ทำอย่างไรนักศึกษาครูจึงจะรู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง?
นี่เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองอยู่เสมอในยุคปฏิรูป
และพยายามออกแบบการเรียนรู้ในรายวิชาที่ตัวเองรับผิดชอบให้เน้นประเด็นนี้!
ตั้งแต่เข้าร่วมขบวนการผลิตครูเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ความต้องการครูที่คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีการพูดถึงกันมาก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีการทำอะไรอย่างจริงจังจนได้ครูอย่างที่ว่า?!?
พอปัญหาด้านการศึกษาเพิ่มมากขึ้นจนต้องประกาศการปฏิรูปการศึกษาเมื่อสี่ปีที่แล้ว ฉันเริ่มมองเห็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่เมื่อมาถึงวันนี้ก็พบว่าประเด็นหนึ่งที่ชัดเจนมากคือ ครูอาจารย์ส่วนใหญ่คิดไม่เป็น และบางคนไม่คิด งานสอนที่ปฏิบัติยังเป็นไปตามความเคยชิน การปฏิรูปเป็นไปตามคำสั่ง บอกให้ทำอะไรก็ปฏิบัติตามเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ได้เกิดจากความคิดของตนเอง
กลไกสำคัญที่จะทำให้การปฏิรูปการศึกษาประสบความสำเร็จคือ ครู โดยครูต้องเปลี่ยนแปลง แต่เราก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากการเป็นคนสำคัญที่สุดในชั้นเรียน มาให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนแทน
ฉันกล้าพูดว่า ครูที่เปลี่ยนยากที่สุดเห็นจะเป็นครูอุดมศึกษานี่แหละ และที่หนักหนาสาหัสคือ ครูของครูที่จะต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นกลไกของการเปลี่ยนแปลง กลับแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ผลลัพธ์ที่เกิดก็คือ เมื่อครูของครูคิดไม่เป็นหรือไม่คิด นักศึกษาครูก็น่าจะเป็นเหมือนกับต้นแบบของตน ซึ่งฉันไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น! เพราะฉะนั้น ก็ต้องจัดการเปลี่ยนตัวเองในวิชาที่รับผิดชอบ
ฉันเลือกที่จะนำ PBL มาใช้ และเมื่อตัดสินใจทำ ก็ไม่ได้ค้นคว้าหรอกว่ามีใครทำบ้าง ทำแล้วเป็นอย่างไร เพียงแต่เคยมีความเข้าใจเรื่องนี้อย่างกว้างๆ และคิดเองว่าน่าจะใช้ได้ PBLของฉันกับของคนอื่นๆ จะเหมือนกันหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสนใจ สำหรับฉันแล้ว PBL เป็นวิธีการที่มนุษย์ใช้แก้ปัญหามาตั้งแต่ยุคหินเพื่อการมีชีวิตรอด ถึงอยู่ได้ไม่สูญพันธุ์จนทุกวันนี้ ฉะนั้นถ้าวางแผนดีๆ จัดระบบดีๆ PBL ก็น่าจะใช้เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้แบบหนึ่งที่จะช่วยให้นักศึกษาครู “เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ด้วยตนเองและคิดเป็น” ได้
วิชาเทคโนโลยีการศึกษาที่ฉันรับผิดชอบร่วมกับเพื่อนครูอีกสองสามคน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิชาชีพครูที่เราจัดการเรียนการสอนด้วยระบบกลุ่มใหญ่มาตั้งแต่ปีการศึกษา 2541 และมีการวิจัยพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในระยะนั้น
ฉันเริ่มการออกแบบวิชานี้โดยอิงแนวคิดของ PBL ผนวกกับระบบการเรียนการสอนแบบกลุ่มใหญ่ แล้วนำมาทดลองใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2545 กับนักศึกษาครูชั้นปีที่ 2 จำนวน 344 คน มีผู้จัดการเรียนรู้ที่เป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์ 3 คน รวมทั้งตัวฉันเองด้วย และอาจารย์ช่วยสอนซึ่งเป็นนักศึกษาโปรแกรมวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวน 60 คน เมื่อปรับปรุงและใช้อีกในภาคเรียนที่ 2 ของปีการศึกษาเดียวกันกับนักศึกษาครูชั้นปีที่ 1 จำนวน 346 คน ฉันใช้ผู้จัดการเรียนรู้ที่เป็นอาจารย์คณะครุศาสตร์ทีมเดิม และอาจารย์ช่วยสอนซึ่งเป็นนักศึกษาโปรแกรมวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาชั้นปีที่ 3 และ 4 จำนวน 48 คน
การจัดการเรียนรู้ในวิชานี้ ฉันวางขอบเขตให้ประกอบด้วยแนวปฏิบัติหลัก 6 ประการคือ
ปัญหาหลักที่กำหนดให้นักศึกษาครูสำหรับดำเนินการให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์แก่ตัวของเขาเองคือ
“คุณจะทำอย่างไรให้ตนเองมีปรีชาสามารถ 5
ประการทางเทคโนโลยีการศึกษา?” ในวิชานี้ได้กำหนดปรีชาสามารถ
(Capability) ในทางเทคโนโลยีการศึกษาสำหรับครูยุคใหม่ไว้ว่าจะต้อง
นักศึกษาครูจะต้องวางแผนจัดการเรียนรู้ให้ตนเองเป็นรายบุคคล โดยจัดลำดับปัญหาที่จะดำเนินการเองตามต้องการ อาจจะเลือกจัดการปัญหาที่ง่ายหรือยากที่สุดสำหรับตนเองก่อนก็ได้ การเรียนรู้ที่จัดอาจจะเป็นการศึกษารายบุคคล หรือเป็นกลุ่ม ทั้งนี้ได้เสนอแนะขั้นตอนในการดำเนินการจัดแผนการเรียนรู้เชิงระบบให้แก่นักศึกษาครูเพื่อเป็นแนวทางดังนี้
การประเมินผลการเรียนรู้ในวิชานี้ แบ่งการให้คะแนนออกเป็น 2 ส่วนคือ ความรู้ภาคทฤษฎี (20%) เป็นการสอบประมวลความรู้ในตอนปลายภาคเรียน และการแสดงปรีชาสามารถ (80%) พิจารณาจากการที่นักศึกษาครูนำแผนการเรียนรู้ไปปฏิบัติจริง โดยแสดงหลักฐานร่องรอยของกระบวนการดำเนินงาน และผลลัพธ์การเรียนรู้ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ได้จัดแบบประเมินปรีชาสามารถทุกเรื่องไว้ให้นักศึกษาครูเพื่อศึกษาทำความเข้าใจก่อนการวางแผนจัดการเรียนรู้ของตน
ในการประเมินปรีชาสามารถแต่ละเรื่อง ฉันคิดว่าควรทดลองใช้วิธีการที่แสดงความยุติธรรมและโปร่งใสให้มากที่สุด จึงกำหนดให้มีผู้ประเมินจำนวน 3 คน สองคนแรกคือผู้จัดการเรียนรู้ที่เป็นอาจารย์ช่วยสอน เรียกเองว่าผู้ประเมินภายใน ส่วนอีกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติตรงตามปรีชาสามารถนั้นๆ โดยนักศึกษาเป็นคนเลือกเอง เรียกว่าผู้ประเมินภายนอก ซึ่งเท่าที่ผ่านมา วิชานี้ได้รับเกียรติจากคณาจารย์คณะครุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนประถมสาธิตและมัธยมสาธิตของสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา และอาจารย์จากโรงเรียนในสังกัดกรมสามัญศึกษาหลายแห่งทำหน้าที่ผู้ประเมินภายนอกให้แก่นักศึกษา และนักศึกษาก็พอใจกับการประเมินในลักษณะนี้
วิชานี้จัดชั่วโมงให้นักศึกษาเข้าชั้นเรียนเป็นกลุ่มใหญ่จำนวน 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการปฐมนิเทศและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีเรียน ผลลัพธ์การเรียนรู้ และกิจกรรมที่นักศึกษาครูจะต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับเปลี่ยนวิธีเรียนจากการเป็นผู้รับฟัง และทำตามที่ผู้สอนต้องการ มาเป็นการคิดวางแผนการเรียนของตน และวิธีการที่จะทำให้ตนได้ผลลัพธ์ตามที่วิชานี้กำหนดไว้ การเข้าชั้นเรียนอีกสองครั้งเป็นการรับฟังหลักการและทฤษฎีที่เป็นความรู้พื้นฐานที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้ง 5 ประการ
เวลาที่นอกเหนือจากนั้น นักศึกษาครูจะศึกษาด้วยตนเอง และพบกลุ่มเพื่อติดต่อรับคำแนะนำจากอาจารย์ช่วยสอน ประกอบด้วยการจัดทำแผนการเรียนของตนตลอดภาคเรียน การศึกษาค้นคว้าและฝึกทักษะที่ต้องการ รับการประเมินปรีชาสามารถ และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถกำหนดเวลาและสถานที่เรียนรู้ได้ตามต้องการ
ข้อมูลของวิชานี้ อาทิ แนวปฏิบัติ คำบรรยาย แบบประเมินปรีชาสามารถ ตารางแสดงผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาครูแต่ละคน ฯลฯ นักศึกษาครูที่ลงทะเบียนเรียนจะได้รับรหัสประจำตัวเพื่อสามารถติดตามดูได้ทางเวบไซด์ของสำนักการศึกษามวลชน รวมทั้งสามารถตรวจสอบคะแนนของตนเองทุกปรีชาสามารถได้ตลอดเวลา
ในระหว่างการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ ฉันได้ประเมินความคิดเห็นของนักศึกษาครูและอาจารย์ช่วยสอนเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ในวิชานี้เป็นระยะๆเพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสม และพบว่าแม้จะเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักศึกษาครูและการปรับเปลี่ยนวิธีเรียนทำให้เกิดความสับสนอยู่บ้าง แต่นักศึกษาครูทุกคนประเมินตนเองในเรื่องการเรียนรู้ด้วยตนเอง การรู้จักคิดและวางแผนอย่างเป็นระบบว่าเพิ่มขึ้นในระดับมาก
ดังนั้น แม้ว่าการจัดการเรียนรู้ในวิชานี้จะมีเป้าหมายอยู่หลายข้อ แต่ข้อสำคัญที่ฉันเปิดประเด็นกล่าวถึงในที่นี้คือ “การเรียนรู้ด้วยตนเอง”และ “คิดเป็น” นั้น ฉันมั่นใจว่าทำได้สำเร็จเป็นอย่างดีเชียวล่ะ