สำหรับผมแล้วก็ทำหน้าที่ด้วย “ใจ” อย่างครบครัน เดินเข้าคูหากากบาทอย่างไม่ลังเล ประหนึ่งการพก “ใจ” ไปสัมมนาที่ “เชียงใหม่” ก็ไม่ปาน !
อย่างไรก็ดีก่อนการลงประชามติร่วมสัปดาห์ผมเห็นแวดวงสื่อมวลชนโหมโรงอันยกใหญ่เกี่ยวกับกระแสเงินอันแพร่สะบัดและร้อนฉ่าทั้งด้านการแจก (ซื้อ) เพื่อให้มติประชามติว่า “รับ” หรือ “ไม่รับ”
กระแสอันแพร่สะพัดและร้อนฉ่าทั้งฝ่ายต้านรัฐธรรมนูญและฝ่ายสนับสนุนให้รับร่างนั้นก็ดูจะอยู่ราว ๆ 200 – 300 บาทกันแทบทั้งสิ้น !
แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เงินภาษีของประชาชนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างมหาศาล หลายคนอาวรณ์ต่อรัฐธรรมฉบับปี 2540 เพราะเชื่อว่านั่นคือรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมา
ก่อนหน้านี้ร่วมเดือนเศษ, ผมและน้อง ๆ ทีมงาน หรือแม้แต่นิสิตได้ร่วมกันประชาสัมพันธ์รณรงค์กันอย่างยกใหญ่เพื่อให้นิสิตและบุคลากรตระหนักในการทำหน้าที่ของตนเอง ...
เราไม่ได้ชี้นำว่าต้อง “รับ” หรือ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่อยากให้ทั้งหลายได้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี และทำหน้าที่ของการเป็น “คนของชาติ” อย่างไม่อิดออด
กิจกรรมรณรงค์เราได้จัดขึ้นอย่างหลากหลาย ทั้งเปิดเวทีเสวนา, ประกวดคำขวัญ และเรียงความ, สาธิตการเข้าคูหา, นิทรรศการ แจกจ่ายเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็นหลักเกือบหมื่น เฉพาะแต่คู่มือเล่มเหลืองนั้นเราก็แจกจ่ายร่วม 4 พันเล่มเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศให้มีวันหยุดเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้คนเดินทางกลับไปใช้สิทธิ์ในครั้งนี้ ผมก็เป็นคนทำเรื่องเสนอมหาวิทยาลัยให้หยุดการเรียนในวันที่ 19 สิงหาคมด้วยตนเอง และเสนออนุมัติก่อนหน้านี้เป็นแรมเดือน
และเมื่อถึงวันจริง ๆ ผมจึงไม่ลังเลที่จะไปทำหน้าที่ของตนเอง ! ....
ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย, ไม่ว่ายุคสมัยใดเราก็มักได้ยินวาทกรรมอันสวยหรูว่า “ประชาชน” คือผู้กำหนดทิศทางการเมืองไทย แต่ผมกลับมองว่าปัจจัยอันสำคัญที่เกี่ยวโยงชี้เป็นชี้ตายนั้นกลับเป็น “รัฐประการ” หรือไม่ก็การ “ทุ่มซื้อเสียง” ของนักการเมืองต่างหากที่กำหนดทิศทางอันแท้จริง
ผมไม่มีเจตนาที่จะหมิ่นแคลนประชาชนชาวไทย, เพียงแต่สังเคราะห์และวิพากษ์ตามปรากฏการณ์ที่พานพบมาด้วยตนเองเป็นหลักสำคัญ
ล่าสุดมีบางห้วงกระแสที่พยายามพูดคุยกับชาวบ้านว่าให้แสดงความ “กตัญญู” ต่อนักการเมืองด้วยการคว่ำบาตรไม่รับร่าง ฯ ด้วยการไม่ออกไปใช้สิทธิ์ หรือไม่ก็ออกไปกากบาทในช่องของการ “ไม่รับ” ...
และแทบไม่น่าเชื่อว่าชาวบ้านบางกลุ่มสั่นไหวและคล้อยตามวาทกรรมแห่งการตอบแทนบุญคุณนั้นอย่างน่าเศร้าสลด !
ขณะที่อีกฟากฝ่ายก็โหมแรงกระพือข่าวทุกวิถีทางสู่เพื่อผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านฉลุย เพื่อจะได้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่เกิดขึ้นในเร็ววัน (บ้านเมืองและการเมืองไทยจะได้เข้ารูปเข้ารอยกันเสียที)
ผมปรารถนาอยากที่จะเห็นชาวบ้านได้ไปใช้สิทธิ์ตามครรลองของการเป็นพลเมืองของชาติ ส่วนจะรับหรือไม่รับนั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคล เป็นสิทธิอันเกิดจากการวินิจฉัยของตนเองเป็นหลักสำคัญ ... โดยที่ผมไม่หยั่งลึกลงไปว่า การวินิจฉันนั้นเกิดจากการเข้าใจอันถ่องแท้หรือไม่ ขอเพียงชาวบ้านตัดสินใจโดยปราศจากการครอบงำ เท่านั้นก็ถือว่า “เยี่ยม” แล้ว
บัดนี้พันธกิจแห่งความเป็นชาติในการแสดงประชามติก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลายท่านก็คงทราบผลว่าเป็นฉันใดบ้าง
และโดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ได้ทำหน้าที่พลเมืองของชาติอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ... ไปด้วย “ใจ” และใช้สิทธินั้นด้วย “ใจ” โดยปราศจากการครอบงำ หรือรู้สึกติดหนี้บุญคุณใครสักคน ทั้งในระดับนักการเมือง หรือรัฐบาล ...
แต่ที่แน่ ๆ ... ผมติดหนี้บุญคุณผืนแผ่นดินไทยของตนเอง และไม่มีวันที่จะชดใช้ได้หมด
กระนั้นก็อดที่จะสะท้อนใจและขบคิดไม่ได้ว่า ระหว่าง “ชาวบ้าน” กับ “นักการเมือง” พวกเขามีบุญคุณต่อกันด้วยเหรอ ? และบุญคุณนั้นต้องทดแทนด้วยการ “รับ” หรือ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้อย่างไร
จะว่าไปแล้ว, พวกเขาต่างหาก คือ ผู้ที่ติดหนี้บุญคุณแผ่นดินไทย ... และไม่ควรย่ำยีความเป็นชาติด้วยกระบวนการเช่นนั้น
ที่สุดแล้ว, ผมควรจะต้องสงสารใคร ระหว่าง ชาวบ้าน, นักการเมือง หรือแม้แต่ ประเทศชาติ !