ขั้นตอนในการจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic management process)
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ (Conduct a situation analysis) 1. การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ (Strategic analysis) เป็นพื้นฐานของกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ ขั้นตอนในการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ประกอบด้วย
1.1) การกำหนดจุดมุ่งหมาย (Purpose) หมายถึง สิ่งที่องค์การต้องการในอนาคต จะกำหนดได้ก็ต่อเมื่อมี วิสัยทัศน์ ภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ เป็นแนวทางที่สำคัญของกระบวนการกำหนดกลยุทธ์จากแนวความคิดอย่างกว้างไปยังการกำหนดกลยุทธ์เพื่อกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง การจัดลำดับจากเจาะจงน้อยที่สุด คือ วิสัยทัศน์ ไปยังเจาะจงมากที่สุด คือ วัตถุประสงค์
1.2) วิสัยทัศน์ (Vision) เป็นทิศทางที่จะไปขององค์กร (คือสิ่งที่ผู้นำต้องการจะให้องค์กรเป็นในอนาคต) ก่อนกำหนดวิสัยทัศน์ควรทำการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของธุรกิจนั้นเสียก่อน เป็นสิ่งแรกที่ผู้บริหารควรจะกำหนดก่อนเข้ามาบริหารองค์กร เพื่อให้มีทิศทางที่ชัดเจนและเป็นไปได้
1.3) พันธกิจ (Mission) เป็นข้อความที่ระบุถึงภาระหน้าที่ของแต่ละหน่วยธุรกิจที่ต้องทำ และสิ่งที่เขาคาดหวังที่จะให้บรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กร
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภารกิจ ได้แก่
1. ขนาดขององค์การ : ขนาดเล็ก, ขนาดกลาง, ขนาดใหญ่ 2. ขอบเขตด้านภูมิศาสตร์ : ระดับท้องถิ่น, ภาค, ประเทศ, หลายประเทศ, ระดับโลก
3. จำนวนและการกระจายธุรกิจภายในบริษัท
การกำหนดภารกิจจะต้องตอบคำถามต่อไปนี้
1. จุดมุ่งหมายพื้นฐานคืออะไร มีเหตุผลสำคัญอะไร
2. ลักษณะเด่นหรือเอกลักษณ์ขององค์การคืออะไร
3. ความแตกต่างของบริษัทในช่วง 3-5 ปี
4. ลักษณะลูกค้าหลักหรือส่วนตลาดที่สำคัญคืออะไร
5. ผลิตภัณฑ์และบริการที่สำคัญในปัจจุบันและอนาคตคืออะไร
6. ลักษณะประโยชน์ด้านเศรษฐกิจที่สำคัญคืออะไร
7. ความเชื่อ ค่านิยม ความพึงพอใจ และลำดับความสำคัญชองปรัชญาธุรกิจ
วิสัยทัศน์ เปรียบเทียบกับ ภารกิจ
ข้อความภารกิจตอบคำถามที่ว่า “ ธุรกิจของเราคืออะไร”What is our business?
วิสัยทัศน์ตอบคำถามที่ว่า “ธุรกิจของเราต้องการจะเป็นอะไร” What do we want to become?
1.4) เป้าหมาย (Goals) เป็นการกำหนดสิ่งที่ต้องการในอนาคต ซึ่งองค์การต้องการ
เป้าหมายมีความเฉพาะเจาะจงน้อยกว่าวัตถุประสงค์ โดยวัตถุประสงค์จะถูกกำหนดขึ้นหลังจาก กำหนดเป้าหมายแล้ว เป็นตัวช่วยผู้บริหารให้คิดเกี่ยวกับสิ่งที่ธุรกิจต้องการบรรลุผล เป้าหมาย โดยทั่วไปเป็นปรัชญาของจุดมุ่งหมาย
1.5) วัตถุประสงค์ (Objectives) เป้าหมายในการดำเนินการที่องค์กรต้องการจะบรรลุผล
นโยบาย (Policy) เปรียบเทียบกับ กลยุทธ์
นโยบาย หมายถึง แนวทางที่กำหนดขึ้นมาซึ่งอาศัยพื้นฐานจากเป้าหมายและแผนกลยุทธ์ทั้งหมด ขององค์การ เพื่อใช้เป็นทิศทางสำหรับคนในองค์กร
ส่วนกลยุทธ์ หมายถึง แผนการปฏิบัติซึ่งอธิบายถึงการจัดสรรทรัพยากรและกิจกรรมอื่น ๆ ให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและบรรลุวัตถุประสงค์ในระยะยาว
2. การวิเคราะห์ SWOT (SWOT analysis) ประกอบด้วย
2.1) โอกาสและอุปสรรคภายนอก (External opportunities and threats)
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดโอกาสและอุปสรรคหลายประการสำหรับองค์กรธุรกิจ เริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูล ติดตามเหตุการณ์ และแนวโน้มทั่ว ๆ ไปอย่างใกล้ชิดโดยมีกิจกรรมซึ่งเป็นปัจจัยนำเข้าในการพยากรณ์ 2 ประการ คือ
1. การกลั่นกรองสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง เป็นกระบวนการสำรวจสภาพแวดล้อมภายนอกและอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อองค์กร ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งข้อมูลข่าวสารและแหล่งของทรัพยากรที่ขาดแคลน เช่น อุตสาหกรรมอาหารเด็กจะกลั่นกรองข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ : ระดับการกระจายรายได้ การอพยพของประชากร อัตราการเกิดในเขตภูมิศาสตร์ต่าง ๆ เป็นต้น
2. การรวบรวมความเป็นเลิศของคู่แข่งขันอย่างมีระบบ จะช่วยผู้บริหารในการพัฒนากลยุทธ์ที่จะมีตอบโต้กับคู่แข่งขัน เช่น การวางแผนการตลาด การวางแผนนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาด การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต สิ่งจูงใจในการบริหาร แผนค่าตอบแทน เป็นต้น
สภาพแวดล้อมภายนอก ประกอบด้วย
สภาพแวดล้อมทั่วไป
สภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน
สภาพแวดล้อมทั่วไป ประกอบด้วยปัจจัยภายนอกอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบที่ดีต่อองค์กร ทำให้เกิดโอกาสและอุปสรรคในการบริหารเชิงกลยุทธ์ ส่วนสำคัญของสภาพแวดล้อมทั่วไปได้แก่
1. ด้านประชากรศาสตร์ : โครงสร้างอายุของประชากร เชื้อชาติ อัตราการเกิด การโยกย้ายที่อยู่ จำนวนประชากรเพิ่มหรือลด
2. ด้านสังคมวัฒนธรรม : แรงงานสตรี สุขภาพและรูปร่าง มาตรฐานการศึกษา ชนชั้นในสังคม ภาษา ความเชื่อทางศาสนา ความวุ่นวายทางสังคม
3. ด้านการเมืองและกฎหมาย : กฎหมายควบคุมต่าง ๆ เช่น ด้านธุรกิจบันเทิง คุ้มครองสภาพแวดล้อม, เสถียรภาพของรัฐบาล การเคลื่อนไหวทางการเมือง นโยบายการค้าต่างประเทศ
4. ทางเทคโนโลยี : เทคโนโลยีชีววิทยา สื่อไฟฟ้า นวัตกรรมด้านความก้าวหน้าต่าง ๆ
5. ด้านเศรษฐกิจ : อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ งบประมาณขาดดุล/เกินดุล บรรยากาศการลงทุน
6. ระดับโลก : ความคล้ายคลึงกันในรสนิยมและความพึงพอใจของผู้บริโภค ปัญหาภาระหนี้สินระดับโลก
สภาพแวดล้อมทางการแข่งขัน ประกอบด้วยปัจจัยภายในอุตสาหกรรม ซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรงและทันทีทันใด
โมเดลแรงกดดันพื้นฐาน 5 ประการจากการแข่งขันในอุตสาหกรรม (Five forces model of industry competition) Michael E. Porter
1. คู่แข่งขันที่เข้ามาใหม่ (New entrants) |
5. การแข่งขันระหว่างธุรกิจ (Rivalry among existing firms) - การแข่งขันด้านราคา - วัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ - ความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์
|
4. ผลิตภัณฑ์ที่ทดแทน (Substitutes)
|
อุปสรรคจากคู่แข่งขันที่เข้ามาใหม่(Threat of new entrants)
|
อำนาจการต่อรองของผู้ขายปัจจัยการ ผลิต
|
อุปสรรคจากผลิตภัณฑ์ที่ทดแทน
(Threat of substitute products)
|
แรงกดดันเหล่านี้จะพิจารณาความสามารถในการสร้างกำไรอุตสาหกรรม แม้ว่าภายในอุตสาหกรรมธุรกิจจะมีทัศนะเกี่ยวกับกลุ่มกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน การแข่งขันจะมีความเข้มข้นในระหว่างธุรกิจภายในกลุ่มเชิงกลยุทธ์เดียวกัน
สภาพแวดล้อมทั่วไปและสภาพแวดล้อมทางการแข่งขันกำหนดโดยระดับความเกี่ยวข้องกัน การพัฒนาหลายประการของสภาพแวดล้อมทั่วไปจะมีผลกระทบที่สำคัญต่อแรงกดดัน 5 ประการ ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันรุนแรงภายในอุตสาหกรรม
การพยากรณ์สภาพแวดล้อมต้องอาศัยระบบข้อมูลเชิงกลยุทธ์ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ คือ
1. การวิเคราะห์และการพยากรณ์
2. การระบุจุดแข็งและจุดอ่อน
3. เสนอรายงานประจำและไม่ประจำ
4. ผู้กำหนดกลยุทธ์ขององค์การ
2.2) จุดแข็งและจุดอ่อนภายใน (Internal strengths and weaknesses)
การวิเคราะห์ภายในจะเกี่ยวข้องกับการกำหนด การประเมินขอบเขตด้านหน้าที่ต่าง ๆ และความเกี่ยวข้องกับปัญหาต่าง ๆ เครื่องมือการประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัท คือ การวิเคราะห์เครือข่ายการสร้างคุณค่า (Value Chain analysis) แบ่งออกเป็น
กิจกรรมพื้นฐาน (Primary activities)
กิจกรรมสนับสนุน (Support activities)
กิจกรรมพื้นฐานจะเกี่ยวข้องกับการสร้างลักษณะของผลิตภัณฑ์ การขนส่งไปยังลูกค้า และการบริการหลังการขาย
กิจกรรมพื้นฐาน ประกอบด้วย การนำวัสดุและปัจจัยการผลิตเข้าสู่กิจการการดำเนินงาน การจัดส่งสินค้าสำเร็จรูป การตลาด และการขาย ตลอดจนการให้บริการลูกค้า
กิจกรรมสนับสนุน ประกอบด้วย การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาเทคโนโลยี การจัดหาวัตถุดิบ โครงสร้างพื้นฐานของกิจการ และระบบข้อมูล
เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมภายใน ผู้บริหารจะต้องพิจารณาถึงตำแหน่งทางการเงินของธุรกิจ วัฒนธรรม และความเป็นผู้นำ ตลอดจนความถูกต้องตามกฎหมายและความมีชื่อเสียง
การสร้างคุณค่า (Value) สามารถสร้างได้ 4 ระดับ คือ
1. ระดับบริษัท
2. ระดับธุรกิจ
3. ระดับหน้าที่
4. ระดับโลก
หน้าที่พื้นฐานการบริหารจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการการบริหารเชิงกลยุทธ์ กล่าวคือ
1. การวางแผน (Planning) จะเกี่ยวข้องกับการกำหนดกลยุทธ์
2. การจัดองค์การ (Organizing) จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกลยุทธ์
3. การจูงใจ (Motivating) จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกลยุทธ์
4. การจัดบุคคลเจ้าทำงาน (Staffing) จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกลยุทธ์
5. การควบคุม (Controlling) จะเกี่ยวข้องกับการประเมินกลยุทธ์
หน้าที่พื้นฐานขององค์การ (ซึ่งแต่ละหน้าที่ต้องอาศัยหลักการบริหารเชิงกลยุทธ์) ประกอบด้วย
1. การตลาด (Marketing)
2. การผลิต / การปฏิบัติการ (Production / operation)
3. การวิจัยและการพัฒนา [Research and Development (R&D)]
4. การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human resource management)
5. ระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Computer information systems)
6. การเงิน / การบัญชี (Finance / accounting)
การบริหารการตลาดประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ลูกค้า
2. การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาด
3. การวางแผนผลิตภัณฑ์และบริการ
4. การตั้งราคา
5. การจัดจำหน่าย
6. การขายผลิตภัณฑ์และบริการ
7. การวิจัยการตลาด
8. การสร้างความสัมพันธ์กับสังคม
การบริหารการผลิต / การปฏิบัติการ จะต้องตัดสินใจ 5 ประการ คือ
1. กระบวนการ (Process)
2. สมรรถภาพ (Capacity)
3. สินค้าคงเหลือ (Inventory)
4. แรงงาน (Workforce)
5. คุณภาพ (Quality)
ผู้บริหารต้องเข้าใจและสามารถวิเคราะห์สภาพทางการเงิน เพื่อพิจารณาถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ ผู้บริหารจะต้องใช้การเปรียบเทียบของอัตราส่วนทางการเงินกับมาตรฐานของอุตสาหกรรม และคู่แข่งขันที่สำคัญ ตลอดจนการเปรียบเทียบการทำงานของธุรกิจในช่วงเวลาต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินการทำงานของธุรกิจ โดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันที่สำคัญ
อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญที่จะต้องเปรียบเทียบ มีดังนี้
1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity ratios)
2. อัตราส่วนความสามารถในการใช้สินทรัพย์ (Activity ratio)
3. อัตราส่วนความสามารถในการก่อหนี้ (Leverage ratios)
4. อัตราส่วนความสามารถในการหากำไร (Profitability ratios)
ขั้นที่ 2 การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning): การกำหนดกลยุทธ์ (Strategy formulation) ระดับที่ 1. กลยุทธ์ระดับบริษัท (Corporate level strategy) ขั้นตอนที่ถือว่าเป็นขั้นตอนของข้อมูลเพื่อให้บริษัทใช้เป็นข้อมูลในการกำหนดกลยุทธ์ ที่เรียกว่า การวิเคราะห์ SWOT
การวิเคราะห์ SWOT ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการทำงาน
จุดแข็ง (Strengths) เป็นความสามารถที่จะต้องใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
จุดอ่อน (Weaknesses) เป็นลักษณะที่ต้องแก้ไข
โอกาส (Opportunities) เป็นสถานการณ์ซึ่งมีศักยภาพ (ข้อได้เปรียบ) ซึ่งช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
อุปสรรค (Threats) เป็นปัญหาวิกฤตที่จะทำให้บริษัทไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
หลังจากวิเคราะห์ SWOTแล้วก็จะปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ ซึ่งประกอบด้วย
ขั้นที่ 1: ขั้นตอนปัจจัยนำเข้า (The input stage) เป็นข้นตอนข้อมูลรายละเอียดในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก ประกอบด้วย 2 แมททริกซ์
1.