลมักจะสอดคล้องกับกิจกรมมประจำวัน (Routine) ของการบริหารทรัพยากรบุคคล
4. หน่วยงานด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลรับผิดชอบการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กร
การบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงรุก (แบบใหม่)
1. การบริหารแบบมุ่งเน้นการเพิ่มผลผลิตโดยผ่านทรัพยากรบุคคล
2. กิจกรรมการบริหารทรัพยากรบุคคลต้องสัมพันธ์และสอดคล้องกับแผนองค์กร
3. ลำดับความสำคัญของการบริหารทรัพยากรบุคคลต้องสอดคล้องกับลำดับความสำคัญของกลยุทธ์องค์กร
4. ผู้บริหารสายงาน/หน่วยงาน และหน่วยงานด้านทรัพยากรบุคคลร่วมกันรับผิดชอบในการบริหารทรัพยากรบุคคล
การใช้ Human Capital Management (HCM) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์
การใช้ HCM ในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นอย่างเนื่องทุกปี โดยปีนี้เพิ่มขึ้นการใช้ Human Capital Management (HCM) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์
การใช้ HCM ในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นอย่างเนื่องทุกปี โดยปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 71% HCM เป็นแอพลิเคชันสำคัญที่ทำเงินของ Oracle Asia Pacific รายได้จากไลเซนล์ของ HCM เพิ่มขึ้นถึง 80% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้มาจากการที่ตลาดมองว่า Oracle คือผู้นำด้านแอพลิเคชัน Human Resource (HR) ซึ่งจะช่วยองค์กรเปลี่ยนจากระบบที่เน้นการบริหารไปเป็นระบบที่เน้นด้านยุทธศาสตร์มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับพนักงาน และรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไว้ จากการวิเคราะห์ของบริษัท AMR Research Oracle เป็นที่หนึ่งด้าน HCM โดยมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 26%
Oracle Human Capital Management ช่วยในทำกระบวนการตั้งแต่รับคนงานไปจนถึงปลดเกษียณให้อย่างอัติโนมัติ ช่วยให้สามารถวางแผนจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
จากปีที่แล้วถึง 71% HCM เป็นแอพลิเคชันสำคัญที่ทำเงินของ Oracle Asia Pacific รายได้จากไลเซนล์ของ HCM เพิ่มขึ้นถึง 80% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้มาจากการที่ตลาดมองว่า Oracle คือผู้นำด้านแอพลิเคชัน Human Resource (HR) ซึ่งจะช่วยองค์กรเปลี่ยนจากระบบที่เน้นการบริหารไปเป็นระบบที่เน้นด้านยุทธศาสตร์มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับพนักงาน และรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไว้ จากการวิเคราะห์ของบริษัท AMR Research Oracle เป็นที่หนึ่งด้าน HCM โดยมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 26%
Oracle Human Capital Management ช่วยในทำกระบวนการตั้งแต่รับคนงานไปจนถึงปลดเกษียณให้อย่างอัติโนมัติ ช่วยให้สามารถวางแผนจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
การใช้ Human Capital Management (HCM) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการจัดการทรัพยากรมนุษย์
การใช้ HCM ในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นอย่างเนื่องทุกปี โดยปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 71% HCM เป็นแอพลิเคชันสำคัญที่ทำเงินของ Oracle Asia Pacific รายได้จากไลเซนล์ของ HCM เพิ่มขึ้นถึง 80% การเติบโตที่แข็งแกร่งนี้มาจากการที่ตลาดมองว่า Oracle คือผู้นำด้านแอพลิเคชัน Human Resource (HR) ซึ่งจะช่วยองค์กรเปลี่ยนจากระบบที่เน้นการบริหารไปเป็นระบบที่เน้นด้านยุทธศาสตร์มากขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถให้กับพนักงาน และรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไว้ จากการวิเคราะห์ของบริษัท AMR Research Oracle เป็นที่หนึ่งด้าน HCM โดยมีส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 26%
Oracle Human Capital Management ช่วยในทำกระบวนการตั้งแต่รับคนงานไปจนถึงปลดเกษียณให้อย่างอัติโนมัติ ช่วยให้สามารถวางแผนจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM) objective]มีดังนี้
1. เพื่อจัดหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน
2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถของกำลังแรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
4. เพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่ให้นานที่สุด
5. เพื่อสื่อสารนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้กับพนักงานทุกคนได้ทราบ
1. การจ้างคนไม่เหมาะสมกับงาน
2. อัตราการออกจากงานสูง
3. การพบว่าพนักงานไม่ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุด
4. การเสียเวลากับสัมภาษณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์
5. ทำให้บริษัทต้องขึ้นศาลเนื่องจากความไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
6. ทำให้บริษัทถูกฟ้องจากการจัดสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
7. การทำให้พนักงานคิดว่าเงินเดือนที่เขาได้รับไม่ยุติธรรม
8. ไม่ยอมให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนา ซึ่งเป็นการทำลายประสิทธิภาพและประ
สิทธิผลของหน่วยงาน
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในการทำงาน (Human resource management at work) เป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นที่ต้องกระทำเพื่อให้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีอยู่ในองค์การสามารถทำงานได้อย่งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนเพื่อความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้าขององค์การ ผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์ควรจะศึกษาในประเด็นต่างๆดังนี้
1. การบริหารทรัพยากรมนุษย์คืออะไร (What is human resource management)
2. ทำไมการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อผู้บริหารทุกคน (Why is human resource management important to all managers)
3. ลักษณะขอสายงานหลักและสายงานที่ปรึกษาของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Line and staff aspects of human resource management)
4. อำนาจหน้าที่ของสายงานหลักเทียบกับสายงานที่ปรึกษา (Line versus staff
authority)
5. หน้าที่ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผู้บริหารตามสายงาน
หลัก(Line manager’s human resource management responsibilities)
6. ความรับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของแผนกทรัพยากรมนุษย์
(Human resource department’s human resource management responsibilities)
7. ความร่วมมือของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ของสายงานหลักและสายงานที่
ปรึกษา(Cooperative line and staff human resource management) ซึ่งจะได้อธิบายรายละเอียดดังนี้ (Dessler. 1997 : 1)
วัตถุประสงค์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ [Human resource management (HRM) objective]มีดังนี้
1. เพื่อจัดหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน
2. เพื่อใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. เพื่อพัฒนาทักษะและความสามารถของกำลังแรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
4. เพื่อรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้คงอยู่ให้นานที่สุด
5. เพื่อสื่อสารนโยบายการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้กับพนักงานทุกคนได้ทราบ
1. การจ้างคนไม่เหมาะสมกับงาน
2. อัตราการออกจากงานสูง
3. การพบว่าพนักงานไม่ตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุด
4. การเสียเวลากับสัมภาษณ์ที่ไม่ได้ประโยชน์
5. ทำให้บริษัทต้องขึ้นศาลเนื่องจากความไม่เป็นธรรมของผู้บริหาร
6. ทำให้บริษัทถูกฟ้องจากการจัดสภาวะแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย
7. การทำให้พนักงานคิดว่าเงินเดือนที่เขาได้รับไม่ยุติธรรม
8. ไม่ยอมให้มีการฝึกอบรมและการพัฒนา ซึ่งเป็นการทำลายประสิทธิภาพและประ
สิทธิผลของหน่วยงาน
9. การกระทำที่ไม่ยุติธรรมและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับพนักงาน
HRM= Human Resource Management การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หากมองตามกระบวนการบริหารในองค์กรคือ จะครอบคลุมทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการรับคนเข้ามาทำงาน จนถึง กระบวนการเกษียรอายุ
ส่วน HRD = Human Resource Development การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการเพิ่มความรู้ ทักษะ ความสามารถ ปรับทัศนคติ อุปนิสัย (เรียกโดยรวมว่า Competency) ของบุคลากรเพื่อให้สามารถทำงานที่มอบหมายให้บรรลุตามเป้าหมายได้
HRM หมายถึงการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในสถานประกอบการ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวางแผน การกำหนดคุณลักษณะ และคุณสมบัติของประชากร เริ่มตั้งแต่เกิดจนตาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ องค์การต้องดูแลรักษา ใช้งาน และให้ประโยชน์แก่ทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย คือ ก่อนเข้าทำงานและหลังพ้นจากงานเป็นภารกิจขององค์การนั่นเอง
หน้าที่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ HRM ในสถานประกอบการ มีดังนี้คือ
1. กำหนดกลยุทธ์ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM Strategy)
2. การวางแผนกำลังคน / การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (HR Planning)
3. การสรรหา คัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง (Recruitment + Selection and Placement) ถือว่าเป็นกระบวนการจัดหาบุคคลเข้ามา (Procurement)
4. การฝึกอบรมและการพัฒนา (Human Resource Training and Development)
5. การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal)
6. การบริหารค่าตอบแทน สวัสดิการและผลประโยชน์ (Compensation, Benefit and Service)
7. วินัย (Discipline)
8. สุขภาพและความปลอดภัย (Safety and Health)
9. แรงงานสัมพันธ์ (Labour Relation)
10. ระบบข้อมูล การตรวจสอบ และการวิจัยทรัพยากรมนุษย์
ส่วน HRD เป็นการการฝึกอบรมและการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถ้าดูจากหน้าที่ของ HRM ข้างต้นแล้ว จะพบว่า HRD อยู่ในข้อ 4 เป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นส่วนย่อยของ HRM
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ของ ประเสริฐ บุญสัมพันธ์
1. Employee Influence
- ส่งเสริมให้พนักงานยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กร คือมีทัศนคติความเป็นเจ้าของ
- ส่งเสริมให้พนักงานมีคุณภาพที่ดีในการทำงาน เช่น สวัสดิการที่เหมาะสม สภาพการทำงานที่ปลอดภัย ส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน
- สร้างจิตสำนึกในการทำงานร่วมกัน
2. Human resource flow
- การคัดสรรคนดี สร้างคนเก่ง มีหลักเกณฑ์การสรรหาที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน โครงการให้ทุนการศึกษา
- โครงการพัฒนาผู้บริหารและพนักงานทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เช่น การส่งผู้บริหารระดับสูงไปศึกษาต่อ
- high performance organization ให้ความสำคัญต่อการบริหารอัตรากำลังพนักงาน เพื่อรองรับการ ขยายการดำเนินงานและการลงทุนในกลุ่มธุรกิจต่างๆ
- กำหนด competency และลักษณะที่พึงประสงค์ของพนักงานที่องค์กรคาดหวัง
- career management จัดกลุ่มสายอาชีพตามลักษณะของธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความชำนาญสูงสุดในสายอาชีพของตน พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่การรับผิดชอบ
3. Work systems
- การปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
- มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ขององค์การ Knowledge Managementเรียนรู้จากกันและกัน
4. Reward systems
- ระบบการบริหารค่าตอบแทนที่สร้างแรงจูงใจและตอบแทนตามคุณค่าที่มุ่งปฎิบัติหน้าที่
- ยกย่องพนักงานที่เป็นคนเก่งและมีคุณธรรม
การจัดการทุนมนุษย์นั้น จะต้องมีเป้าหมายในการจัดการ คือ
1. การจัดการเรื่องของคนนั้น เราต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาคนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ โดยการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนให้พนักงานมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น สามารถค้นหาองค์ความรู้ได้สะดวก และรวดเร็วขึ้น
2. จัดหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้โดยการเลือกหาระบบที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งจะช่วยสนับสนุนในการทำงานของเราได้
3. อย่าทำให้ความคิดที่ว่าเทคโนโลยีจะทำให้คนเปลี่ยนแปลงไป ต้องคิดว่าระบบไม่ได้ทำให้คนแตกแยก แต่ทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยมีการปฏิสัมพันธ์ มากขึ้น
4. ระบบเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมให้คนทำงานมีสภาพแวดล้อมที่ดี โดยการลดปริมาณของกระดาษและเอกสารที่มีอยู่ เพราะในหน่วยงานจะมีเอกสารอยู่ในปริมาณมาก ทำให้มีสภาพแวดล้อมในการทำงานดีขึ้น และจะเอื้อให้เกิดการมีสุขภาพที่ดี
การพัฒนาทุนมนุษย์จะไปควบคู่กับการพัฒนาทุนทางปัญญา โดยมีการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นหลักในการดำเนินการ เพื่อผลักดันให้องค์กรก้าวไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) และต่อจากนั้นไปสู่องค์กรนวัตกรรม (Innovative Organization) ซึ่งคนในองค์กรและตัวองค์กรมีการประดิษฐ์คิดค้นและมีสิ่งใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกลับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
ทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของสินทรัพย์ทางปัญญาที่ประกอบไปด้วยการวัดต่าง ๆ ดังนี้ (อ้างถึงในหนังสือ Investing in Your Company’s Human Capital เขียนโดย Jack J. Phillips ปี 2005)
1. Collective Skills – เป็นทักษะความชำนาญที่ถูกสั่งสมมาของแต่ละบุคคล ซึ่งทักษะที่มีอยู่ในตัวบุคคลจะส่งผลถึงทักษะความชำนาญในการทำงานของทีมงานและขององค์กรในที่สุด
2. Communication of Practices – หมายถึงชุมชนนักปฏิบัติ ซึ่งในแต่ละองค์กรจะประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่รวมกัน มีการพูดคุยปรึกษาหารือกันภายในกลุ่มคน การสื่อสารกันภายในกลุ่มจะทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ขึ้น
3. Social Capital – สังคมเป็นรูปแบบของการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน มีความเข้าใจกันด้วยดี การแลกเปลี่ยนมุมมองคนในสังคม เน้นพฤติกรรมการทำงานร่วมกันในสังคม
ดังนั้น ทุนมนุษย์จึงเน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร
การบริหารทุนมนุษย์ จะเน้นในเรื่องหลักดังนี้ 1. เน้นการสร้างผู้นำ หน่วยงานจะต้องมีกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล และมุ่งเน้นที่การสร้างผู้นำ เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ฐานะที่เหนือกว่า มีขีดความสามารถสูงกว่าคู่แข่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต 2. ให้ความสนใจกับการบริหารกำลังคนที่มุ่งเน้นสมรรถนะและผลงาน 3. มีการบริหารกระบวนการและจัดการงานบุคคลที่มีประสิทธิภาพ อาศัยเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการ และช่วยให้การทำกิจกรรมพื้นฐานซึ่งยังคงมีความจำเป็น เป็นไปอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
ดาเวนพอร์ต (อ้างถึงในศิระ โอกภาสพงษ์, 2543, น. 32-35) ได้แยกแยะทุนมนุษย์ออกเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ สำคัญ 3 อย่าง คือ ความสามารถ (Ability) พฤติกรรม (Behavior) และความพยายาม (Effort) โดยระบุว่า ความสามารถหมายถึงความชำนาญในชุดของกิจกรรม หรืองานรูปแบบใด โดยความสามารถประกอบด้วยส่วนย่อย ๆ อีก 3 ส่วน ดังนี้ 1. ความรู้ (Knowledge) เปี่ยมด้วยความรู้ในข้อเท็จจริงที่จำเป็นสำหรับทำงานหนึ่ง ๆ ความรู้นี้มีลักษณะกว้างขวางกว่าทักษะ เพราะความรู้บ่งบอกถึงขอบเขตสติปัญญาภายในงานหรือภารกิจที่บุคคลหนึ่งกระทำอยู่ 2. ทักษะ (Skill) หมายถึงความคล่องแคล่ว รู้จักขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติภารกิจใดภารกิจหนึ่งให้ลุล่วงได้เป็นอย่างดี ทักษะมีตั้งแต่ความแข็งแกร่งทางกายภาพไปจนถึงความปราดเปรียวคล่องแคล่วกับการเรียนรู้เฉพาะเรื่อง เนื้อหาสำคัญก็คือการเก่งเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 3. ความสามารถเฉพาะตัวหรือพรสวรรค์ (Talent) เป็นคุณสมบัติสำหรับทำงานใดงานหนึ่ง อย่างเห็นได้ชัด ติดตัวมาแต่กำเนิด จากการฝึกฝนตนเองจนคล่องแคล้วเชี่ยวชาญ
สภาพโลกาภิวัฒน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว และต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ภารกิจและหน้าที่ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในอนาคตที่ HR Professionals จะต้องสนใจและเตรียมตัวไว้ อาจสรุปได้ 9 มิติดังต่อไปนี้
1. หน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้น
ด้วยเหตุผลของการพัฒนาธุรกิจที่ก้าวข้ามประเทศทำให้ระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ถูกกระทบสูง โดยเฉพาะ ความมั่นคงในการทำงานอันเนื่องจากการขาดความรู้ซึ่งกลายเป็นปัญหาของพนักงานโดยตรง
2. ต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กร
3. นอกจากต้องเก่งและมีความรู้ด้าน HR อย่างดีแล้ว นักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องขยายการเรียนรู้ไปสู่แขนงอื่นๆ เพื่อให้สามารถรับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งองค์กร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ขยายไปกว้างทั่วองค์กร และในทุกจุดต่างมีปัจจัยเรื่อง "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
4. นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องถือเป็นธุระคอยติดตามสังเกต ลงมือริเริ่ม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร [Corporate Culture] เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป
เพราะนี่คือ "บุคลิกภาพขององค์กร" ที่มีอิทธิพลในการชักจูงคนให้เข้ามาทำงาน ทั้งยังหล่อหลอมความคิด และการกระทำของพนักงาน เนื่องจาก "วัฒนธรรม” เป็นเครื่องสะท้อนถึง "ภาพลักษณ์" และ "จุดเด่นขององค์กร" การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นบทบาทหน้าที่ของ HR Professionals โดยตรง
5. การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]
ด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้น
HR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"
6. HR ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากลักษณะวิชาชีพที่เป็นศิลปะ [Art] ให้เป็นการตัดสินใจที่เป็นศาสตร์ [Science] โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน มากกว่าการบรรยายความ หรือคาดคะเนกว้างๆ เพราะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันสูง และต้องมีการ "แข่งประสิทธิภาพ" ที่วัดผลได้จริง ทำให้การจัดการเรื่องคนต้องวัดประสิทธิภาพได้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน
7. นักบริหาร HR ต้องทำตัวเก่งและรับบทบาทในด้าน "การประสานและสร้างความร่วมมือ" [Collaboration and Cooperation] เพราะ การประสานความร่วมมือคือ "หัวใจขององค์กร" ในอนาคต การต้องรับหน้าที่สร้างกลไกการประสานและหลอมให้เข้ากัน และรวมพลังทำงานเป็นหนึ่งเดียว จะสำคัญยิ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ
8. นักบริหาร HR ต้องทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาด้านสังคม และตามทันนโยบายสาธารณะต่างๆ เพราะความเจริญของข่าวสารและกระแสความโปร่งใส ทำให้พลังของ Stakeholders กลุ่มต่างๆ แข็งแรงขึ้น
ดังนั้นเพื่อป้องกันการถูกกระทบ จึงต้องมีคนคอยติดตามนโยบายสาธารณะ [Public Policy] และคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสังคมภายนอก ซึ่งนักบริหาร HR คือ ผู้เหมาะสมกับบทบาทด้านนี้มากที่สุด
9. ต้องบริหารในบริบทโลกได้ คือ นั่นคือ ผู้บริหาร HR จะต้องทำได้เสมอเหมือนผู้บริหารด้านอื่น โดยตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกสมัยใหม่ และสามารถประยุกต์การแก้ปัญหาให้ตรงกับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า "Live Globally, Act Locally" นั่นเอง
ทั้ง 9 มิติงานที่กล่าวนี้คือ บทบาทหน้าที่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคหน้า เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะ และความสามารถในเชิงวิชาชีพที่สามารถขยายให้เทียบได้ หรือก้าวล้ำหน้าวิชาชีพอื่นๆ ในองค์กร ซึ่งโอกาสมีรออยู่แล้ว
ด้วยความจริงว่า "ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไว ปัญหาด้านคนจะกระโดดไปยืนรอการแก้ไขและจัดการอยู่ข้างหน้าเสมอ" ดังนั้นใครที่เก่งและมีความรู้ด้านคน จึงได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่า
"โลกาภิวัฒน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว ต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"
อนาคตการจัดการ "ทรัพยากรมนุษย์"
เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ผมได้เขียนบทความเรื่อง "ถึงคราว HRM ขึ้นแท่น" ชี้ถึงความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของวิชาชีพและความรู้ ตลอดจนทักษะในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ อันเป็นปัจจัยที่ยอมรับกันว่าสำคัญยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมายและการแข่งขันต่างๆ
ในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย จนถือกันว่าเป็นยุค "สังคมฐานความรู้" [Knowledge Base] ชี้ให้เห็นว่าโลกยุคใหม่ที่คนทั้งโลกติดต่อทำธุรกรรมต่างๆ ร่วมกันได้ภายในเครือข่ายไอที โดยเวลาและสถานที่ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ทำให้ปัจจัยด้าน "คน" กับ "ปัญญาความรู้" และทักษะความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ ถูกชูขึ้นเป็นหัวใจหลักของการสร้างประสิทธิภาพของการทำงาน และขับเคลื่อนองค์กรให้รุกเติบโตอย่างมั่นคง
ถึงวันนี้เห็นได้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินไปรวดเร็วและไม่หยุดยั้ง ทำให้องค์กรธุรกิจทั้งหลาย ต้องก้าวเดินไปสู่อนาคตด้วยยุทธศาสตร์ใหม่ๆ ดังเช่น ยักษ์สีฟ้า ไอ บีเอ็ม ถึงกับตัดผลิตภัณฑ์การผลิต คอมพิวเตอร์บุคคล ให้ประเทศจีนผลิตแทน หรือกระแสการตกลงการค้า FTA ทำให้อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่บางชนิด เช่น รถยนต์ สามารถสร้างเครือข่ายการผลิตไปยังหลายประเทศ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเศรษฐกิจตามภูมิภาค [Regionalized] มีความชัดเจน
สภาพโลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว และต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ภารกิจและหน้าที่ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในอนาคตที่ HR Professionals จะต้องสนใจและเตรียมตัวไว้ อาจสรุปได้ 9 มิติดังต่อไปนี้
1.หน้าที่หลักของการบริหารปัจจัยด้าน "คน" ยังคงเหมือนเดิม คือ ต้องจัดการสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับคน ทั้งการสรรหาคน จูงใจ รักษาคน แต่ที่ต้องดูเพิ่มมากขึ้นคือต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูพนักงานให้อยู่ได้ รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ให้กับพนักงานมากขึ้น ด้วยเหตุผลของการพัฒนาธุรกิจที่ก้าวข้ามประเทศทำให้ระดับการครองชีพและความเป็นอยู่ถูกกระทบสูง โดยเฉพาะ ความมั่นคงในการทำงานอันเนื่องจากการขาดความรู้ซึ่งกลายเป็นปัญหาของพนักงานโดยตรง
2.ต้องมีการพัฒนาความรู้ให้กับนักบริหารและผู้ทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ [HR Professionals] ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเติบโตในสายงาน หรือเติบโตได้ในส่วนอื่นๆ ขององค์กร
3.นอกจากต้องเก่งและมีความรู้ด้าน HR อย่างดีแล้ว นักบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องขยายการเรียนรู้ไปสู่แขนงอื่นๆ เพื่อให้สามารถรับบทบาทหน้าที่ใหม่ๆ ให้ครอบคลุมกว้างขวางทั้งองค์กร เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงได้ขยายไปกว้างทั่วองค์กร และในทุกจุดต่างมีปัจจัยเรื่อง "คน" เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ
4.นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต้องถือเป็นธุระคอยติดตามสังเกต ลงมือริเริ่ม และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร [Corporate Culture]เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป เพราะนี่คือ "บุคลิกภาพขององค์กร" ที่มีอิทธิพลในการชักจูงคนให้เข้ามาทำงาน ทั้งยังหล่อหลอมความคิดและการกระทำของพนักงาน เนื่องจาก "วัฒนธรรม” เป็นเครื่องสะท้อนถึง "ภาพลักษณ์" และ "จุดเด่นขององค์กร" การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นบทบาทหน้าที่ของ HR Professionals โดยตรง
5.การจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต้องรับบทบาทในการสร้าง "ความสามารถ [Capabilities] ให้เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อใช้แทน "โครงสร้าง" [Structure]
ด้วยความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอิทธิพลด้านไอทีทำให้โครงสร้างองค์กรยืดหยุ่น และพึ่งพามากขึ้นในเรื่อง "คนกับระบบการทำงานบนไอที" ดังนั้นการสร้างความสามารถที่มี "คน" เป็นศูนย์กลางจึงมีความสำคัญมากขึ้น
HR Professionals ที่มีทักษะความรู้เรื่องคนเป็นทุนเดิม จึงควรเป็นเจ้าภาพในการพัฒนา "ความสามารถ" ขององค์กรผ่านความสามารถของ "คน"
6.HR ต้องเปลี่ยนตัวเอง จากลักษณะวิชาชีพที่เป็นศิลปะ [Art] ให้เป็นการตัดสินใจที่เป็นศาสตร์ [Science] โดยมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน มากกว่าการบรรยายความ หรือคาดคะเนกว้างๆ เพราะโลกยุคใหม่มีการแข่งขันสูง และต้องมีการ "แข่งประสิทธิภาพ" ที่วัดผลได้จริง ทำให้การจัดการเรื่องคนต้องวัดประสิทธิภาพได้ชัดเจนเป็นแนวทางเดียวกัน
7.นักบริหาร HR ต้องทำตัวเก่งและรับบทบาทในด้าน"การประสานและสร้างความร่วมมือ" [Collaboration and Cooperation] เพราะ การประสานความร่วมมือคือ "หัวใจขององค์กร" ในอนาคต การต้องรับหน้าที่สร้างกลไกการประสานและหลอมให้เข้ากันและรวมพลังทำงานเป็นหนึ่งเดียวจะสำคัญยิ่งที่จะป้องกันมิให้เกิดสภาพต่างคนต่างทำ
8.นักบริหาร HR ต้องทำหน้าที่ติดตามแก้ไขปัญหาด้านสังคม และตามทันนโยบายสาธารณะต่างๆ เพราะความเจริญของข่าวสาร และกระแสความโปร่งใส ทำให้พลังของ Stakeholders กลุ่มต่างๆ แข็งแรงขึ้น
ดังนั้น เพื่อป้องกันการถูกกระทบ จึงต้องมีคนคอยติดตามนโยบายสาธารณะ [Public Policy] และคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากสังคมภายนอก ซึ่งนักบริหาร HR คือ ผู้เหมาะสมกับบทบาทด้านนี้มากที่สุด
9.ต้องบริหารในบริบทโลกได้ คือ นั่นคือ ผู้บริหาร HR จะต้องทำได้เสมอเหมือนผู้บริหารด้านอื่น โดยตามทันกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกสมัยใหม่ และสามารถประยุกต์การแก้ปัญหาให้ตรงกับสถานการณ์ในท้องถิ่นได้ด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่า "Live Globally, Act Locally" นั่นเอง
ทั้ง 9 มิติงานที่กล่าวนี้คือ บทบาทหน้าที่ของนักบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคหน้า เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะและความสามารถในเชิงวิชาชีพที่สามารถขยายให้เทียบได้ หรือก้าวล้ำหน้าวิชาชีพอื่นๆ ในองค์กร ซึ่งโอกาสมีรออยู่แล้ว
ด้วยความจริงว่า "ยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไว ปัญหาด้านคนจะกระโดดไปยืนรอการแก้ไขและจัดการอยู่ข้างหน้าเสมอ" ดังนั้นใครที่เก่งและมีความรู้ด้านคน จึงได้เปรียบและมีโอกาสมากกว่า
"โลกาภิวัตน์ยังสะท้อนว่า "การจัดการทรัพยากรมนุษย์" ถึงเวลาต้องปรับตัว ต้องคิด วิเคราะห์ และวางแผน โดยคาดคะเนถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เท่าทัน และตรงเงื่อนไขใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"
ความแตกต่างในด้านความหมาย
การบริหารงานบุคคล (PM) หมายถึง การปฏิบัติในกิจกรรมทั้งปวงที่เกี่ยวกับบุคลากรในองค์การ นับตั้งแต่กระบวนการสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การโอนย้าย การฝึกอบรม การ พิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน การปกครองบังคับบัญชา การดำเนิน การทางวินัย การพ้นจากงาน ตลอดจนการจ่ายบำเหน็จบำนาญเมื่อออกจากงานไปแล้ว
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) หมายถึง กระบวนการที่มีการใช้กลยุทธ์ และศิลปะอย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งกลยุทธ์ที่ว่านี้ ได้แก่การให้ความสำคัญกับพฤติกรรมองค์การ และสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การด้วย
HR scorecard เครื่องมือการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์
1.ในยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) จากงานศึกษาต่างๆ พบว่า มูลค่าขององค์การกว่าร้อยละ 85 มาจากสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) โดยเฉพาะทุนมนุษย์ (Human Capital).
2. เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นพื้นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Creation) ให้กับ กิจการ แม้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญยิ่งขององค์การ แต่ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้น้อยที่สุด.
3. วัดผลได้ยาก อย่างไรก็ตามเมื่อทุนมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญแล้ว จำเป็นที่จะต้องพยายามหามาตรการวัดผลให้ได้ เนื่องจากสิ่งใดที่ เราไม่สามารถวัดได้ เราก็ไม่สามารถที่จะบริหารและพัฒนาสิ่งนั้น ได้.
4. ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องหาเครื่องมือที่จะวัด/ประเมินผลทุนมนุษย์ที่จับต้องไม่ได้ นี้ให้ได้ และเชื่อมโยงให้เห็นว่า.
5. ปัจจัยด้านทุนมนุษย์ส่งผลให้องค์การประสบผลสำเร็จได้อย่างไร HR scorecard เป็นแนวคิดเครื่องมือสำคัญในการบริหารทรัพยากร บุคคลเชิงกลยุทธ์ HR scorecard.
6. มิใช่การวัดผล รายงานผลงานของฝ่ายบริหารงานบุคคลแบบเดิมๆ เช่น รายงานผลงานในเรื่องอัตราการป่วย สาย ลา ขาด ของพนักงาน จำนวนชั่วโมงหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงาน.
7. แต่ HR scorecard เป็นการนำเสนอเครื่องมือสำคัญในการ เชื่อมโยงการบริหารทุนมนุษย์ขององค์การกับกลยุทธ์ขององค์การ บทความนี้จึงนำเสนอแนวคิดของ HR scorecard.
8. และขั้นตอนในการสร้าง HR scorecard เพื่อเป็นพื้นฐานการ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือในการวัดผลและบริหาร ทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์ และเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ ในการบริหารทรัพยากรบุคคลเชิงกลยุทธ์
แนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์ยุคใหม่
การบริหารจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital Management - HCM) คือ การบริหารจัดการเพื่อสร้างคุณภาพและผลการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งเป็นการรวมกิจกรรมอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่การกำหนดและสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถดีที่สุด (talent) การรักษาบุคลากร การพัฒนาและจูงใจให้บุคลากรแสดงศักยภาพสูงสุดของตนเองได้
กระแสทุนนิยมที่มีอิทธิพลสำคัญต่อการบริหารจัดการในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ กระทั่งหน่วยงานราชการ และสถาบันการศึกษา ต่างได้รับอิทธิพลจากกระแสทุนนิยมจนต้องปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการของตนเองเพื่อให้สามารถแข่งขันและสร้างความเติบโตขององค์การ
ในส่วนภาครัฐและสถาบันการศึกษาจำเป็นต้องปรับการบริหารจัดการขององค์การของตนเองในด้านการให้บริการเช่นกัน เพื่อสนองต่อความต้องการของภาคเอกชนที่เริ่มสูงขึ้น
ในยุคของทุนนิยมนี้เอง องค์การที่มีทุนมากกว่านับว่ามีความได้เปรียบเหนือกว่าองค์การอื่น และหลังจากปลายศตวรรษที่ 20 แนวคิดเรื่องทุนในการดำเนินการได้ถูกตีความมากกว่าความหมายเรื่องของการเงิน ทรัพยากร การบริหารจัดการ และเทคโนโลยี แต่ได้เริ่มให้ความสำคัญต่อบุคลากรมากขึ้น และถือเป็นทุนสำคัญขององค์การในการสร้างความได้เปรียบในการดำเนินงาน มีนักคิดหลายท่านเรียกบุคลากรแนวคิดนี้ว่า "Human Capital" หรือ ทุนมนุษย์ สำหรับนักเศรษฐศาสตร์มองว่าทุนมนุษย์คือ การรวมของทักษะ ความรู้ สุขภาพ และค่านิยมในตัวคนคนหนึ่งซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้นการลงทุนหรือการจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับบุคลากร ทั้งการศึกษา การฝึกอบรม สวัสดิการ และอื่นๆ ถือเป็นการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนคือรายได้ขององค์การ
การบริหารจัดการทุนมนุษย์ (Human Capital Management - HCM) คือ การบริหารจัดการเพื่อสร้างคุณภาพและผลการปฏิบัติงานของบุคลากร ซึ่งเป็นการรวมกิจกรรมอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่การกำหนดและสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถดีที่สุด (talent) การรักษาบุคลากร การพัฒนาและจูงใจให้บุคลากรแสดงศักยภาพสูงสุดของตนเองได้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทุนมนุษย์จำเป็นต้องมีแนวคิดที่สร้างสรรค์ มีแรงขับ ความกระตือรือร้น และให้ความสำคัญต่อการมุ่งสู่ความสำเร็จที่เป็นเลิศ
ดังนั้น การบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นการจัดการที่ผู้บริหารทุกระดับในองค์การจำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้จึงเป็นภารกิจที่สำคัญของผู้บริหารทุกระดับที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับนักทรัพยากรมนุษย์ในองค์การของตนเอง เพื่อวางแผนและดำเนินการเพื่อสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพและสร้างผลผลิตสูงสุดให้กับองค์การ
นอกจากนี้ การมองบุคลากรในเชิงของการเป็นทุนเพื่อสร้างรายได้และความเติบโตขององค์การแล้ว แนวคิดการบริหารทรัพยากรมนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นปัจเจกบุคคล (individual) แทนการบริหารจัดการแบบกลุ่ม ซึ่งมีการปฏิบัติและการกำหนดผลตอบแทนในลักษณะเหมือนกันที่มีความสะดวกต่อผู้ดำเนินการ แต่ไม่สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจของบุคลากรที่มีความแตกต่างกันได้
โดยเฉพาะอาจไม่สามารถจูงใจและรักษาบุคลากรที่มีศักยภาพสูงขององค์การไว้ได้ เพราะองค์การไม่สามารถกำหนดผลตอบแทนในระดับที่บุคลากรที่มีศักยภาพสูงเกิดความพอใจ หากยังคงแนวคิดที่จะให้ในลักษณะเท่ากันเพื่อความยุติธรรมอีกต่อไป แนวคิดเรื่องการบริหารแบบปัจเจกบุคคลนี้ทำให้การบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องปรับเปลี่ยนการปฏิบัติหลายประการได้แก่
1.การสรรหาและคัดเลือก
การสรรหาและคัดเลือกจะมุ่งเน้นการคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพสูง หรือมีความสามารถที่จะพัฒนาตนเองได้ตามทิศทางที่องค์การต้องการ คุณสมบัติของพนักงานจะถูกกำหนดพร้อมกับแหล่งการสรรหาที่เฉพาะเจาะจง เช่น สถาบันการศึกษาที่มีสาขาวิชาที่ได้รับการยอมรับ นอกจากนี้คุณสมบัติที่มีความหลากหลายทั้งในเรื่องความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในธุรกิจจะได้รับความสนใจมากขึ้น
2.การพัฒนาศักยภาพ
การพัฒนาจะมุ่งเน้นการพัฒนาจากบุคลากรที่มีความชำนาญและความสามารถเฉพาะด้าน เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างทักษะหลากหลาย (multi-skilled) โดยผ่านการวิเคราะห์ความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะอย่างเป็นระบบ วิธีการพัฒนาจะใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และผู้เรียนจะเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านหลักสูตรต่างๆ ที่จัดทำไว้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมบริหารความรู้ (knowledge management) ผู้บริหาร หัวหน้างาน และพนักงาน จะมีบทบาทร่วมกันมากขึ้นในการกำหนดเนื้อหาและวิธีการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละคน ผู้บริหารและหัวหน้างานมีบทบาทในการเป็นผู้สอนแนะ (coaching) พร้อมกับการส่งเสริมให้ พนักงานเรียนรู้ด้วยตนเอง
3.การจัดสวัสดิการและผลตอบแทน
ผลประโยชน์ตอบแทนจะถูกออกแบบเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการจูงใจเฉพาะบุคคล ซึ่งมีความต้องการและคุณลักษณะพื้นฐานแตกต่างกัน การจัดสวัสดิการแบบคาเฟ่ ทีเรีย (cafeteria) ที่กำหนดงบประมาณของแต่ละบุคคล และให้พนักงานเลือกประเภทสวัสดิการที่ต้องการด้วยตนเอง เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้การบริหารผลตอบแทนจะเชื่อมโยงกับการบริหารผลการปฏิบัติมากขึ้น
4.การจูงใจ
การจัดสวัสดิการด้านการศึกษาต่อในระดับสูง การฝึกอบรม และผลตอบแทนที่จูงใจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่บุคลากรให้ความสนใจ รวมทั้งการบริหารจัดการที่ให้พนักงานมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่ซึ่งมีความคิดเห็นและมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
ดังนั้น การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคใหม่จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้เกี่ยวข้องทั้งพนักงาน หัวหน้างาน ผู้บริหาร และนักทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งต้องมีภารกิจร่วมกันมากขึ้นแทนการแบ่งแยกหน้าที่ชัดเจน และการบริหารจะให้ความสำคัญต่อบุคลากรที่มีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งทำให้การจัดการด้านบริหารทรัพยากรมนุษย์ถูกออกแบบเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ง่าย
แนวคิดนี้จึงไม่ต่างจากแนวคิดการบริหาร ธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วและไม่ยึดติดกับการบริหารแบบมุ่งเน้นวิธีการหรือกระบวนการ มากกว่าการมุ่งเน้นผลลัพธ์
เทคนิคสำคัญในการบริหารทรัพยากรมนุษย์
มีการนำเสนอสมการหรือสูตรในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิผลดังนี้
ประสิทธิผล HRM = HR.P (SP + AE + CA + EC)
เมื่อ HR P (HR. PARADIGM) = กระบวนทัศน์หรือวิธีคิดของผู้บริหารทรัพยากรมนุษย์
SP (Strategic Partner) = ผู้มีส่วนกำหนดกลยุทธ์ในการบริหาร
AE (Administrative Expert) = ผู้มีความชำนาญทางการบริหาร
CA (Change Agent) = ผู้นำการเปลี่ยนแปลงหรือผู้นำเปลี่ยน
EC (Employee Champion) = ผู้สามารถผูกใจหรือเป็นขวัญใจคนในองค์การ
หากการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การใด ๆ ก็ตามมีการดำเนินการได้ครบถ้วน ตามสมการดังกล่าวจะสามารถสร้างคนในองค์การให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า (Human Capital) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารต้องมีวิธีคิดหรือทัศนะว่า "คน" เป็นทรัพยากรมนุษย์มิใช่เครื่องจักรที่จะรีดเอาแต่แรงงานหรือความสามารถแต่เพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเช่น บริษัทรีดนาทาเร้น จำกัด มีนายกระบือเป็นผู้บริหารหน่วยทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีกระบวนทัศน์หรือทัศนะต่อบุคคล (HRP) ว่า บุคคลจะต้องทำงานเต็มที่ยิ่งเหมือนเครื่องจักรได้ยิ่งดี ไม่สนใจว่าจะให้คนที่ทำงานนั้นปรับปรุงพัฒนาหรือสร้างสรรค์วิธีทำงานใหม่ ๆ ด้วยตัวเขาเองและผู้บริหารอื่นก็มีลักษณะการคิดเช่นเดียวกันจึงอาจแทนค่า HR.P = 0 ละถ้าสมมติค่าของ SP = 4, AE = 4, CA = 3, EC = 1 นำค่าเหล่านั้นไปเข้าสมการจะได้ผลดังนี้ คือ
ประสิทธิผล HRM = HRP (SP + AE + CA + EC)
ประสิทธิผล HRM = 0 (4+4+3+1)
ประสิทธิผล HRM = 0 (12)
ประสิทธิผล HRM = 0
แปลว่า HRP. มีความสำคัญมากที่สุด ทั้ง ๆ ที่ค่าในวงเล็บรวมกันได้ถึง 12 แต่ผู้บริหารมีกระบวนทัศน์ไม่เห็นคุณค่าของความเป็นทรัพยากรมนุษย์ ประสิทธิผลรวมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงมีค่าเป็นศูนย์หรือไร้ซึ่งประสิทธิผล ตรงกันข้ามหากกลุ่มผู้บริหารบริษัทรีดนาทาเร้นจำกัดตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์จนค่า HRP มีค่ามากกว่า 0 ประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็จะสูงตามไปด้วย
การบริหารงานบุคคล (PM) หมายถึง การปฏิบัติในกิจกรรมทั้งปวงที่เกี่ยวกับบุคลากรในองค์การ นับตั้งแต่กระบวนการสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การโอนย้าย การฝึกอบรม การ พิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง การเลื่อนเงินเดือน การปกครองบังคับบัญชา การดำเนิน การทางวินัย การพ้นจากงาน ตลอดจนการจ่ายบำเหน็จบำนาญเมื่อออกจากงานไปแล้ว
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) หมายถึง กระบวนการที่มีการใช้กลยุทธ์ และศิลปะอย่างมีประสิทธิภาพในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ ซึ่งกลยุทธ์ที่ว่านี้ ได้แก่การให้ความสำคัญกับพฤติกรรมองค์การ และสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การด้วย
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(การจัดการงานบุคคล)
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management
วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก
ระบบการจัดการงานบุคคล
การจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้
ระบบคุณธรรม
ระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้
1. หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้ และเมื่อเข้ามาเป็นคนงานหรือพนักงานแล้วก็ต้องมีความเสมอภาคในการเลื่อนตำแหน่ง เช่น บางตำแหน่งทำงานในระดับ 3 มา 2 ปีแล้ว มีสิทธิเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 4 ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นสำคัญ สิทธินี้ต้องเสมอภาคกันทุกคน หรือในการทำงานหากทำงานที่อยู่ในระดับความรับผิดชอบที่เทียบกันได้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน
2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน
3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก
4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ถ้าให้ฝ่ายการเมืองมามีอิทธิพล คนดีมีความสามารถก็จะหนีหายไม่อยู่รับราชการ ในทางหลักการจึงมีข้อกำหนดไว้ว่าข้าราชการประจำจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าราชการ การเมืองได้แก่ไหน อย่างไร หลักข้อนี้นั้นด้านราชการมากกว่าธุรกิจ
จะเห็นได้ว่าแนวความคิดของระบบคุณธรรมสอดคล้องกับแนวความคิดตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย การบริหารงานบุคคลก็ยึดระบบคุณธรรมด้วย แต่เนื่องจากพฤติกรรมต่างๆ ปล่อยปละละเลยเป็นระบบอุปถัมภ์กันมานานจึงต้องค่อยๆ เปลี่ยน มิใช่เปลี่ยนอย่างทันทีทันใด ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของคนไทยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม เช่น ค่านิยมการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนที่รู้จักคุ้นเคยก็อาจส่งเสริมให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกได้ เป็นต้น
ระบบอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์มีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน บางคนเรียกระบบพรรคพวกระบบเล่นพวก ระบบเน่าหนอนชอนไช ระบบศักดินา ภาษาอังกฤษมีหลายคำ เช่น spoils system , patronage system , favoritism , nepotism เป็นต้น เป็นระบบที่มีพฤติกรรมในการบริหารงานบุคคลตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม
ระบบอุปถัมภ์นี้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยยุโรป มีระบบศักดินา มีเจ้าขุนมูลนาย (feudel lord) ซึ่งได้รับมอบหมายจากพระเจ้าแผ่นดินให้ดูแลกิจการต่างๆ มีข้าทาสบริวารที่เลี้ยงไว้ เมื่อจะตั้งคนให้ทำงานก็ตั้งจากบริวาร เป็นดังนี้สืบเนื่องกันมาเรื่อยๆ
ในสหรัฐอเมริการะบบนี้แพร่หลายมากในสมัยประธานาธิบดีแอนดรูว์ แจ๊กสัน (Andrew Jackson) เมื่อได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีก็ปลดคนเก่าๆ ที่ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ตั้งไว้ออก แล้วเอาพวกของตนเข้าแทน ระบบนี้อยู่ได้ที่การเลี้ยงคน การแต่งตั้งคนให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เป็นสินน้ำใจ ระบบนี้มีประโยชน์ในการควบคุมนโยบายระดับประเทศ จึงเหมาะที่จะใช้ได้กับข้าราชการการเมืองเท่านั้นเพราะการเมืองนั้นต้องอาศัยความสนับสนุนจากพรรคพวกเป็นสำคัญเมื่อวางนโยบายไว้อย่างไรก็สั่งคนของตนให้ช่วยทำตามนั้น ในระบบธุรกิจควรควรหลีกเลี่ยงให้ไกล มิฉะนั้นจะประสบความล้มเหลวเพราะธุรกิจมีการแข่งขันกันมาก
การพยากรณ์ความต้องการบุคคล
การคาดคะเนความต้องการบุคคลของหน่วยงานต่างๆ ในองค์การจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกองค์การด้วย
ปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับความต้องการบุคคล ได้แก่ ตลาดแรงงาน การพิจารณาถึงความซับซ้อนของการบริหารงาน การแข่งขัน มาตรการของรัฐบาล สหภาพแรงงาน สภาพของเศรษฐกิจ และการขยายตัวทางอุตสาหกรรมเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ความต้องการบุคคลเปลี่ยนไป กฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการ เช่น กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ สภาวะทางเศรษฐกิจก็เป็นตัวชี้ที่สำคัญไม่น้อยในด้านความต้องการบุคคลเข้าทำงาน
ปัจจัยภายในองค์การเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ การขยายขนาดขององค์การ การกระจายอำนาจการบริหารองค์การ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนนโยบายใหม่ นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกิดจากบุคคลเอง ได้แก่ อัตราการเข้าออกของคนงาน การตาย การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ เป็นต้น
การประเมินสภาพการณ์ปัจจุบันด้านบุคคล
ในการวางแผนบุคคลจะต้องวิเคราะห์สภาพปัจจุบันขององค์การด้านบุคคลก่อนเพื่อเป็นพื้นฐานในการคาดคะเนจำนวนบุคคลที่ต้องการ ได้แก่ การประเมินสภาพปัจจุบันและปัญหาในด้านต่างๆ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์และนโยบายด้านบุคคล
2. จำนวนและคุณสมบัติของบุคคล
3. โครงการต่างๆขององค์การ
4. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคคล
นอกจากนี้แล้ว ควรมีการประเมินปัญหาในการบริหารบุคคลด้วยได้แก่ การปฏิบัติงานของบุคคลมีปัญหาอะไรหรือไม่ ระบบบริหารบุคคลที่ใช้อยู่ตลอดจนงบประมาณเพื่อบริหารบุคคลด้วย
กระบวนการของการจัดการงานบุคคล
งานของผู้บริหารที่เกี่ยวกับคนมีขอบเขตตั้งแต่การวางแผนรับคนเข้าทำงานจนถึงการให้พ้นจากงาน ขอบข่ายของการจัดการงานบุคคลที่สำคัญมีเพียง 4 ลักษณะ คือ การให้ได้มา การบำรุงรักษา การพัฒนา และการให้พ้นจากงาน แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลงไป กระบวนการจัดการงานบุคคลอาจแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ (1) การวางแผนกำลังคนและตำแหน่ง (2) การแสวงหาบุคคล ได้แก่ การสรรหา การเลือกสรร การบรรจุ (3) การบำรุงรักษาและการจัดสวัสดิการ (4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (5) การพัฒนาบุคคล (6) การให้พ้นจากงา
•
ภาพที่ 7.1 กระบวนการจัดการงานบุคคล
การวางแผนกำลังคนและตำแหน่ง
1. การวางแผนกำลังคน
การวางแผนกำลังคนคือการคาดคะเนไว้ล่วงหน้าว่าหน่วยงานนั้น ต้องการคนจำนวนเท่าใดจึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่ธุรกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นก็ศึกษาวิเคราะห์ว่าคนที่ต้องการเพิ่มขึ้นนั้นเป็นคนประเภทใด มีความรู้ความชำนาญทางใด สามารถได้จากแหล่งไหน สามารถได้จากแหล่งใด ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบุคคล
การวางแผนกำลังคนประกอบด้วยการวิเคราะห์งาน การพรรณาลักษณะของงาน การระบุคุณสมบัติของคนงาน การประเมินค่าของงาน และการกำหนดอัตราค่าจ้าง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการกำหนดกำลังคนและตำแหน่ง
ภาพที่ 7.2 การวิเคราะห์งานเพื่อการวางแผนกำลังคน
2. การกำหนดตำแหน่ง
การวางแผนว่าจะรับคนเข้ามาจะต้องกำหนดตำแหน่งว่าจะให้มาทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรับผิดชอบอย่างไร ได้รับค่าจ้างแรงงานเท่าใด
ตำแหน่งคือกลุ่มของหน้าที่ความรับผิดชอบที่สัมพันธ์และคล้ายคลึงกันเปรียบได้กับสามเหลี่ยมด้านเท่า 3 ด้าน ด้านหนึ่งคือ หน้าที่ความรับผิดชอบ ด้านที่สองคือ คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง ส่วนด้านที่สามคือ ค่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 อย่างนี้ต้องได้สัดส่วนสัมพันธ์กัน เช่น ตำแหน่งนักการภารโรง เรากำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบคือ การเดินรับส่งหนังสือ ช่วยยกของ ทำความสะอาด เพื่อให้สัมพันธ์กับหน้าที่ความรับผิดชอบ คุณสมบัติควรเป็นแค่อ่านออกเขียนได้ และต้องการคนที่มีร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี ค่าตอบแทนก็ต้องสัมพันธ์กันพอเหมาะกับหน้าที่และคุณสมบัติ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับคนที่ทำงานอื่นด้วยว่าความรับผิดชอบของแต่ละงานมากน้อยกว่ากันเท่าใด อยู่ที่เทคนิคการประเมินค่าของงานด้วย
วัตถุประสงค์ในการกำหนดตำแหน่งมีอยู่ 2 ประการใหญ่ๆ ได้แก่ การสามารถใช้คนให้ตรงกับงาน (Put the right man on the right job) และการให้ได้ความเป็นธรรมในเรื่องค่าจ้างแรงงาน นั่นคือ ทำงานมากได้ค่าจ้างมาก ทำงานน้อยได้ค่าจ้างน้อยตามสัดส่วน
ตำแหน่ง
ค่าจ้าง
ภาพที่ 7.3 องค์ประกอบของตำแหน่ง
การวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะได้กำหนดคุณสมบัติของงาน หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติเมื่อองค์การธุรกิจจะรับคนเข้าทำงานหรือวางแผนรับคนงานนั้นจะต้องกำหนดชื่องาน (ตำแหน่ง) ภาระหน้าที่ และคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงานเอาไว้ด้วย
การพรรณนางาน
การพรรณนางาน (Job description) หรือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย
1. ชื่อของงาน
2. สถานที่ทำงาน
3. สรุปลักษณะงาน
4. หน้าที่
5. เครื่องมือทำงาน
6. สภาพการทำงาน
การกำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน
1. เพศและวัย
2. การศึกษา
3. ประสบการณ์
4. การฝึกอบรม
5. สุขภาพทางกายและจิต
6. ความคิดริเริ่ม
7. ความสามารถพิเศษอื่นๆ
ตัวอย่าง
ตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคล
การพรรณนางาน
1. วิเคราะห์งานตำแหน่งต่างๆ
2. ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ
3. จัดโครงการผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ
4. บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคล
คุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง
1. เพศชาย อายุ 35-40 ปี
2. สำเร็จปริญญาโททางการบริหารบุคคล
3. มีประสบการณ์ในงานบริหารบุคคลอย่างน้อย 3 ปี
4. มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างอื่น
5. อ่าน พูด เขียน ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดี
การประเมินค่าของงาน
การประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้าง
ข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้
1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน
2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล
3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ
4. การประเมินต้องมีความยุติธรรม
วิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้
1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ
2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย
3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น
4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลัก
การกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือน
ค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงาน
เงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม
1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน
- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน
- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย
- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน
- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้
- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ
- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก
- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น
- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ
- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป
3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน
- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน
- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน
- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น
4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้
- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น
- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ
- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้น
การแสวงหาบุคคล
หลักการแสวงหาบุคคลเข้ามาทำงานคือหาคนดีมีความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้ (Find the best man available) ทั้งนี้ โดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเสมอภาค การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องกระทำอย่างมีมาตรฐาน เช่น สอบตำแหน่งเดียวกันควรจะยากง่ายเท่าๆกัน เป็นต้น
กระบวนการในการรับคนเข้าทำงานนี้เรามักเรียกรวมกันไปว่า การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน แต่ที่จริงแล้วแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การสรรหา การเลือก และการบรรจุ
การสรรหา
การสรรหา (recruitment) เริ่มจากการปิดประกาศชักชวนให้ผู้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการมาสมัครให้มากที่สุด สำหรับประเทศไทย ไม่มีปัญหาในเรื่องชักชวนให้คนมาสมัครเข้ารับราชการ แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ คนไม่นิยมเข้ารับราชการแม้ว่าจะมีเงินเดือนดี มีความก้าวหน้า และมีความมั่งคง ดังนั้นจึงต้องมีการโฆษณาชักจูงโดยวิธีการต่างๆ คือส่งคนไปตามโรงเรียนและวิทยาลัยต่างๆ ชี้แจงให้เห็นว่างานราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร การสรรหามักทำเป็นกระบวนการดังนี้
1. เสาะแสวงหาแหล่งผู้มีความรู้ เช่น ในสถานศึกษาต่างๆ ในบริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนในกระทรวงทบวงกรมอื่นแล้วรวบรวมทำบัญชีชื่อไว้
2. ชักจูงให้มาสมัครโดยวิธีต่างๆ เช่น ส่งคนไปชักชวน ปิดประกาศรับสมัครไว้ในที่ชุมนุมชน ที่สถานศึกษา โฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จดหมาย ส่งประกาศรับสมัครไปยังผู้มีความรู้ตาที่รวบรวมชื่อไว้ในขั้นที่ 1
โดยวิธีสรรหาดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปิดวงเลือกให้กว้าง อันเป็นหลักสำคัญของการสรรหา จะทำให้ได้คนที่ดีมีความรู้ความสามารถมาสมัครมากๆ เพื่อจะได้พิจารณาเลือกเอาคนดีที่สุดเหมาะสมที่สุดในขั้นต่อไป
การเลือก
การเลือก (selection) เป็นกระบวนการขั้นต่อเนื่องจากการสรรหา มีวัตถุประสงค์ในการคัดเอาคนดีและเหมาะสมที่สุดมาทำงาน คนอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ดีและเหมาะสมที่สุดนั้นมีอยู่ 2 แนวความคิดดังนี้
แนวความคิดฝ่ายที่หนึ่ง มีทัศนะว่าคนที่มีหัวดี มีแววดี ฝึกให้ทำอะไรก็จะทำได้ดีทั้งนั้น ถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่ตัวตน จึงสรรหาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา มีหัวมี มีแววดี มีความรู้ทั่วไปกว้างขวาง รอบรู้เฉลียวฉลาดมาทำงานตั้งแต่ขั้นต้นๆ แล้วจัดการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไปในอนาคต การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น เจเนอรัลลิสต์ (generalist) โดยสรรหาคนที่ยังไม่ต้องเป็นงานมาฝึกเพื่อใช้งานในอนาคต เป็นการสรรหาคนก่อนมีประสบการณ์เข้ามาหาประสบการณ์ในองค์การ
แนวความคิดดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์และมีระบบขุนนาง จึงสรรหาคนมาเป็นลูกหม้อตั้งแต่ขั้นต้นๆ และพัฒนาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดียวตลอดชีวิตเป็นอาชีพในทางนั้นๆ ไปเลย
แนวความคิดฝ่ายที่สอง มีทัศนะว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างไม่ได้แต่ละคนจะถนัดแต่ละอย่าง และถ้าฝึกคนให้ทำได้หลายอย่างก็จะไม่เก่ง จึงต้องสรรหาคนมาให้เหมาะสมกับงานโดยถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่งาน จึงกำหนดคุณวุฒิที่ต้องการสำหรับแต่ละงานไว้แล้วสรรหาคนที่มีคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้นั้นมาทำงานเฉพาะอย่าง การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น สเปเชียลลิสต์ (specialist) โดยสรรหาคนที่เป็นงานแล้วมีประสบการณ์มาทำงาน
แนวความคิดหลังนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีความเจริญทางธุรกิจ จึงสรรหาคนที่เป็นงานและมาทำงานเฉพาะกิจ สรรหาคนมาจากนอกองค์การเข้ามาทุกระดับไม่จำกัดอายุ การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้ต้องทำกันบ่อยมาก เพราะจะมีคนย้ายงานโดยถูกดึงตัวกันไปมาอยู่เรื่อยๆ
เมื่อได้สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครแล้ว จากนั้นก็ดำเนินการเลือกให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้
1. การตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติการศึกษาตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น เคยต้องโทษ เป็นโรคติดต่อต้องห้าม เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เป็นต้น
2. วัดความรู้ความสามารถ มีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือการสอบ ซึ่งแยกเป็นสอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ บางองค์การอาจพิจารณาจากประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานเดิม นอกจากนี้ ก็อาจวัดความรู้ความสามารถโดยการคัดเลือกเพื่อประเมินคุณภาพบุคคลว่าเหมาะสมที่จะรับเข้าทำงานหรือไม่ การคัดเลือกอาจพิจารณาเฉพาะบุคคลเดียวหรือคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลก็ได้
มีข้อสังเกตว่าวิธีการคัดเลือกนั้นเป็นวิธีที่อาจนำไปสู่ระบบอุปถัมภ์หรือเล่นพวกได้ง่าย จึงไม่นิยมใช้ เว้นแต่กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสูงและสำคัญ โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้วิธีการสอบซึ่งเป็นวิธีวัดคนได้ดีที่สุดสะดวกที่สุด และเป็นธรรมที่สุดในขณะนี้
3. การสัมภาษณ์ เป็นการเรียกผู้สมัครมาพบพูดคุยเพื่อดูบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทาง การพูดจา ตลอดจนดูไหวพริบและเชาวน์ปัญญา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทัศนคติ บางตำแหน่งอาจไม่ต้องวัดความรู้ความสามารถเพียงแต่เชิญมาสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะผู้ผ่านงานมามากหรือผู้ที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน
4. การตรวจสอบคุณภาพ เพื่อกลั่นกรองเอาแต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยให้แพทย์เป็นผู้ตรวจโดยตรง เช่น ตรวจเลือด ตรวจโรคเอดส์ ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องการผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้คัดเลือกได้คนที่เหมาะสม
5. การให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรร กล่าวคือ เมื่อเลือกได้คนมาแล้วก็ให้ทดลองทำงานจริงๆ สักชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าพิสูจน์ตนเองว่าทำงานได้ ความประพฤติดี จึงจะรับไว้เป็นการถาวร
การบรรจุ
ตามปกติการบรรจุ (placement) จะเรียงตามลำดับที่สอบได้ (rule of one) แต่บางกรณีอาจยืดหยุ่นได้ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีให้เลือก 2 หรือ 3 คนแรก เมื่อเรียกบรรจุแล้วให้ทดลองปฏิบัติงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและทำงานให้ได้ตามที่ต้องการจึงบรรจุเป็นการถาวรต่อไป
ประกาศรับสมัคร
รับสมัคร
ตรวจสอบคุณสมบัติ
สอบวัดความรู้ความสามารถ
สัมภาษณ์
ตรวจสุขภาพ
สอบประวัติ
ตัดสินใจว่าจะจ้างหรือไม่
ทดลองปฏิบัติงาน
บรรจุเป็นการถาวร
ภาพที่ 7.4 ขั้นตอนการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน
การบำรุงรักษาบุคคล
เมื่อได้บุคคลมาทำงานแล้ว ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาบุคคลให้อยู่กับองค์การนานที่สุด และตลอดเวลาที่อยู่ก็ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด การบำรุงรักษาบุคคลต้องอาศัยสิ่งจูงใจหลายชนิด ที่สำคัญมี 5 ประการดังนี้
1. สิ่งจูงใจที่เป็นวัตถุ เช่น เงิน สิ่งของ ควรมอบให้ในโอกาสอันเหมาะสมพร้อมทั้งสรรเสริญถึงคุณความดีไปด้วย ที่ใช้กันมาก ได้แก่ การเพิ่มเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ เงินโบนัส เบี้ยขยัน เงินส่วนแบ่งกำไร และการให้ถือหุ้นในบริษัท
2. สิ่งจูงใจที่เป็นโอกาส ให้โอกาสมีชื่อเสียง มีอำนาจประจำตัวมากขึ้นได้ตำแหน่งสูงขึ้น มีโอกาสก้าวหน้า และมีโอกาสไปศึกษาต่อ
3. สิ่งจูงใจที่เป็นสภาพของการทำงานซึ่งอาศัยวัตถุเป็นหลัก เช่น มีห้องทำงานส่วนตัว มีโต๊ะเหมาะสมกับตำแหน่ง วัตถุอย่างอื่นที่แสดงถึงความดีความชอบ การให้สวัสดิการต่างๆ ตามความจำเป็น
4. สิ่งจูงใจที่เป็นสภาพของการทำงานซึ่งไม่เกี่ยวกับวัตถุ ได้แก่ บรรยากาศในที่ทำงานมีความรักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกเป็นหมู่เหล่าหรือทะเลาะกัน ทุกคนอยู่ในฐานะเท่าเทียมกัน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษา
5. การบำรุงขวัญหรือสร้างกำลังใจในการทำงาน ให้พนักงานทุกคนเกิดความรักบริษัท เกิดความรู้สึกว่าตนมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและกำไรให้บริษัท ให้แก่หน่วยงาน เมื่อบริษัทมีชื่อเสียงมีความมั่นคง พนักงานก็ยิ่งมีกำลังใจในการทำงานมากตามไปด้วย
การจัดสวัสดิการ
การจัดสวัสดิการเป็นการเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานส่วนหนึ่งผู้บริหารที่ดีต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ ความเดือดร้อน และความต้องการความช่วยเหลือบางประการของบุคคล การจัดสวัสดิการเบื้องต้นที่ต้องคำนึงถึงก่อนเรื่องอื่นคือ สนองความต้องในเรื่องที่คนส่วนใหญ่เดือดร้อนมากที่สุดในหน่วยงานเสียก่อนอาจแบ่งแยกสวัสดิการออกได้ 5 ประเภทดังนี้
1. สวัสดิการด้านเศรษฐกิจ เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือบุตร ค่าเช่าบ้าน เงินทุนกู้ยืม การจัดร้านสหกรณ์ การจำหน่ายสินค้าราคาถูก จัดรถรับส่ง เป็นต้น
2. สวัสดิการด้านการศึกษา เช่น ให้ทุนการศึกษา หรือทุนฝึกอบรม สัมมนา ศึกษาดูงานต่างประเทศ เป็นต้น
3. สวัสดิการด้านการสังคมสงเคราะห์ เช่น จัดกองทุนช่วยเหลือคนงานในคราวเดือดร้อน ช่วยค่ารักษาพยาบาล จัดสถานพยาบาลให้ เป็นต้น
4. สวัสดิการด้านนันทนาการ เช่น จัดทัศนาจรในประเทศหรือต่างประเทศจัดสโมสร สนามกีฬา เป็นต้น
5. สวัสดิการด้านการสร้างความมั่งคง เช่น บำเหน็จบำนาญ ประกันชีวิต สมาคมณาปนกิจศพ โครงการจัดหาที่อยู่อาศัย เป็นต้น
หลักการจัดสวัสดิการที่ดีต้องจัดให้เป็นเรื่องเบาใจ ไม่ใช่ทำให้หนักใจ และต้องจัดร่วมกันระหว่างผู้บริหารกับบุคคลในองค์การ
การประเมินผลการปฏิบัติงาน
การนำระบบคุณธรรมซึ่งประกอบด้วยหลักความเสมอภาค หลักความสามารถ หลักความมั่งคง และหลักความเป็นกลางทางการเมืองมาใช้ในการจัดการงานบุคคลนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องมือมาวัดค่าบุคคลในองค์การแต่ละคนมีพฤติกรรมเป็นอย่างไร เริ่มตั้งแต่การเข้ามาทำงานก็อาจจะมีการประเมินผลอย่างง่ายๆ โดยการสอบข้อเขียนเพื่อวัดความรู้ความสามารถ ความถนัด และสอบสัมภาษณ์เพื่อดูบุคลิกภาพและทัศนคติ เมื่อเข้ามาทำงานแล้วจะต้องพิจารณาต่อไปอีกว่าผู้ปฏิบัติงานมีความสามารถเหมาะสมกับงานที่ทำหรือไม่ สมควนจะได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหรือควรที่จะปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นอย่างไร ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะรู้ได้จากการประเมินผลการปฏิบัติงาน ฉะนั้นการประเมินผลการปฏิบัติงานจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล
การประเมินผลการปฏิบัติงาน หมายถึงการประเมินว่าคนทำงานได้ผลเท่ามาตรฐานที่กำหนดได้หรือด้อยกว่า หรือสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนด และคุ้มค่าเงินเดือนที่กำหนดไว้สำหรับตำแหน่งนั้นๆ หรือไม่
1. สิ่งที่ต้องการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคล
การประเมินผลการปฏิบัติงานอาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ
(1) การประเมินผลงานที่ปฏิบัติ ทั้งในแง่ของประมาณและคุณภาพ ได้แก่ งานที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทำงานได้มาก ผลงานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้
(2) ประเมินคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ความร่วมมือในการทำงาน ความสามัคคี มนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความอดทน และการรักษาวินัย ฯลฯ
โดยปกติจะประเมินควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ยังอาจกำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่จะใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากงานอื่นๆ เช่น การรักษาความลับ ความแข็งแรงอดทนต่อความยากลำบาก ความสามารถในการพูดจาเสนอรายงาน เป็นต้น
2. วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน
การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ละเอียดถี่ถ้วนและเที่ยงตรงจะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป
(1) การเลื่อนตำแหน่ง ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป
(2) การเลื่อนเงินเดือน ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะบ่งชี้ว่าผู้ปฏิบัติคนหนึ่งๆ มีผลงานที่ปฏิบัติได้จริงถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะทำได้ ต่ำกว่า หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากน้อยเพียงใด
(3) การแต่งตั้งโยกย้าย สับเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงาน ผลการประเมินจะชี้ว่าผู้ใดมีความรู้ความสามารถ ความชำนาญเหมาะสมที่จะทำงานใด ถ้าปรากฏว่าไม่เหมาะสมกับงานใดเลยก็อาจให้พ้นจากงานไป
(4) การพัฒนาบุคคล ผลการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความสามารถของบุคคล ถ้าพบว่ามีจ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในยุคของการแข่งขันในแต่ละองค์กรจะต้องมีการปรับตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากกระแสของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา การบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพของแต่ละองค์กรก็จะมีการพิจารณาในส่วนของโครงสร้างการบริหารให้เหมาะสมตามสถานการณ์ การสร้างรากฐานขององค์กรจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงในส่วนของ Job Analysis , Job Specification และ Job Description ที่สอดคล้องกับขีดความสามารถหลักขององค์กร [Core Competency] การพัฒนากระบวนการสรรหาและคัดเลือกที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์โดยการใช้โครงข่าย Internet ให้มากขึ้นตลอดจนการคัดเลือกให้ได้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีขีดความสามารถสูง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นในระดับที่คู่แข่งขันตามไม่ทัน ถึงแม้ว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มองไม่เห็นและไม่สามารถระบุผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว จำเป็นต้องใช้เวลาพิสูจน์ชี้วัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลจากการพัฒนาในอนาคตก็ตาม การธำรงรักษาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้สึกร่วมสร้างองค์กรให้มาก องค์กรไม่ควรที่จะปฏิบัติตนให้สูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีขีดความสามารถสูงไปจากองค์กร การนำระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ก็จะต้องคัดเลือกให้สอดคล้องกับความต้องการ และบ่งบอกถึงความเป็นสากลขององค์กรได้เป็นอย่างดีจึงจะสามารถทำให้ประสิทธิภาพทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ดียิ่งนัก
นักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource-HR) แม้จะเป็นทัพหลังแต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้ทัพหน้าเช่นกัน
โดยเฉพาะในวันที่โลกหมุนเร็ว HR จะมานั่งปิดหูปิดตา คลำทำงานเดิมๆ อย่างดูแลพนักงานแค่ขาดลามาสายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ต้องมองหาวิถีทางใหม่ๆ ในการพัฒนาตนเองและองค์กรให้เหมาะสมกับบทบาทใหม่ในอนาคตให้ทันเกมธุรกิจมากขึ้น
"รัฐ ดำรงศรี" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ จำกัด ในฐานะผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการ HR และเทรนนิ่งมานาน ได้เปิดมุมมองในเรื่องนี้อย่างน่าคิดว่า ชั่วโมงนี้ HR ไม่มีเวลามานั่งทำงานรายวันเช่นเดิมแล้ว ต้องมองอนาคตให้ทะลุเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร
บนโลกของการแข่งขัน สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป HR จำเป็นต้องพลิกบทบาทของตัวเองทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ดูแลพนักงานขาดลามาสาย แต่ต้องทำงานทั้ง HRD (human resource development) HRM (human resource management) retraining management, career path development เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของคนในองค์กร เพราะพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่แตกต่างจากคนรุ่นเก่าอย่างสิ้นเชิง ระยะเวลาการทำงานของพวกเขาสั้นมากเพียง 3 ปี 5 ปี มีรอบการเทิร์นโอเวอร์จึงสูง ในขณะที่คนรุ่นเก่ามักจะอยู่จนเกษียณอายุ
อีกด้านหนึ่งเดิมอาจจะมีอายุการทำงานแค่ 60 ปี แต่ปัจจุบันได้มีการขยายกรอบออกไปเป็น 65 ปี 70 ปี ทำให้ HR ต้องบริหารคนในบริบทที่เปลี่ยนไป
วันนี้หากจะถามถึงเบื้องหลังความสำเร็จขององค์กรต่างๆ ต้องยอมรับว่า HR มีบทบาทที่สำคัญไม่ใช่น้อย เพราะหากองค์กรไม่มีคนดี คนเก่ง ไม่มีการพัฒนาทุนมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การสร้างแต้มต่อในเชิงธุรกิจก็มีความเป็นไปได้ น้อยมาก
ด้วยเหตุนี้ทำให้มีโปรแกรมเทรนนิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเยอะมาก ทั้ง talent manager การสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน การพัฒนาแคเรียร์พาร์ต เรื่องความเป็นผู้นำ
แต่ทว่าเอาเข้าจริงหลายหลักสูตร กลับทำให้องค์กรต้องร้องโอดโอยเพราะต้องสูญเงินไปเปล่าๆ ปีละนับล้านบาทแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นในองค์กรเลย
"รัฐ" วิเคราะห์ว่าปัญหาส่วนหนึ่งน่าจะมีมูลเหตุจากการไปอิมพอร์ตหลักสูตร ต่างชาติเข้ามา เช่น competency base เมื่อนำมาใช้กับองค์กรในเมืองไทยก็พบทั้งข้อดี พบทั้งปัญหามากมาย ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้เตรียมจัดสัมมนาใหญ่ "แนวทางและทิศทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต" (The Future of HR) ขึ้นในวันที่ 18 มีนาคมนี้ เวลา 13.00-16.00 น. ณ อาคารชินวัตร 3 เพื่อให้ HR และผู้ที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับ HR หันกลับมาทบทวนบทบาทของตัวเองว่าในอนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เพราะสิ่งที่หยิบยืมจากต่างชาติมาใช้อาจจะไม่ใช่ความสำเร็จเสมอไป
งานสัมมนาครั้งนี้พยายามจะจัดให้ครบเครื่องที่สุด มีการระดมผู้ทรงวุฒิและผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ที่โดดเด่นจากองค์กรชั้นนำของประเทศไทยใน หลากหลายด้านมาร่วมแสดงทรรศนะ
อาทิ รศ.ไว จามรมาน ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะมาพูดในมุมมองของภาครัฐว่ามีบทบาทอย่างไรในอนาคต สรวุฒิ หรณพ ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ บริษัท ฮิวเลตต์- แพคการ์ด จำกัด จะฉายภาพของ HR ในโลกดิจิทัลว่าเป็นอย่างไร
ปรีชา ธนสุกาญจน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายบุคคล บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด จะมาร่วมแชร์ไอเดียในส่วนธุรกิจ
อสังหาริมทรัพย์ว่ามีการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ที่มีความหลากหลายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติจำนวนกว่า 2,000 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
และอีกคนหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ บดี ตรีสุคนธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ธนาคารเกียรตินาคิน จะคุยให้ฟังถึงการจัดการคนในระบบสถาบันการเงิน
โดยประเด็นเสวนาจะเน้นไปในเรื่องทิศทางและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน บทบาทของ HR ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันและในอนาคต อุปสรรคและปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นวันนี้และที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ เรื่องแนวทางการพัฒนาคนขององค์กรในอนาคต
ภาคเช้าจะเป็นการเสวนาในหัวข้อ "บทบาทของ HR มืออาชีพในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบันและในอนาคต" ว่าด้วยทิศทางและการเปลี่ยนแปลงในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นไป และบทบาทของ HR ในศตวรรษที่ 21 ในการมีส่วนร่วมต่อการสร้างความสำเร็จขององค์กรได้อย่างไร รวมถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการบริหารคนใหม่ๆ ที่จะทำกันต่อไป
ส่วนช่วงบ่ายจะโฟกัสไปที่การพัฒนาคนโดยตรง ภายใต้หัวข้อ "แนวทางการพัฒนาคนขององค์กรในอนาคต" เพื่อให้ ผู้เข้าร่วมสัมมนารับรู้ร่วมกันว่าอะไรคือแนวทางการพัฒนาคนที่องค์กรชั้นนำได้ดำเนินการกันอยู่ และมีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไรหรือไม่ต่อโปรแกรมการพัฒนาต่างๆ ที่ได้ดำเนินงานไป จากนั้นเปิดให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีการซักถามและแสดงความคิดเห็น
"ในอดีตมีโปรดักต์ดีก็ขายได้ ต่อมา โปรดักต์ดีใครๆ ก็ผลิตได้ หลายองค์กร เริ่มหันมาเน้นเซลส์ฝีมือดี ผ่านไปสักพักทุกองค์กรก็มีเซลส์มือทองเหมือนกันหมด องค์กรต่างๆ ก็หันมารุกด้านมาร์เก็ตติ้ง การสร้างแบรนด์ สุดท้ายทุกองค์กรก็ เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน วันนี้ทุกองค์กรเชื่อแล้วว่า องค์กรจะประสบความสำเร็จได้ต้องขึ้นอยู่กับคน คนที่มีภาวะผู้นำ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ การให้ความรู้เรื่องต่างๆ กับคนในองค์กรจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง"
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์พัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ จำกัด ชี้ให้เห็นความสำคัญในการพัฒนาคนในทศวรรษนี้พร้อมบอกต่อว่าช่วงหลังๆ องค์กรต่างๆ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการคิดเชิงกลยุทธ์ การคิดเชิงสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก เริ่มหันมามองอะไรที่จับต้องได้ยากมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี
ทุกวันนี้ HR จึงต้องตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลา
ทำอย่างไร "คน" จึงจะสะท้อนแบรนด์ขององค์กร
ทำอย่างไร "คน" จะปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาขององค์กรไทย
ทำอย่างไร "คน" จะรักภักดีกับองค์กร
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นภารกิจของ HR ยุคใหม่ทั้งสิ้น
การจัดการบุคลากร (Personnel Management)
การจัดการงานบุคคลหรือการบริหารบุคคล เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของการจัดการ เพราะบุคคลเป็นปัจจัยที่ทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย หากการจัดการงานบุคคลไม่มีประสิทธิภาพแล้ว การดำเนินงานขององค์การจะพบอุปสรรคนานาประการ ระบบการจัดการงานบุคคลที่ดีคือระบบคุณธรรม ซึ่งมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ หลักความเสมอภาค หลักความสามารถ หลักความมั่งคง และหลักความเป็นกลางทางการเมืองคนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆ ก็จะดีตามมา
การบริหารทรัพยากรบุคคล ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ทุนมนุษย์เป็นทุนที่มีความสำคัญในการบริหาร และสร้างคุณค่าให้กับองค์กร นอกจากนั้นการบริหารคนยังเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจและยากต่อการทำให้เป็นสูตรสำเร็จในการบริหาร
โดยการบริหารทุนมนุษย์ขององค์กรไม่ได้สอดรับกับทิศทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์กร แต่เมื่อภายหลังจากการทำ HR Scorecard ทำให้หน่วยงานด้าน HR สามารถมองเห็นภาพรวมของการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งในแง่ปัญหาที่เผชิญอยู่ ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินงานแต่ละส่วนได้จากการทำ Strategy Mapping นอกจากนั้นการนำ HR Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารทรัพยากรบุคคล ยังทำให้ผู้ปฏิบัติงานมองเห็นเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจน เกิดความกระตือรือล้นที่จะปฏิบัติงานในเชิงรุกมากขึ้น และการทำงานของแต่ละส่วนจะเกิดการประสานสอดรับซึ่งกันและกันเป็นทีมงาน เพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน ในมุมมองนี้ HR Scorecard จึงเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนปฏิรูปการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานอย่างแท้จริง
ความหมายของทุนมนุษย์ในมิติของผู้ร่วมลงทุน หรือผู้เข้ามาลงทุนกับองค์กร จึงมีนัยว่า พนักงานหรือบุคลากรเหล่านี้ได้พิจารณาเห็นว่าองค์กรนี้ บริษัทแห่งนี้ มีความน่าสนใจที่เขาอยากเข้ามาร่วมทุนหรือลงทุนทำกิจกรรมทางธุรกิจให้องค์กรเติบโต เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างคุ้มค่ากับการที่เข้ามาลงทุน
......ถ้าองค์กรนี้ดี เจริญเติบโต พนักงานจะลงทุนมากขึ้น ทุ่มเทการทำงานมากขึ้นเพื่อให้องค์การมีกรสร้างสรรค์สิ่งที่ดีต่อลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
......และถ้าองค์กรแห่งนี้มีการออกแบบระบบการทำงาน สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้พนักงานที่เป็นผู้ร่วมลงทุนมีอิสระที่จะคิดนวัตกรรมใหม่ในการทำงาน สนุกกับการเพิ่มการลงทุน ฯลฯ ซึ่งอาจจะมาจากตัวเขาเองและองค์กร เขาก็จะยังคงเป็นหุ้นส่วนกับองค์กรแห่งนี้ต่อไป
......หากว่าองค์กรแห่งนี้ดูแลผู้ร่วมลงทุน หรือทุนมนุษย์ทั้งหมดไม่ดี พวกเขาจะถอนทุนออกไปคือ การลาออกไปหาบริษัทใหม่ที่เขาควรจะเข้าไปร่วมลงทุน องค์กรจะได้รับความเสียหายโดยมิอาจประเมินค่าได้
ดังนั้นในแก่นแท้แห่งความหมายของ ทุนมนุษย์ ถ้าเรา (บริษัท) สามารถสรรหาผู้ร่วมลงทุนที่เป็นคนเก่ง ดี มีคุณธรรม เข้ามาสู่องค์กร ให้การดูแล (ความเป็นอยู่) และพัฒนาให้ทุนมนุษย์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแถวหน้าในธุรกิจการแข่งขันได้ องค์กรก็จะเติบโตอยู่ในแถวหน้าของธุรกิจการแข่งขันเช่นเดียวกัน
สำหรับองค์กรหรือธุรกิจแบบไทยหรือบริษัทธุรกิจที่ไม่ได้ใช้แนวคิดทางการบริหารหรือจัดการแบบ Outsourcing ซึ่งไม่เห็นมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปหาวิธีให้คนผูกพันกับองค์กร เพราะ ถ้าธุรกิจท่านบริหารทุนมนุษย์ในความหมายของผู้ร่วมลงทุนจะถือว่าเป็นการบริหารคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
กรอบแนวคิด "พัฒนาที่ยั่งยืน" สร้างดุลยภาพ3มิติ+ทุนมนุษย์
รายงาน มติชนรายวัน วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2546
ความท้าทายของประเทศสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
1.ความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากรจะรุนแรงขึ้น โดยวิกฤตเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้ปัญหาความยากจน และความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ เพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มของการบุกรุกพื้นที่ป่า และพื้นที่สาธารณะประโยชน์มีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ข้อเรียกร้องต่อภาครัฐ เพื่อจัดหาที่ดินทำกินจะรุนแรงขึ้น ดังนั้น การให้ความสำคัญ กับนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพ และเอื้อประโยชน์ต่อคนจน จึงเป็นประเด็นสำคัญ ที่ต้องจัดการเพื่อลดความขัดแย้ง ที่จะเกิดขึ้นโดยเร่งด่วน
2.พันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมจะเป็นภาระต่อต้นทุนการผลิต โดยการเปิดเสรีทางการค้า ได้นำไปสู่การกำหนดข้อตกลงกติกาการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศใหม่ๆ ตลอดจนมีการกีดกันการค้า ด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีมากขึ้น โดยเฉพาะการนำประเด็น ด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นเงื่อนไขทางการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อม และสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้ประเทศอยู่รอดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคการผลิตที่ไม่ก่อมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง
3.กระแสประชาธิปไตยในประชาคมโลกมีอิทธิพลต่อแนวคิดและค่านิยมในการพัฒนาของประเทศต่างๆ ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การพิทักษ์สิทธิมนุษยชน การคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นโอกาสดีที่ประเทศไทย ต้องปรับตัวและทบทวนกระบวนทัศน์การพัฒนาใหม่ ในทิศทางที่พึ่งตนเองและสอดคล้องทันกับกระแสหลักของโลก โดยจัดให้มีระบบบริหารจัดการที่ดี ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างเร่งด่วน และต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการวางรากฐานการพัฒนาประเทศ ให้เข้มแข็ง มีคุณภาพและยั่งยืน
4.กระแสการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นภาระที่ภาครัฐ ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งในสังคม โดยความตื่นตัวของประชาชน ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จะกดดันให้ภาครัฐต้องเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและท้องถิ่นมีบทบาท ในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นมากขึ้น โดยไม่อาจอาศัยการดำเนินงานของภาครัฐในส่วนกลางเพียงฝ่ายเดียว ดังเช่นที่ผ่านมาได้อีกต่อไป ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นเครือข่ายและเป็นระบบที่เข้มแข็ง จึงเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญและต้องประสานเชื่อมโยงให้เครือข่ายที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
5.ความโดดเด่นของเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีความหลากหลายในทุกพื้นที่และคุณลักษณะที่ดีของคนไทย ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่ของคนไทย ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่มีอยู่จะต้องนำมาประยุกต์ใช้ต่อยอดกับเทคโนโลยีและการจัดการสมัยใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าและคุณค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ประเทศไทยมีโอกาสเป็นผู้นำในสาขานั้น เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ การเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งมีคุณภาพและยั่งยืน
โดยกรอบแนวคิดของการดำเนินงานในแต่ละมิติของการพัฒนา พิจารณาได้ ดังนี้
1.การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ในปริมาณที่ระบบนิเวศ สามารถฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิมได้ และปล่อยมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม ในระดับที่ระบบนิเวศสามารถดูดซับ และทำลายมลพิษนั้นได้ง่าย กล่าวคือ หากใช้ทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดไป (non-renewable) จำเป็นต้องหาทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทใช้แล้วไม่หมดไป (renewable) มาแทนที่ และต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดไปนี้ ไม่มากเกินขีดความสามารถ ของระบบนิเวศในการผลิตทดแทนได้ด้วย ทั้งนี้เพื่อคงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นฐานการผลิต ของระบบเศรษฐกิจ และการดำรงชีวิตของมนุษย์ ได้อย่างต่อเนื่องตลอดไป โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่
1.1 ปรับกระบวนทัศน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ให้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ ฟื้นฟูและพัฒนาฐานทรัพยากรในท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการเพิ่มทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว
1.2 อาศัยกลยุทธ์เชิงรุกในการดำเนินการป้องกันทรัพยากร อาทิ การมีนโยบายการใช้ทรัพยากรที่ชัดเจน การสร้างจิตสำนึกและจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อม และกำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณ เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขของการลงทุน
1.3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดการทรัพยากร โดยสนับสนุนการรวมตัวเป็นเครือข่าย ของภาคส่วนต่างๆ ในสังคม มีการแก้ไขกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีที่เหมาะสม
2.การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ให้เจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ,มีเสถียรภาพ มีความสมดุลและกระจายความมั่นคง เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ และต้องเป็นการเติบโตที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
2.1 การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งการพัฒนาคุณภาพแรงงาน และทุนมนุษย์ การเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน และการบริหารจัดการในทุกระดับให้เกิดการบริหารจัดการที่ดี เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงแข่งขันของประเทศ
2.2 การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน มุ่งบริหารเศรษฐกิจส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองได้ มีภูมิคุ้มกัน สามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกได้อย่างรู้เท่าทัน รวมทั้งมีกระบวนการผลิตและการบริโภคที่เหมาะสม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
2.3 การกระจายความมั่นคง มุ่งกระจายโอกาสการพัฒนาทางเศรษฐกิจให้เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ สามารถเข้าถึงการใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติ และบริการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐได้อย่างเท่าเทียม
3.การพัฒนาสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาคนและสังคมให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
3.1 พัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีผลิตภาพสูงขึ้น รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง มีจิตสำนึก พฤติกรรมและวิถีชีวิตที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
3.2 มีสิทธิและโอกาสที่จะได้รับการจัดสรรทรัพยากร และผลประโยชน์จากการพัฒนา และได้รับการคุ้มครอง อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
3.3 มีระบบการจัดการทางสังคม ที่เสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคมในกระบวนการพัฒนา
3.4 มีการนำทุนทางสังคม และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีอยู่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
3.4.1 การพัฒนาคุณภาพคน(ทุนมนุษย์) ให้มีความรู้ มีสมรรถนะและมีผลิตภาพสูงขึ้น สามารถปรับตัวได้ทันการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี มีทักษะในการนำความรู้และข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์และเลือกใช้ ในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะและรู้เท่าทัน มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพฤติกรรมการผลิต การออม การบริโภคที่เหมาะสม
3.4.2 การพัฒนา และใช้ประโยชน์ จากทุนทางสังคม โดยเลือกรักษาฟื้นฟูวัฒนธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และภูมิปัญญา ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย โดยผสมผสานกับเทคโนโลยีหรือวิทยาการใหม่ๆ รวมทั้งการเสริมสร้างทุนทางสังคมใหม่ๆ และการหาทางลด ละ เลิก พฤติกรรม/ค่านิยมที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้มีส่วนช่วยเพิ่มผลิตภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และบริการ และลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ไม่จำเป็น
การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทย ทุกภาคส่วนของสังคม ควรผนึกกำลังร่วมกันในการขับเคลื่อน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง บนพื้นฐานของทุนทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งนี้ จำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกใหม่ของคนในสังคม ให้มุ่งผลประโยชน์ส่วนรวม และปรับวิธีคิด ทัศนคติในการดำเนินชีวิตใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ขณะเดียวกันต้องประสานเชื่อมโยงบทบาทภาครัฐ ท้องถิ่นและชุมชนให้มีส่วนร่วมทำงานด้วยกันได้ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรในท้องถิ่น
ทุนมนุษย์
‘ทุนมนุษย์’ ไทยวิกฤติ เร่งสร้างด่วน !! คน‘เก่ง+ดี+มีทักษะ’
“สังคมไทยในยุคปัจจุบันนั้น เป็นสังคมที่เกิดความสับสน เหลื่อมล้ำ แตกแยก และนำไปสู่ความถดถอย !!” ...เป็นคำกล่าวของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้ด้านการจัดการทุนมนุษย์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และนี่ก็มิใช่คำกล่าวที่เกินเลย เพราะใครต่อใครอีกมากมายในสังคมไทยยาม นี้ ก็กล่าว ก็มีมุมมองทำนองเดียวกันนี้
ปัญหานี้...ด้านหนึ่งเกิดขึ้นเพราะ “วิกฤติทุนมนุษย์”
และล่าสุดทางสำนักงาน ก.พ. รับหน้าเสื่อ “กู้วิกฤติ”
ทั้งนี้ ดร.สุวิทย์ระบุว่า... ความจำเป็นของการ “พัฒนาทุนมนุษย์” นั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ตระหนักกันนานแล้ว ซึ่งทั่วโลกนั้น “เทรนด์การพัฒนามนุษย์” พัฒนาคนในชาติ ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด คือหันกลับมาสู่การ “พัฒนาในเรื่องจิตใจ” โดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นส่วนช่วยมากขึ้น
ในโลกปัจจุบัน ในยุคสังคมหลังฐานความรู้ มนุษย์เราจะอยู่ในโลก อย่างสมดุลได้จำเป็นต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็มีอิสระด้วย ซึ่งค่านิยมของทุนมนุษย์ในยุคใหม่จะต้องมีความ “ใส่ใจและแบ่ง ปัน” ปัจจัยของความสำเร็จในโลกยุคสังคมหลังฐานความรู้จะต้องประกอบไป ด้วย ความเชื่อมั่น, ใส่ใจ, แบ่งปัน และทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสิ่งที่อยู่ข้างในตัวบุคคลทั้งหมด
“แต่เดิมคนไทยเป็นผู้บริโภคความรู้ ต่อไปนี้เราต้องนำเอาความรู้ นั้นออกมาแบ่งปันกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำความรู้ใหม่ที่ได้ ไปต่อยอดความรู้เดิม เกิดเป็นนวัตกรรมขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถนำ เอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นปรัชญาสากล มาปรับใช้กับคนได้ทุก ระดับ เพราะแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้นสอดคล้องกับทิศทางของโลกใน อนาคต” ...ดร.สุวิทย์กล่าว
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญามหามงคลของปวงไทย
“พัฒนาทุนมนุษย์” ของประเทศไทย...ก็นำมาปรับใช้ได้ !!
การดำเนินการพัฒนาทุนมนุษย์ในประเทศไทย ก็เป็นเรื่องสำคัญที่สอดคล้องกับทฤษฎีบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในโลกยุคใหม่ ที่มองว่า “คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา” ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ของไทย ก็ได้เน้นที่การเตรียมความพร้อมของคนไทยเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ขณะที่สำนักงาน ก.พ. ก็ขานรับความจำเป็นเร่งด่วนนี้ เนื่องเพราะทั้งระดับองค์กร สังคม และประเทศชาติ จะสามารถอยู่รอด เติบโต และประสบความสำเร็จ ในโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้นั้น “มนุษย์” หรือคนในประเทศจะต้องมี “ทุน” ที่เหมาะสม
ในที่นี้หมายถึงมี “ความรู้ ทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์ ค่านิยม” ที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการทำงานให้บรรลุผล เรียกสั้น ๆ ว่า “ทุน มนุษย์” หรือ “Human Capital”
“โครงการพัฒนาเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะ ด้านการจัดการทุนมนุษย์” คือเครื่องมือที่สำนักงาน ก.พ. นำมาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบุคลากรของชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ร่วมกัน พัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารทุนมนุษย์ ให้แต่ละหน่วยงานนำกลับไปพัฒนาบุคลากรของตน
กับเรื่องนี้ เลขาธิการ ก.พ. ปรีชา วัชราภัย บอกว่า... สำนักงาน ก.พ. จะรับทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวม แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ถ่ายทอดองค์ความรู้ออกไปให้แพร่หลาย เช่นจะมีการผลิตรายการ “คนดลใจ” นำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการทุนมนุษย์ผ่านคนดี-คนเก่งที่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย ออกอากาศทางช่อง 11 ทุกวันเสาร์เวลา 10.00 น. นำเสนอเรื่องนี้ผ่านรายการวิทยุ FM 105 ทุกวันเสาร์เวลา 10.00 น. และ AM ทุกวันอาทิตย์เวลา 18.00 น. รวมถึงจัดสัมมนาทั่วประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายองค์ความรู้สาธารณะ
นอกจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นแกนหลักสูงสุดแล้ว ในการดำเนินการก็จะมีการนำกรอบแนวคิด “จิตสาธารณะ” จากงานเขียนที่มีชื่อว่า “Five Minds for the Future” หรือเรียกสั้น ๆ แต่จำได้ง่าย ๆ ว่า “5 จิต...คิดเพื่ออนาคต” ที่ได้รับการยอมรับจากนักบริหารทั่วโลก มาประยุกต์ใช้ในไทยด้วย
ประกอบไปด้วย... 1.จิตแห่งวินัย มุ่งมั่นขัดเกลาในทักษะวิชาชีพ ของตนอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง, 2.จิตแห่งการสังเคราะห์ มีความสามารถ รอบตัวและใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีจุดมุ่งหมายและเหมาะสมกับสถานการณ์, 3.จิตแห่งการสร้างสรรค์ มีความคิดสร้างสรรค์ในการคิดค้นสิ่งใหม่ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสังคมของประเทศ, 4.จิตแห่งความเคารพ เคารพคุณค่าของบุคคลอื่นในสังคม, 5.จิตแห่งคุณธรรม มีบทบาทและความรับผิดชอบต่อสังคม เสริมสร้างให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและความสงบสุข ของสังคม
“ประเทศชาติเรากำลังต้องการคนเก่งและดี แต่นี่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะนำพาองค์กร สังคม ประเทศชาติ ให้ก้าวไปยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง คนที่เก่งและดียังจะต้องมีทักษะที่หลากหลายและมีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นทุนที่องค์กร สังคม ประเทศชาติ จะต้องสั่งสม ต้องสร้างให้กับคนในชาติ เพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปสู่ความ สำเร็จต่อไป”
HR Scorecard กับ Balanced Scorecard ต่างกันอย่างไร?ทั้ง HR Scorecard (การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล) กับ Balanced Scorecard (การบริหารงานแบบสมดุล) ต่างก็เป็นเครื่องมือสำหรับการบริหารเชิงกลยุทธ์ (Strategic Tools) ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อการประเมินและพัฒนาผลงานขององค์กรด้วยกันทั้งคู่ แต่มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน คือ
Balanced Scorecard เป็นการวัด (Measure) ผลงานขององค์กรโดยรวม โดยเน้นการวัดที่มีความสมดุล (Balance) ใน 4 มิติ 1 ใน 4 มิติ คือเรื่องการพัฒนาองค์กร ซึ่งรวมถึงเรื่องการบริหารทุนมนุษย์อยู่ด้วย
HR Scorecard เน้นการวัด (Measure) ผลงานขององค์กรด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลโดยรวม เพื่อให้ทราบว่าองค์กรมีสมรรถนะและขีดความสามารถใน “การบริหารคน” สูงต่ำเพียงใด และมีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างใดบ้าง เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การวัดและประเมินด้านการบริหารทุนมนุษย์ใน Balance Scorecard มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การใช้คนและ/หรือกลุ่มบุคคลให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่องค์กรมุ่งหวัง การที่บุคลากรในองค์กรจะปฏิบัติงานได้สมกับความมุ่งหวังหรือไม่ เป็นคำถามที่ผู้บริหารต้องตอบให้ได้และเป็นภารกิจของผู้บริหารที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการจัดการให้พนักงานทำงานบรรลุความมุ่งหวังอย่างเต็มใจ การให้พนักงานทำงานอย่างเต็มใจนั้นเป็นเรื่องที่ยาก และยิ่งยากมากเป็นทวีเท่าถ้าต้องการให้บุคลากรในองค์กรกระตือรือล้นพัฒนาและยกระดับความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเครื่องมือในการพัฒนาพนักงาน คือ การบริหารงานอาชีพ การให้การศึกษา การฝึกอบรม และการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ความสามารถในการเป็นผู้นำของ HR จะต้องหมายถึง การนำองค์กรหรือนำธุรกิจได้” จึงจะถือว่าเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ส่วนสภาวะความเป็นผู้นำของ HR เป็นรายบุคคล ในแง่บุคลิกภาพ เหล่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเป็นเพียงผู้นำที่มีสถานะผู้ตาม หรือผู้ปฏิบัติตามนโยบายขององค์การเท่านั้น แต่ผู้นำของ HR ที่เป็นผู้นำที่แท้จริง จะต้องเป็นผู้นำในแง่ของนักปฏิรูป กล้าคิด กล้าเปลี่ยน กล้าทำ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านกลยุทธ์ โครงสร้าง กระบวนการทำงานขององค์การได้ เป็นการนำในส่วนที่สำคัญขององค์การ ถือว่าเป็น “การนำการเปลี่ยนแปลง” หรือเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในองค์การได้ HR จะต้องมีความสามารถในการ 1) นำเสนอนโยบาย
HR จะต้องมีบทบาทในการชี้แนะ ทำให้ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารในสายงานมีความเชื่อเห็นด้วย คล้อยตามที่จะให้องค์การมี นโยบายที่ทำให้เกิดการพัฒนาผลงาน ประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรด้วยเทคนิควิธีการเครื่องมือต่าง ๆ การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย การลดขนาดขององค์การ เช่น การนำระบบการบริหารผลงาน การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ การบริหารโดยหลัก Lean Management ฯลฯ มาใช้ในองค์การ
2) นำเสนอโครงการ
HR ต้องมีความสามารถในการนำเสนอให้ผู้บริหารระดับสูง หรือในสายงานเห็นด้วย หรือยินยอมที่จะให้มีโครงการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงพัฒนาระบบ การบริหารทรัพยากรบุคคล เช่น การปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่ง การใช้โครงสร้างค่าจ้าง แบบ Broad Band การจัดตั้งคณะกรรมการนันทนาการ การจัดโครงการสัปดาห์ คุณภาพชีวิตในการทำงาน ฯลฯ
3) เปลี่ยนแปลงวิธีการ
การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของ HR และทำให้เกิดผลดีต่อการบริหารจัดการ เช่น ใช้ระบบการจ้างเหมาแรงงานในงานการสรรหาว่าจ้าง ฝึกอบรม การบริหารค่าตอบแทน มีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการปรับปรุงงานฐานข้อมูล ฯลฯ
4) สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
HR สนับสนุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น ให้มีการประชุมพนักงานก่อนเริ่มเข้าทำงานทุกวัน โครงการแลกเปลี่ยนความรู้ในหน่วยงาน โครงการกิจกรรม 5ส ฯลฯ เพื่อให้ พนักงานหรือหัวหน้างานจะได้นำตัวอย่างไปปฏิบัติ และจะสามารถพูดได้อย่างเต็มที่ว่า HR เป็นนักพัฒนา ส่งเสริมการเรียนรู้พนักงาน หรือไม่มีข้อติ หรือถูกกล่าวหาว่า เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่พัฒนาพนักงานอื่น ๆ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ที่บุคลากรของฝ่าย HR เองกลับไม่มีการพัฒนา
เร่งพัฒนามนุษย์ต้นทุนของประเทศ
สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมฐานความรู้ และการที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะอยู่รอดเติบโต มีขีดความสามารถในการแข่งขันและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้นั้น จะต้องมี ทรัพยากรบุคคล ที่ได้สั่งสมทุนไว้ในตัวอย่างที่เหมาะสม เพียงพอและสอดคล้องกับเป้าหมายความสำเร็จขององค์กร
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสำตัญต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อนำพาประเทศเข้าสู่สังคมฐานความรู้ ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ทิศทางการพัฒนาประเทศได้มุ่งสู่แนวทางของการยึด คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา ขณะที่แผนพัฒนาฯ ฉบับ10 ก็มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมของคนไทยเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเผชิญ
สำนักงาน กพ.ในฐานะเป็นองค์กรกลางที่รับผิดชอบการเตรียม การบริหาร และการพัฒนากำลังคนในภาครัฐ ตระหนักดีว่าเป้าหมายสูงสุดของการบริหาร และพัฒนาคนในราชการ คือการทำให้มีทุนความรู้ ความสามารถ ทักษะ สมรรถนะ ประสบการณ์ และค่านิยมที่เหมาะสมในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ
นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ กพ. กล่าวว่า การพัฒนาทรัพย์ยากรมนุษย์เป็นเรื่องที่สำคัญระดับชาติ เพราะทรัพย์ยากรบุคคลที่มีความสามารถจะช่วยพัฒนาประเทศชาติใก้ก้าวไกลไปได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสังคมฐานความรู้ ซึ่งมองว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญของทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ถ้าเราสามารถสร้างให้เขาเป็นผู้ที่มีความะพร้อมทางด้านสติปัญญา ความรู้ คุณธรรม และจริยธรรม เขาก็จะสามารถนำพาองค์กรนั้นๆ ไปสู่ความสำเร็จได้ แต่หากคนไม่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถที่จะทำงานให้สัมฤทธิ์ผลได้ ซึ่งประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องสร้างสังคมที่มีความรู้คู่คุณธรรม เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ภายใต้กระแสของการแข่งขันในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต นายปรัชากล่าว
เป้าหมายสำคัญของการสร้างเครือข่ายองค์ความรู้ด้านการจัดการมนุษย์ จะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อต่อยอดความรู้ในด้านการพัฒนา และการจัดการทรัพยากรรมนุษย์ ของแต่ละองค์กรเพื่อนำเอาความรู้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบุคลากรของตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างเครือข่ายหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างองค์กรในภาคส่วนต่างๆ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารทุนมนุษย์ของประเทศต่อไป
สิ่งที่จะทำให้ประเทศสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้กระแสที่ไหลหลากทางการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวสู่กระแสแห่งการแข่งขันได้อย่างมั่นคง
การบริหารทรัพยากรบุคคล ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ทุนมนุษย์เป็นทุนที่มีความสำคัญในการบริหาร และสร้างคุณค่าให้กับองค์กร นอกจากนั้นการบริหารคนยังเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจและยากต่อการทำให้เป็นสูตรสำเร็จในการบริหาร
โดยการบริหารทุนมนุษย์ขององค์กรไม่ได้สอดรับกับทิศทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์กร แต่เมื่อภายหลังจากการทำ HR Scorecard ทำให้หน่วยงานด้าน HR สามารถมองเห็นภาพรวมของการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งในแง่ปัญหาที่เผชิญอยู่ ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินงานแต่ละส่วนได้จากการทำ Strategy Mapping นอกจากนั้นการนำ HR Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารทรัพยากรบุคคล ยังทำให้ผู้ปฏิบัติงานมองเห็นเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจน เกิดความกระตือรือล้นที่จะปฏิบัติงานในเชิงรุกมากขึ้น และการทำงานของแต่ละส่วนจะเกิดการประสานสอดรับซึ่งกันและกันเป็นทีมงาน เพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน ในมุมมองนี้ HR Scorecard จึงเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนปฏิรูปการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานอย่างแท้จริง
การบริหารทรัพยากรบุคคล ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ทุนมนุษย์เป็นทุนที่มีความสำคัญในการบริหาร และสร้างคุณค่าให้กับองค์กร นอกจากนั้นการบริหารคนยังเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจและยากต่อการทำให้เป็นสูตรสำเร็จในการบริหาร
โดยการบริหารทุนมนุษย์ขององค์กรไม่ได้สอดรับกับทิศทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์กร แต่เมื่อภายหลังจากการทำ HR Scorecard ทำให้หน่วยงานด้าน HR สามารถมองเห็นภาพรวมของการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งในแง่ปัญหาที่เผชิญอยู่ ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินงานแต่ละส่วนได้จากการทำ Strategy Mapping นอกจากนั้นการนำ HR Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารทรัพยากรบุคคล ยังทำให้ผู้ปฏิบัติงานมองเห็นเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจน เกิดความกระตือรือล้นที่จะปฏิบัติงานในเชิงรุกมากขึ้น และการทำงานของแต่ละส่วนจะเกิดการประสานสอดรับซึ่งกันและกันเป็นทีมงาน เพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน ในมุมมองนี้ HR Scorecard จึงเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนปฏิรูปการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานอย่างแท้จริง
การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การใช้คนและ/หรือกลุ่มบุคคลให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามที่องค์กรมุ่งหวัง การที่บุคลากรในองค์กรจะปฏิบัติงานได้สมกับความมุ่งหวังหรือไม่ เป็นคำถามที่ผู้บริหารต้องตอบให้ได้และเป็นภารกิจของผู้บริหารที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการจัดการให้พนักงานทำงานบรรลุความมุ่งหวังอย่างเต็มใจ การให้พนักงานทำงานอย่างเต็มใจนั้นเป็นเรื่องที่ยาก และยิ่งยากมากเป็นทวีเท่าถ้าต้องการให้บุคลากรในองค์กรกระตือรือล้นพัฒนาและยกระดับความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้บริหารจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเครื่องมือในการพัฒนาพนักงาน คือ การบริหารงานอาชีพ การให้การศึกษา การฝึกอบรม และการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ความสามารถในการเป็นผู้นำของ HR จะต้องหมายถึง การนำองค์กรหรือนำธุรกิจได้” จึงจะถือว่าเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ส่วนสภาวะความเป็นผู้นำของ HR เป็นรายบุคคล ในแง่บุคลิกภาพ เหล่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเป็นเพียงผู้นำที่มีสถานะผู้ตาม หรือผู้ปฏิบัติตามนโยบายขององค์การเท่านั้น แต่ผู้นำของ HR ที่เป็นผู้นำที่แท้จริง จะต้องเป็นผู้นำในแง่ของนักปฏิรูป กล้าคิด กล้าเปลี่ยน กล้าทำ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านกลยุทธ์ โครงสร้าง กระบวนการทำงานขององค์การได้ เป็นการนำในส่วนที่สำคัญขององค์การ ถือว่าเป็น “การนำการเปลี่ยนแปลง” หรือเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในองค์การได้ HR จะต้องมีความสามารถในการ 1) นำเสนอนโยบาย
HR จะต้องมีบทบาทในการชี้แนะ ทำให้ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารในสายงานมีความเชื่อเห็นด้วย คล้อยตามที่จะให้องค์การมี นโยบายที่ทำให้เกิดการพัฒนาผลงาน ประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรด้วยเทคนิควิธีการเครื่องมือต่าง ๆ การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย การลดขนาดขององค์การ เช่น การนำระบบการบริหารผลงาน การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ การบริหารโดยหลัก Lean Management ฯลฯ มาใช้ในองค์การ
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources Management)
เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์(การจัดการงานบุคคล) คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมากการจัดการงานบุคคลหรือการบริหารบุคคล เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของการจัดการ เพราะบุคคลเป็นปัจจัยที่ทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย หากการจัดการงานบุคคลไม่มีประสิทธิภาพแล้ว การดำเนินงานขององค์การจะพบอุปสรรคนานาประการ ระบบการจัดการงานบุคคลที่ดีคือระบบคุณธรรม ซึ่งมีหลักอยู่ 4 ประการ คือ หลักความเสมอภาค หลักความสามารถ หลักความมั่งคง และหลักความเป็นกลางทางการเมืองปัจจุบันการบริหารบุคคลในประเทศของก้ายหน้าไปมากทั้งในระบบรายการองค์การเอกชนขนาดใหญ่ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจต่างๆ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มมากขึ้นที่การเมืองจะเข้าไปก้าวก่ายการบริหารบุคคลในภาคของรัฐบาล โดยอ้างว่ารัฐมนตรีต้องสามารถควบคุมข้าราชการได้เพื่อบริหารราชการให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ นอกจากนี้ ในภาคเอกชนบริษัทขนาดกลางหรือขนาดเล็ก การบริหารบุคคลกลับไม่ยึดหลักการหรือความเป็นธรรมเท่าที่ควร นายจ้างยังบริหารงานตามใจตนเอง เอารัดเอาเปรียบคนงาน กดค่าจ้าง ไม่ให้สวัสดิการเท่าที่ควร ดังนั้นขวัญและกำลังใจของพนักงานจึงมีน้อย ความจงรักภักดีต่อหน่วยงานยิ่งมีน้อยมากยิ่งขึ้น การวางแผนกำลังคนไม่สู้จะสนใจมากนัก เมื่อคนงานลาออกก็หาใหม่เรื่อยไปและไม่สนใจข้อเรียกร้องต่างๆ ดังนั้นจึงมีปัญหาเรื่องแรงงานตลอดมาและส่งผลกระทบไปสู่ประสิทธิภาพในการทำงานและต้นทุนการผลิตอีกด้วยการบริหารบุคคลตามหลักเกณฑ์และทฤษฎีควรประยุกต์ให้เหมาะกับบริษัทของตน แม้จะต้องลงทุนในระยะแรกมากขึ้นแต่ผลตอบแทนในระยะยาวจะเกิดขึ้นอย่างคุ้มค่า
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
ความเป็นมาของการพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ ภายหลังการปฏิรูประบบราชการ เมื่อปี พ.ศ.2545 ได้มีการกำหนดให้การบริหารราชการแนวทางใหม่ต้องมีการกำหนดวิสัยทัศน์ นโยบาย เป้าหมาย และแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถประเมินผลการปฏิบัติงานในแต่ละระดับได้อย่างชัดเจน โดยมีบทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 เป็นกรอบและแนวทาง เพื่อให้การบริหารราชการบรรลุเป้าหมายตามเจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่วนราชการระดับกรมและจังหวัดจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ โดยจะต้องจัดทำแผนยุทธศาสตร์ซึ่งมีตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายและเกณฑ์การให้คะแนนตัวชี้วัดตามกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ 4 มิติ คือ มิติที่ 1 มิติด้านประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ มิติที่ 2 มิติด้านคุณภาพการให้บริการ มิติที่ 3 มิติด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ มิติที่ 4 มิติด้านการพัฒนาองค์กร ในมิติที่ 4 คือ มิติด้านการพัฒนาองค์กรนั้น มีประเด็นการประเมินผลในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
การบริหารองค์ความรู้ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศ และการบริหารการเปลี่ยนแปลง ซึ่งในประเด็นการประเมินเรื่องการบริหารการเปลี่ยนแปลงนั้น กำหนดให้ส่วนราชการจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลง (Blueprint for Change) เพื่อสร้างความพร้อมในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ซึ่งได้กำหนดแนวทางการบริหารราชการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 3 ด้าน คือ 1) การปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยผู้บริหารขององค์กรจะต้องปรับกระบวนการบริหาร
2) การพัฒนาคุณภาพ โดยการปรับกระบวนการบริหารลูกค้าผู้รับบริการ และ 3) การเสริมสร้างขีดสมรรถนะของบุคลากรเพื่อสร้างความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ โดยการวางระบบบริหารจัดการสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ให้มีความเหมาะสมและสามารถรองรับต่อการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติที่สัมฤทธิ์ผลได้ ระบบการบริหารสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ หมายถึง การบริหารทุนมนุษย์ ทุนองค์กรรวมถึงทุนสารสนเทศและความรู้ ซึ่งในสังคมเศรษฐกิจที่เน้นองค์ความรู้ (Knowledge Economy) องค์กรสมัยใหม่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนถือว่าทรัพยากรบุคคลอันเป็นทรัพย์สินขององค์กรนั้นมีสภาพเป็น “ทุน” (Human Capital) ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการบริหารและการสร้างคุณค่า (Value Creation) ให้กับองค์กร การพัฒนาสมรรถนะในการบริหารทรัพยากรบุคคล จึงถือเป็นการพัฒนาขีดสมรรถนะขององค์กรให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ การบริหารทรัพยากรบุคคลแนวใหม่ในราชการพลเรือน มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพและมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐและตอบสนองความต้องการของประชาชน ตามนัยของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 การปรับเปลี่ยนบทบาทด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลในภาคราชการจึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับส่วนราชการในการบริหารทรัพยากรบุคคลของตนเองตามหลักปรัชญาการบริหารงานสมัยใหม่ที่ “ผู้บริหารสายงานหลัก คือ ผู้บริหารทรัพยากรบุคคลที่แท้จริง” ด้วยเหตุนี้ ระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลแนวใหม่ จึงต้องเป็นระบบที่สร้างความคล่องตัวให้กับผู้บริหาร ไม่ติดยึดอยู่กับกฎระเบียบ และต้องเป็นระบบที่เกื้อหนุนต่อการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ ช่วยให้ส่วนราชการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในขณะเดียวกันจะต้องเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส เป็นธรรม และทำให้ข้าราชการมีความพึงพอใจ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย จากแนวคิดดังกล่าวประกอบกับความพยายามที่จะวัดผลตอบแทนจากการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล ตามหลักที่ว่า “หากไม่สามารถวัดประเมินทรัพยากรบุคคลได้ ก็จะไม่สามารถบริหารทรัพยากรบุคคล
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรได้” ดังนั้น การประเมินระบบบริหารทรัพยากรบุคคลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ
ซึ่งจะช่วยให้องค์กรทราบว่าจะใช้กำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมีความคุ้มค่าและช่วยให้องค์กรบรรลุพันธกิจและเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างไร
เพื่อให้ส่วนราชการทราบถึงสมรรถนะในการบริหารทรัพยากรบุคคลของตน สำนักงาน ก.พ. จึงได้ริเริ่มนำการประเมินการบริหารทรัพยากรบุคคลแบบสมดุล (Human Resource Scorecard) ซึ่งมีความแพร่หลายทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ในราชการพลเรือน โดยได้ดำเนินการศึกษาและได้กำหนดกรอบมาตรฐานความสำเร็จด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ไว้ 5 มิติ และได้ส่งเสริมสนับสนุนให้ส่วนราชการจัดทำแผน
กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลตามกรอบมาตรฐานความสำเร็จดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปปฏิบัติที่มุ่งเน้นให้เกิดผลต่อความสำเร็จตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ของส่วนราชการ และเป็นกรอบในการติดตามประเมินผลต่อไป
การบริหารทรัพยากรบุคคล ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารงานในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ทุนมนุษย์เป็นทุนที่มีความสำคัญในการบริหาร และสร้างคุณค่าให้กับองค์กร นอกจากนั้นการบริหารคนยังเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจและยากต่อการทำให้เป็นสูตรสำเร็จในการบริหาร
โดยการบริหารทุนมนุษย์ขององค์กรไม่ได้สอดรับกับทิศทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์กร แต่เมื่อภายหลังจากการทำ HR Scorecard ทำให้หน่วยงานด้าน HR สามารถมองเห็นภาพรวมของการบริหารทรัพยากรบุคคล ทั้งในแง่ปัญหาที่เผชิญอยู่ ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลของการดำเนินงานแต่ละส่วนได้จากการทำ Strategy Mapping นอกจากนั้นการนำ HR Scorecard มาเป็นเครื่องมือในการบริหารทรัพยากรบุคคล ยังทำให้ผู้ปฏิบัติงานมองเห็นเป้าหมายในการดำเนินงานที่ชัดเจน เกิดความกระตือรือล้นที่จะปฏิบัติงานในเชิงรุกมากขึ้น และการทำงานของแต่ละส่วนจะเกิดการประสานสอดรับซึ่งกันและกันเป็นทีมงาน เพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมายเดียวกัน ในมุมมองนี้ HR Scorecard จึงเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับเปลี่ยนปฏิรูปการบริหารทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานอย่างแท้จริง
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (THE HUMAN RESOURCES MANAGEMENT |
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
การออกแบบงาน (Job designs)
1. การจัดให้งานเป็นสิ่งที่มีลักษณะง่าย(Work simplification) เป็นการแบ่งงานต่างๆ ให้เป็นงานย่อยหลายๆ ชิ้น ที่ใช้ความชำนาญเฉพาะแต่เป็นงานง่ายๆ
2. การหมุนเวียนงาน(Job rotation) พนักงานจะสับเปลี่ยนงานที่มีลักษณะง่ายๆ หรืองานที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง เป็นการลดความเบื่อหน่ายในการทำงานชิ้นหนึ่ง เพื่อไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
3. การขยายขอบเขตงาน(Job enlargement) เป็นวิธีตรงกันข้าม วิธีที่1 กล่าวคือ ถ้างานๆหนึ่ง สามารถแบ่งเป็นวิธีการจัดการอย่างง่ายๆได้ 3 อย่างแล้ว ในแง่ของการขยายขอบเขตงาน จะให้คนทำงาน ทั้ง 3 อย่างนั้นพร้อมกัน เพื่อลดเป้าหมายในการทำงานอย่างเดียวมีความหมายยิ่งสำหรับคนทำงาน
4. การเพิ่มเนื้อหาของงาน(Job enrichment) เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับพนักงานให้ความเป็นอิสระในการทำงานและให้ควบคุมคนเอง เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความหมายและคุณค่าในตัวงานสำหรับพนักงาน
การวิเคราะห์งาน(Job Analysis)
การวิเคราะห์งาน คือ กระบวนการพิจารณา จำแนกแยกแยะ ประเมินผลและจัดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ งานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล
กระบวนการในการวิเคราะห์มีดังนี้
1. การระบุขอบเขตงาน(Job identification)ต้องทำก่อนที่จะรวบรวมสารสนเทศของการวิเคราะห์งาน การระบุขอบเขตงานนี้จะทำได้ง่ายสำหรับองค์การขนาดเล็ก เพราะมีงานไม่มากนัก แต่จะประสบความยุ่งยากมากสำหรับองค์การขนาดใหญ่
2. การสร้างแบบสอบถาม(Questionnaire development)ในการศึกษางาน จะต้องดำเนินการจัดทำรายการ หรือแบบสอบถามซึ่งเรียกกันว่า ตารางการวิเคราะห์งาน (job analysis schedules) ในแบบสอบถามนี้จะใช้ศึกษารวบรวมสารสนเทศของานที่มีมาตรฐานเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสามารถของบุคคล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้แบบสอบถามชนิดเดียวกันศึกษางานประเภทเดียวกัน
3. การรวบรวมสารสนเทศจากการวิเคราะห์งาน(Colect job analysis information)
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ อาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ การพิจารณาบันทึกประจำวันในการปฏิบัติงานของคนงานและการสังเกต
ขั้นต่างๆ ของการวิเคราะห์งาน(The Steps in Job Analysis)
ขั้นที่ 1 การเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ต้องทำการทบทวนทำความเข้าใช้กับข้อมูลพื้นฐาน ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเท่าที่มีอยู่
ขั้นที่ 2 การพิจารณาเลือกตำแหน่งตัวอย่างที่จะใช้วิเคราะห์ วิธีการที่ง่ายก็คือ การเลือกวิเคราะห์ เฉพาะตำแหน่งตำงานที่เป็น "ตัวแทน" ของแต่ละกลุ่มตำแหน่ง ซึ่งก็จะให้ผลนำมาใช้การได้และรวดเร็วขึ้น โดยที่ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์จนทั่วทุกตำแหน่ง
ขั้นที่ 3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์งาน ในขั้น นี้การใช้เทคนิคในการวิเคราะห์อาจเป็นวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีการาต่างๆ ต่อไปนี้ เช่น โดยวิธีการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม เป็นต้น
ขั้นที่ 4 การจัดทำเป็น "คำบรรยายลักษณะงาน" (Job Description) หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลมาแล้ว จะต้องนำมาจัดระเบียบเรียบเรียงขึ้นมาเป็นคำบรรยายลักษณะงาน (Job Description)
ขั้นที่ 5 การแปลงความเป็นรายละเอียดคุณสมบัติของคุณ (Job Specification) เป็นข้อความสำคัญที่บอกถึงคุณสมบัติของบุคคลลักษณะท่าทาง ความชำนาญ ตลอดจนคุณสมบัติพื้นฐานอื่นที่จำเป็น เพื่อที่จะทำให้งานนั้นๆ เสร็จสิ้นลง
คำอธิบายลักษณะงาน(Job description)
ประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ส่วน คือ
1. ข้อความที่เกี่ยวกับชื่อของงาน (Job identification) ซึ่งหมายถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับชื่อของงาน และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการระบุลักษณะซึ่งจะช่วยให้เห็นถึงความแตกต่างจากงานอื่นๆ ในองค์การ
2. สรุปงาน (Job Summary) หมายถึงการสรุปเกี่ยวกับงานด้วยข้อความที่ย่นย่อ แต่มีข้อความที่พอเพียงในการช่วยให้ทราบและชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของหน้าที่งาน (duties) ที่ต้องทำของงานนั้นๆที่ต่างจากหน้าที่งานของงานอื่นๆ
3. หน้าที่งาน (Job duties) หมายถึงส่วนของหน้าที่งานสำคัญและความรับผิดชอบเกี่ยวกับงาน
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning)
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ คือ กระบวนการคาดการณ์ความต้องการของทรพัยากรมนุษย์ขององค์การเป็นการล่วงหน้า ว่าต้องการบุคคลประเภทใด ระดับใด จำนวนเท่าใด และต้องการเมื่อใด (the right people the right place, at the right time) และกำหนดวิธีการที่จะได้มาซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องการ ว่าจะได้มาจากไหน อย่างไร ตลอดจนการกำหนดนโยบายและระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อที่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในอนาคต
2. ทำให้องค์การสามารถดำเนินการอย่างมั่นคงท่ามกลางสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
3. ทำให้องค์การมีแผนดำเนินการอย่างละเอียด ที่จะปฏิบัติงานด้านบุคคลอย่างมีขั้นตอน เช่น การ สรรหาการคัดเลือก การโอนย้าย การเลื่อนตำแหน่ง
ประโยชน์ของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้องค์การสามารถวางแผนพัฒนาการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยให้กิจกรรมด้านทรัพยากรมนุษย์และเป้าหมายขององค์การในอนาคตมีความสอดคล้องกัน
2. ช่วยในกิจกรรด้านทรัพยากรมนุษย์เป็นไปอย่างมีระบบและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
3. ช่วยให้การจ้างพนักงานใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
4. เป็นการเตรียมการให้ได้พนักงานใหม่เป็นไปตามความต้องการของแผนหรือฝ่ายต่างๆ
5. ส่งเสริมและพัฒนาโอกาลความเท่าเทียมกันของพนักงานในหน่วยงานต่างๆ ขององค์การ
6. เป็นแนวทางสำหรับองค์การที่มีหน้าที่ผลิตจะได้ผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน
กระบวนการในการวางแผนทรัพยากรมนุษย์
ได้กำหนดขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. การพิจารณาเป้าหมาย และแผนขององค์การ(Goals and Plans of Organization) คือ การศึกษาและพิจารณาแผนกลยุทธ์ที่องค์การได้กำหนดไว้ศึกษานโยบายทางด้านต่างๆเพื่อที่จะนำผลของการศึกษาเหล่านี้มาจัดวางข้อมูลด้านบุคคลที่ควรจะเป็นในอนาคตได้อย่างเหมาะสม
2. การพิจารณาสภาพการณ์ของทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน(Current Human Resource Situation)
3. การคาดการณ์ทรัพยากรมนุษย์( Human Resource Forecast) จะได้ทราบจำนวนและประเภทของพนักงานที่มีอยู่จริงๆ ว่ามีจำนวนเท่าไร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับจำนวนที่องค์การทั้งหมดก็จะสามารถรู้ว่าองค์การต้องจ้างพนักงานใหม่ในกลุ่มใดบ้าง และในระยะเวลาใด
4. การกำหนดแผนปฏิบัติการ(Implementtion Programes)
5. การตรวจสอบและการปรับปรุง(Audit and Adjustment)
การสรรหา(Recruitment)
การสรรหา(Recruitment) คือ กระบวนการในการแสวงหาและจูงใจผู้สมัครงานที่มีความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ เริ่มต้นตั้งแต่การแสวงหาคนเข้าทำงานและสิ้นสุดเมื่อบุคคลได้มาสมัครงานในองค์การ
กระบวนการที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา คือ
1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(Human Resource Planning)
2. ความต้องการหรือการร้องขอของผู้จัดการ(Specific requests of managers)
3. การระบุตำแหน่งงานที่จะรับบุคลากรใหม่(Job opening identified)
4. รวบรวมสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน (Job analysis information)
5. ข้อคิดเห็นของผู้จัดการ(Manager's comments) ข้อคิดเห็นของผู้จัดการจะเป็นตัวตรวจสอบให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำด้วยความรอบคอบและลึกซึ้งมากขี้น
6. กำหนดคุณสมบัติบุคลากรตรงกับงาน(Job requirement)
7. กำหนดวิธีการสรรหา(Methods of recruitment) ผู้สรรหาจะศึกษาแนวทางและแหล่งที่จะดำเนินการสรรหาพนักงาน
8. ความพึงพอใจที่ได้ผู้สมัคร(Satisfactory pool of recruits)
กระบวนการสรรหา (werther and davis. 1986)
ข้อกำหนดที่ควรนำมาพิจารณาในการสรรหา
1.นโยบายขององค์การ (Organization policies) โดยทั่วไปมุ่งแสวงหาความสำเร็จ
1.1 นโยบายการส่งเสริมบุคคลภายในให้บรรจุในตำแหน่งงานที่ว่างลง(Promote from- within policies) องค์การต้องการที่จะสนับสนุนให้โอกาสแก่บุคคลที่ทำงานอยู่ในองค์การของตนได้มีโอกาสเลื่อนหรือเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งที่ว่างลง โดยเชื่อว่าจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่พนักงานที่ทำงานอยู่
1.2 นโยบายรับบุคคลภายนอกมาบรรจุในตำแหน่งที่ว่างลง(Promote from outside policies) องค์การต้องการบุคคลที่มีแนวความคิดใหม่ๆ เข้ามาในองค์การแทนที่จะวนเวียนเฉพาะคนในองค์การของตน
1.3 นโยบายค่าตอบแทน(Compensation policies) คือ บริษัทที่กำหนดราคาเงินเดือนต่ำกว่าราคาที่ตลาดกำหนดจะไดรับบุคคลที่หมดโอกาสจากที่อื่นๆ แล้วอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในองค์การ
1.4 นโยบายด้านสถานภาพการจ้างงาน(Employment status policies) บางองค์การได้กำหนดนโยบายที่จะรับบุคคลเข้าทำงานนอกเวลา(Part- time) และทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว
1.5 นโยบายการจ้างคนต่างชาติ(International hiring policies) ผู้สรรหาจะต้องทำการศึกษาหาความรู้ต่างๆ ด้านกฎหมายเพื่อให้การจ้างงานประเภทนี้เป็นไปอย่างถูกต้อง
2.แผนด้านทรัพยากรมนุษย์(Human Resources Plans) จะทำให้ผู้สรรหาได้รับรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพนักงาน และการเลื่อนขั้นของพนักงาน รู้ว่างานที่กำหนดในแผนนั้นควรหาบุคคลจากแหล่งภายในองค์การเองหรือจากแหล่งภายนอก
3. สภาพแวดล้อมทั่วๆไป(Environments Conditions) ผู้สรรหาควรได้มีการตรวจสอบกับมาตรการ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
3.1 ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐบาลได้สรุปให้เห็นทิศทางของสภาพเศรษฐกิจนับว่าเป็นสิ่งที่ควรนำมาประกอบการพิจารณาด้วย
3.2 การพิจารณาข้อเปรียบเทียบระหว่างการดำเนินการจริงและที่คาดการณ์ไว้ เพื่อจะได้เห็นความแปรผันในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะได้รู้แน่ชัดว่าบุคลากรที่มีอยู่นั้นมีลักษณะเช่นไร ต้องการบุคลากรลักษณะใดมาเพิ่มเติม
3.3 การพิจารณาข้อมูลจากการประกาศการหางานทำในหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงการแข่งขันกันด้านแรงงาน เพื่อผู้ทำหน้าที่สรรหาจะได้ดำเนินการวางแผนกลยุทธ์ช่วงชิงให้คนที่มีความสามารถสนใจงานในบริษัทของเราก่อนบริษัทคู่แข่ง
4. การกำหนดคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงาน(Job Requirements) ผู้สรรหาจะต้องศึกษาและเรียนรู้ความต้องการต่างๆ จากสารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์งาน และคำร้องขอของผู้จัดการฝ่ายต่างๆ ความรู้ด้านคุณลักษณะบุคคลที่ตรงกับงานจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และสิ่งที่ควรคิดบางประการ คือ "สำหรับคนบางคนในงานบางประเภท การมีประสบการณ์ 10 ปี แต่ทำงาน อย่างเดียวกันทุกปีซ้ำกันถึง 10 ปี อาจจะไม่มีคุณค่าทางประสบการณ์ดีกว่าผู้ที่มีประสบการณ์ 1 ปี ก็ได้"
5. คุณสมบัติของผู้สรรหา(Recruiter qualification) นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระบวนการสรรหาเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ผู้สรรหาจะทำหน้าที่ได้ดีเพียงไรขึ้นอยู่กับเขามีคุณสมบัติตามที่กำหนดหรือไม่
วิธีการสรรหา (Channels of Recruitment)
1. การมาสมัครงานด้วยตนเอง (Walk- in)
2. การเขียนจดหมายมาสมัครงาน (Write- in)
3. การแนะนำของพนักงานในองค์การ (Employee referrals)
4. การโฆษณา (Advertising)
5. กรมแรงงาน (Department of Labour)
6. หน่วยงานจัดหางานของเอกชน (Private Placement Agencies)
7. สถาบันการศึกษา ( Educational Institutions)
การคัดเลือก(Selection)
การคัดเลือก คือ กระบวนการที่องค์การใช้เครื่องมือต่างๆ มาดำเนินการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครจำนวนมากให้เหลือตามจำนวนที่องค์การต้องการ ฉะนั้นการคัดเลือกจำเป็นที่จะต้องมีเกณฑ์กำหนดขึ้นเพื่อเป็นกรอบในการพิจารณาให้ได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับงานที่เปิดรับ
การคัดเลือกจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีนั้น จะต้องมีตัวป้อนเข้า (input ) ที่ดีด้วย ตัวป้อนเข้าที่จะไปสู่การคัดเลือกนั้น มี 3 ประเภท ด้วยกัน คือ
1. การวิเคราะห์งาน ( Job analysis)
2. แผนทรัพยากรมนุษย์ (Human resource plans)
3. การสรรหา (Recruitment)
กระบวนการคัดเลือกมีลำดับขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1. การต้อนรับผู้สมัคร(Preliminary reception of application)
การคัดเลือกเป็นโอกาสแรกที่ผู้สมัครจะเริ่มรับรู้เกี่ยวกับลักษณะขององค์การ ขณะเดียวกันฝ่ายบุคคลเองก็มีโอกาสสังเกตกิริยาท่าทาง เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองของผู้สมัคร ซึ่งจะเป็นข้อมูลอย่างดีในการพิจารณาต่อไป
ขั้นที่ 2 การทดสอบ(Employment tests)
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน ที่นำไปเร้าให้บุคคลแสดงความสามารถและพฤติกรรมออกมา
ประเภทของแบบทดสอบ
1. แบ่งตามสมรรถภาพที่จะวัด แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.1. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์(Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ ทักษะ ที่บุคคลได้รับการเรียนรู้มาในอดีต
1.2. แบบทดสอบความถนัด(Aptitude Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดสมรรถภาพทางสมองเกี่ยวกับความสามารถในการปฎิบัติกิจกรรม การทำงานให้บรรลุผลสำเร็จด้วยความถูกต้องแม่นยำ ชำนาญและคล่องแคล้ว
1.3. แบบทดสอบบุคคล-สังคม(Personal-Social Test) หรือแบบทดสอบการปรับตัว(Adjustment) หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพ (Personality) และการปรับตัวให้เข้ากับสังคม
2. แบ่งตามลักษณะของการกระทำหรือการตอบ แบ่งได้ดังนี้
2.1 แบบให้ลงมือกระทำ(Performance Test) แบบทดสอบภาคปฏิบัติทั้งหลาย
2.2 แบบให้เขียนตอบ(Paper-Pencil Test) แบบทดสอบข้อเขียน
2.3 การสอบปากเปล่า(Oral Test) การสอบสัมภาษณ์นั่นเอง
3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายการสร้าง แบ่งเป็น
3.1 แบบอัตนัย (Subjective test) มุ่งการบรรยาย พรรณนา
3.2 แบบปรนัย (Objective test) มุ่งการถามให้ครอบคลุมเนื้อหา
4. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ
4.1 แบบใช้ความรวดเร็ว(Speed test) ต้องการดูความไว
4.2แบบที่ให้เวลามาก(Power test)ต้องการการแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์
5. แบ่งตามประโยชน์
5.1 เพื่อการวินิจฉัย
5.2 เพื่อการทำนาย คาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขั้นที่ 3 การสัมภาษณ์(Selection interview) แบ่งเป็น 5 ประเภท
1. การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง(Unstructured interview) การสัมภาษณ์แบบนี้ให้อิสระแก่ผู้สัมภาษณ์
2. การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง(Structured or directive interview) คำถามแต่ละคำถามจะถูกเตรียมก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์
3. การสัมภาษณ์แบบผสม(Mixed interview) การสัมภาษณ์ที่ผสมผสานระหว่างการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
4. การสัมภาษณ์แบบแก้ปัญหา(Problem-solving interviews) เป็นการสัมภาษณ์ที่เน้นแนวคิดความคิดและวิธีการที่ผู้สมัครใช้แก้ปัญหาต่อสถานการณ์ต่างๆ
5.การสัมภาษณ์แบบเข้มข้น(Stress interviews) เป็นการสัมภาษณ์เน้นสถานการณ์ในด้านความเครียดและความกดดันต่างๆ เพื่อพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ที่ถูกสัมภาษณ์
กระบวนการสัมภาษณ์แบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. การเตรียมการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์ควรมีการเตรียมคำถามต่างๆ เอาไว้ก่อน
2. การสร้างสายสัมพันธ์(Creation of rapport) จะทำให้สัมพันธภาพ ระหว่างผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์มีความไว้ใจ
3. การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ(Information exchange) เพื่อสร้างบรรยากาศในการสัมภาษณ์บางครั้งผู้สัมภาษณ์ต้องการให้การสัมภาษณ์เป็นการสื่อสารสองทาง (two-way communication)
4. การยุติการสัมภาษณ์(Termination) ผู้สัมภาษณ์จะเป็นฝ่ายยุติการสัมภาษณ์อาจบอกว่า เราคุยกันมาพอสมควร ผมขอถามคำถามสุดท้าย
5. การประเมินผล(Evaluation) หลังจากการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ผู้สัมภาษณ์ต้องบันทึกผลทันที
ขั้นที่ 4 การตรวจสอบภูมิหลัง(References and background check)
ในขั้นนี้จะพิจารณาตรวจสอบภูมิหลังจากบริษัทเดิมหรือผู้ที่อ้างถึงในใบสมัคร ข้อมูลการตรวจสอบภูมิหลังช่วยยืนยันความแน่ใจในการตัดสินใจของคณะกรรมการได้ดีขึ้น
ขั้นที่ 5 การตรวจสุขภาพ(Medical Evaluation)
ให้ผู้สมัครตรวจสุขภาพในหน่วยงานต่างๆ ที่ทางองค์การกำหนดให้ การตรวจสุขภาพนี้ช่วยไม่ให้องค์การมีปัญหาภายหลังจากการรับพนักงานเข้ามาทำงานแล้วเกิดภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากสุขภาพเบื้องต้น
ขั้นที่ 6 การประชุมปรึกษาพิจารณา(Conference)
คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย หัวหน้าหน่วยงาน ผู้คัดเลือกเละกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งพิจารณาตัดสินครั้งสุดท้าย คณะกรรมการชุดนี้จะร่วมกันอภิปรายความเหมาะสมในการตัดสินใจคัดเลือกให้บุคคลใดเข้าทำงานในองค์การ
ขั้นที่ 7 ทดลองการปฏิบัติงาน(Realistic Job Preview)
ในขั้นนี้จะได้ประโยชน์แก่ผู้ถูกคัดเลือกโดยตรงเพราะจะได้สำรวจตนเองว่ามีความเหมาะสมในงานนั้นจริงหรือไม่ สามารถปรับตัวต่อสภาพการณ์ต่างได้หรือไม่
ขั้นที่ 8 การตัดสินใจจ้าง(Hiring Decision)
ดำเนินการบรรจุเป็นพนักงานขององค์การ ผู้ทำงานด้านนี้ต้องทำการติดตามผลงานของตนเองในทุกครั้งจากผู้นำผลงานของเราไปใช้
การประเมินผลพนักงาน (Employee Appraisal)
การประเมินผลพนักงาน คือระบบประเมินผลบุคคล อันเกี่ยวเนื่องมาจากผลการปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการต่างๆ อย่างปราศจากอคติใดๆ ทั้งนี้เพื่อดำเนินการตัดสินใจ วินิจฉัย ปรับปรุง ส่งเสริม และพัฒนาพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น จนเป็นที่พึงพอใจ และเป็นการเปิดโอกาสให้พนักงานเห็นช่องทางความก้าวหน้าของเขา จะส่งผลให้องค์การเจริญเติบโตความสำเร็จของการประเมินผลพนักงาน
ประโยชน์ของการประเมินผลพนักงานมีดังนี้
1. ปรับปรุงการปฏิบัติงาน การประเมินผลจะช่วยสร้างและรักษาไว้ซึ่งระดับของการทำงานให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจจากการปฏิบัติงานของพนักงานนั้นๆ
2. ช่วยพัฒนาตัวพนักงาน ทำให้ผู้ประเมินทราบว่า พนักงานผู้นั้นต้องการอะไร มีโอกาสที่จะก้าวหน้าและพัฒนาตัวเองอย่างไร
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
4. เป็นช่องทางขยับขยายเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงาน ช่วยในการพิจารณา เกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่ง โยกย้าย เลิกจ้าง และปลดออกจากงาน
5. เป็นมาตรการนำมาใช้พิจารณาค่าจ้างเงินเดือน
6. ช่วยฝ่ายบุคคลด้านว่าจ้างพนักงาน
การฝึกอบรม (Training)
การปฐมนิเทศ (Orientation)
ปฐมนิเทศ คือ การแนะนำให้พนักงานได้รู้จักกฎระเบียบการปฏิบัติตนตลอดจนหัวหน้างานในองค์การที่พนักงานเหล่านี้ต้องเข้าปฏิบัติ
ความมุ่งหมายการจัดปฐมนิเทศ
1. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักประวัติและความเป็นมาขององค์การ
2. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักผู้บังคับบัญชาระดับต่างๆในองค์การ
3. เพื่อให้พนักงานใหม่ได้รู้จักการแบ่งสายงานในองค์การ
4. เพื่อให้พนักงานใหม่รู้จักกฎ ระเบียบต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติขณะที่อยู่ในองค์การ
5. เพื่อให้เกิดความอบอุ่นใจ คลายความกังวล
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม
1. ผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับจากการฝึกอบรม
1.1 ทำให้เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติงาน
1.2 พนักงานสามารถรู้ถึงมาตรฐานการทำงานและนโยบายต่างๆของหน่วยงาน
1.3 ทำให้พนักงานมีอนาคตก้าวหน้าต่อไปให้ตำแหน่งและหน้าที่ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดกำลังขวัญในการทำงาน
2. ผลประโยชน์ต่อผู้จัดการ ผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้างาน
2.1 ประหยัดเวลาในการที่จะใช้สอนหรือแนะนำงานต่างๆ ให้กับพนักงาน
2.2 ประหยัดเวลาที่จะใช้ควบคุมดูแล สามารถเอาเวลาไปใช้ในการวางแผนงานและบริหารด้านอื่นได้
2.3 ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลประโยชน์ต่อองค์การ
3.1 ช่วยทำให้ผลผลิต มีคุณภาพได้มาตรฐาน
3.2 ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักร
3.3 ช่วยลดอุบัติ การสิ้นเปลืองและการเสียหายต่างๆ
ค่าตอบแทน(Compensation)
"ค่าจ้าง"(Wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทน โดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงานของคนงาน เพราะค่าจ้างส่วนใหญ่กำหนดไว้สำหรับจ่ายคนงานเป็นรายชั่วโมง ที่เรียกกันว่า Nonsupervisor or Blue-collar
"เงินเดือน"(Salary) หมายถึงจำนวนเงินที่บุคคลได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานถือเป็นเกณฑ์ การจ่ายเหมาเป็นรายเดือนและถือเป็นรายได้ประจำ เราเรียกกันว่า White-collar or Professional
ส่วนประกอบของค่าจ้างตามแนวความคิดใหม่
การบริหารค่าจ้างสมัยใหม่ก็จะเขียนได้เป็นสมการ ดังต่อไปนี้
การบริหารค่าจ้าง = เงินเดือน + ผลประโยชน์และบริการ + ค่าตอบแทนทางสังคม
ส่วนประกอบของการบริการค่าจ้างสมัยใหม่ ประกอบไปด้วยค่าจ้างดังต่อไปนี้
1. ค่าจ้างที่เป็นรูปเงิน(Money pay) นักบริหารจึงถือเอาเงินหรือสวัสดิการที่ต้องจ่ายให้พนักงานเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการบริหารค่าจ้างและเงินเดือน
2. ค่าจ้างที่เป็นรูปความสำคัญของงาน(Power pay) ค่าจ้างที่มิได้จ่ายเป็นรูปเงินทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ สินจ้างรางวัลที่จ่ายตอบแทนพนักงานในรูปความสำคัญของงานที่เขาปฏิบัติอยู่
3. ค่าจ้างที่เป็นรูปตำแหน่งงานที่ได้รับเลื่อนให้สูงขึ้น(Authority pay)
4. ค่าจ้างในรูปสถานภาพที่ฝ่ายบริหารยกย่อง(Status pay)
5. ค่าจ้างในรูปองค์การที่มีหลักการที่ดี(Meta - goals pay)
5.1 หลักความพอเพียง(Adequacy) คือ การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด จะต้องพอเพียงที่ลูกจ้างจะยังชีพอยู่ได้โดยเฉลี่ยทั่วๆไป
5.2 หลักความยุติธรรม(Equity)
5.3 หลักดุลยภาพ(Balance) หมายถึงความเหมาะสมระหว่างค่าจ้างและผลประโยชน์อื่นๆ ระหว่างค่าจ้างที่เป็นเงินและที่เป็นค่าทางสังคม
5.4 หลักควบคุม(Control) การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและการประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการบริหาร การควบคุมจึงเป็นหลักการของการวางแผนและบริหารเงินเดือน
5.5 หลักความมั่นคง(Security) ความมั่นคงของพนักงานทั่วไป หมายถึง การจัดให้มีการประกันชราภาพ เกษียณอายุ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยหรือตายเนื่องจากอุบัติเหตุในงาน การว่างงาน ส่วนความมั่นคงของพนักงานระดับสูงและฝ่ายจัดการก็อยู่ที่ การทีหลักทรัพย์ที่ดินและบ้าน
5.6 หลักล่อใจในการทำงาน(Incentives)
5.7 หลักการต่อรองค่าจ้างแลกค่าเหนื่อย(Pay - and - Effort Bargain)
5.8 หลักการยอมรับ(Acceptability)
สุขภาพ และความปลอดภัย(Health and Safety)
ความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัย หมายถึง การหลีกเลี่ยงอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุหรือการเจ็บไข้ก็ตาม ซึ่งอาจจะจัดเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้าเพื่อให้มีการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและปราศจากอันตรายต่างๆ
การส่งเสริมความปลอดภัย
การส่งเสริมความปลอดภัย หมายถึง การดำเนินงานให้คนทำงานเกิดความปลอดภัย โดยการ อบรมให้มีความรู้ สร้างความสนใจให้เกิดขึ้น
1. ผู้บริหาร ต้องตระหนักและเห็นชอบในการส่งเสริมความปลอดภัยด้วยความเต็มใจ
2. จัดให้มีการศึกษาและฝึกอบรมด้านความปลอดภัย
การจัดการงานบุคคล
การประเมินผลการปฏิบัติงาน
1. สิ่งที่ต้องการประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน คือ(1) การประเมินผลงานที่ปฏิบัติ ทั้งในแง่ของประมาณและคุณภาพ ได้แก่ งานที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ทำงานได้มาก ผลงานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่กำหนดไว้(2) ประเมินคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ความร่วมมือในการทำงาน ความสามัคคี มนุษยสัมพันธ์ ความเสียสละ ความอดทน และการรักษาวินัย ฯลฯโดยปกติจะประเมินควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง นอกจากนี้ยังอาจกำหนดคุณลักษณะเฉพาะที่จะใช้ประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากงานอื่นๆ เช่น การรักษาความลับ ความแข็งแรงอดทนต่อความยากลำบาก ความสามารถในการพูดจาเสนอรายงาน เป็นต้น 2. วัตถุประสงค์ของการประเมินผลการปฏิบัติงาน การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ละเอียดถี่ถ้วนและเที่ยงตรงจะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือประกอบการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(1) การเลื่อนตำแหน่ง ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเปรียบเทียบว่าผู้ปฏิบัติงานคนใดมีความสามารถเหมาะสมกว่ากันในการที่จะเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นไป(2) การเลื่อนเงินเดือน ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะบ่งชี้ว่าผู้ปฏิบัติคนหนึ่งๆ มีผลงานที่ปฏิบัติได้จริงถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ควรจะทำได้ ต่ำกว่า หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากน้อยเพียงใด(3) การแต่งตั้งโยกย้าย สับเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงาน ผลการประเมินจะชี้ว่าผู้ใดมีความรู้ความสามารถ ความชำนาญเหมาะสมที่จะทำงานใด ถ้าปรากฏว่าไม่เหมาะสมกับงานใดเลยก็อาจให้พ้นจากงานไป(4) การพัฒนาบุคคล ผลการประเมินจะเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์ความสามารถของบุคคล ถ้าพบว่ามีจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องในด้านใดก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเสริมทักษะและคุณลักษณะที่จำเป็นต่องาน(5) การปรับปรุงระบบวิธีวิธีทำงานและอุปกรณ์การทำงาน ในการประเมินผลการปฏิบัติงานอาจพบกรณีผลงานต่ำซึ่งมิได้มีสาเหตุจากตัวบุคคลผู้ปฏิบัติงานแต่เป็นเพราะระบบวิธีการทำงานยังไม่รัดกุมหรืออุปกรณ์เครื่องช่วยไม่ดี ซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันการ(6) การปรับปรุงวิธีการเลือกสรรบุคคลเข้าทำงาน หากพบว่าผลงานตกต่ำเนื่องจากได้ผู้ปฏิบัติงานที่อาจมีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับงาน ก็จะได้แก้ไขโดยย้อนกลับไปพิจารณาปรับปรุงการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน เช่น ปรับปรุงข้อสอบ และวิธีการให้ได้คนที่เหมาะสมยิ่งขึ้นนอกจากนี้ การประเมินผลการปฏิบัติยังมีประโยชน์ในแง่อื่นๆ อีก เช่น (1) แสดงผลงานดีเด่น การบันทึกผลงานจะช่วยให้รู้ว่าบุคคลใดทำงานได้ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจมีการพิจารณาให้รางวัลและจูงใจด้วยวิธีการต่างๆ นอกเหนือไปจากการขึ้นเงินเดือนที่เรียกว่ารางวัลจูงใจ (incentive award) เช่น ประกาศเกียรติคุณ ให้แหวนเพชร ให้โล่ เป็นต้น (2) ปรับปรุงผู้ที่มีผลงานต่ำ ผลการประเมินจะบอกให้ทราบว่าผู้ใดควรจะได้รับการปรับปรุงในการทำงาน หรือควรจะโยกย้ายไปทำงานอื่นที่เหมาะสมกว่า หรือควรตักเตือนลงโทษตลอดจนให้พ้นออกจากงาน (3) พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนที่จะมีการประเมินผลการปฏิบัติงานผู้บริหารและผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องร่วมกันกำหนดวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงาน จะต้องมีการตกลงกันในเรื่องผลงานเพื่อให้การประเมินเป็นไปตามเป้าหมาย ทำให้ผู้บริหารและผู้ใต้บังคับชามีโอกาสได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย3. การจัดระบบการประเมินการประเมินผลการปฏิบัติงานถ้าจะทำให้เป็นระบบจะต้องมีขั้นตอนดังนี้(1) การกำหนดแบบฟอร์ม จะต้องพิจารณาว่าจะใช้องค์ประกอบอะไรในการประเมิน และองค์ประกอบไหนจะประเมินอย่างไร ทั้งนี้ จะต้องรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการที่จะประเมินด้วยจึงจะกำหนดแบบฟอร์มได้ถูกต้อง(2) การกำหนดมาตรฐานในการทำงาน เป็นการกำหนดว่างานที่ผู้ดำรงตำแหน่งหนึ่งๆ จะต้องปฏิบัติในช่วงเวลาหนึ่งควรมีปริมาณและคุณภาพอย่างไร โดยปกติการจัดทำมาตรฐานการทำงานมักเป็นการระบุปริมาณของงานที่ควรจะทำได้แต่สำหรับงานบางลักษณะซึ่งระบุเป็นปริมาณได้ยากก็จำเป็นต้องระบุคุณภาพของงานนั้นแทน(3) การกำหนดระยะเวลาในการประเมิน ในการประเมินการปฏิบัติงานจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการประเมิน เช่น ถ้าจะประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งก็จะประเมินกันปีละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้ง เป็นต้น แต่ในหน่วยงานบางหน่วยงานอาจพิจารณาจัดให้มีการประเมินมากกว่าปีละ 2 ครั้งก็ได้ตามที่เห็นสมควร(4) คู่มือในการประเมิน ควรจะมีคู่มือที่จะอธิบายคุณลักษณะของหัวข้อในการประเมินให้ชัดเจนเพื่อมิให้ผู้ประเมินตีความหมายเอาเอง ซึ่งอาจทำให้ผลการประเมินที่ออกมาผิดไปจากความเป็นจริง1. วิธีการประเมินผลการปฏิบัติงานวิธีการปฏิบัติในการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีอยู่มากมายหลายวิธี ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่จะพิจารณาเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะงานแลผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้น แต่ละวิธีมีข้อดี ข้อบกพร่องต่างๆ กัน สรุปวิธีการหลักๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันๆได้ดังนี้(1) วิธีจดบันทึกปริมาณงาน ใช้กับงานประจำที่ทำตามแบบแผน ทำซ้ำกัน เช่น การพิมพ์ งานเก็บเอกสาร เป็นต้น โดยผู้ปฏิบัตินับจำนวนงานของตนที่ทำได้ต่อวัน สัปดาห์ หรือเดือน เมื่อถึงเวลาประเมินก็นำผลที่ได้เปรียบเทียบกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว(2) วิธีพิจารณาตามเครื่องวัด (graphic rating scale) คือการกำหนดรายการคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงานที่จะประเมินเอาไว้ แล้วจำแนกแต่ละคุณลักษณะออกเป็นระดับตามความมากน้อย อาจจะได้คะแนนสำหรับแต่ละระดับก็ได้ วิธีนี้นิยมใช้มากที่สุด(3) วิธีพิจารณาโดยตรวจรายการ (check list) วิธีนี้ผู้ประเมินพิจารณาตอบคำถามเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ปฏิบัติงาน โดยกาเครื่องหมายลงในช่องคำตอบที่เตรียมไว้แล้ว วิธีนี้นิยมใช้ในโรงงานสำหรับหัวหน้างานประเมินลูกน้อง(4) วิธีเปรียบเทียบบุคคล (paired comparison method) ผู้ประเมินเปรียบเทียบคนทำงานทีละคู่โดยพิจารณาคุณลักษณะหรือผลงาน และตัดสินทีละคู่ว่าใครดีกว่า ทำเช่นนี้ไปจนครบทุกคู่แล้วรวมคะแนนจัดลำดับปัจจุบันมีการคิดค้นทดลองวิธีประเมินผลงานแบบใหม่ๆ หลายวิธี วิธีการใหม่ๆเหล่านี้มักจะเหมาะกับการประเมินคนงานประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อนำมาใช้กับคนประเภทอื่นๆที่ไม่ตรงกับเจตนาของการคิดค้นวิธีการนั้นขึ้นมาก็มักใช้ไม่ได้ผลการประเมินผลการปฏิบัติงาน
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)” เริ่มถูกนำมาประยุกต์ใช้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จาก “ คน ” ให้มีคุณค่าสูงสุดแก่องค์กร Jeffrey Berk (2004, Talent Management : Valuing Human Capital) กล่าวว่า การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์เปรียบเช่นเดียวกับการลงทุนในทรัพยากรอื่น เช่น การ upgrade คอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่าย 500 บาท ก็หวังว่าองค์กรจะได้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 500 บาทที่จ่ายไป หากองค์กรต้องลงทุนค่าฝึกอบรมแก่พนักงาน ก็หวังว่าจะได้ประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายเป็นค่าฝึกอบรมนั้น บางองค์กรจึงวัดประสิทธิภาพจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าวด้วยดัชนี ROI (Return On Investment) องค์กรจ่ายเงินไปเท่าไร เมื่อวัดผลการดำเนินงาน (Performance) ต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่าเงินที่จ่ายไป ผู้เขียนขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าองค์กรต้องจ่ายค่าฝึกอบรมให้พนักงานขายไปอบรมเรื่องการขายและการตลาดไปเท่าไร อย่างน้อยต้องมียอดขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเงินที่จ่ายไป เป็นต้น สำหรับในประเทศไทย เรื่อง Talent Management ถือเป็นเครื่องมือทางการบริหารอย่างหนึ่งที่เริ่มศึกษาและพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แทนเรื่อง “ การวางแผนสืบทอดตำแหน่ง (Succession Planning)” ที่บางองค์กรเริ่มนำระบบการบริหารนี้ไปใช้อย่างจริงจัง เพราะเกรงว่าหากผู้นำองค์กร หรือผู้บริหารขององค์กรต้องจากองค์กรไปด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งถูกคู่แข่งซื้อตัวไป จะต้องมีผู้อื่นที่สามารถบริหารงานแทนได้ทันทีและมีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management)*
*การสร้างขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์ให้กับองค์กร
(Build Strategic capability)
*ขีดความสามารถในการสร้างคุณค่าจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ในองค์กร
The capacity to create value based on intangible assets of the firm.
ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง ทุนความสัมพันธ์
• สินทรัพย์ซึ่งจับต้องไม่ได้ เป็นตัวชี้ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กร
(It is intangible assets that will make the difference in which firms
succeed and which fail.)
• ขีดความสามารถเชิงกลยุทธ์ คือ ความพร้อมในปัจจุบันและความสามารถ
ในการปรับตัวในอนาคต (Strategic capability is a readiness for
the present and an ability to adapt in the future)
2.ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทุนมนุษย์
q ความหมายของทุนมนุษย์ (Human Capital)
q ทุนมนุษย์กับการสร้างสมรรถนะความสามารถเชิงกลยุทธ์ (Strategic Capabilities)
q การลงทุนและผลตอบแทนการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล (Human Capital Investment and ROI)
q การพัฒนาสมรรถนะการบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Capital Scorecard)
3.ทุนมนุษย์
• องค์ประกอบโดยรวมของความรู้ ทักษะ ค่านิยมและประสบการณ์ซึ่งจัดเป็นสมรรถนะและขีดความสามารถของกำลังคนในองค์กรนั้นๆ
• ‘ that which go home with employees at night’
4.สิ่งที่ส่วนราชการควรดำเนินการเพื่อความมีประสิทธิภาพของการบริหารทรัพยากรบุคคล
• ระบบงาน
– จัดระบบการทำงานเพื่อลดขั้นตอน ระยะเวลา
– การประเมินความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
– จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน
– ระบบงานอัตโนมัติรองรับกิจกรรมและกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคล
ประสิทธิผลของการบริหารทรัพยากรบุคคล(HRM Programme Effectiveness)
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)
ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน
การจัดการงานบุคคล หลักการแสวงหาบุคคลเข้ามาทำงานคือหาคนดีมีความสามารถที่สุดเท่าที่จะทำได้
(Find the best man available) ทั้งนี้ โดยตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเสมอภาค การสรรหาคัดเลือกบุคคลเข้ามาทำงานต้องกระทำอย่างมีมาตรฐาน เช่น สอบตำแหน่งเดียวกันควรจะยากง่ายเท่าๆกัน เป็นต้นกระบวนการในการรับคนเข้าทำงานนี้เรามักเรียกรวมกันไปว่า การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน แต่ที่จริงแล้วแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การสรรหา การเลือก และการบรรจุการสรรหาการสรรหา (recruitment) เริ่มจากการปิดประกาศชักชวนให้ผู้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการมาสมัครให้มากที่สุด สำหรับประเทศไทย ไม่มีปัญหาในเรื่องชักชวนให้คนมาสมัครเข้ารับราชการ แต่ในบางประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษ คนไม่นิยมเข้ารับราชการแม้ว่าจะมีเงินเดือนดี มีความก้าวหน้า และมีความมั่งคง ดังนั้นจึงต้องมีการโฆษณาชักจูงโดยวิธีการต่างๆ คือส่งคนไปตามโรงเรียนและวิทยาลัยต่างๆ ชี้แจงให้เห็นว่างานราชการมีความก้าวหน้าอย่างไร การสรรหามักทำเป็นกระบวนการดังนี้1. เสาะแสวงหาแหล่งผู้มีความรู้ เช่น ในสถานศึกษาต่างๆ ในบริษัท ห้างร้าน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนในกระทรวงทบวงกรมอื่นแล้วรวบรวมทำบัญชีชื่อไว้2. ชักจูงให้มาสมัครโดยวิธีต่างๆ เช่น ส่งคนไปชักชวน ปิดประกาศรับสมัครไว้ในที่ชุมนุมชน ที่สถานศึกษา โฆษณาทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ จดหมาย ส่งประกาศรับสมัครไปยังผู้มีความรู้ตาที่รวบรวมชื่อไว้ในขั้นที่ 1โดยวิธีสรรหาดังกล่าวข้างต้นจะเป็นการเปิดวงเลือกให้กว้าง อันเป็นหลักสำคัญของการสรรหา จะทำให้ได้คนที่ดีมีความรู้ความสามารถมาสมัครมากๆ เพื่อจะได้พิจารณาเลือกเอาคนดีที่สุดเหมาะสมที่สุดในขั้นต่อไป การเลือกการเลือก (selection) เป็นกระบวนการขั้นต่อเนื่องจากการสรรหา มีวัตถุประสงค์ในการคัดเอาคนดีและเหมาะสมที่สุดมาทำงาน คนอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ดีและเหมาะสมที่สุดนั้นมีอยู่ 2 แนวความคิดดังนี้แนวความคิดฝ่ายที่หนึ่ง มีทัศนะว่าคนที่มีหัวดี มีแววดี ฝึกให้ทำอะไรก็จะทำได้ดีทั้งนั้น ถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่ตัวตน จึงสรรหาคนหนุ่มสาวที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา มีหัวมี มีแววดี มีความรู้ทั่วไปกว้างขวาง รอบรู้เฉลียวฉลาดมาทำงานตั้งแต่ขั้นต้นๆ แล้วจัดการฝึกอบรมพัฒนาเพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไปในอนาคต การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น เจเนอรัลลิสต์ (generalist) โดยสรรหาคนที่ยังไม่ต้องเป็นงานมาฝึกเพื่อใช้งานในอนาคต เป็นการสรรหาคนก่อนมีประสบการณ์เข้ามาหาประสบการณ์ในองค์การแนวความคิดดังกล่าวนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่ปกครองโดยกษัตริย์และมีระบบขุนนาง จึงสรรหาคนมาเป็นลูกหม้อตั้งแต่ขั้นต้นๆ และพัฒนาให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดียวตลอดชีวิตเป็นอาชีพในทางนั้นๆ ไปเลยแนวความคิดฝ่ายที่สอง มีทัศนะว่าคนเราจะเก่งไปเสียทุกอย่างไม่ได้แต่ละคนจะถนัดแต่ละอย่าง และถ้าฝึกคนให้ทำได้หลายอย่างก็จะไม่เก่ง จึงต้องสรรหาคนมาให้เหมาะสมกับงานโดยถือว่าคุณวุฒิอยู่ที่งาน จึงกำหนดคุณวุฒิที่ต้องการสำหรับแต่ละงานไว้แล้วสรรหาคนที่มีคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้นั้นมาทำงานเฉพาะอย่าง การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้จึงสรรหามาเป็น สเปเชียลลิสต์ (specialist) โดยสรรหาคนที่เป็นงานแล้วมีประสบการณ์มาทำงานแนวความคิดหลังนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยและมีความเจริญทางธุรกิจ จึงสรรหาคนที่เป็นงานและมาทำงานเฉพาะกิจ สรรหาคนมาจากนอกองค์การเข้ามาทุกระดับไม่จำกัดอายุ การสรรหาคนตามแนวความคิดนี้ต้องทำกันบ่อยมาก เพราะจะมีคนย้ายงานโดยถูกดึงตัวกันไปมาอยู่เรื่อยๆ เมื่อได้สรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติตามต้องการมาสมัครแล้ว จากนั้นก็ดำเนินการเลือกให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญๆ ดังนี้1. การตรวจสอบคุณสมบัติ ได้แก่ ตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติการศึกษาตรงตามที่ต้องการหรือไม่ ขาดคุณสมบัติพื้นฐานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ เช่น เคยต้องโทษ เป็นโรคติดต่อต้องห้าม เป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เป็นต้น2. วัดความรู้ความสามารถ มีหลายวิธี ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือการสอบ ซึ่งแยกเป็นสอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ บางองค์การอาจพิจารณาจากประวัติการศึกษา ประวัติการทำงานเดิม นอกจากนี้ ก็อาจวัดความรู้ความสามารถโดยการคัดเลือกเพื่อประเมินคุณภาพบุคคลว่าเหมาะสมที่จะรับเข้าทำงานหรือไม่ การคัดเลือกอาจพิจารณาเฉพาะบุคคลเดียวหรือคัดเลือกจากกลุ่มบุคคลก็ได้มีข้อสังเกตว่าวิธีการคัดเลือกนั้นเป็นวิธีที่อาจนำไปสู่ระบบอุปถัมภ์หรือเล่นพวกได้ง่าย จึงไม่นิยมใช้ เว้นแต่กรณีพิเศษจริงๆ เท่านั้น เช่น การคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสูงและสำคัญ โดยทั่วไปแล้วนิยมใช้วิธีการสอบซึ่งเป็นวิธีวัดคนได้ดีที่สุดสะดวกที่สุด และเป็นธรรมที่สุดในขณะนี้3. การสัมภาษณ์ เป็นการเรียกผู้สมัครมาพบพูดคุยเพื่อดูบุคลิกลักษณะ กิริยาท่าทาง การพูดจา ตลอดจนดูไหวพริบและเชาวน์ปัญญา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและทัศนคติ บางตำแหน่งอาจไม่ต้องวัดความรู้ความสามารถเพียงแต่เชิญมาสัมภาษณ์ก็เพียงพอแล้ว โดยเฉพาะผู้ผ่านงานมามากหรือผู้ที่จะบรรจุเข้าทำงานในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการศึกษาและประวัติการทำงาน4. การตรวจสอบคุณภาพ เพื่อกลั่นกรองเอาแต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจโดยให้แพทย์เป็นผู้ตรวจโดยตรง เช่น ตรวจเลือด ตรวจโรคเอดส์ ปอด หัวใจ เป็นต้น เพราะตำแหน่งงานบางตำแหน่งอาจต้องการผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้คัดเลือกได้คนที่เหมาะสม5. การให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ เป็นขั้นสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรร กล่าวคือ เมื่อเลือกได้คนมาแล้วก็ให้ทดลองทำงานจริงๆ สักชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าพิสูจน์ตนเองว่าทำงานได้ ความประพฤติดี จึงจะรับไว้เป็นการถาวรการบรรจุตามปกติการบรรจุ (placement) จะเรียงตามลำดับที่สอบได้ (rule of one) แต่บางกรณีอาจยืดหยุ่นได้ เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งยิ่งขึ้น โดยใช้วิธีให้เลือก 2 หรือ 3 คนแรก เมื่อเรียกบรรจุแล้วให้ทดลองปฏิบัติงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและทำงานให้ได้ตามที่ต้องการจึงบรรจุเป็นการถาวรต่อไป
ระบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์
การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบคุณธรรม และระบบอุปถัมภ์ ดังนี้
1. ระบบคุณธรรม (merit system)
ระบบคุณธรรม เป็นวิธีการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยใช้การสอบรูปแบบต่างๆ เพื่อประเมินความรู้ ความสามารถของบุคคลที่มีคุณสมบัติครบตามต้องการ โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลทางการเมืองหรือความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นสำคัญการบริหารทรัพยากรมนุษย์ตามระบบคุณธรรมยึดหลักการ 4 ประการ ได้แก่
1.1 ความเสมอภาคในโอกาส (Equality of opportunity) หมายถึง การเปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการสมัครงานสำหรับผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ ประสบการณ์ และพื้นความรู้ตามที่ระบุไว้ โดยไม่มีข้อกีดกัน อันเนื่องจากฐานะ เพศ ผิว และศาสนา กล่าวคือทุกคนที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จะมีสิทธิในการถูกพิจารณาเท่าเทียมกันความเสมอภาคในโอกาส จะครอบคลุมถึง
1.1.1 ความเสมอภาคในการสมัครงาน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติและพื้นฐานความรู้ตรงตามที่กำหนดไว้ ได้สมัครและเข้าสอบแข่งขัน
1.1.2 ความเสมอภาคในเรื่องค่าตอบแทน โดยยึดหลักการที่ว่างานเท่ากัน เงินเท่ากันและมีสิทธิ์ได้รับโอกาสต่างๆ ตามที่หน่วยงานเปิดให้พนักงานทุกคน
1.1.3 ความเสมอภาคที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอหน้ากันโดยใช้ระเบียบและมาตรฐานเดียวกันทุกเรื่อง อาทิ การบรรจุแต่งตั้ง การฝึกอบรม
1.2 หลักความสามารถ (Competence) หมายถึง การยึดถือความรู้ความสามารถเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน โดยเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้เหมาะสมกับตำแหน่งมากที่สุดโดยจะบรรจุแต่งตั้งผู้ที่มีความเหมาะสมตามเกณฑ์มากกว่า เพื่อให้ได้คนที่เหมาะกับงานจริงๆ (Put the right man to the right job) หากจะมีการแต่งตั้งพนักงานระดับผู้บริหาร ก็จะพิจารณาจากผลการปฏิบัติงานขีดความสามารถหรือศักยภาพของการบริหารงานในอนาคต
1.3 หลักความมั่นคงในอาชีพการงาน (Security on tenure) หมายถึง หลักประกันการปฏิบัติงานที่องค์การให้แก่บุคลากรว่าจะได้รับการคุ้มครอง จะไม่ถูกกลั่นแกล้งหรือถูกให้ออกจากงานโดยปราศจากความผิด ไม่ว่าจะโดยเหตุผลส่วนตัวหรือทางการเมือง ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกมั่นคงในหน้าที่ หลักการที่ผู้บริหารใช้ในเรื่องของความมั่นคงในอาชีพการงาน คือ
1.3.1 การดึงดูดใจ (Attraction) โดยพยายามจูงใจให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับองค์การ
1.3.2 การธำรงรักษา (Retention) โดยการธำรงรักษาพนักงานที่มีความสามารถเหล่านั้นให้ทำงานอยู่กับองค์การ เพราะมีความก้าวหน้ามั่นคง
1.3.3 การจูงใจ (Motivation) โดยกระตุ้นให้พนักงานมีความมุ่งมั่นในอาชีพที่
ทำอยู่
1.3.4 การพัฒนา (Development) โดยเปิดโอกาสให้ได้พัฒนาศักยภาพและ
มีความก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพ
1.4 หลักความเป็นกลางทางการเมือง (Political neutrality) หมายถึง การไม่เปิดโอกาสให้มีการใช้อิทธิพลทางการเมืองเข้าแทรกแซงในกิจการงาน หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองใดๆ
2. ระบบอุปถัมภ์ (Patronage system)
ระบบอุปถัมภ์เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานโดยใช้เหตุผลทางการเมืองหรือความสัมพันธ์เป็นหลักสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสมเป็นประการหลักลักษณะทั่ว ๆ ไป ของระบบอุปถัมภ์จึงมีลักษณะตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรม ระบบนี้มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ เช่น ระบบชุบเลี้ยง (Spoiled system) ระบบพรรคพวกหรือระบบเล่นพวก (Nepotism) หรือระบบคนพิเศษ (Favoritism)
หลักการสำคัญของระบบอุปถัมภ์ สรุปได้ดังนี้
2.1 ระบบสืบสายโลหิต เป็นระบบที่บุตรชายคนโตจะได้สืบทอดตำแหน่งของบิดา
2.2 ระบบชอบพอเป็นพิเศษ เป็นระบบที่แต่งตั้งผู้ที่อยู่ใกล้ชิด หรือคนที่โปรดปรานเป็นพิเศษให้ดำรงตำแหน่ง
2.3 ระบบแลกเปลี่ยน เป็นระบบที่ใช้สิ่งของหรือทรัพย์สินมีค่ามาแลกเปลี่ยนกับตำแหน่ง
การยึดระบบอุปถัมภ์เป็นแนวปฏิบัติในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การจะก่อให้เกิดผล ดังนี้
1) การพิจารณาบรรจุแต่งตั้ง เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง เป็นไปตามความพอใจส่วน
บุคคลของหัวหน้าเป็นหลัก ไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความส่ามารถของบุคคลเป็นเกณฑ์
2) การคัดเลือกคนไม่เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันแก่ผู้ที่มีสิทธิ์ แต่จะให้โอกาสกับพวกพ้องตนเองก่อน
3) ผู้ปฏิบัติงานมุ่งทำงานเพื่อเอาใจผู้ครองอำนาจ มากกว่าจะปฏิบัติงานตามหน้าที่
4) อิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานภายในของหน่วยงาน
5) ผู้ปฏิบัติงานไม่มีความมั่นคงในหน้าที่ที่กำลังทำอยู่ เพราะอาจถูกปลดได้ถ้าผู้มี
อำนาจไม่พอใจจากคุณลักษณะเด่นๆ ของระบบการบริหารทั้งสองระบบที่เสนอไปนั้น
ระบบการจัดการบุคลากร (Personal Management)
ระบบการจัดการบุคคลเป็นระบบที่จัดการเกี่ยวกับข้อมูลของพนักงาน ประวัติการทำงาน ประวัติการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน สวัสดิการที่พนักงานได้รับ ความสามารถในการทำงานของพนักงาน ซึ่งระบบได้เปิดโอกาศให้บริษัทสามารถกำหนดหน้าที่การทำงานให้กับพนักงานในแต่ละตำแหน่งหน้าที่หรือแต่ละบุคคลรวมถึงการจัดการเกี่ยวกับระเบียบและนโยบายต่างๆ ในบริษัท
ระบบบันทึกเวลาเป็นระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลของพนักงานแต่ละคนเกี่ยวกับเวลาการเข้า-ออกงาน การลา ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบการจัดการบุคคล ระบบสวัสดิการและเงินเดือน โดยการส่งข้อมูลเพื่อบันทึกเป็นประวัติของพนักงานและคำนวณเงินเดือนอันเกิดจากการขาดงาน สาย รวมถึงค่าล่วงเวลา ผู้ใช้สามารถกำหนดวันหยุดต่างๆ จำนวนวันที่อนุญาตให้ลาได้ ประเภทการลา ตารางการทำงานของโรงงาน กลุ่มของฟังก์ชันของการรักษาความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบได้ตามกลุ่มพนักงานหรือแต่ละบุคคล สามารถรองรับตามเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดเช่นตารางเวลาการทำงานของโรงงาน ตามวันหยุด ตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลาผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานหรือเลือกแสดงรายงานแบบสรุป/รายละเอียด ตามช่วงวันที่ รูปแบบ ความต้องการของผู้ใช้ ข้อมูลการลา ตารางเวลาการทำงาน และตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลา โดยเลือกข้อมูลจากพนักงานทั้งหมด การลาทุกประเภท หรือตามแต่ละแผนกก็ได้ ระบบบันทึกเวลาช่วยให้สามารถวางแผนตารางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแผนการผลิตต่างๆ โดยให้ระบบช่วยสร้างตารางการทำงานให้กับแผนกบริหารงานบุคคลอัตโนมัติ ระบบจะตรวจสอบเวลาการทำงานปกติ และกำหนดเงินโบนัส ค่าล่วงเวลา และประเภทของเงินเดือนเพื่อโอนข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนให้อัตโนมัติ
สามารถสร้างและแก้ไขโครงสร้างผังองค์กรได้ ทั้งในส่วนของผังตามแผนก ตำแหน่ง และลักษณะงาน พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดของแต่ละตำแหน่งโดยแสดงผังองค์กรที่สร้างขึ้นในลักษณะของ Tree ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดพนักงานสำหรับแต่ละตำแหน่งงานได้ นอกจากนี้ระบบจะแก้ไขผังองค์กรให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแต่ละตำแหน่งงาน รวมถึงอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดงบประมาณในแต่ละแผนกตามระดับต่างๆ เช่น ระดับงาน ตำแหน่งงาน หรือกำหนดรวมทั้งหมดก็ได้ ระบบการจัดการองค์กรสามารถคัดเลือกพนักงานหรือผู้สมัคร ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่มีความต้องการ โดยดูจากคุณสมบัติที่กำหนด รวมถึงการประเมินผลจากการฝึกอบรม และเมื่อมีปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานในผังองค์กรระบบจะปรับเปลี่ยนแผนงานของระบบบริหารบุคคลและกระบวนการรับสมัครพนักงานให้อัตโนมัติ ระบบการจัดการองค์กรมีผลต่อแผนงานการจัดการต้นทุนของการบริหารงานบุคคล และมีผลต่อโครงสร้างของผังองค์กร โดยได้เตรียมหัวข้อสำหรับการจัดการเกี่ยวกับต้นทุนของบริษัท วิเคราะห์ระบบต้นทุน ทางเลือกและผลกระทบต่อพนักงานทั้งหมดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้นทุน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนงาน
ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นระบบที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนของข้อมูลสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานในแต่ละโครงการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับองค์กร พนักงานสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการกำหนดการทำงานในต่างประเทศ บันทึกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายที่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคืนให้กับพนักงานเมื่อพนักงานสำรองจ่ายไปก่อน รวมถึงเบี้ยเลี้ยงของพนักงาน พนักงานสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้โดยกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเส้นทางที่ดีที่สุดทั้งในเรื่องการเดินทาง ค่าใช้จ่าย พนักงานสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกล่วงหน้า พนักงานสามารถจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถ รวมถึงโรงแรม รถเช่าหรืออื่นๆได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือน ระบบเจ้าหนี้ ได้อัตโนมัติ ระบบการประเมินและวางแผนกำลังคน (Career and Evaluation Management)
ระบบสามารถประเมินความสามารถในการทำงานของบุคคลร่วมกันกับตำแหน่งงาน ลักษณะงาน โครงงาน และความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ สามารถวิเคราะห์ช่องว่างระหว่างบุคคลกับงาน ตำแหน่งงาน หรือโครงงาน สามารถแสดงลักษณะระดับของบุคคลตามกลุ่มความสามารถ ทำงานร่วมกับระบบ Career and Succession Planning และการฝึกอบรม เพื่อช่วยวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของพนักงาน เพื่อช่วยในการพัฒนาความสามารถบนพื้นฐานที่มีอยู่ของแต่ละคน สามารถขอรับการฝึกอบรมสำหรับพนักงานตามความสามารถของพนักงาน สามารถประเมินความสามารถตามกลุ่มการประเมินได้แก่ ความสามารถพิเศษ การวิเคราะห์ พื้นฐานทางสังคมและคุณสมบัติตามความต้องการของบริษัท สามารถกำหนดคุณสมบัติ คุณวุฒิตามลักษณะงานและบุคคลในบริษัท สามารถประเมินและเปรียบเทียบคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ตามระดับความสามารถ สามารถตรวจสอบสถานะคุณวุฒิและความสามารถของพนักงานได้ทุกเวลา
กำหนดแผนงานการทดสอบความรู้เพื่อช่วยเตรียมพนักงานสำหรับงานใหม่ สำหรับการพัฒนาองค์กร ใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดเส้นทางของการทำงาน รวมถึงทางเลือกอื่นๆ ช่วยให้พนักงานมีเป้าหมายของอาชีพของตน ช่วยประเมินจุดแข็งของพนักงาน สร้างผังลำดับขั้นของตำแหน่งงาน รวมทั้งพนักงานทั้งภายในและภายนอกที่ประสบความสำเร็จตามแผนงาน ช่วยสร้างแผนงานที่ยืดหยุ่นและเป็นเครื่องมือในการควบคุม ประเมินต้นทุนที่เกิดจากพนักงานและสถานการณ์ของบริษัท เพื่อช่วยในการตัดสินใจตามนโยบายของบริษัท การนำแผนงานต่างๆ ไปใส่ในตำแหน่งต่างๆ จะส่งผลในทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผังองค์กรและสามารถค้นหาผู้มีความสามารถและจัดการกับตำแหน่งที่ว่างจากแผนงานที่มีอยู่ สามารถเตรียมแผนงานสำหรับจำนวนและคุณสมบัติของพนักงานในอนาคต ช่วยกระตุ้นให้พนักงานแสดงความสามารถ พัฒนางานที่สัมพันธ์กันและความสามารถของพัฒนาเอง ระบบการสรรหาพนักงาน (Recruitment Management) ช่วยให้กระบวนการรับสมัครพนักงานสามารถคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณภาพเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการทั้งข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอก สามารถกำหนดตารางการสัมภาษณ์ แสดงผลการสัมภาษณ์ ดูสถานะของผู้สมัคร และสถานะในการสรรหาพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการสรรหาพนักงาน ระบบการสรรหาพนักงานช่วยในการคัดเลือกและรับบุคคลที่ตรงกับความสามารถที่ต้องการและให้ความสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในบริษัทและรักษาคู่ค้าและช่วยให้บริษัทมีนโยบายในการสรรหาพนักงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่สุดและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้ ผู้สมัครสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา ระบบการสรรหาพนักงานสามารถให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับแผนกบริหารงานบุคคลใช้ในการตัดสินใจ สามารถค้นหาข้อมูลที่ตรงกันระหว่างคุณสมบัติของผู้สมัครกับคุณสมบัติของตำแหน่งงานที่ความต้องการ มีรายงานแสดงสถานะทุกกระบวนการในการสรรหาพนักงานเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจของผู้บริหารและแสดงสถานะของใบสมัครแต่ละใบ ระบบจะโอนย้ายข้อมูลจากระบบการสรรหาพนักงานไปยังระบบการจัดการบุคคลโดยอัตโนมัติเมื่อมีการรับพนักงานใหม่ ระบบการฝึกอบรม (Training Administration) ระบบการฝึกอบรมช่วยกำหนดตารางการฝึกอบรมตามระดับงาน ระบบการฝึกอบรมช่วยแยกประเภทหลักสูตรการฝึกอบรมที่ต้องการและข้อมูลของสิ่งที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมอื่นๆ เก็บข้อมูลของการฝึกอบรมต่างๆ เช่น ผู้สอน หลักสูตรการสอน ตรวจสอบหลักสูตรที่มีการฝึกอบรม การประเมินผล สามารถกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานแต่ละระดับ สามารถเปรียบเทียบประมาณการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง รองรับแผนงานการฝึกอบรมและการประเมินผลการฝึกอบรม รองรับหลักสูตรการฝึกอบรมทั้งภายในและภายนอกเพื่อการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด กำหนดรายละเอียดโปรแกรมการฝึกอบรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับพนักงาน สร้างโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้รับการฝึกอบรมรวมถึงการประเมินผล เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับการฝึกอบรม วัตถุประสงค์ หัวข้อและตารางเวลาในการฝึกอบรม ราคา จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมและสถานที่ในการฝึกอบรม แผนการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการเตรียมข้อมูลต่างๆ โดยอัตโนมัติเช่น ผู้สอน สถานที่เรียน อุปกรณ์การสอน รองรับระบบ Billing, Cost Allocation และงบประมาณ มีฟังก์ชันที่ช่วยในการจองห้อง การยกเลิก เพื่อการฝึกอบรม มีฟังก์ชันช่วยในการประเมินราคาของผู้สอน อุปกรณ์ในการฝึกอบรม ค่าโฆษณา ค่าเช่าห้องฝึกอบรมและอุปกรณ์ในการฝึกอบรม รวมถึงสามารถการกำหนดเกณฑ์ในการตัดสินใจของแต่ละการประเมินราคา ระบบเงินเดือน (Payroll Management)
สามารถตรวจสอบและดูข้อมูลรายได้ ส่วนหัก ยอดเงินสะสมได้ด้วยระบบ Online สามารถตรวจดูข้อมูลตามสกุลเงินต่างๆ ที่ต้องการ ติดต่อกับกระบวนการจ่ายชำระ โดยสามารถจ่ายชำระได้ด้วยเงินสด เช็ค หรือโอนเงินผ่านธนาคาร และ สร้างเอกสารใบสำคัญจ่ายส่งไปยังระบบเจ้าหนี้ให้อัตโนมัติ ในรูปแบบข้อมูลแบบสรุปเนื่องจากข้อมูลระบบเงินเดือนเป็นข้อมูลที่ต้องมีความปลอดภัยสูง ดังนั้นผู้ที่จะประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้ต้องมีระดับสิทธิที่สูง และเข้าดูได้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
ระบบบริหารงานบุคคล (Human Resource Management System)
ระบบบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย:
ระบบการจัดการบุคลากร (Personal Management)
ระบบการจัดการบุคคลเป็นระบบที่จัดการเกี่ยวกับข้อมูลของพนักงาน ประวัติการทำงาน ประวัติการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งงาน สวัสดิการที่พนักงานได้รับ ความสามารถในการทำงานของพนักงาน ซึ่งระบบได้เปิดโอกาศให้บริษัทสามารถกำหนดหน้าที่การทำงานให้กับพนักงานในแต่ละตำแหน่งหน้าที่หรือแต่ละบุคคลรวมถึงการจัดการเกี่ยวกับระเบียบและนโยบายต่างๆ ในบริษัท
ระบบบันทึกเวลาเป็นระบบที่เก็บรวบรวมข้อมูลของพนักงานแต่ละคนเกี่ยวกับเวลาการเข้า-ออกงาน การลา ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำงานร่วมกับระบบการจัดการบุคคล ระบบสวัสดิการและเงินเดือน โดยการส่งข้อมูลเพื่อบันทึกเป็นประวัติของพนักงานและคำนวณเงินเดือนอันเกิดจากการขาดงาน สาย รวมถึงค่าล่วงเวลา
ผู้ใช้สามารถกำหนดวันหยุดต่างๆ จำนวนวันที่อนุญาตให้ลาได้ ประเภทการลา ตารางการทำงานของโรงงาน กลุ่มของฟังก์ชันของการรักษาความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบได้ตามกลุ่มพนักงานหรือแต่ละบุคคล สามารถรองรับตามเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดเช่นตารางเวลาการทำงานของโรงงาน ตามวันหยุด ตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลาผ่านระบบคอมพิวเตอร์
ผู้ใช้สามารถสร้างรายงานหรือเลือกแสดงรายงานแบบสรุป/รายละเอียด ตามช่วงวันที่ รูปแบบ ความต้องการของผู้ใช้ ข้อมูลการลา ตารางเวลาการทำงาน และตามการขออนุมัติและการอนุมัติการลา โดยเลือกข้อมูลจากพนักงานทั้งหมด การลาทุกประเภท หรือตามแต่ละแผนกก็ได้
ระบบบันทึกเวลาช่วยให้สามารถวางแผนตารางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงแผนการผลิตต่างๆ โดยให้ระบบช่วยสร้างตารางการทำงานให้กับแผนกบริหารงานบุคคลอัตโนมัติ
ระบบจะตรวจสอบเวลาการทำงานปกติ และกำหนดเงินโบนัส ค่าล่วงเวลา และประเภทของเงินเดือนเพื่อโอนข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนให้อัตโนมัติ
สามารถสร้างและแก้ไขโครงสร้างผังองค์กรได้ ทั้งในส่วนของผังตามแผนก ตำแหน่ง และลักษณะงาน พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดของแต่ละตำแหน่งโดยแสดงผังองค์กรที่สร้างขึ้นในลักษณะของ Tree ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกำหนดพนักงานสำหรับแต่ละตำแหน่งงานได้
นอกจากนี้ระบบจะแก้ไขผังองค์กรให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแต่ละตำแหน่งงาน รวมถึงอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดงบประมาณในแต่ละแผนกตามระดับต่างๆ เช่น ระดับงาน ตำแหน่งงาน หรือกำหนดรวมทั้งหมดก็ได้
ระบบการจัดการองค์กรสามารถคัดเลือกพนักงานหรือผู้สมัคร ให้ตรงกับตำแหน่งงานที่มีความต้องการ โดยดูจากคุณสมบัติที่กำหนด รวมถึงการประเมินผลจากการฝึกอบรม และเมื่อมีปรับเปลี่ยนตำแหน่งงานในผังองค์กรระบบจะปรับเปลี่ยนแผนงานของระบบบริหารบุคคลและกระบวนการรับสมัครพนักงานให้อัตโนมัติ
ระบบการจัดการองค์กรมีผลต่อแผนงานการจัดการต้นทุนของการบริหารงานบุคคล และมีผลต่อโครงสร้างของผังองค์กร โดยได้เตรียมหัวข้อสำหรับการจัดการเกี่ยวกับต้นทุนของบริษัท วิเคราะห์ระบบต้นทุน ทางเลือกและผลกระทบต่อพนักงานทั้งหมดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้นทุน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนงาน
ระบบการจัดการค่าใช้จ่ายในการเดินทางเป็นระบบที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องแน่นอนของข้อมูลสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงานในแต่ละโครงการ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางระหว่างประเทศสำหรับองค์กร
พนักงานสามารถตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการกำหนดการทำงานในต่างประเทศ
บันทึกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายที่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคืนให้กับพนักงานเมื่อพนักงานสำรองจ่ายไปก่อน รวมถึงเบี้ยเลี้ยงของพนักงาน
พนักงานสามารถกำหนดแผนการเดินทางได้โดยกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดเส้นทางที่ดีที่สุดทั้งในเรื่องการเดินทาง ค่าใช้จ่าย พนักงานสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกล่วงหน้า
พนักงานสามารถจองตั๋วเครื่องบิน รถไฟ รถ รวมถึงโรงแรม รถเช่าหรืออื่นๆได้
ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นสามารถส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือน ระบบเจ้าหนี้ ได้อัตโนมัติ
ระบบการประเมินและวางแผนกำลังคน (Career and Evaluation Management)
ระบบสามารถประเมินความสามารถในการทำงานของบุคคลร่วมกันกับตำแหน่งงาน ลักษณะงาน โครงงาน และความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ
สามารถวิเคราะห์ช่องว่างระหว่างบุคคลกับงาน ตำแหน่งงาน หรือโครงงาน
สามารถแสดงลักษณะระดับของบุคคลตามกลุ่มความสามารถ
ทำงานร่วมกับระบบ Career and Succession Planning และการฝึกอบรม เพื่อช่วยวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อนของพนักงาน เพื่อช่วยในการพัฒนาความสามารถบนพื้นฐานที่มีอยู่ของแต่ละคน
สามารถขอรับการฝึกอบรมสำหรับพนักงานตามความสามารถของพนักงาน
สามารถประเมินความสามารถตามกลุ่มการประเมินได้แก่ ความสามารถพิเศษ การวิเคราะห์ พื้นฐานทางสังคมและคุณสมบัติตามความต้องการของบริษัท
สามารถกำหนดคุณสมบัติ คุณวุฒิตามลักษณะงานและบุคคลในบริษัท
สามารถประเมินและเปรียบเทียบคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ตามระดับความสามารถ
สามารถตรวจสอบสถานะคุณวุฒิและความสามารถของพนักงานได้ทุกเวลา
กำหนดแผนงานการทดสอบความรู้เพื่อช่วยเตรียมพนักงานสำหรับงานใหม่ สำหรับการพัฒนาองค์กร
ใช้เป็นพื้นฐานในการกำหนดเส้นทางของการทำงาน รวมถึงทางเลือกอื่นๆ
ช่วยให้พนักงานมีเป้าหมายของอาชีพของตน
ช่วยประเมินจุดแข็งของพนักงาน
สร้างผังลำดับขั้นของตำแหน่งงาน รวมทั้งพนักงานทั้งภายในและภายนอกที่ประสบความสำเร็จตามแผนงาน
ช่วยสร้างแผนงานที่ยืดหยุ่นและเป็นเครื่องมือในการควบคุม ประเมินต้นทุนที่เกิดจากพนักงานและสถานการณ์ของบริษัท เพื่อช่วยในการตัดสินใจตามนโยบายของบริษัท
การนำแผนงานต่างๆ ไปใส่ในตำแหน่งต่างๆ จะส่งผลในทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผังองค์กรและสามารถค้นหาผู้มีความสามารถและจัดการกับตำแหน่งที่ว่างจากแผนงานที่มีอยู่
สามารถเตรียมแผนงานสำหรับจำนวนและคุณสมบัติของพนักงานในอนาคต
ช่วยกระตุ้นให้พนักงานแสดงความสามารถ พัฒนางานที่สัมพันธ์กันและความสามารถของพัฒนาเอง
ระบบการสรรหาพนักงาน (Recruitment Management)
ช่วยให้กระบวนการรับสมัครพนักงานสามารถคัดเลือกผู้สมัครที่มีคุณภาพเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ต้องการทั้งข้อมูลจากทั้งภายในและภายนอก
สามารถกำหนดตารางการสัมภาษณ์ แสดงผลการสัมภาษณ์ ดูสถานะของผู้สมัคร และสถานะในการสรรหาพนักงาน ค่าใช้จ่ายในการสรรหาพนักงาน
ระบบการสรรหาพนักงานช่วยในการคัดเลือกและรับบุคคลที่ตรงกับความสามารถที่ต้องการและให้ความสนับสนุนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในบริษัทและรักษาคู่ค้าและช่วยให้บริษัทมีนโยบายในการสรรหาพนักงานที่ก่อให้เกิดประโยชน์ที่สุดและลดค่าใช้จ่ายในการบริหารลงได้
ผู้สมัครสามารถตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา
ระบบการสรรหาพนักงานสามารถให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับแผนกบริหารงานบุคคลใช้ในการตัดสินใจ
สามารถค้นหาข้อมูลที่ตรงกันระหว่างคุณสมบัติของผู้สมัครกับคุณสมบัติของตำแหน่งงานที่ความต้องการ
มีรายงานแสดงสถานะทุกกระบวนการในการสรรหาพนักงานเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการช่วยตัดสินใจของผู้บริหารและแสดงสถานะของใบสมัครแต่ละใบ
ระบบจะโอนย้ายข้อมูลจากระบบการสรรหาพนักงานไปยังระบบการจัดการบุคคลโดยอัตโนมัติเมื่อมีการรับพนักงานใหม่
ระบบการฝึกอบรม (Training Administration)
ระบบการฝึกอบรมช่วยกำหนดตารางการฝึกอบรมตามระดับงาน
ระบบการฝึกอบรมช่วยแยกประเภทหลักสูตรการฝึกอบรมที่ต้องการและข้อมูลของสิ่งที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมอื่นๆ
เก็บข้อมูลของการฝึกอบรมต่างๆ เช่น ผู้สอน หลักสูตรการสอน
ตรวจสอบหลักสูตรที่มีการฝึกอบรม การประเมินผล
สามารถกำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมสำหรับพนักงานแต่ละระดับ
สามารถเปรียบเทียบประมาณการและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
รองรับแผนงานการฝึกอบรมและการประเมินผลการฝึกอบรม
รองรับหลักสูตรการฝึกอบรมทั้งภายในและภายนอกเพื่อการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
กำหนดรายละเอียดโปรแกรมการฝึกอบรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวสำหรับพนักงาน
สร้างโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับผู้รับการฝึกอบรมรวมถึงการประเมินผล
เก็บข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับการฝึกอบรม วัตถุประสงค์ หัวข้อและตารางเวลาในการฝึกอบรม ราคา จำนวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมและสถานที่ในการฝึกอบรม
แผนการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการเตรียมข้อมูลต่างๆ โดยอัตโนมัติเช่น ผู้สอน สถานที่เรียน อุปกรณ์การสอน
รองรับระบบ Billing, Cost Allocation และงบประมาณ
มีฟังก์ชันที่ช่วยในการจองห้อง การยกเลิก เพื่อการฝึกอบรม
มีฟังก์ชันช่วยในการประเมินราคาของผู้สอน อุปกรณ์ในการฝึกอบรม ค่าโฆษณา ค่าเช่าห้องฝึกอบรมและอุปกรณ์ในการฝึกอบรม รวมถึงสามารถการกำหนดเกณฑ์ในการตัดสินใจของแต่ละการประเมินราคา
สามารถ Allocation Cost ของการฝึกอบรมภายในและภายนอกได้
ระบบเงินเดือน (Payroll Management)
สามารถตรวจสอบและดูข้อมูลรายได้ ส่วนหัก ยอดเงินสะสมได้ด้วยระบบ Online
สามารถตรวจดูข้อมูลตามสกุลเงินต่างๆ ที่ต้องการ
ติดต่อกับกระบวนการจ่ายชำระ โดยสามารถจ่ายชำระได้ด้วยเงินสด เช็ค หรือโอนเงินผ่านธนาคาร และ สร้างเอกสารใบสำคัญจ่ายส่งไปยังระบบเจ้าหนี้ให้อัตโนมัติ ในรูปแบบข้อมูลแบบสรุปเนื่องจากข้อมูลระบบเงินเดือนเป็นข้อมูลที่ต้องมีความปลอดภัยสูง ดังนั้นผู้ที่จะประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้ต้องมีระดับสิทธิที่สูง และเข้าดูได้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนพนักงานและต้นทุนในการจัดการระบบจะ update ข้อมูลแผนงานของระบบเงินเดือนจะทันสมัยอยู่เสมอ
สามารถประมาณการการจ่ายเงินเดือนได้โดยดูจากสถานะทางกายภาพต่างๆ เช่นสถานที่ตั้ง สกุลเงินเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการจัดการเกี่ยวกับระบบเงินเดือนเช่นการจ่ายเงินเดือนในแผนกเดียวกันแต่ต่างสกุลเงินกัน เป็นต้น
สามารถประมวลผลเพื่อดูข้อมูลต่างๆได้เช่นการจ่ายเงินเดือนประจำปี ประวัติการขึ้นเงินเดือนและประวัติการจ่ายเงินเดือน เป็นต้น
สามารถกำหนดประเภทค่าชดเชยต่างๆ ได้โดยอิสระเช่นโบนัส คอมมิชชั่น รางวัลพิเศษ
สามารถกำหนดการจ่ายค่าชดเชยเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
ค่าชดเชยเป็นส่วนหนึ่งของระบบงบประมาณ ระบบจะ update ค่าเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบงบประมาณให้อัตโนมัติ หรือสามารถกำหนดในระบบงบประมาณโดยกำหนดเป็นหนึ่งระดับหรือหลายระดับก็ได้
ระบบจะคำนวณค่าชดเชยทั้งหมดให้อัตโนมัติและส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนและระบบบัญชี
สามารถกำหนดแผนงานในการจ่ายค่าชดเชยได้อย่างอิสระเช่นกำหนดการจ่ายค่าชดเชยโดยขึ้นอยู่กับเงินเดือนที่ได้รับ รวมถึงช่วงเวลาที่จะจ่ายค่าชดเชย
ระบบสวัสดิการ (Benefit & Welfare Management)
สามารถกำหนดเงื่อนไขของสวัสดิการในด้านสุขภาพและความปลอดภัย
สามารถติดต่อกับบริษัทประกันภัยและส่งข้อมูลระหว่างกันเมื่อมีการ Claim
บันทึกประวัติการเคลมของพนักงานเช่นเนื่องจากการป่วย อุบัติเหตุ
สามารถกำหนดแผนงานสวัสดิการของพนักงาน
ระบบจะคำนวณค่าชดเชยทั้งหมดให้อัตโนมัติและส่งข้อมูลไปยังระบบเงินเดือนและระบบบัญชี
คน HR หลายคนคงเคยคิดเหมือน ๆ กันว่า ถ้ามองไม่เห็นความสำคัญของเราแล้ว จะจ้างเรามาทำอะไร ทำไมต้องจ้างฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ขึ้นมา เอางานเงินเดือนไปไว้กับฝ่ายบัญชีก็ได้ เอางานสรรหาไปให้ผู้จัดการตามสายงานทำก็ได้
คน HR ทั้งหลาย การที่เราจะขจัดปัญหาและความขัดแย้งในการทำงานบริหารจัดการเรื่องของคน และเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองให้ CEO มองเห็นความสำคัญของ คน HR ได้นั้น เราต้องรู้จักตนเองให้มาก ๆ ก่อน ว่าเราเป็นคนประเภทใด เราต้องการทำงาน HR เพราะต้องการแค่รายได้ในการดำรงชีพเท่านั้นหรือไม่ หากทำเพราะเรารักในงาน รักในสายอาชีพ ต้องการก้าวหน้าในสายอาชีพ ทำแล้วเรามีความสุขกับการทำ ถึงแม้ว่าจะประสบปัญหาแล้วความขัดแย้งต่าง ๆ มากมาย แต่เรากลับภูมิใจเมื่อได้เป็นผู้ขจัดปัญหาเหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะสร้างความเครียดให้เราอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ “จงจำไว้ว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข” บางครั้งแม้เราหาทางออกไม่ได้ในทันที แต่เวลาก็อาจช่วยเราแก้ไขคลี่คลายปัญหาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขอให้คน HR ทุกคนขยันสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ใช้ทัศนคติด้านบวก ใช้กลยุทธ์หลักจิตวิทยาเป็นเครื่องมือ หลาย ๆ ครั้ง ที่ CEO เป็นน้ำร้อนกับพนักงาน เราก็ต้องเป็นน้ำเย็นปลอบประโลม แต่ไม่ใช่เอาใจหรือเข้าข้าง ความยุติธรรมแบบเป้าบุ้นจิ้นและการเดินสายกลางแบบคำพระท่านสอนก็ต้องเอาเข้ามาใช้ได้ดี และที่สำคัญต้องรู้จักพัฒนาทักษะในสายงาน ใฝเรียนรู้ เพราะความรู้ไม่มีวันจบสิ้น และการที่จะทำให้คนศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวคุณได้ คุณต้องศัทธาในตัวคุณเอง ศรัทธาในงาน และต้องมีความรู้จริงในเรื่องเหล่านั้นผสมผสานกับรู้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยขจัด ความเครียดของคน HR ได้ดี เพราะเมื่อเจอปัญหา ก็จะสามารถรับมือและจัดการกับปัญหา ความเครียดต่าง ๆ ก็พอจะทุเลาเบาบางลงได้บ้างไม่มากก็น้อย หากเราเรียนรู้ที่จะเผชิญและขจัดปัญหาเหล่านั้น ด้วยความรู้ ทักษะ และสตินั่นเอง
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development : HRD)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)
การจัดการทรัพยากรมนุษย์หมายถึง การที่นายจ้างจัดการเรื่องการเรียนรู้ ให้บุคลากรของตนภายในในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการทำงาน และเพื่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของบุคลากร ในฐานะที่ข้าพเจ้าทำงานในภาครัฐวิสาหกิจ องค์การขนาดใหญ่ คือ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และเป็นรัฐวิสาหกิจเช่นเดียวกับหลาย ๆ รัฐวิสาหกิจในประเทศไทยที่จะต้องทำการปรับเปลี่ยนองค์กร (Transformation) และทำการแปรสภาพ (Privatization) ตามข้อกำหนดของ WTO คือจะต้องทำการเปิดเสรีธุรกิจโทรคมนาคมภายในปี พ ศ. 2543ซึ่งขณะนี้รอแค่ขบวนการทางด้านกฎหมายเท่านั้นเอง องค์การโทรศัพท์ฯ. ก็เป็นเช่นเดียวกับหน่วยงานหรือองค์การทุก ๆ องค์การ ที่มีการวางแผนสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (บุคลากร)หลากหลายหลักสูตรด้วยกัน ในทุก ๆ ปีการพัฒนาบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นและต้องดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการฝึกอบรม (Training) ก็ยิ่งจำเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านช่าง , ด้านระบบบัญชี ,ด้านการพัสดุ ฯลฯ. การวางแผนด้านการฝึกอบรมขององค์การโทรศัพท์ จะไม่ใช่เป็นลักษณะงานประจำ (Routine) จะมีการค้นคิดหากลยุทธ์ (Strategy) ต่าง ๆ หลากหลาย มาทำการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อพัฒนาพนักงานให้พร้อมและตื่นตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะในปัจจุบันข้อมูลข่าวสารสารสนเทศมีมากมายจากทุกสารทิศด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะต้องทำการพัฒนาบุคลากรให้ พร้อมยิ่งขึ้น หลักสูตรการฝึกอบรมจะมีทั้งอบรมภายนอกองค์การและภายในองค์การเอง ปีหนึ่ง ๆองค์การโทรศัพท์ฯ.ลงทุนในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นเงินหลาย 10 ล้านด้วยกัน
อย่างไรก็ตามการจะวางแผนหรือการจะกำหนดกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการฝึกอบรมขององค์การโทรศัพท์ฯ. ก็จะต้องได้รับความเห็นชอบในภาพรวมของแผนและงบประมาณจากสภาพัฒน์ฯ. และ / หรือจากสำนักงบประมาณเช่นเดียวกับข้าราชการ
การฝึกอบรบ (Training) : คือความพยายามที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของพนักงานให้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ โดยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใน 4 ด้านคือ 1. knowledge : คือความรู้ที่จะทำให้พนักงานสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงความรู้เดิม ให้ได้หลากหลาย ให้มีความรู้เกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ อยู่เสมอ2. Skill : คือทักษะที่จะทำให้พนักงาน มีทักษะที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะให้พนักงานอยู่ตลอดเวลา เป็น Multi Skill คือให้รู้งานหลายอย่างภายในองค์การ3. Attitude : คือทัศนคติที่พยายามจะทำให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่องานและองค์การ โดยเฉพาะกับลูกค้า เปลี่ยนแปลงทัศนคติเดิมที่ลูกค้าต้องมาหาเราเป็นให้เราวิ่งไปหาลูกค้าเอง4. Behavior : คือพฤติกรรมที่จะพยายามทำให้พนักงานเปลี่ยนพฤติกรรมเก่า ๆ เช่นทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เปลี่ยนเป็นต้องตื่นตัวและทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อองค์การหรือพร้อมให้บริการลูกค้าอยู่ตลอดเวลา
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) : คือการพัฒนาพนักงาน เพื่อพร้อมกับแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการให้บริการ โดยเฉพาะในปี ค ศ. 2000 ที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ องค์การโทรศัพท์ฯ ก็จะจัดการวางแผนเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์การโทรศัพท์ฯเอง หลักสูตรสำหรับการอบรม จะมีหลักสูตรมากมายยกตัวอย่างเช่น 1. Supervisor Grid 2. Managerial Grid3. Management By Objective (MBO)4. Mini MBA.
จะเน้นให้พนักงานอบรมโดยเฉพาะพนักงานระดับผู้บริหารระดับต้นขึ้นไป ให้รู้จักการสร้างทีมงาน, ให้รู้จักวัตถุประสงค์ขององค์การ,ให้รู้จัก Vision , Mission ขององค์การ มีการแบ่งกลุ่มเล่นเกมต่าง ๆ เพื่อความสามัคคีและให้รู้จักสับเปลี่ยนหน้าที่ของผู้บริหารทำให้พนักงานสามารถทำงานไดหลายหน้าที่เมื่อยามจำเป็น เป็นการเตรียมพร้อมเสมอสำหรับการทำงาน และท้ายสุดก็ปลุกจิตสำนึกให้พนักงานรักงาน , รักองค์การและอยากจะทำงานกับองค์การจนเกษียนอายุ
ผลกระทบจากการฝึกอบรมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ : จะเห็นได้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นผลกระทบในทางที่ดี และสอดคล้องกับการเรียนการสอน HRD. ในวิชา HRM. ของท่านอาจารย์ได้เป็นอย่างดี ทำให้พนักงานมีการตื่นตัวเป็นการผนึกกำลัง (Synergy) พร้อมที่จะปฏิบัติงานทุกเมื่อ ทำให้รักองค์การมากยิ่งขึ้น พร้อมที่จะทุ่มเทการทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้เล่นเกม จะเป็นภาพสะท้อนให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมและแสดงทัศนคติที่แท้จริงของตนเองออกมา การกล้าแสดงออกในการเล่นเกมทำให้ผู้บริหารระดับสูงเห็นความสามารถ , ทักษะของพนักงานเหล่านั้น และสามารถเก็บเป็นข้อมูลไว้สำหรับสนับสนุน (Promote) เพื่อเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นเมื่อมีโอกาส สรุป การจัดการทรัพยากรมนุษย์ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD : Human Resource Development) ในความคิดของข้าพเจ้ามีความเห็นจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์การต้องทำการพัฒนา , ฝึกอบรมพนักงาน เพื่อจะให้ได้เป้าหมายเดียวกัน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่สังคม และประเทศชาติ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีวิธีการและหลักสูตรมากมายหลายหลักสูตร โดยเฉพาะการเล่นเกมเพื่อพัฒนาบุคลากร , ให้รู้จักการทำงานเป็นทีม ,ให้รู้จักการสร้างทีม แต่ทั้งนี้จำเป็นที่จะต้องพัฒนาตนเอง (Self Development) ให้พร้อมเสียก่อน เมื่อตนเองพร้อมแล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ดี โดยเฉพาะทีมหรือกลุ่ม
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมากระบบการจัดการงานบุคคลการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้ระบบคุณธรรมระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้1.หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้
2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน 3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ระบบอุปถัมระบบอุปถัมภ์มีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน บางคนเรียกระบบพรรคพวกระบบเล่นพวก ระบบเน่าหนอนชอนไช ระบบศักดินา เป็นต้น เป็นระบบที่มีพฤติกรรมในการบริหารงานบุคคลตรงกันข้ามกับระบบคุณธรรมการพยากรณ์ความต้องการบุคคลการคาดคะเนความต้องการบุคคลของหน่วยงานต่างๆ ในองค์การจะต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งภายในและภายนอกองค์การด้วยปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับความต้องการบุคคล ได้แก่ ตลาดแรงงาน การพิจารณาถึงความซับซ้อนของการบริหารงาน การแข่งขัน มาตรการของรัฐบาล สหภาพแรงงาน สภาพของเศรษฐกิจ และการขยายตัวทางอุตสาหกรรมเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ความต้องการเปลี่ยนไป
ปัจจัยภายในองค์การเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ ได้แก่ การขยายขนาดขององค์การ การกระจายอำนาจการบริหารองค์การ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและการเปลี่ยนนโยบายใหม่ นอกจากนี้ ปัจจัยที่เกิดจากบุคคลเอง ได้แก่ อัตราการเข้าออกของคนงาน การตาย การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่ เป็นต้นการประเมินสภาพการณ์ปัจจุบันด้านบุคคล ในการวางแผนบุคคลจะต้องวิเคราะห์สภาพปัจจุบันขององค์การด้านบุคคลก่อนเพื่อเป็นพื้นฐานในการคาดคะเนจำนวนบุคคลที่ต้องการ ได้แก่ การประเมินสภาพปัจจุบันและปัญหาในด้านต่างๆ ดังนี้1. วัตถุประสงค์และนโยบายด้านบุคคล2. จำนวนและคุณสมบัติของบุคคล3. โครงการต่างๆขององค์การ4. ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคคลนอกจากนี้แล้ว ควรมีการประเมินปัญหาในการบริหารบุคคลด้วยได้แก่ การปฏิบัติงานของบุคคลมีปัญหาอะไรหรือไม่ ระบบบริหารบุคคลที่ใช้อยู่ตลอดจนงบประมาณเพื่อบริหารบุคคลด้วยกระบวนการของการจัดการงานบุคคลงานของผู้บริหารที่เกี่ยวกับคนมีขอบเขตตั้งแต่การวางแผนรับคนเข้าทำงานจนถึงการให้พ้นจากงาน ขอบข่ายของการจัดการงานบุคคลที่สำคัญมีเพียง 4 ลักษณะ คือ การให้ได้มา การบำรุงรักษา การพัฒนา และการให้พ้นจากงาน แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดลงไป กระบวนการจัดการงานบุคคลอาจแบ่งเป็นขั้นตอนดังนี้ (1) การวางแผนกำลังคนและตำแหน่ง (2) การแสวงหาบุคคล ได้แก่ การสรรหา การเลือกสรร การบรรจุ (3) การบำรุงรักษาและการจัดสวัสดิการ (4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน (5) การพัฒนาบุคคล (6) การให้พ้นจากงาน 1. การวางแผนกำลังคน การวางแผนกำลังคนคือการคาดคะเนไว้ล่วงหน้าว่าหน่วยงานนั้น ต้องการคนจำนวนเท่าใดจึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การกำหนดตำแหน่งการวางแผนว่าจะรับคนเข้ามาจะต้องกำหนดตำแหน่งว่าจะให้มาทำงานในตำแหน่งอะไร มีความรับผิดชอบอย่างไร ได้รับค่าจ้างแรงงานเท่าใด ประกาศรับสมัคร รับสมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติ สอบวัดความรู้ความสามารถ สัมภาษณ์ ตรวจสุขภาพ สอบประวัติ ตัดสินใจว่าจะจ้างหรือไม่ ทดลองปฏิบัติงานการบริหารทรัพยากรมนุษย์หมายถึง กระบวนการตัดสินใจที่ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์การอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การพยามสรรหาและคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลากรที่เป็นคนดี และมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตรงตามความต้องการเพื่อให้เข้ามาปฏิบัติงานภายในองค์การอย่างเพียงพอ มีการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง มีการรักษาคนดีที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ
การบริหารงานบุคคล คือ การสรรหา คัดเลือก ฝึกอบรม การจ่ายค่าตอบแทน และกิจกรรมอื่น ๆ ทำงานในลักษณะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเรื่องของพนักงาน และการพัฒนา การักษา และการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
การบริหารทุนมนุษย์ เป็นการบริหารทุนทางปัญญา กันมากขึ้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีความเหมือนกันตรงที่ สรรหา คัดเลือก พัฒนาพนักงานและรักษา คนดีให้มีคุรภาพต่อองค์การ
เทคนิคการกำหนด Human Capital Scorecardแนวความคิดเรื่องทุนมนุษย์ (Human Capital) ไม่ใช่หลักการบริหารจัดการแนวทางใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นคำที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อ อดัม สมิท ต่อมา Gary Becker ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านทุนมนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้าและกำหนดขึ้นมาเป็นทฤษฎีที่เรียกกันว่าทฤษฎีทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนไปที่ขีดความสามารถและทักษะในการทำงานของบุคลากรในองค์กร อันนำมาซึ่งผลประกอบการและผลการดำเนินงานที่ดีขององค์กร ต่อมาแนวคิดและทฤษฎีด้านทุนมนุษย์นั้นได้มีนักวิชาการและผู้รู้ต่าง ๆ ต่างให้คำนิยามของทุนมนุษย์ไว้แตกต่างกันไป โดย William R. Tracey ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Human Resources Glossaryนิยามคำว่าทุนมนุษย์ไว้ว่า ผลตอบแทนที่องค์กรได้รับจากความจงรักภักดีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความพยายาม ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของบุคลากรในองค์กร พบว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นจะต้องเท่ากับหรือมากกว่าการลงทุนในเครื่องจักรและการลงทุนในเรื่องการวิจัยและพัฒนา จะเห็นได้ว่าทุนมนุษย์เป็นเรื่องที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนในมนุษย์กับผลสำเร็จที่เกิดขึ้น ซึ่งกรอบความคิดด้านทุนมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จากกรอบความคิดในอดีตจนกระทั่งในปัจจุบันที่มีความแตกต่างกันในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (อ้างถึงในหนังสือ Investing in Your Company’s Human Capital เขียนโดย Jack J. Phillips ปี 2005)พบว่ากรอบแนวคิดเกี่ยวกับทุนมนุษย์ในปัจจุบันจะมุ่งเน้นไปที่ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในตัวบุคลากรในองค์กรมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเรื่องการบริหารจัดการความรู้ในทรัพยากรมนุษย์ ยุคของทุนมนุษย์ถือว่าเป็นยุคของความรู้ (Knowledge Era) ที่เปลี่ยนจากยุคด้านการเกษตรกรรมและยุดด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้การบริหารจัดการความรู้ในทรัพยากรบุคคลนั้นจะมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Assets) มากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Assets) ที่จะนำองค์กรไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขันกับธุรกิจภายนอก หากกล่าวถึงสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้นั้น สินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Capital) เป็นเรื่องที่องค์กรหลายๆ แห่งให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก Thomas Stewart กล่าวว่าทุนมนุษย์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของสินทรัพย์ทางปัญญาที่ประกอบไปด้วยการวัดต่าง ๆ ดังนี้ (อ้างถึงในหนังสือ Investing in Your Company’s Human Capital เขียนโดย Jack J. Phillips ปี 2005)1. Collective Skills – เป็นทักษะความชำนาญที่ถูกสั่งสมมาของแต่ละบุคคล ซึ่งทักษะที่มีอยู่ในตัวบุคคลจะส่งผลถึงทักษะความชำนาญในการทำงานของทีมงานและขององค์กรในที่สุด2. Communication of Practices – หมายถึงชุมชนนักปฏิบัติ ซึ่งในแต่ละองค์กรจะประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่รวมกัน มีการพูดคุยปรึกษาหารือกันภายในกลุ่มคน การสื่อสารกันภายในกลุ่มจะทำให้เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ขึ้น3. Social Capital – สังคมเป็นรูปแบบของการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน มีความเข้าใจกันด้วยดี การแลกเปลี่ยนมุมมองคนในสังคม เน้นพฤติกรรมการทำงานร่วมกันในสังคม ดังนั้น ทุนมนุษย์จึงเน้นไปที่การบริหารจัดการความรู้ของคน ทำอย่างไรให้บุคลากรในองค์กรมีความรู้มากขึ้น เนื่องจากความรู้ที่มีจะนำไปสู่ทักษะความชำนาญในการทำงาน และนำไปสู่ผลการดำเนินงานทั้งในระดับบุคคล หน่วยงานหรือทีมงาน และระดับองค์กร
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(THE HUMAN RESOURCES MANAGEMENT)
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4.เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1.ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2.ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
การออกแบบงาน (Job designs)
1. การจัดให้งานเป็นสิ่งที่มีลักษณะง่าย(Work simplification) เป็นการแบ่งงานต่างๆ ให้เป็นงานย่อยหลายๆ ชิ้น ที่ใช้ความชำนาญเฉพาะแต่เป็นงานง่ายๆ
2. การหมุนเวียนงาน(Job rotation) พนักงานจะสับเปลี่ยนงานที่มีลักษณะง่ายๆ หรืองานที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง เป็นการลดความเบื่อหน่ายในการทำงานชิ้นหนึ่ง เพื่อไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
3. การขยายขอบเขตงาน(Job enlargement) เป็นวิธีตรงกันข้าม วิธีที่1 กล่าวคือ ถ้างานๆหนึ่ง สามารถแบ่งเป็นวิธีการจัดการอย่างง่ายๆได้ 3 อย่างแล้ว ในแง่ของการขยายขอบเขตงาน จะให้คนทำงาน ทั้ง 3 อย่างนั้นพร้อมกัน เพื่อลดเป้าหมายในการทำงานอย่างเดียวมีความหมายยิ่งสำหรับคนทำงาน
4. การเพิ่มเนื้อหาของงาน(Job enrichment) เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับพนักงานให้ความเป็นอิสระในการทำงานและให้ควบคุมคนเอง เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความหมายและคุณค่าในตัวงานสำหรับพนักงาน
การวิเคราะห์งาน(Job Analysis)
การวิเคราะห์งาน คือ กระบวนการพิจารณา จำแนกแยกแยะ ประเมินผลและจัดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ งานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล
กระบวนการในการวิเคราะห์มีดังนี้
1. การระบุขอบเขตงาน(Job identification)ต้องทำก่อนที่จะรวบรวมสารสนเทศของการวิเคราะห์งาน การระบุขอบเขตงานนี้จะทำได้ง่ายสำหรับองค์การขนาดเล็ก เพราะมีงานไม่มากนัก แต่จะประสบความยุ่งยากมากสำหรับองค์การขนาดใหญ่
2. การสร้างแบบสอบถาม(Questionnaire development)ในการศึกษางาน จะต้องดำเนินการจัดทำรายการ หรือแบบสอบถามซึ่งเรียกกันว่า ตารางการวิเคราะห์งาน (job analysis schedules) ในแบบสอบถามนี้จะใช้ศึกษารวบรวมสารสนเทศของานที่มีมาตรฐานเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสามารถของบุคคล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้แบบสอบถามชนิดเดียวกันศึกษางานประเภทเดียวกัน
3. การรวบรวมสารสนเทศจากการวิเคราะห์งาน(Colect job analysis information)
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ อาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ การพิจารณาบันทึกประจำวันในการปฏิบัติงานของคนงานและการสังเกต
การจัดการงานบุคคล
การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะได้กำหนดคุณสมบัติของงาน หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติเมื่อองค์การธุรกิจจะรับคนเข้าทำงานหรือวางแผนรับคนงานนั้นจะต้องกำหนดชื่องาน (ตำแหน่ง) ภาระหน้าที่ และคุณสมบัติของผลฏิบัติงานเอาไว้ด้วย การพรรณนางาน การพรรณนางาน (Job description) หรือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย1. ชื่อของงาน2. สถานที่ทำงาน3. สรุปลักษณะงาน4. หน้าที่5. เครื่องมือทำงาน
6. สภาพการทำงาน
การกำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน1. เพศและวัย2. การศึกษา3. ประสบการณ์4. การฝึกอบรม5. สุขภาพทางกายและจิต6. ความคิดริเริ่ม7. ความสามารถพิเศษอื่นๆ ตัวอย่างตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลการพรรณนางาน1. วิเคราะห์งานตำแหน่งต่างๆ2. ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ3. จัดโครงการผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ4. บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคลคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง1. เพศชาย อายุ 35-40 ปี2. สำเร็จปริญญาโททางการบริหารบุคคล3. มีประสบการณ์ในงานบริหารบุคคลอย่างน้อย 3 ปี4. มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างอื่น5. อ่าน พูด เขียน ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีการประเมินค่าของงานการประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้างข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ4. การประเมินต้องมีความยุติธรรมวิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลักการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงานเงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้น
การจัดการงานบุคคล
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก ระบบการจัดการงานบุคคลการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้ ระบบคุณธรรมระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้1. หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้ และเมื่อเข้ามาเป็นคนงานหรือพนักงานแล้วก็ต้องมีความเสมอภาคในการเลื่อนตำแหน่ง เช่น บางตำแหน่งทำงานในระดับ 3 มา 2 ปีแล้ว มีสิทธิเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 4 ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นสำคัญ สิทธินี้ต้องเสมอภาคกันทุกคน หรือในการทำงานหากทำงานที่อยู่ในระดับความรับผิดชอบที่เทียบกันได้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน 3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ถ้าให้ฝ่ายการเมืองมามีอิทธิพล คนดีมีความสามารถก็จะหนีหายไม่อยู่รับราชการ ในทางหลักการจึงมีข้อกำหนดไว้ว่าข้าราชการประจำจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าราชการ การเมืองได้แก่ไหน อย่างไร หลักข้อนี้นั้นด้านราชการมากกว่าธุรกิจจะเห็นได้ว่าแนวความคิดของระบบคุณธรรมสอดคล้องกับแนวความคิดตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย การบริหารงานบุคคลก็ยึดระบบคุณธรรมด้วย แต่เนื่องจากพฤติกรรมต่างๆ ปล่อยปละละเลยเป็นระบบอุปถัมภ์กันมานานจึงต้องค่อยๆ เปลี่ยน มิใช่เปลี่ยนอย่างทันทีทันใด ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของคนไทยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม เช่น ค่านิยมการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนที่รู้จักคุ้นเคยก็อาจส่งเสริมให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกได้ เป็นต้น
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน
แนวคิดการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคล เลื่อนไหลจาก Personel Management มาสู่ Human Resource Management และกำลังเคลื่อนไปสู่ Human Capital สิ่งที่ผู้บริหารต้องเรียนรู้ในวันนี้ มีมากกว่าการบริหารคนการบริหารทรัพยากรบุคคลในยุคแรกๆ (Personnel Administration) มีลักษณะเป็นบริหารแบบที่เน้นกระบวนการ ซึ่ง “ฝ่ายบุคคล” จะทำงานในลักษณะกิจกรรมประจำวันตามกระบวนการ ขั้นตอน และกฎระเบียบ ถัดมาเป็นยุค Personnel Management และ Human Resource Management ซึ่งยังมองคนเป็นทรัพยากรที่จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย (Human Costs) ขององค์กรมากกว่าที่จะมองว่าเป็นทุนที่สามารถเพิ่มมูลค่าสำหรับการบริหาร (Human Capital) แต่ปัจจุบันนี้ (Human Capital Management) การบริหารทรัพยากรบุคคลจะเน้นที่การเพิ่มคุณค่าของผลผลิตให้กับองค์กรจึงมองคนในฐานะ “ทุน” ขององค์กรซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “ค่าใช้จ่าย”
ในอดีตเรียกกันว่างาน Personal Management หรือฝ่ายบุคคล ซึ่งถูกมองว่าเป็นงานที่รับผิดชอบแค่การจ่ายเงินเดือน ทำฐานข้อมูลพนักงานและรับคนเข้าทำงาน การเปลี่ยนชื่อมาเป็น HR นี่ยังไม่ถึง 20 ปี
เพราะเหตุผลทางยุทธศาสตร์ที่ต้องการให้งาน HR แสดงถึงเรื่องของการวางแผนและขยายขอบเขตออกไป จึงเห็นได้ว่างานนี้ค่อยๆ มีพัฒนาการที่สอดรับกับการพัฒนาแนวคิดด้านการสื่อสารองค์กร ที่เลิกมองคนเป็นเพียงหน่วยของการผลิตในทางอุตสาหกรรม แต่มองคนเป็นทรัพยากรที่มีชีวิต
การบริหารทรัพยากรมนุษย์Human Resources Management“ทรัพยากรมนุษย์” แต่เดิมถูกเรียกแทนแรงงานคน ซึ่งเดิมถูกมองว่าเป็น “ผู้ใช้แรงงาน” ซึ่งต่อมาถูกมองว่าเป็นทั้งแรงงานและผู้จัดการ คำว่า “ทรัพยากรมนุษย์” เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1960 โดยจะเน้นความเป็นมนุษย์มากขึ้น และสนใจความสำคัญของมนุษย์ในองค์การมากขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resource ในระดับองค์การ จะหมายถึง คนที่มีความพร้อม มีความตั้งใจ มีความสามารถที่จะอุทิศตนให้แก่เป้าหมายขององค์การ ดังนั้นบางคนในองค์การ อาจไม่ใช่ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การก็ได้ แต่ไปเป็นทรัพยากรแก่องค์การอื่น (ไม่ทุ่มเทให้องค์การตน แต่ไปสนใจองค์การอื่น มากกว่า)
ผู้บริหาร/องค์การให้ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์มากที่สุด เพราะถือว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อทรัพยากรอื่น นั่นคือ เป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ขององค์การ เป็นผลให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารองค์การ
Human Capital Managementการบริหารทุนมนุษย์ ทุนบุคลากรหรือทุนมนุษย์ (Human Capital) จะรวมความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ และการสร้างสรรค์ของบุคลากรภายในองค์กร ทุนบุคลากรเป็นองค์ประกอบที่เห็นเด่นชัดที่สุดของทุนทางปัญญาแต่การกำหนดค่าค่อนข้างทำได้ยากเนื่องจากมนุษย์มีความซับซ้อน ความรู้จะอยู่ในสมองของบุคลากรและจะหายไปเมื่อบุคลากรลาออกจากองค์กรทุนมนุษย์ Human Capital หมายถึง ความรู้Knowledge ทักษะ Skill ความสามารถ Abilitie ประสบการณ์ Experiencesที่มีในตัวผู้ปฏิบัติงาน และมีความจำเป็นในการปฏิบัติงาน
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(Human Resource Management)
ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) หมายถึงบุคคลซึ่งมีความพร้อม มีความจริงใจ และสามารถที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร หรือเป็นบุคคลในองค์กรที่สามารถสร้างคุณค่าของระบบการบริหารงานได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้ ดังนั้น องค์กรจึงมีหน้าที่ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ปฏิบัติงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร (ธงชัย สันติวงษ์, 2548 : 2-3 และสมชาย หิรัญกิตติ, 2542 : หน้า 1)
ลักษณะการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management: HRM) มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆกัน (ธงชัย สันติวงษ์, 2548 : 1-2) ดังนี้
1. เป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร (Monday, Noe and Premeaux, 1949 : GL-5)
2. เป็นนโยบายและการปฏิบัติในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจเพื่อในการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร (Dessler, 1997 : 72)
3. เป็นกิจกรรมที่ออกแบบเพื่อการจัดหาความร่วมมือกับทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร (Byars and Rue, 1997 : 4)
4. เป็นหน้าที่ที่หนึ่งขององค์กร ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจากการใช้พนักงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ และเป้าหมายเฉพาะบุคคล (Ivancevich, 1998 : 708)
การจัดการงานบุคคล
การวิเคราะห์งาน (Job Analysis) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล บันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจะได้กำหนดคุณสมบัติของงาน หรือหน้าที่ความรับผิดชอบของงานและคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน โดยปกติเมื่อองค์การธุรกิจจะรับคนเข้าทำงานหรือวางแผนรับคนงานนั้นจะต้องกำหนดชื่องาน (ตำแหน่ง) ภาระหน้าที่ และคุณสมบัติของผลปฏิบัติงานเอาไว้ด้วย การพรรณนางาน การพรรณนางาน (Job description) หรือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง โดยทั่วไปจะประกอบด้วย1. ชื่อของงาน2. สถานที่ทำงาน3. สรุปลักษณะงาน4. หน้าที่5. เครื่องมือทำงาน
6. สภาพการทำงาน
การกำหนดคุณสมบัติของผู้ปฏิบัติงาน1. เพศและวัย2. การศึกษา3. ประสบการณ์4. การฝึกอบรม5. สุขภาพทางกายและจิต6. ความคิดริเริ่ม7. ความสามารถพิเศษอื่นๆ ตัวอย่างตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายบุคคลการพรรณนางาน1. วิเคราะห์งานตำแหน่งต่างๆ2. ประเมินผลการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์การ3. จัดโครงการผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ4. บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบุคคลคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่ง 1. เพศชาย อายุ 35-40 ปี2. สำเร็จปริญญาโททางการบริหารบุคคล3. มีประสบการณ์ในงานบริหารบุคคลอย่างน้อย 3 ปี4. มีความสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างอื่น5. อ่าน พูด เขียน ภาษาอาหรับได้เป็นอย่างดีการประเมินค่าของงานการประเมินค่าของงาน (Job evaluation) คือการประเมินหน้าที่ความรับผิดชอบของงานเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างงาน ตำแหน่ง และการกำหนดอัตราค่าจ้างข้อควรพิจารณาในการประเมินค่าของงานควรยึดหลักดังนี้1. การประเมินโดยใช้ระบบใดระบบหนึ่งเป็นมาตรฐาน2. การประเมินงานเป็นการวัดค่าของงาน ไม่ใช่วัดค่าของบุคคล3. การประเมินงานเป็นกิจกรรมต่อเนื่องที่มีผลกระทบต่อค่าแรงงานเสมอ4. การประเมินต้องมีความยุติธรรมวิธีการประเมินค่าของงาน อาจประเมินได้ 4 วิธีดังนี้1. วิธีลำดับค่าของงานโดยการเรียงลำดับความสำคัญของงานด้วยการจัดหมวดหมู่และประเภทของงาน ผู้ประเมินอาจตั้งขึ้นในรูปคณะกรรมการ2. ใช้มาตรฐานที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารระบุผู้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสมบูรณ์ว่ามีความรับผิดชอบอะไรบ้าง เงินเดือนเท่าไร รายการต่างๆที่ผู้รับผิดชอบจะต้องปฏิบัติ และมีการกำหนดระดับของงานไว้ด้วย3. วิธีการให้คะแนน อาศัยการเปรียบเทียบให้คะแนนค่าของงานตามองค์ประกอบแต่ละอย่างที่ตั้งขึ้นและกำหนดคะแนนองค์ประกอบต่างๆ ไว้ เช่น ความชำนาญ ความพยายาม ความรับผิดชอบ และสภาพของงาน เป็นต้น4. วิธีใช้องค์ประกอบเปรียบเทียบงาน เป็นวิธีหนึ่งที่นำเอาวิธีลำดับค่าของงานเหมาะสมกับวิธีให้คะแนน คือพลังงานสำรวจข้อเท็จจริงแล้ว ให้เลือกงานหลักมาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแต่ละข้อที่กำหนดไว้ว่าอยู่ระดับใด และให้นำงานมาเปรียบเทียบดูองค์ประกอบเป็นหลักการกำหนดอัตราค่าจ้างและเงินเดือนค่าจ้าง (wage) หมายถึงจำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์จำนวนชั่วโมงในการทำงาน ค่าจ้างจะขึ้นลงตามจำนวนชั่วโมงค่าจ้างเป็นเครื่องกำหนดสถานภาพในการทำงานของคนงานเงินเดือน (salary) หมายถึง จำนวนเงินที่คนงานได้รับเป็นการตอบแทนการทำงานโดยถือเกณฑ์การเหมาเป็นรายเดือน และถือเป็นรายได้ประจำ แม้จะป่วย ลา หรือขาดงานบ้างก็ยังได้รับจำนวนเต็ม1. วัตถุประสงค์หลักในการกำหนดอัตราในการค่าจ้างและเงินเดือน- เพื่อจูงใจบุคคลให้เข้ามาทำงาน- เพื่อควบคุมต้นทุนรายจ่าย- เพื่อสร้างความพึงพอใจและขวัญในการปฏิบัติงาน- เพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ2. นโยบายการจ่ายค่าจ้างและเงินเดือน ควรคำนึงถึงหลักดังนี้- จ่ายให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ- ต้องยุติธรรม ทำงานมาก งานหนักได้ค่าจ้างมาก- ต้องมีความสามารถในการจูงใจและกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น- ต้องสมเหตุสมผล เป็นที่พึงพอใจของคนงานและสมประโยชน์ของโครงการ- การจ่ายต้องเป็นทุนที่มีประสิทธิภาพ คือ ไม่มากเกินไป3. ระดับของค่าจ้างและเงินเดือน- กำหนดให้ต่ำกว่าระดับทั่วไป มุ่งประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน- กำหนดให้สูงกว่าระดับทั่วไป มุ่งจะได้คนมีความสามารถมาทำงาน- กำหนดให้เท่ากับระดับทั่วไป แต่ควรมีค่าตอบแทนอื่นๆเพิ่มขึ้น4. ค่าตอบแทน เป็นรางวัลหรือส่วนที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากค่าจ้างตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีดังนี้- รางวัลตอบแทนที่เป็นเงิน เช่น โบนัส (bonus) คอมมิชชัน (commission) ส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) เป็นต้น- รางวัลที่ตีค่าเป็นตัวเงินได้ ได้แก่ การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งประโยชน์และบริการต่างๆ เช่น ให้ซื้อหุ้นก่อนบุคคลอื่น ซื้อสินค้าโดยมีส่วนลดพิเศษ- รางวัลตอบแทนที่ไม่เป็นเงิน เช่น ให้เข้ารับการฝึกอบรม ให้ไปดูงาน ให้ห้องทำงานที่ดี โต๊ะทำงาน โทรศัพท์ ยานพาหนะ เป็นต้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจที่ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์การอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การพยามสรรหาและคัดเลือกเพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลากรที่เป็นคนดี และมีคุณสมบัติต่าง ๆ ตรงตามความต้องการเพื่อให้เข้ามาปฏิบัติงานภายในองค์การอย่างเพียงพอ มีการพัฒนาคุณภาพของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง มีการรักษาคนดีที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ
การบริหารงานบุคคล คือ การสรรหา คัดเลือก ฝึกอบรม การจ่ายค่าตอบแทน และกิจกรรมอื่น ๆ ทำงานในลักษณะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเกี่ยวกับเรื่องของพนักงาน และการพัฒนา การักษา และการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า
การบริหารทุนมนุษย์ เป็นการบริหารทุนทางปัญญา กันมากขึ้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ มีความเหมือนกันตรงที่ สรรหา คัดเลือก พัฒนาพนักงานและรักษา คนดีให้มีคุณภาพต่อองค์การ
การจัดการงานบุคคล
คนเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของการจัดการ เพราะคนเป็นผู้ปฏิบัติงานทุกอย่างขององค์การหากไม่มีคนหรือมีคนไม่มีคุณภาพ การจัดการให้บรรลุเป้าหมายขององค์การย่อมดำเนินไปได้โดยยากยิ่ง การจะได้คนดีมีคุณภาพเข้ามาทำงานย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการงานบุคคลที่ดี การจัดการงานบุคคล หรือการบริหารบุคคล หรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า personnel administration หรือ personnel management วัตถุประสงค์ของการจัดการงานบุคคลก็เพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานและควบคุมดูแลให้ปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายขององค์การ หากการจัดการงานบุคคลไม่ดี องค์การจะได้คนไม่ดี ขาดความรู้ความสามารถในการทำงาน สร้างปัญหาให้แก่ผู้บริหารและสร้างปัญหาให้แก่องค์การเป็นอันมาก ระบบการจัดการงานบุคคลการจัดการงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ การบริหารบุคคลระบบคุณธรรม (merit system) และการบริหารบุคคลระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ซึ่งมีหลักการดังต่อไปนี้ ระบบคุณธรรมระบบคุณธรรม บางคนเรียกระบบคุณวุฒิ หรือระบบคุณความดี หรือระบบความสามารถ ไม่ว่าจะเรียกชื่อใดก็ตามระบบนี้มีหลักการอยู่ 4 ประการดังนี้1. หลักความเสมอภาค (epuality of opportunity) เริ่มตั้งแต่การรับคนเข้าทำงานก็ต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาค มิใช่ว่าต้องเป็นพรรคพวก เป็นญาติเป็นใครก็ตามถ้ามีคุณสมบัติตามที่หน่วยงานนั้นต้องการก็ย่อมมีสิทธิสมัครสอบแข่งขันเข้าทำงานได้ และเมื่อเข้ามาเป็นคนงานหรือพนักงานแล้วก็ต้องมีความเสมอภาคในการเลื่อนตำแหน่ง เช่น บางตำแหน่งทำงานในระดับ 3 มา 2 ปีแล้ว มีสิทธิเลื่อนให้ดำรงตำแหน่งในระดับ 4 ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถเป็นสำคัญ สิทธินี้ต้องเสมอภาคกันทุกคน หรือในการทำงานหากทำงานที่อยู่ในระดับความรับผิดชอบที่เทียบกันได้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน2. หลักความสามารถ (competence) คนดีที่มีความสามารถเท่านั้นที่จะเข้ามาทำงานได้ และมีโอกาสก้าวหน้า เวลาจะรับคนเข้าทำงานก็ยึดหลักว่าหาคนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ จึงต้องมีการสอบแข่งขันกัน เวลาบรรจุก็บรรจุคนที่สอบได้ที่ 1 ก่อนเพราะถือว่าเป็นผู้มีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น การเลื่อนเงินเดือน เลื่อนระดับ ก็พิจารณาจากผู้มีความสามารถ มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อน 3. หลักความมั่งคง (security on tenure) ในระบบคุณธรรมมีการให้หลักประกันว่าเมื่อเข้ามาทำงานจะไม่ถูกออกจากงานง่ายๆ มีกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า การเลิกจ้างจะทำได้ในกรณีใดบ้าง เช่น ตาย ลาออก ฯลฯ ความมั่นคงอาจรวมถึงการให้สวัสดิการ การให้ได้รับบำเหน็จบำนาญด้วย ทำให้ผู้ทำงานรู้สึกมั่นคงในการประกอบวิชาชีพ ไม่ต้องห่วงพะวงว่าเมื่อออกจากงานแล้วจะทำบาก4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (political neutrality) งานราชการประจำเป็นงานที่ต้องกระทำต่อเนื่องกันไป จึงต้องมีหลักประกันว่าข้าราชการจะไม่ถูกบีบบังคับจากอิทธิพลของฝ่ายการเมืองที่อาจผลักเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ ถ้าให้ฝ่ายการเมืองมามีอิทธิพล คนดีมีความสามารถก็จะหนีหายไม่อยู่รับราชการ ในทางหลักการจึงมีข้อกำหนดไว้ว่าข้าราชการประจำจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้าราชการ การเมืองได้แก่ไหน อย่างไร หลักข้อนี้นั้นด้านราชการมากกว่าธุรกิจจะเห็นได้ว่าแนวความคิดของระบบคุณธรรมสอดคล้องกับแนวความคิดตามระบอบประชาธิปไตย สำหรับประเทศไทยเราเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบบประชาธิปไตย การบริหารงานบุคคลก็ยึดระบบคุณธรรมด้วย แต่เนื่องจากพฤติกรรมต่างๆ ปล่อยปละละเลยเป็นระบบอุปถัมภ์กันมานานจึงต้องค่อยๆ เปลี่ยน มิใช่เปลี่ยนอย่างทันทีทันใด ทั้งนี้ เพราะค่านิยมของคนไทยหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานบุคคลตามระบบคุณธรรม เช่น ค่านิยมการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือคนที่รู้จักคุ้นเคยก็อาจส่งเสริมให้เกิดการเล่นพรรคเล่นพวกได้ เป็นต้น
การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(THE HUMAN RESOURCES MANAGEMENT)
การที่องค์การจะกระทำภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิ์ภาพนั้น หน่วยงานจำเป็นจะต้องมีบุคลากรที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์ จึงจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการบริหารงาน เพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรบริหารอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการซึ่งถ้าองค์การเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดี มีความสามารถ ปัจจัยด้านอื่นๆก็จะดีตามมา ดังนั้นการบริหารทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์การการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นการดำเนินการที่เกี่ยวกับบุคคลที่ถือว่า เป็นพรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์การเพื่อให้สามารถปฎิบัติงานได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์การ พร้อมทั้งดำเนินการธำรงรักษาและพัฒนาให้ทรัพยากรมนุษย์ขององค์การมีคุณภาพชีวิตในการทำงาน โดยมีภารกิจหลัก ได้แก่ การวางแผนทรัพยากรมนุษย์การกำหนดงานหรือออกแบบงาน การวิเคราะห์งาน การสรรหา การคัดเลือก การประเมินผลพนักงาน การฝึกอบรมและพัฒนา ค่าตอบแทน สุขภาพและความปลอดภัย การพันจากงานของพนักงาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์
วัตถุประสงค์ของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. เพื่อสรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์การ (Recruitment and Selection)
2. เพื่อใช้คนให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Utilization)
3. เพื่อบำรุงรักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์การนานๆ (Maintenance)
4. เพื่อพัฒนาให้มีความรู้ความสามารถ (Development)
ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรมนุษย์
1. ช่วยให้บุคคลที่ปฏิบัติงานในองค์การมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การที่ตนปฏิบัติงาน
2. ช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญเติบโต เพราะการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นสื่อกลางในการประสานงานกับแผนกต่างๆ เพื่อแสวงหาวิธีการให้ได้บุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การให้เกิดประโยชน์สูงสุดทำให้องค์การเจริญเติบโตและพัฒนายิ่งขี้น
3. ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่สังคมและประเทศชาติ ถ้าการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์การและผู้ปฏิบัติงานทำให้สภาพสังคมโดยส่วนรวมมีความสุข ความเข้าใจที่ดีต่อกัน
กระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย
1. การออกแบบการวิเคราะห์และการวิเคราะห์เพื่อจัดแบ่งตำแหน่งงาน(task specialization process)
2. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์(human resource planning)
3. การสรรหาและการคัดเลือกพนักงาน(recruitment and selection process)
4. การปฐมนิเทศบรรจุพนักงานและการประเมินผลการปฏิบัติงาน(induction or orientation and appraisal process)
5. การฝึกอบรมและการพัฒนา(training and development process)
6. กระบวนการทางด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และแรงงานสัมพันธ์(health, safety maintenance process and labor relation)
7. การใช้วินัยควบคุมตลอดจนการประเมินผล(discipline control and evaluation process)
การกำหนดงานหรือการออกแบบงาน(Job designs)
ทั้งนี้เพราะงานเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและองค์การ และเป็นสิ่งที่บ่งบอกลักษณะทรัพยากรบุคคลที่องค์การต้องการ ในการกำหนดงานจะต้องพิจารณาทั้งระบบคือการศึกษาองค์ประกอบขององค์การ องค์การประกอบของสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบด้านพฤติกรรม และสร้างงานขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายขั้นสุดท้ายคือ การเพิ่มผลผลิตในองค์การและการที่พนักงานเกิดความพึงพอใจในงาน
การออกแบบงาน (Job designs)
1. การจัดให้งานเป็นสิ่งที่มีลักษณะง่าย(Work simplification) เป็นการแบ่งงานต่างๆ ให้เป็นงานย่อยหลายๆ ชิ้น ที่ใช้ความชำนาญเฉพาะแต่เป็นงานง่ายๆ
2. การหมุนเวียนงาน(Job rotation) พนักงานจะสับเปลี่ยนงานที่มีลักษณะง่ายๆ หรืองานที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่ง เป็นการลดความเบื่อหน่ายในการทำงานชิ้นหนึ่ง เพื่อไปทำงานอีกชิ้นหนึ่ง
3. การขยายขอบเขตงาน(Job enlargement) เป็นวิธีตรงกันข้าม วิธีที่1 กล่าวคือ ถ้างานๆหนึ่ง สามารถแบ่งเป็นวิธีการจัดการอย่างง่ายๆได้ 3 อย่างแล้ว ในแง่ของการขยายขอบเขตงาน จะให้คนทำงาน ทั้ง 3 อย่างนั้นพร้อมกัน เพื่อลดเป้าหมายในการทำงานอย่างเดียวมีความหมายยิ่งสำหรับคนทำงาน
4. การเพิ่มเนื้อหาของงาน(Job enrichment) เป็นการเพิ่มความรับผิดชอบให้กับพนักงานให้ความเป็นอิสระในการทำงานและให้ควบคุมคนเอง เป็นวิธีที่สามารถเพิ่มความหมายและคุณค่าในตัวงานสำหรับพนักงาน
การวิเคราะห์งาน(Job Analysis)
การวิเคราะห์งาน คือ กระบวนการพิจารณา จำแนกแยกแยะ ประเมินผลและจัดข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ งานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวบุคคล
กระบวนการในการวิเคราะห์มีดังนี้
1. การระบุขอบเขตงาน(Job identification)ต้องทำก่อนที่จะรวบรวมสารสนเทศของการวิเคราะห์งาน การระบุขอบเขตงานนี้จะทำได้ง่ายสำหรับองค์การขนาดเล็ก เพราะมีงานไม่มากนัก แต่จะประสบความยุ่งยากมากสำหรับองค์การขนาดใหญ่
2. การสร้างแบบสอบถาม(Questionnaire development)ในการศึกษางาน จะต้องดำเนินการจัดทำรายการ หรือแบบสอบถามซึ่งเรียกกันว่า ตารางการวิเคราะห์งาน (job analysis schedules) ในแบบสอบถามนี้จะใช้ศึกษารวบรวมสารสนเทศของานที่มีมาตรฐานเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงหน้าที่ ความรับผิดชอบ ความสามารถของบุคคล และมาตรฐานการปฏิบัติงาน ควรใช้แบบสอบถามชนิดเดียวกันศึกษางานประเภทเดียวกัน
3. การรวบรวมสารสนเทศจากการวิเคราะห์งาน(Colect job analysis information)
การรวบรวมข้อมูลต่างๆ อาจทำได้หลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ การสอบถามผู้เชี่ยวชาญ การส่งแบบสอบถามไปทางไปรษณีย์ การพิจารณาบันทึกประจำวันในการปฏิบัติงานของคนงานและการสังเกต
การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) เป็นการศึกษาค้นคว้าเป็นทฤษฏีทุนมนุษย์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนไปที่ขีดความสามารถและทักษะในการทำงานของบุคคลากรในองค์กร อันนำมาซึ่งผลประกอบการและการดำเนินงานที่ดีขององค์กร ผลตอบแทนที่องค์กรได้รับจากความจงรักภักดี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความพยายาม ความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นของบุคลากรในองค์กร
สรุปคือ ทั้ง 3 มีความหมายที่เหมือนกันคือการจัดการและการบริหารงานบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพแก่องค์กรมากที่สุด
ผมอยากทราบว่าการเกษียรอายุ การสั่งงานด้วยวาจาและตัวอักษรและการเลื่อนขั้นมีหลักการบริหารอย่างไรขอความกรุณาตอบด้วยยคับ
ตอนนี้ผมมีปัญหา กำลังจะหา ER Manager แต่คนที่ทำในด้านนี้มีน้อยมาก ที่จัดการกับUnion ได้จริงๆ ถ้าผู้อ่านคนไหนมีความกรุณาแนะนำผมด้วย เป็นชาย ทำงานที่สระบุรีได้ ภาษาอังกฤษดี ส่งRESume ให้ผมด่วนเลยครับ จักขอบคุณมาก