มีความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่
เอ๊ะหรือว่ามีเหตุผลแต่ไม่แน่ใจว่าใช่เหตุจริงๆไหม
ลองไล่ไปทีละเรื่องดูค่ะ
เรื่องแรก ได้รับเอกสาร คนตาบอดครูของเรา.pdf จากคุณชายขอบหรือคุณอนุชา หนูนุ่น(น้องชายคุณ bright Lily) อ่านแล้วประทับใจในการมองเห็นศักยภาพของคนพิการ และความศรัทธาในการอยู่ร่วมกันในสังคมที่พึ่งพากันช่วยเหลือกันเคารพกัน ก็อยากปรบมือให้กับทีมงานชาวพัทลุง (หากมีโอกาสอยากไปเที่ยวเมืองพัทลุงสักครั้ง เห็นรูปทะเลน้อยแล้วชอบมาก ค่ะ)
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย คือเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาปวดท้องมากและท้องเสีย จนหายใจระรวยระริน หัวสมองแล่นจี๋งัดวิชาพยาบาลมาใช้ คิดทั้งพยาธิสภาพของโรค(แน่นอนค่ะ โรคแต่ละอย่างร้ายๆทั้งน้าน) และวิธีแก้ไข แต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาลกลางดึกตีสองตีสาม...เพราะว่าทรงตัวไม่ค่อยอยู่ ระหว่างนั้นก็มาคิดว่า ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้านี่ คืออย่างนี้นี่เอง เพราะตั้งในความประมาท พอมีเหตุเจ็บป่วยทางกายแล้ว ใจก็ทุรนทุรายเพราะงานค้างเยอะ งานไม่เสร็จจวนเจียนกำหนดส่งแล้วด้วย....และนึกไปถึงคำของพระอาจารย์พุทธยานันทภิกขุ ที่เทศนาว่า "ต้องเป็นผู้มีอาพาธน้อย ..พยายามอย่าเอาจิตไปวิตกกับมัน ลืมมันไปก่อน มาอยู่กับตัวรู้นี้ เอาใจมาอยู่กับสตินี้ หากมันไม่ชัดเจนก็มีการเคลื่อนไหวบ้าง จะเป็นการกระตุ้นหรือเขย่าธาตุรู้เพิ่มขึ้นอีกแรง เวลามันมีอาการขึ้นมาจริงๆ ถ้าบำบัดได้ก็ทำ หากบำบัดไม่ได้ก็แก้ไขไปตามเหตุปัจจัยอันเหมาะสม ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็ชื่อว่าผู้มีอาพาธน้อย ไม่วิตกกังวลกับสุขภาพของตัวเองจนเกินไป ไม่ปรุงแต่งหรือกลัวจนเกินเหตุ" เมื่อคิดได้ก็ปลงได้ ตั้งสติสมาธิผ่อนปวดหนอๆ อาการก็ค่อยๆดีขึ้นมาตามลำดับ นี่แหล่ะค่ะ ไม่เห็นโลงไม่หลั่งน้ำตา ไม่เจอความเจ็บไม่นึกถึงพระธรรม...การเรียนรู้ครั้งนี้ยิ่งทำให้สรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้าและบรรดาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนการเจริญสติทำให้ได้งัดมาใช้ยามคับขัน
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องสอดรู้สอดเห็นส่วนตัวเมื่ออยากรู้เรื่องหนึ่งเรื่อง แล้วก็ไปค้นคว้าหาอ่าน จนรู้ ทำให้เกิดความเข้าใจ ร้องอ๋อๆ ในใจ
สามเรื่อง สามแบบ ที่ทำให้ครึ้มอกครึ้มใจในวันนี้ค่ะ ...
คุณๆ ละคะ วันนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง