ตายคือว่าง....หรือเปล่า


จุติคือดับ

 

ผมเขียนกลอนชุดใหม่ ของผลบุญชื่อ "กลอนสอนจิต 2548-2550" เขียนไป โลดแล่นไป เรียนรู้ ดูเล่น ในโลกกว้างไป  จึงขอนำมาลงให้อ่านกันไปเรื่อยๆ ครับ

ตายคือว่าง

ตายคือแปร เปลี่ยนไป ในสังสาร
เมื่อถึงกาล อายุขัย ต้องไปหนอ
จากภพหนึ่ง ไปภพหน้า ตั้งตารอ
หากบุญพอ ก็ได้ไป ในทางดี

ทาง
เจ็ดทาง  ต่างเดินกัน มันส์ขวักไขว่
สลับ
กันไป เกิด-ดับไว ดุจแสงสี
สูงไปต่ำ
ดำไปขาว ตัวอย่างมี
ตัววัดชี้ มีบาป-บุญ เกื้อหนุนไป

ปัจจุบัน เป็น"เรา"นั้น สำคัญสุด
เพราะมนุษย์ หยุดกึ่งกลาง ทางสามสาย
หนึ่งสวรรค์ สองนรก หมกไหม้กาย
หรือสุดท้าย ทางสายกลาง คือว่าง "เรา"

อยู่ที่คน จะเข้าใจ ในคำนี้
"ว่าง" จากเรา คืออย่างไร นะโฉมเฉลา
คือ"ไม่มี" ใน"ความมี" ที่มีเรา
ดูรูปเงา ละเรารู้ ดูดับไป

สักแต่รู้ ดูปัจจุบัน คั้นให้มั่น
สติพลัน ปัญญามา พาจิตใส
อยู่กับหู ตาจมูก
ลิ้นกายใจ
"ว่าง"เราไซร้ ใจไม่ทุกข์ สุขนิรันดร์
-----------------

ผลบุญ  8 เมษายน 2548

ด้วยความปรารถนาดีครับ

นิวเดลี 2550

คำสำคัญ (Tags): #ทางเจ็ดทาง
หมายเลขบันทึก: 124120เขียนเมื่อ 1 กันยายน 2007 20:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีค่ะ

 เพิ่งกลับออกมาจาก polpage.com และที่สำคัญเพิ่งจะอ่านกลอนธรรมะโลกสว่างจบ ก็มาพบกลอนสอนใจบทใหม่พอดี ทุกอย่างต้องพอดีใช่ไหม ชอบบทที่ 4 และทาง 7 ทางคืออะไรคะ

ขอบคุณ และอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

โยคีน้อยครับ

ทาง 7 สายที่ผมพูดถึงคือ

ทางเดินของจิตครับ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ สมมุตินะครับว่าเรากำลังอยู่บนพื้นพสุธา อยู่ในอาคารที่มี 7 ชั้นโดยสูงขึ้นไป 3 ชั้นและใต้ดินอีก 4 ชั้น

ชั้นล่างที่เราอยู่นั้นคือชั้นที่เรียกว่าชั้นมนุษย์ มนุษย์เกิดที่ชั้นนี้ ตายชั้นนี้ สุขและทุกข์ก็ชั้นนี้ สภาพห้องจะวิจิตรอย่างไรก็แล้วแต่บุญของคนนั้น ตั้งแต่ห้องประดับเพชรเหมือนห้องสวิทโรงแรม 5 ดาวหรือจะแย่จนมีแต่เสา 4 เสาแทบกันลมและฝนไม่ได้ ........

ชั้น1 ข้างบนเรียกว่าชั้นสวรรค์ สำหรับผู้ที่ทำบุญทำทานรักษาศีล ก็จะได้ขึ้นไปอยู่ชั้นบนที่ 1 ก็สบายยิ่งขึ้นไปอีก ต้องการอะไร ก็มีไปหมดทุกอย่าง...ที่ให้เกิดความสุข...จนไม่ค่อยอยากจะไปไหน .....ชั้นที่ 2 สูงขึ้นไปข้างบนเรียกว่าชั้นพรหม นั่นก็สูงขึ้นไปอีก สำหรับผู้ที่สร้างบุญเอาไว้มากๆ รักษาศีลแล้วปฏิบัติธรรมด้วย ชั้นนี้ไม่ได้สนใจเรื่องความสบายแล้วแต่จะเน้นการคิด ศึกษา วิจัย เรียนรู้ ทดลอง...สร้างบารมีกัน ไม่ค่อยสนใจเรื่องเวลาด้วย ไม่เดือดร้อน

คราวนี้มาข้างล่างบ้าง จากชั้นล่างติดพื้น มีชั้นใต้ดินชั้นที่ 1 เรียกว่าชั้นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ทุกอย่างอยู่ในชั้นใต้ดินนี้หมด ก็แน่นอนครับ ตามสภาพของธรรมชาติเช่นกัน วิจิตรกันตั้งแต่สัตว์ที่ทำบุญมาแต่มีบาปมาชิงเอาหน้าเลยเกิดมาในชั้นนี้ หรือพวกที่แย่ก็เกิด-ตาย สั้นๆ จนนับไม่ถ้วน

ชั้นใต้ดินลึกไปอีกชั้นหนึ่งเรียกว่าเปรต พวกที่ยังยึดติดกับรูปร่างมนุษย์ ทำบาปทำกรรมจนต้องอยู่ในสภาพที่ขาดแคลน หิวโหยเป็นประจำ

ชั้นใต้ดินลึกลงไปอีกชั้นคือ อสุรกาย พวกนี้เพิ่มความโหดเหี้ยมเข้าไปอีก ทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ หลงผิดก็เกินแก้

ชั้นใต้ดินสุดท้ายลึกที่สุดคือนรก ลึกสุด สำหรับพวกที่เรียกว่าสัตว์นรก หลงผิดที่สุด บาปหนักที่สุด มีแต่ความร้อนเผาไหม้ หมดโอกาสที่จะคิดถึงเรื่องดีๆ

ก็ถ้ารวมชั้นต่างๆ ของอาคารนี้ก็คือ สูงสุดคือพรหม - สวรรค์สำหรับเทวดา -มนุษย์-สำหรับปุถุชน - สัตว์เดรัจฉาน - เปรต- อสุรกาย -และสัตว์นรก 7 ชั้น 7 วิถีทางเดินของจิต

อย่างไรก็ดี ยังมีอีกชั้นหนึ่งที่มิได้อยู่ในกรอบทั้ง 7 ชั้นนี้คือ ชั้นที่เรียกว่านิพพาน หลุดออกมาจากอาคารดังกล่าวเลยครับ.....

แหม นี่ผมเล่าเรื่องอาคารที่เรียกว่าวัฏฏะแมนชั่นนะครับouj หากต้องการรู้อย่างละเอียดเรื่อง ทาง 7 สาย หรือ 7+1 สาย  คงต้องถามพระท่านนะครับ เพราะผมเองก็ยังอยู่ในชั้นล่างเหมือนกันครับ กำลังนั่งสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ตกับกัลยาณมิตรใน G2K

เป็นวันเสาร์ที่เรียบเช่นเคยครับ ก่อนที่จะมีภาระในวันพรุ่งต่อไป

ด้วยความปรารถนาดีครับ

 อย่างนี้เขาเรียกทัวร์ค่ะ ทัวร์นรก สวรรค์ พร้อม         ไกด์มือหนึ่ง ที่บรรยายได้เสร็จสรรพพร้อมคุณสมบัติของผู้สนใจที่จะมาท่องเที่ยว แต่ไมเอาดีกว่า อยากสัมผัสสถานที่สุดท้ายมากกว่า อย่าหนีไปก่อนก็แล้วกัน ขอบคุณค่ะที่ช่วยแก้โง่ให้ อย่าเพิ่งเบื่อค่ะ โยคีน้อยชอบให้เล่าแบบนี้อีก นิทานของพี่โยคี ช่วยให้หลับฝันดี ไม่ฝันร้ายเหมือนที่เคยผ่านมา

       รักษาสุขภาพกายใจให้ดีนะคะ

               เหนื่อนแทนวันหยุดก็ไม่ได้หยุดนี่แหละข้าราชการของพ่อหลวง...............สวัสดีค่ะ

สวัสดีค่ะ แหมแมนชั่นเลือกชั้นได้เลยนะคะ ว่าจะอยู่แบบไหน สะสมทุนแบบไหนไว้ก็ได้ไปตามนั้น

โชคดีที่ศาสนาพุทธสอนเรื่องความตาย และการเตรียมตัวตายตั้งแต่ยังไม่ตายนะคะ ส่วนมากเพื่อนฝรั่งที่รู้จักเขาจะไม่นึกถึงซักเท่าไร มีเพื่อนอาวุโสอยู่คนหนึ่งนะคะ ลูกตายด้วยอุบัติเหตุพร้อมว่าที่ลูกสะใภ้ คือมีคนวางเพลิงอาคารที่พักในปารีส หลังจากนั้นครอบครัวเขาว้าวุ่นมาก เพราะความเศร้าโศกที่ไม่จาง โดยเฉพาะแม่ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี

ตัวเองก็ยังไม่ค่อยรู้ข้อธรรมละเอียดเท่าไร แต่ได้พิจารณาทำมรณานุสติเนืองๆ เพราะนับวันคนที่เรารัก ล้วนแก่เฒ่าไปก่อนเรา หรือเราเองก็อาจจะตายก่อนเมื่อไร ไม่อาจทราบ เลยพยายามปฏิบัติตนอย่างที่คิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ วางความโลภ ความหลง ไปได้มาก แต่โกรธนี่ยังเป็นบททดสอบที่ตกอยู่เรื่อยๆค่ะ แม้ว่าจะไม่ถี่นัก

ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆค่ะ

P
ในเมื่อความตาย หมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ ผมจึงแทรกการกำหนดลมหายใจเสมอๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตสงบง่ายครับเวลามีอะไรมากระทบ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือการแผ่เมตตาซึ่งทำได้ง่ายๆและบ่อยๆ หากมีสติ เช่นก่อนจะรับประทานอาหารหรือจะทานอะไรก็แล้วแต่ หากจะกำหนดแล้วแผ่เมตตาให้สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราหรืออยู่ในโลกกว้าง ก็จะได้ประโยชน์สุงสุดครับ ทำให้เราลดความอยากบริโภคไปได้ส่วนหนึ่ง เมื่อนึกถึงว่ามีคนอยากทานเหมือนเราเหมือนกันแต่อาจไม่มีกำลัง ความสามรถที่จะทำเช่นนั้น....เราก็แผ่ความปรารถนาดีให้เขาเหล่านั้น อาหารเราก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน แต่สิ่งที่ได้คือ พลังกุศลที่เกิดขึ้นครับ
อยู่อินเดียได้เห็นของจริงทุกวันเลยครับ แผ่เมตตากันไม่หวัดไม่ไหว
ความโกรธนี่ต้องใช้เมตตาและอภัยสู้ครับจึงจะพอไหว
ด้วยความปรารถนาดีครับ

ขอบคุณมากค่ะในคำแนะนำการแผ่เมตตาก่อนทานอาหาร เป็นการเริ่มที่ไม่ยากและทำได้ทุกวัน จะนำไปปฏิบัติค่ะ

จริงค่ะเรื่องโกรธนี่ เพราะตัวเองยังมีเมตตาไม่พอ ขั้นแรก คือไม่พอต่อตัวเอง ความโกรธเป็นการเบียดเบียนตนเอง ผลหลังการโกรธก็ยิ่งเป็นสิ่งทำให้เห็นความโง่ที่ปล่อยให้โกรธ "หลุด" แล้วส่วนมากนะคะ คนที่เราโกรธเขาก็ไม่ได้ตั้งหน้าจะทำให้เราโกรธ เขาทำเพราะเขาไม่รู้ จึงทำผิด เราก็ไปโกรธเอง ต้องให้อภัยเขา และให้อภัยตนเองด้วย ฝึกต่อไปค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท